๏ ศักราช ๘๓๒ ปีขานโทศก, สมเดจ์พระบรมราชาธิราชเจ้า, เสด็จยกทัพไปตีเมืองทวาย. แลเมื่อเมืองทวายจะเสียนั้น, เกิดอุบาทว์เปนหลายประการ. โคตกลูกตัวหนึ่งเปนแปดเท้า, ไก่ฟักฟองตกลูกตัวหนึ่งเปนสี่เท้า, ไก่ฟักฟองคู่ขอนตกลูกเปนหกตัว. อนึ่งเข้าสานงอกเปนใบขึ้นในปีนั้น. สมเดจ์พระบรมไตรยโลกย์นารถเสด็จสวรรคต, อยู่ในราชสมบัติ ๓๘ ปี ๚ะ

๏ ศักราช ๘๓๔ ปีมโรงจัตวาศก, แรกให้ก่อกำแพงเมืองพิไชย. ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินสมเดจ์พระรามาธิบดี. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๓๕ ปีมเสงเบญจศก, สมเดจ์พระบรมราชาธิราชเจ้า, ขึ้นครองราชสมบัติ, ทรงพระนามชื่อสมเดจ์พระรามาธิบดี. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๓๖ ปีมเมียฉศก, ประดิษฐานพระอัฐิธาตุสมเดจ์พระบรมไตรยโลกย์นาถเจ้าในพระมหาสถูป. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๓๘ ปีวอกอัฐศก, ท่านประพฤษดิ์การเบญจเพศ, พระองค์ให้เล่นการดึกดำบรรพ์. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๓๙ ปีรกานพศก, ให้ทำการปถมกรรม์. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๔๑ ปีกุนเอกศก, แรกสร้างพระวิหาร, วัดพระศรีสรรเพช. สมเดจ์พระรามาธิบดี, แรกหล่อพระศรีสรรเพช, ในวันอาทิตย์เดือนหกขึ้นแปดค่ำ ๚ะ

๏ ครั้นถึงศักราช ๘๔๕ ปีเถาะ เบญจศก, วันศุกร์เดือนแปดขึ้นสิบเอ็ดค่ำ ฉลองพระพุทธเจ้าพระศรีสรรเพช, คณะณาพระพุทธปฏิมากรเจ้านั้น แต่พระบาทถึงยอดพระรัศมีสูงได้ ๘ วา, พระภักตรนั้นยาวได้ ๔ ศอก, โดยกว้างได้สามศอก, พระอุระกว้างได้สิบเอ็ดศอก, แลทองหล่อพระพุทธปฏิมากรเจ้าหนักห้าหมื่นสามพันชั่ง. ทองคำหุ้มหนักสองร้อยแปดสิบหกชั่ง. ช้างน่านั้นทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา. ข้างหลังนั้นทองเนื้อหกน้ำสองขา. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๖๐ ปีมเมียสัมฤทธิศก, สมเดจ์พระรามาธิบดี, แรกให้ทำตำราพิไชยสงคราม, แลแรกทำสารบาญชีพระราชพิธีทุกเมือง. ขณะนั้นคลองสำโรงที่จะไปคลองศีศะจรเข้. คลองทับนางที่จะไปปากน้ำเจ้าพระยาตื้น. เรือใหญ่จะเดิรไปมาขัดสน. จึ่งให้ชำระขุดได้รูปเทพารักษสององค์, หล่อด้วยทองสำฤทธิ, จาฤกองค์หนึ่งชื่อพระยาแสนตา องค์หนึ่งชื่อบาทสังฆังกร. ในที่ร่วมคลองสำโรง, กับคลองทับนางต่อกัน. จึ่งให้พลีกรรมบวงสรวง, แล้วรับออกมาปลูกศาล, เชิญขึ้นประดิษฐานไว้, ณะเมืองพระประแดง. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๖๖ ปีชวดฉศก, ครั้งนั้นงาเบื้องขวาช้างต้น, เจ้าพระยาปราบแตกออกไป. อนึ่งในเดือนเจ็ดนั้น, คนทอดบาศสนเท่ห์ ครั้งนั้นให้ฆ่าขุนนางเสียมาก. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๖๗ ปีฉลูสัปตศก, น้ำน้อยเข้าตายฝอยมากสิ้น. อนึ่งแผ่นดินไหว, แลเกิดอุบาทว์หลายประการ. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๖๘ ปีขานอัฐศก, เข้าแพงเปนสามทนานต่อเฟื้อง. เบี้ยแปดร้อยต่อเฟื้อง, เกวียนหนึ่งเปนเงินชั่งหนึ่งกับเก้าบาทสลึง. ครั้งนั้นประดิษฐานสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอพระอาทิตยวงษ์, ไว้ในที่มหาอุปราช, ให้ขึ้นครองเมืองพระพิศณุโลกย์. ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินสมเดจ์พระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ๚ะ

๏ ศักราช ๘๗๑ ปีมเสงเอกศก, ในเพลาราษตรีภาคย์, เหนอากาษนิมิตรเปนอินท์ธนู, แต่ทิศหรดีผ่านมาทิศพยับ, มีพรรณศรีชาว. อยู่มาณวันอาทิตย์เดือนสิบสองขึ้นแปดค่ำ สมเดจ์พระรามาธิบดี, เสด็จสวรรคต อยู่ในราชสมบัติ ๔๐ ปี. สมเดจ์พระอาทิตย์วงษ์เจ้าขึ้นเสวยราชสมบัติทรงพระนามชื่อสมเดจ์พระบรมราชาหน่อพุทธางกูร. ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินพระรัษฎาธิราชกุมาร ๚ะ

๏ ศักราช ๘๗๕ ปีรกาเบญจศก, สมเดจ์พระบรมราชาเสด็จสวรรคต, อยู่ในราชสมบัติ ๕ ปี. สมเดจ์พระรัษฎาธิราชกุมาร, ได้ครองราชสมบัติ ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินพระไชยราชาธิราชเจ้า ๚ะ

๏ ศักราช ๘๗๖ ปีจอฉศก, สมเดจ์พระรัษฎาธิราชกุมารเสด็จสวรรคต. แล้วสมเดจ์พระไชยราชาธิราชเจ้า, ได้เสวยราชสมบัติ. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๘๐ ปีขานสัมฤทธิศก, แรกให้พูนดินวัดชีเชียง. ถึงเดือนสิบเอ็ดเสด็จไปเชียงไตรเชียงตราน. ถึงเดือนสี่ขึ้นเก้าค่ำ, เพลาประมาณยามหนึ่ง, เกิดลมพายุห์พัดหนัก, ฅอเรืออ้อมแก้วแสนเมืองม้านั้นหัก. เรือไกรแก้วนั้นแตก. อนึ่งเสด็จมาแต่เมืองกำแพงเพชร์นั้น, พระยานารายน์เปนกระบถ, ให้กุมเอาพระยานารายน์, ฆ่าเสียในเมืองกำแพงเพชร์. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๘๗ ปีรกาสัปตศก, ณวันพฤหัศเดือนเจ็ดขึ้นสี่ค่ำ, สมเดจ์พระไชยราชาธิราชเจ้าเสด็จไปเชียงใหม่, ให้พระยาพระพิศณุโลกยเปนแม่ทัพ, ยกพลออกตั้งทัพไชยตำบลบางบาล. ๚ะ

๏ วันเสาร์เดือนเจ็ดขึ้นสิบสี่ค่ำ, จึ่งยกทัพหลวงจากที่ทัพไชย, ไปถึงเมืองกำแพงเพชร์. ๚ะ

๏ วันอาทิตย์เดือนเจ็ดแรมสิบสี่ค่ำ ยกทัพไปตั้งเมืองเชียงทอง. แล้วยกไปถึงเมืองเชียงใหม่. ๚ะ

๏ ครั้นณวันอาทิตย์เดือนเก้าขึ้นสี่ค่ำ, เสด็จยกพยุหบาตราทัพหลวง, กลับคืนยังพระนครศรีอยุทธยา. ๚ะ

๏ อยู่ณวันพุดเดือนสามขึ้นสี่ค่ำ, เกิดเพลิงไหม้ในพระนคร, แต่ท่ากลาโหมลงไปถึงพระราชวังท้ายท่อตลาดยอด. ลมหอบเอาลูกเพลิงไปตกตะแลงแกง, ไหม้ลามลงไปป่าตองโรงความฉะไกรย, สามวันจึ่งดับ, มีบาญชีเรือนศาลากุฏีวิหารไหม้แสนห้าสิบ. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๘๘ ปีจออัฐศก, ณวันอาทิตย์เดือนยี่ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ, สมเดจ์พระไซยราชาธิราชเจ้า, เสด็จยกพยุหบาตราทัพไปเมืองเชียงใหม่. ดำรัศให้พระยาพระพิศณุโลกย์, ถือพลสองหมื่นเปนกองน่า. เสด็จยกพยุหแสนยากรรอนแรมไปโดยระยะทาง, สิบสองเวนถึงเมืองกำแพงเพชร์. เสด็จประทับแรมอยู่สิบห้าวัน. ๚ะ

๏ ครั้นณวันพฤหัศเดือนสามขึ้นหกค่ำ, เสด็จตั้งทัพไชย. ถึงณวันเสาร์เดือนสามขึ้นแปดค่ำ, จึ่งยกทัพหลวงเสด็จจากที่นั้น. ๚ะ

๏ ครั้นณวันอังคารเดือนสี่ขึ้นสามค่ำ, ได้เมืองลำพูนไชย. ถึงณวันจันทร์เดือนสี่ขึ้นเก้าค่ำ, ได้เมืองเซียงใหม่. ๚ะ

๏ ณวันศุกร์เดือนสี่ขึ้นสิบสามค่ำ, บังเกิดอุบาทว์นิมิตร์, เหนโลหิตตกอยู่ณประตูบ้าน, แลเรือนชนทั้งปวง, ในเมืองนอกเมืองทุกตำบล. ๚ะ

๏ ครั้นณวันจันทร์เดือนสี่แรมสิบสี่ค่ำ เสด็จยกพยุหบาตราทัพหลวงจากเมืองเชียงใหม่, จะมายังพระนครศรีอยุทธยา ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินพระยอดฟ้า, แลขุนวรวงษาธิราช ๚ะ

๏ ศักราช ๘๘๙ ปีกุนนพศก สมเดจ์พระไชยราชาธิราชเจ้า, เสด็จสวรรคตณมัชฌิมวิถีประเทศ, มุขมนตรีเชิญพระบรมสพเข้าพระนครศรีอยุทธยา. สมเดจ์พระไชยราชาธิราชเจ้า, อยู่ในราชสมบัติมไหสวรรย์สิบสี่พรรษา, มีพระราชโอรสสองพระองค์. แลพระราชโอรผผู้พี่, ทรงพระนามพระยอดฟ้า, พระชนม์ได้สิบเอ็ดพรรษา พระราชโอรสผู้น้อง ทรงพระนามชื่อพระศรีศิลป์พระชนม์ได้ห้าพรรษา. ครั้นถวายพระเพลิงพระไชยราชาเสร็จแล้ว, ฝ่ายพระเทียรราชา, ซึ่งเปนเชื้อพระวงษสมเดจ์พระไชยราชานั้น, จึ่งดำริหว่า, ครั้นกูจะอยู่ในฆราวาศบัดนี้, เหนไภยจะบังเกิดมีเปนมั่นคง, ไม่เหนสิ่งใดที่จะเปนที่พึ่งได้. เหนแต่พระพุทธสาศนาแลผ้ากาสาวพัตร, อันเปนธงไชยแห่งพระอรหรรต, จะเปนที่พำนักนิ์พ้นไภย์อุปัทวอันตราย. ครั้นดำริหแล้ว, ก็ออกไปอุปสมบทเปนภิกษุภาวะอยู่ณวัดราชประดิษฐาน ฝ่ายสมณพราหมณาจาริย์, มุขมนตรีกระวีราชนักปราชราชบัณฑิตย์โหราราชครู, สโมษรพร้อมประชุมเชิญพระยอดฟ้า, พระชนม์ได้สิบเอ็ดพรรษา, เสด็จผ่านพิภพถวัลย์ราชประเวณี, สืบศรีสุริยวงษต่อไป. แลนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันท์, ผู้เปนสมเดจ์พระชนนีช่วยทำนุบำรุงประคองราชการแผ่นดิน, ในปีนั้นแผ่นดินไหว. ๚ะ

๏ ครั้นศักราช ๘๙๐ ปีชวดสัมฤทธิศก, ณวันเสาร์เดือนห้าขึ้นห้าค่ำ, สมเดจ์พระยอดฟ้าเสด็จออกท้องสนาม, พร้อมด้วยหมู่มุขอำมาตยมนตรี, เฝ้าพระบาทยุคลเปนอันมาก. ดำรัสสั่งให้เอาช้างต้นพระฉัททันต์บำรุงงากัน, บังเกิดทุจริตนิมิตรงาช้างพระยาไฟนั้นหักเปนสามท่อน. ครั้นเพลาค่ำช้างต้นพระฉัททันตไล่ร้องเปนเสี่ยงคนร้องไห้. ประการหนึ่งประตูไพชยนต์ร้องเปนอุบาทว์. ครั้นอยู่มานางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันท์, เสด็จไปประภาศเล่น, ณพระที่นั่งพิมานรัตยาหอพระข้างน่า, ทอดพระเนตรเหนพันบุตรศรีเทพผู้เฝ้าหอพระ, ก็มีความเสนหารักษใคร่พันบุตรศรีเทพ, จึ่งสั่งสาวใช้ให้เอาเมี่ยงหมากห่อผ้าเช็ดหน้า, ไปพระราชทานพันบุตรศรีเทพ, ๆ รับแล้วก็รู้พระอัชฌาไศรยว่า, นางพระยามีพระไทยยินดีรักษใคร่. พันบุตรศรีเทพจึ่งเอาดอกจำปาส่งให้สาวใช้, ให้เอาไปถวายแก่นางพระยา, นางพระยาก็ยิ่งมีความกำหนัดในพันบุตรศรีเทพเปนอันมาก. จึ่งมีพระเสาวนีสั่งพระยาราชภักดีว่า, พันบุตรศรีเทพเปนข้าหลวงเดิม. ให้เอามาเปนที่ขุนชินราช, รักษาหอพระข้างใน, ให้เปลี่ยนขุนชินราชออกไป, เปนพันบุตรศรีเทพรักษาหอพระข้างน่า. ครั้นพันบุตรศรีเทพเปนขุนชินราช, เข้าไปอยู่รักษาหอพระข้างในแล้ว, นางพระยาก็ลอบลักสมัคสังวาศกับด้วยขุนชินราชมาช้านาน, แล้วดำริหจะเอาราชสมบัติให้สิทธิ์แก่ขุนชินราช. จึ่งตรัสสั่งพระยาราชภักดี, ให้ขุนชินราชเปนขุนวรวงษาธิราช, ให้ปลูกจวนอยู่ริมศาลาสารบาญชี, ให้พิจารณาเลขสมสังกัดพรรค์, หวังจะให้กำลังมากขึ้น, แล้วให้เตียงที่อันเปนราชอาศน์, ไปตั้งไว้ข้างน่า, สำหรับขุนวรวงษาธิราชนั่ง. เพื่อจะให้ขุนนางทั้งปวงอ่อนน้อมยำเกรง แล้วนางพระยาสั่งให้ปลูกจวน, ให้ขุนวรวงษาธิราชว่าราชการ, ณประตูดินริมต้นหมัน. อยู่มาพระยามหาเสนา, ภบพระยาราชภักดี, จึ่งพูดว่า, เมื่อแผ่นดินเปนทุรยศฉนี้, เราจะคิดเปนประการใด. ครั้นรุ่งขึ้นนางพระยารู้ว่า, พระยามหาเสนาพูดกันกับพระยาราชภักดี. จึ่งสั่งให้พระยามหาเสนา, เข้ามาเฝ้าที่ประตูดิน. ครั้นเพลาค่ำพระยามหาเสนากลับออกไป, มีผู้มาแทงพระยามหาเสนาล้มลง, เมื่อใกล้จะสิ้นใจพระยามหาเสนาจึ่งว่า, เมื่อเราเปนดั่งนี้แล้ว, ผู้อยู่ภายหลังจะเปนประการใดเล่า ขณะนั้นนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันท์, มีครรภ์ด้วยขุนวรวงษา, จึ่งมีพระเสวนีตรัสปฤกษาด้วยหมู่มุขมนตรีทั้งปวงว่า, พระยอดฟ้าโอรสเรายังเยาวนักสลวนแต่จะเล่น, จะว่าราชการแผ่นดินเหนเหลือสติปัญานัก. อนึ่งหัวเมืองฝ่ายเหนือเล่าก็ยังมิเปนปรกติ, จะไว้ใจแก่ราชการมิได้ เราคิดจะให้ขุนวรวงษาธิราชว่าราชการแผ่นดิน, กว่าพระราชบุตรเราจะจำเริญไวยขึ้นจะเหนเปนประการใด. ท้าวพระยามุขมนตรีรู้อัชฌาไศรยก็ทูลว่า, ซึ่งตรัสโปรดมานี้ควรอยู่แล้ว. นางพระยาจึ่งมีพระเสาวนีตรัสสั่งให้ปลัดวังในไปเอาราชยาน, แลเครื่องสูงแตรสังขกับขัติยวงษออกไปรับขุนวรวงษาธิราชเข้ามาในพระราชนิเวศมณเฑียรสถาน, แล้วตั้งพระราชพิธีราชาภิเศกยกขุนวรวงษาธิราชขึ้นเปนเจ้าพิภพกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุทธยา, จึ่งเอานายจันผู้น้องขุนวรวงษาธิราช. บ้านอยู่มหาโลกย, เปนมหาอุปราช, แล้วขุนวรวงษาธิราชผู้เปนเจ้าแผ่นดิน, ตรัสปฤกษาแก่นางพระยาว่า, บัดนี้ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยรักษเราบ้างชังเราบ้าง, หัวเมืองเหนือทั้งปวงก็ยังกระด้างกระเดื่องอยู่, เราจำจะให้หาลงมาผลัดเปลี่ยนเสียใหม่ จึ่งจะจงรักษภักดีต่อเรา, นางพระยาก็เหนด้วย. ครั้นรุ่งขึ้นเสด็จออกขุนนางสั่งสมุหนายกให้มีตราขึ้นไปหาเมืองเหนือทั้งเจ็ดหัวเมืองลงมา, ๚ะ

๏ ครั้นศักราช ๘๙๑ ปีฉลูเอกศกณวันอาทิตยเดือนแปดขึ้นห้าค่ำ, ขุนวรวงษาธิราชเจ้าแผ่นดิน, คิดกันกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันท์, ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชิวิตรเสียณวัดโคกพระยา. แต่พระศรีศิลปน้องชายพระชนม์ได้เจ็ดพรรษานั้นเลี้ยงไว้. สมเดจ์พระยอดฟ้าอยู่ในราชสมบัติได้สองปีกับหกเดือน. ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพเชื้อพระวงษ, กับขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสน่หา, หลวงศรียศบ้านลานตากฟ้า, สี่คนไว้ใจกันเข้าไปในที่ลับ, แล้วปฤกษากันว่า, เมื่อแผ่นดินเปนทรยศดั่งนี้เราจะละไว้ดูไม่ควร จำจะกุมเอาตัวขุนวรวงษาธิราชประหารชิวิตรเสีย. ขุนพิเรนทรเทพ, หมื่นราชเสน่หา, หลวงศรียศ จึ่งว่าถ้าเราทำได้สำเร็จแล้วจะเหนผู้ใดเล่าที่จะปกป้องครองประชาราษฎรสืบต่อไป. ขุนพิเรนทรเทพจึ่งว่า, เหนแต่พระเทียนราชาที่บวชอยู่นั้น, จะเปนเจ้าแผ่นดินได้. ขุนพิเรนทรเทพ, หมื่นราชเสน่หา, หลวงศรียศจึ่งว่า, ถ้าฉนั้นเราจำจะไปเฝ้าพระเทียนราชาปฤกษาให้เธอรู้จะได้ทำด้วยกัน. แลขุนพิเรนทรเทพ, ขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสน่หา, หลวงศรียศ. ก็ภากันไปยังวัดราชประดิษฐาน, เข้าไปเฝ้าพระเทียนราชานมัศการ, จึ่งแจ้งความว่า, ทุกวันนี้แผ่นดินเกิดทุรยศ, ข้าพระบาทเจ้าทั้งสี่คนคิดจะจับขุนวรวงษาธิราชฆ่าเสีย, แล้วจะเชิญพระองคลาผนวชขึ้นครองสิริราชสมบัติ, จะเหนประการใด. พระเทียรราชาก็เหนด้วย. ฝ่ายขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสน่หา, หลวงศรียศ, จึ่งว่าเราคิดการทั้งปวงนี้เปนการใหญ่หลวงนัก. จำจะไปอัธิฐานเสี่ยงเทียนเฉภาะพระภักตรที่พระปฏิมากรเจ้า, ฃอเอาพระพุทธคุณเปนที่พำนักนิ์ให้ประจักแจ้งว่า, พระเทียนราชาประกอบด้วยบุญบารมี, จะเปนที่สาสนุปถัมภกปกป้องอาณาประชาราษฎรได้ฤๅมิได้ประการใดจะได้แจ้ง. พระเทียนราชาก็เหนชอบด้วย. ขุนพิเรนทรเทพจึ่งว่า, เราคิดการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้, อนึ่งก็ได้เตรียมการพร้อมแล้ว, ถ้าเสี่ยงเทียนมิสมดังเจตนาจะมิเสียไชยสวัศดิ์มงคลไปฤๅ, ถ้ามิเสี่ยงเที่ยนตกจะไม่ทำฤๅประการใด, ว่าแล้วต่างคนต่างก็ไป. ครั้นค่ำลงวันนั้น, ฝ่ายขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสน่หา, หลวงศรียศ, พระเทียนราชาก็ชวนกันฟั่นเทียนสองเล่มขี้พึ่งหนักเท่ากัน, ด้ายไส้เทียนนั้นนับเส้นเท่ากัน, เล่มเทียนสั้นยาวเสมอกัน. แล้วก็ภากันไปอุโบสถวัดป่าแก้ว ฝ่ายพระเทียนราชากราบถวายนมัศการพระพุทธปฏิมากรเจ้าโดยเบญจางคประดิษฐ. แล้วจึ่งกระทำเสี่ยงวจีสัตยอัธิฐานว่า, ปางเมื่อสมเดจ์พระบรมไตรยโลกย์นารถเจ้า, เสด็จยังเที่ยวสทิตย์ไปรฎสัตวอยู่ย่อมยังโลกย์อันมีความวิมัตติ์ในสันดานให้บริสุทธิ์สิ้นสงไสย, ด้วยพระญาณสัพพัญู ครั้นพระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่พระมหาปรินิพพานแล้ว, ก็ยังทรงพระมหากรุณาประดิษฐานพระเจดีย์ทั้งห้า, คือพระปฏิมากร, พระมหาโพทธิ, พระสถูป, พระชินธาตุ, พระไตรยปิฎกไว้สนองต่างพระพุทธองค์, เปนที่พึ่งแก่สัตวโลกย์อันเกิดมาภายหลัง. เปนความสัตยแห่งข้าพระพุทธเจ้าฉนี้ ประการหนึ่งข้าพระพุทธเจ้าคิดจะใคร่ได้ราชสมบัติครั้งนี้, ด้วยโลกียจิตรจะใคร่เปนใหญ่, จะได้จัดแจงราชการกิจานุกิจ, ให้สถิตย์อยู่ในยุติธรรม, จะได้เปนที่พึ่งพำนักนิ์ในนิกรราชบรรพสัตวให้มีศุขสมบูรณ์, ตามบุราณราชประเพณี, เปนความสัตยแห่งข้าพระพุทธเจ้าฉนี้ถ้วนเคารพสอง. แลยังมีความสงไสยอยู่จะสมลุดั่งมโนรถแล้วฤๅ, ฤๅมิสมลุประการใดมิได้แจ้ง. ข้าพระพุทธเจ้าฃอพระบวรคุณานุภาพพระมหาเจดีย์ฐานเจ้าทั้งห้า, มีพุทธปฏิมากรเจ้าเปนอาทิ, อันพระพุทธองค์ทรงประดิษฐานไว้ต่างพระองค์, แลวจีสัตยาธิฐานทั้งสองสัตยแห่งข้าพระพุทธเจ้า, จงเปนที่พำนักนิ์ตัดความสงไสย. ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำสัตยเสี่ยงเทียนของข้าพระองค์เล่มหนึ่ง. ของขุนวรวงษาธิราชเล่มหนึ่ง. ถ้าพระองค์จะสมลุดั่งมโนรถด้วยปราถนาด้วยบุญญาธิการบุราณ, แลปจุบันกรรมควรจะได้มหาเสวตรฉัตรสกลรัษฐาธิปไตยจะได้รำงับทรยศยุคเขญเปนจลาจล, แห่งสมณพราหมณเสนาบดีไพร่ฟ้าประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน, แลได้เปนมหาอรรคถานทายก, อุปถัมภกพระบวรพุทธสาศนา, ในวรราไชยสวรรย์สืบไป. ขอให้เทียนขุนวรวงษาธิราชดับก่อน. ถ้ามิสมลุดั่งมโนรถความปราถนาแล้ว, ขอให้เทียนข้าพระองค์ดับก่อน. ฃอพระบวรคุณานุภาพแลความสัตยทั้งสองแห่งข้าพเจ้าจงมาตัดความสงไสยให้ปรากฎตามเสี่ยงวจีสัตยาธิฐาน, อันข้าพระพุทธเจ้าอุทิศเทียนสองเล่มนี้, เปนพุทธสการบูชาแลเสี่ยงกระทำด้วยสัตยเคารพนี้เถิด. ครั้นอัธิฐานเสร็จแล้ว, ก็จุดเทียนทั้งสองเล่มนั้นเข้า. ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพไปถึงเห็นเทียนขุนวรวงษาธิราช, ยาวกว่าเทียนพระเทียนราชาก็โกรธ. จึ่งว่าห้ามมิให้ทำสิขืนทำเล่า, ก้คายชานหมากดิบทิ้งไป, จะได้ตั้งใจทิ้งเอาเทียนขุนวรวงษาธิราชนั้นหามิได้. เปนศุภนิมิตรเหตุภอทิ้งไปต้องเทียนขุนวรวงษาธิราชดับลง. คนทั้งห้าก็บังเกิดโสมนัศยินดียิ่งนัก. ขณะนั้นมีพระสงฆองค์หนึ่งครองไตรยจีวรครบถือตาลปัดเดินเข้าไปในพระอุโบสศให้พรว่า, ท่านทั้งห้านี้จะได้สำเร็จมโนรถความปราถนาเปนแท้. ทั้งห้าคนก็นมัศการรับพร, พระสงฆนั้นกลับออกมาก็หายไป, ต่างคนก็ต่างกลับมายังที่อยู่. ครั้นประมาณสิบห้าวัน, กรมการเมืองลพบุรีบอกลงมาว่า, ช้างพลายสูงหกศอกสี่นิ้วหูหางสรรพต้องลักษณะติดโขลง, สมุหนายกกราบทูลตรัสว่า, เราจะขึ้นไปจับ. อยู่อีกสองวันเราจะเสด็จ. แล้วสั่งให้มีตราขึ้นไปว่าให้กรมการจับเสียเถิด. ครั้นอยู่มาประมาณเจ็ดวันโขลงชักปกเถื่อน, เข้ามาทางวัดแม่นางปลื้มเข้าพะเนียดวัดซอง. สมุหนายกกราบทูลตรัสว่า, พรุ่งนี้เราจะไปจับ. ครั้นเพลาค่ำขุนพิเรนทรเทพจึ่งสั่งหมื่นราชเสน่หานอกราชการ, ให้ออกไปคอยทำร้ายมหาอุปราชอยู่ที่ท่าเสือ, สั่งแล้วภอพระยาพิไชย, พระยาสวรรคโลกยลงมาถึง, ขุนพิเรนทรเทพจึ่งให้ไปบอกโดยความลับ. พระยาพิไชย, พระยาสวรรคโลกยก็ดีใจ, จึ่งไปซุ่มอยู่ที่คลองบางปลาหมอ, กับด้วยขุนพิเรนทรเทพ, หลวงศรียศ, หมื่นราชเสน่หาในราชการขี่เรือคลลำ, พลภายมีสาตราวุธครบมือ. ฝ่ายหมื่นราชเสน่หานอกราชการถือปืนไปแอบคอยอยู่ทำอาการดุจหนึ่งทนายเลือก, ครั้นเห็นมหาอุปราชขี่ช้างจะไปพะเนียด หมื่นราชเสน่หาก็ยิงถูกมหาอุปราชตกช้างลงตาย. ครั้นเข้าตรู่ขุนวรวงษาธิราชกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันท์, แลราชบุตรซึ่งเกิดด้วยกันนั้น, ทั้งพระศรีศิลปก็ลงเรือพระที่นั่งลำเดียวกัน, มาตรงคลองสระบัว. ขุนอินทรเทพก็ตามประจำมา. ๚ะ

๏ ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพ, พระยาพิไชย พระยาสวรรคโลกย, หลวงศรียศ, หมื่นราชเสนหาในราชการ. ครั้นเหนเรือพระที่นั่งขึ้นมา, พร้อมกันออกสกัด. ขุนวรวงษาธิราชร้องไปว่า, เรือใครตรงเข้ามา. ขุนพิเรนทรเทพร้องตอบไปว่า, กูจะมาเอาชิวิตรเองทั้งสอง. ฝ่ายขุนอินทรเทพให้ภายเรือกระหนาบเรือพระที่นั่งขึ้นมาแล้ว, ช่วยกันกลุ้มรุมจับขุนวรวงษาธิราช, กับแม่อยู่หัวเจ้าศรีสุดาจันท์, แลบุตรซึ่งเกิดด้วยกันนั้นฆ่าเสีย. แล้วให้เอาสพไปเสียบประจานไว้ณวัดแร้ง แต่พระศรีศิลปนั้นเอาไว้. ขุนวรวงษาธิราชอยู่ในราชสมบัติห้าเดือน. ขุนพิเรนทรเทพ, ขุนอินทรเทพ, กับขุนนางทั้งปวง, กลับเข้ามารักษาพระราชวัง ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินพระมหาจักรพรรดิ ๚ะ

๏ ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพ จึ่งให้หลวงราชินิกุล พระรักษมณเฑียร, แลเจ้าพนักงานทั้งปวง เอาเรือพระที่นั่งไชยพระสุพรรณหงษ์, ไปยังวัดประดิษฐาน, อัญเชิญพระเทียรราชาให้ปริวัตลาผนวช แล้วเชิญเสด็จลงเรือพระที่นั่งไชยพระสุพรรณหงษ์, อลงการประดับด้วยเครื่องสูง, มยุรฉัตพัดโบกจามรมาศด้วยเครื่องกางกั้น, แห่แหนเปนขนัดแน่นโดยชลมารควิถี. เสดจ์ถึงประทับฉนวนน้ำ, แล้วเชิญเสด็จเข้าสู่พระราชวัง. ครั้นได้มหามหุติวารศุภฤกษพิไชยดฤฐิ, จึ่งประชุมสมเดจ์พระสังฆราช, พระราชาคะณะ, คามวาศรีอรัญวาศรี, มุขมาตยามนตรีกระวีโหราราชครูหมู่พราหมณประโรหิตตาจาริย, ก็โอมอ่านอิศวรเวศวิษณุมนตร พร้อมทั้งพุทธจักรอาณาจักร, มอบเครื่องเบญจราชกุกกุภัณฑถวายอภิเศกทกมูรธาราปราบดาภิเศกถวัลย์ราชประเพณีสืบศรีสุริยวงษกระษัตริย์,ดำรงแผ่นดินพิภพมณฑลเสมาอาณาจักร,กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธาณีบูรีรมยอุดมพระราชนิเวศมหาสถานสืบไป. ทรงพระนามสมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพจึ่งภาเอาตัวพระศรีศิลป,ไปถวายสมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า, ทรงพระกรุญภาพเลี้ยงพระศรีศิลปไว้. ครั้นรุ่งขึ้นจึ่งเสด็จออก, หมู่มุขมาตยามนตรีทั้งปวงพร้อมแล้ว, ตรัสปฤกษาความชอบขุนพิเรนทรเทพ, ขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสนหา, หลวงศรียศบ้านลานตากฟ้า, สี่คนเปนปฐมคิด. แล้วพระหลวงขุนหมื่นหัวเมืองทั้งปวงเปนผู้ช่วยราชการ. พระมหาราชครูทั้งสี่เชิญพระธรรมนูญหอหลวงมาปฤกษาความชอบ, เอาบำเหน็จครั้งมหาเสนาบดี, รับพระอินทราชาเข้ามาแต่เมืองสุพรรณบูรีเข้าพระราชวัง,ได้เอามาเปรียบในบำเหน็จนั้น, พระราชทานลูกพระสนมองคหนึ่ง, เจียดทองคู่หนึ่ง, พานทองคู่หนึ่ง, เต้าน้ำทอง กระบี่กั้นหยั่น, เสลี่ยงงา, เสลี่ยงกลีบบัว, เอาคำปฤกษากราบบังคมทูล, ทรงพระกรุณาดำรัศว่าน้อยนัก, คนสี่คนนี้เอาชีวิตรแลโคตร, แลความชอบไว้ในแผ่นดิน. แล้วตรัสว่าขุนพิเรนทรเทพ, เหล่าบิดาเปนพระราชพงษพระร่วง,มารดาไซ้เปนพระราชพงษแห่งสมเดจ์พระไชยราชาธิราชเจ้า, ขุนพิเรนทรเทพเปนปฐมคิด, เอาเปนสมเดจ์พระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า, ให้รับพระราชบัณฑูรครองเมืองพระพิศณุโลกย์. จึ่งตรัสเรียกสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอพระสวัศดิราช, ถวายพระนามชื่อพระวิสุทธิกระษัตรี, เปนตำแหน่งพระอรรคมเหษีเมืองพระพิศณุโลกย์, เครื่องราชูปรโภคให้ตั้งตำแหน่งศักดิ์ฝ่ายทหารพลเรือน, เรือไชยพื้นดำพื้นแดงคู่หนึ่ง, แลเครื่องราชกุกกุภัณฑ ให้สมเดจ์พระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าส่งขึ้นไป. เอาขุนอินทรเทพเปนเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช. พระราชทานลูกพระสนมองค์หนึ่ง, เจียดทองคู่หนึ่ง, เต้าน้ำทอง, กระบี่กั้นหยั่น, เสลี่ยงงา, เสลี่ยงกลีบบัวเครื่องสูง. เอาหลวงศรียศเปนเจ้าพระยามหาเสนาบดี. เอาหมื่นราชเสนหาเปนเจ้าพระยามหาเทพ, พระราชทานลูกสนมแลเครื่องสูงเครื่องทอง, เสลี่ยงงาเสลี่ยงกลีบบัว. เจ้าพระยามหาเสนา เจ้าพระยามหาเทพ, เหมือนกันกับเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช. หมื่นราชเสนหานอกราชการ, ที่ยิงมหาอุปราชตกช้างตายนั้น,ปูนบำเหน็จให้เปนพระยาภักดีนุชิต, เจียดทองซ้ายขวา, กระบี่บั้งทอง, เต้าน้ำทอง, พระราชทานลูกสนมเปนภรรยา. ฝ่ายพระยาพิไชยพระยาสวรรคโลกย์นั้น, พระราชทานโปรฎให้เปนเจ้า, เจ้าพระยาพิไชยเจ้าพระยาสวรรคโลกย์, พระราชทานเจียดทองซ้ายขวา กระบี่บั้งทองเต้าน้ำทอง. พระหลวงขุนหมื่นนอกนั้น, พระราชทานบำเหน็จความชอบโดยอะนุกรมลำดับ. แล้วสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัว, ทรงพระดำรัสแช่งษาบาลไว้ว่า, กษัตริย์พระองค์ไดได้ครองพิภพภายน่า, อย่าให้กระทำร้ายแก่ญาติพี่น้องพวกพงษสมเดจ์พระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า, แลเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช, เจ้าพระยามหาเสนา, เจ้าพระยามหาเทพ, ให้โลหิตตกในแผ่นดินเลย. ถ้ากระษัตรีย์พระองคใดมิได้กระทำตามเราษาบาลไว้, อย่าให้กระษัตริย์พระองค์นั้นคงอยู่ในเสวตรฉัตร. ครั้งนั้นได้ช้างเผือกช้างหนึ่ง. ขณะเมื่อแผ่นดินพระนครศรีอยุทธยาเปนทรยศ, ก็ปรากฎขึ้นไปถึงกรุงหงษาวดี.สมเดจ์พระเจ้าหงษาวดีแจ้งประพฤษดิเหตุไปว่า, สมเดจ์พระไชยราชาธิราชเจ้าแผ่นดินนครศรีอยุทธยาสวรรคตแล้ว. เสนาบดียกพระยอดฟ้าราชกุมารพระชนม์สิบเอ็ดขวบ, ขึ้นครองราชสมบัติ. แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทมารดาพระยอดฟ้า, กระทำทุจริตสามคีรศสังวาศด้วยขุนชินราช, ให้ฆ่าพระยอดฟ้าเสีย, ยกขุนชินราชขึ้นผ่านพิภพ,กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุทธยาเสนาพฤฒามาตยมีความพิโรธเคืองแค้น, คิดกันฆ่าขุนชินราช, แลแม่อยู่หัวศรีสุดาจันท์เสีย. แผ่นดินเปนจลาจล. สมเดจ์พระเจ้าหงษาวดีทรงพระราชดำริหว่า, พระนครศรีอยุทธยาเปนดังนี้จริงเหนว่า, หัวเมืองขอบขันทเสมา, แลเสนาพฤฒามาตยทั้งปวงกระด้างกระเดื่องมิปรกติ. ถ้ายกกองทัพรุดไปโจมตีเอา, เหนจะได้พระนครศรีอยุทธยาโดยง่าย. ทรงพระดำริหแล้ว, ก็ตรัสให้จัดพลทหารรบสามหมื่น, ช้างเครื่องสามร้อย, ม้าสองพันเศศ. สมเดจ์พระเจ้าหงษาวดีก็เสด็จยกทัพรุดรีบมาโดยทางด่านพระเจดีย์สามองค์. ตีเมืองกาญจน์บูรี, จับได้กรมการถามให้การว่า, พระนครเปนจลาจลก็จริง. แต่บัดนี้พระเทียนราชาได้ครองราชสมบัติ, เสนาพฤฒามาตย, แลหัวเมืองทั้งปวงเปนปรกตีพร้อมมูลอยู่แล้ว. สมเดจ์พระเจ้าหงษาวดีตรัสว่า, ได้ล่วงเกินมาถึงนี้แล้ว, จะกลับเสียนั้น, ดูไม่มีเกียรติยศเลย. จำจะเข้าไปเอยียบให้ถึงชานเมือง, ภอเหนพระนครแล้วจะกลับ. ประการหนึ่งจะได้ดูมือทหารกรุงศรีอยุทธยา, ผู้ใดจะออกมารับทัพเราบ้าง. ตรัสแล้วก็ยกทัพไปตีเมืองสุพรรณบุรี, แล้วเดินตัดทุ่งเข้าท้ายป่าโมก, ข้ามพลเข้าไปตั้งค่ายหลวงตำบลลุมพลี. ๚ะ

๏ ณวันอังคารเดือนยี่ขึ้นห้าค่ำ, ลุศักราช ๘๙๒ ปีขานโทศก, ขณะนั้นมีหนังสือเมืองสุพรรณบุรี, บอกข้อราชการเข้าไปถึงกรุง. ภอทัพพระเจ้าหงษาวดีก็ถึงทุ่งลุมพลีพร้อมกัน. สมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าตกพระไทย, ตรัสให้เร่งคนในเมืองนอกเมือง, ขึ้นรักษาน่าที่เปนโกลาหล. สมเดจ์พระเจ้าหงษาวดีตั้งอยู่ลุมพลีสามวัน, ภอทอดพระเนตรดูกำแพงพระนครศรีอยุทธยา, แลปราสาทราชมณเฑียรแล้ว, ก็เลิกทัพกลับไปกรุงหงษาวดีโดยทางมา. ขณะเมื่อพระเจ้าหงษาวดียกทัพมานั้น. ฝ่ายพระยาลแวกรู้ว่า, พระนครศรีอยุทธยาผลัดแผ่นดินใหม่, ก็ยกทัพรุดมาถึงเมืองปราจินทบุรี, ตีจับได้คนถามให้การว่า, พระเทียนราชาครองราชสมบัติ, เสนาบดีพร้อมมูลอยู่. พระยาลแวกก็มิอาจยกเข้ามา, กวาดแต่ครัวอพยบชาวปราจินทบุรี, แล้วกลับไปเมืองลแวก. ครั้นพระเจ้าหงษาวดียกกลับไปแล้ว. สมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า, คิดแค้นพระยาลแวกว่า, กรุงหงษาวดีดูหมิ่นแล้ว, เมืองเขมรมาดูหมิ่นด้วยเล่า. ถ้าราชการฝ่ายหงษาวดีสงบลงเมื่อไร, เราจะไปแก้แค้นให้จงได้. แล้วสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัว, ให้ซ่อมแซมพระนครซึ่งชำรุทปรักหักพังให้มั่นคงโดยรอบขอบแล้ว, สฐาปนาที่พระตำหนักวังเปนพระอุโบสถ, แล้วสร้างพระวิหาร, เปนพระอารามให้นามชื่อวัดวังไชย,เจ้าอธิการให้ชื่อพระนิกรม. แล้วตรัสว่า, เมื่อเราอุปสมบทนั้น, บิณฑบาตขึ้นไปป่าโทนป่าถ่านจนถึงป่าชมภู,อากรซึ่งขึ้นสารพากรหลวงนั้น, ให้เถรเณรไปฃอเอาเปนกับปิยจังหรรเถิด. ๚ะ

๏ ลุศักราช ขช๓ ปีเถาะตรีศก, เดือนแปดขึ้นสองค่ำ, ทำการพระราชพิธีปถมกรรมสมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า. ตำบลท่าแดง. พระกรรมวาจาเปนพฤทิบาท, พระพิเชษฐเปนหัดตาจาริย์, พระอินทโทรเปนธรรมการ. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๘๙๔ ปีมโรง จัตวาศก, สมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า, ฟังข่าวราชการข้างกรุงหงษาวดีสงบอยู่, ก็ตรัสให้เตรียมทัพณพเนียดห้าหมื่น, ให้เกณฑ์หัวเมืองปากใต้เปนทัพเรือ, ให้พระยาเยาวเปนแม่ทัพ, พระศรีโชดึกเปนกองน่า. ถึง ณวันอาทิตยเดือนยี่ขึ้นหกค่ำ, เพลาเช้าสองโมงสามบาท, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จยกกองทัพหลวง, ไปโดยทางปัตบองถึงเมืองลแวก. ฝ่ายทัพเรือไปปากน้ำพุทไธมาศ, เข้าคลองเชิงกรชุม, แลกองน่าตั้งห่างเมืองสิบเส้น, ทัพหลวงตั้งไกลเมืองร้อยห้าสิบเส้น. ฝ่ายพระยาลแวกเหนจะป้องกันมิได้, จึ่งให้มีศุภอักษรแต่งเสนาบดี, ถือมากราบถวายบังคมสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัว, ในลักษณนั้นว่า ข้าพระองค์ผู้ครองกรุงกัมพูชาธิบดี, ฃอถวายบังคมมาแทบพระบาทบงกชมาศ, สมเดจ์พระนั่งเกล้าพระองคผู้ทรงอิศรภาพ, เปนปิ่นกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบูรีรมย์อุดมพระราชมหาสถาน, ด้วยข้าพระองค์เปนโมหะจริต, มิได้คิดเกรงพระเดชเดชานุภาพ, แลยกทัพเข้าไปกวาดเอาชาวปราจินทบูรี, อันเปนข้าขอบขันธเสมากรุงเทพมหานครมานั้น, ผิดนักหนาอยู่แล้ว ฃอสมเดจ์พระนั่งเกล้าได้โปรดอดโทษแก่ข้าพระองค์เถิด. อย่าเภ่อยกพะยุหโยธาเข้าหักเมืองก่อนเลย, งดสามวันข้าพระองค์จะแต่งเครื่องราชบรรณาการออกไปถวาย ฃอเปนข้าพระบาทสมเดจ์พระนั่งเกล้าไปตราบเท่ากลปาวะสาน. สมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า, ก็ทรงพระกรุญภาพแก่พระยาลแวก. ครบกำหนฎนายทัพนายกองให้งดการซึ่งจะเข้าหักเอาเมืองโดยศุภอักษรพระยาลแวก. ครั้นถ้วนกำหนฎสามวันพระยาลแวกก็นำเครื่องบรรณาการกับนักพระสุโท, นักพระสุทัน, คันเปนราชบุตรออกมาเฝ้าทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเปนข้าพระบาท. สมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าก็สิ้นความพิโรธ, จึ่งตรัสแก่พระยาละแวกว่า, ท่านจงรักษาแผ่นดินกรุงกัมพูชาธิบดี, โดยยุติธรรม์ราชประเพณีสืบมาแต่ในกาลก่อนนั้นเถิด. แล้วพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า, นักพระสุโทนักพระสุทันนั้น, เราจะฃอไปเลี้ยงเปนโอรส, พระยาลแวกก็มิอาจที่จะขัดได้, ก็โดยบัญชาพระเจ้าอยู่หัว. แล้วพระยาลแวกก็ถวายบังคมลาเข้าไปเมือง, จัดแจงเครื่องราชูปรโภคชายหญิงให้แก่ราชบุตร, แล้วก็ภามาถวายทูลฝาก. สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า, ท่านอย่าวิตกเลย, อันบุตรท่านทั้งสองนี้ก็เหมือนโอรสแห่งเรา. พระยาลแวกมีความยินดีนัก. ให้เสนาบดีไปต้อนครัวอพยบชาวปราจินทบุรี มายังค่ายหลวง. สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จยกทัพบกทัพเรือ, แลครัวอพยบทั้งนั้นกลับมายังกรุงพระนครศรีอยุทธยา. จึ่งทรงพระกรุณาให้พระสุทัน, ขึ้นไปครองเมืองสวรรคโลกย. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๘๙๕ ปีมเสงเบญจศก, ครั้งนั้นพระเจ้าอยู่หัวให้แปลงเรือแซ่เปนเรือไชย, แลเรือศีศะสัตว์ต่างต่าง. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๘๙๖ ปีมเมียฉศกเดือนแปด, ทำการพระราชพิธีมัทยม, สมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า, ตำบลไชยนาทบุรี. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๙๗ ปีมแมสัปตศก, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปวังช้างตำบลบางลมุง ได้ช้างพลายพัง ๖๐ ช้าง อนึ่งในเดือนสิบสองนั้นได้ช้างเผือกพลายตำบลกาญจณบุรี, สูงสี่ศอกเสศชื่อพระคเชนทโรดม. ครั้งนั้นมีข่าวมาว่าเมืองลแวกเสียแก่ยวญ, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวแจ้งว่า, นักพระสัทธายกมารบกับเมืองละแวก, เสียบิดานักพระสุโทนักพระสุทันแก่ญวนแล้ว, จำจะให้ออกไปกำจัดเอาเมืองคืนให้จงได้. ทรงพระกรุณาตรัสแก่มุขมนตรีว่า, จะออกไปเมืองละแวกครั้งนี้, จะเหนใครที่จะเปนแม่ทัพออกไป มุขมนตรีปฤกษาพร้อมกันกราบทูลว่า, เหนแต่สมเดจ์พระเจ้าลูกเธอบุตรบุญธรรม, ที่ไปครองเมืองสวรรคโลกย์ออกไป, จะได้เอาใจแก่ชาวละแวก. จึ่งมีพระราชกำหนดให้หาพระองค์สวรรคโลกย์ลงมาเฝ้า, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า จะให้เจ้าเปนแม่ทัพออกไปครั้งนี้. พระองค์สวรรคโลกย์จึ่งกราบทูลว่า, พระชัฌษาร้ายถึงฆาฏ. สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า, มุขมนตรีปฤกษาพร้อมกันแล้ว. ประการหนึ่งแผ่นดินกรุงกัมพูชาธิบดีก็เปนของเจ้าอยู่จำจะไป. ๚ะ

๏ ศักราช ๘๙๘ ปีวอกอัฐศกเดือนสิบสอง, พระองค์สวรรคโลกย์เปนแม่กองถือพลสามหมื่น, พระมหามนตรีถืออาญาสิทธิ, พระมหาเทพถือวัวเกวียน ฝ่ายทัพเรือพระยาเยาวเปนนายกอง, ครั้งนั้นลมขัดทัพเรือมิทันทัพบก, ทัพบกใกล้ถึงเมืองละแวก แลพระยารามลักษณซึ่งเกณฑ์เข้ากองทัพบกนั้น, เข้าบุกบันทัพในกลางคืน. ทัพญวนแต่งรบเปนสามารถ, แลทัพพระยารามลักษณแตกมาปะทะทัพใหญ่, ครั้งนั้นเสียพระองค์สวรรคโลกย์กับฅอช้าง เสียช้างม้ารี้พลเปนอันมาก. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๘๙๙ ปีรกานพศก ณวันอาทิตย์เดือนห้าขึ้นค่ำหนึ่ง, เกิดเพลิงไหม้ในพระราชวัง. อนึ่งเดือนสามนั้นทำการพระราชพิธีจาริยาภิเศก, แลกระทำการพระราชพิธีอินทราภิเศกในพระราชวัง. อนึ่งในเดือนห้านั้นสมเดจ์พระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า พระราชทานสัตสดกมหาทาน แลให้ช้างเผือกมี กรองเชิงเงินสี่เท้าช้าง เปนพันหกร้อยชั่ง ราชรถเจ็ดเล่มเทียนด้วยม้ามีนางสำหรับรถเสมอรถละเจ็ดนาง อนึ่งในเดือนเจ็ดเสด็จไปวังช้างตำบลโตรกพระ ได้ช้างพลายพังหกสิบช้าง. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๐๐ ปีจอสัมฤทธิศก เสด็จไปวังช้างตำบลแสนตค ได้ช้างพลายพังสี่สิบช้าง. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๐๒ ปีชวดโทศก เสด็จไปวังช้างตำบลวัดกะได ได้ช้างพลายพังห้าสิบช้าง. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๐๔ ปีขานจัตวาศก สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปวังช้างตำบลไทรย้อยได้ช้างพลายพังเจ็ดสิบช้าง. ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ