๒๑

๏ ลุศักราช ๑๐๔๗ ปีฉลูสัพตศก ขณะนั้นสมเดจพระอรรคมเหษีฝ่ายขวา กรมหลวงโยธาทิพทรงพระครรภ์กำหนดถ้วนทศมาศก็ประสูตรพระราชโอรสประกอบด้วยศิริรูปเปนอันดี พระราชวงษานุวงษ ทั้งหลายถวายพระนามชื่อเจ้าพระขวัน แลเมื่อวันประสูตรเพลากลางคืนนั้น แผ่นดินไหวเปนอัษจรรย์ ครั้นทรงวัฒนาการขึ้นมา คนทั้งหลายนับถือมากด้วยเปนพระราชนัดาของสมเดจพระนารายน์เปนเจ้า เปนวงกระษัตริยอันประเสริฐ แลคนทั้งหลายเข้าสวามีภักดีเปนข้าใต้ฝ่าพระบาทเปนอันมาก ๚ะ

๏ แลปีกุนเบญจศกแล้วนั้น สมเดจพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระดำริหว่า ที่บ้านหลวงตำบนป่าตองนั้น เปนที่มงคลศริราชถานอันประเสริฐ สมควรจะสร้างเปนพระอาราม มีพระอุโบสถวิหารการเปรียญติ์พระเจดียฐานกำแพงแก้ว แลกุฎีสงฆ์สาลาตะพานเวจกุฎีพร้อม แลทรงพระกรุณาให้หมื่นจันทราช่างเคลือบ ทำกระเบื้องเคลือบศรีเหลืองมุงพระอุโบสถวิหารทั้งปวง แลการสร้างพระอารามนั้น สามปีเสศ จึ่งสำเร็จในปีขารอัฐศก แล้วพระราชทานนามบัญญัติพระอาราม ชื่อวัดพระบรมพุทธาราม ตั้งเจ้าอธิการชื่อพระญาณสมโพธิราชาคณะคามวาสีครองพระอาราม แล้วทรงพระกรุณาให้มีการฉลอง แลมีการมหรรสพสามวัน แลทรงถวายไทยทานแก่พระสงฆ์เปนอันมาก แลพระราชทานเลขข้าพระไว้อุปรถากพระอารามก็มาก แล้วถวายพระกัลปนาขึ้นแก่พระอารามตามธรรมเนียม ๚ะ

๏ ในศักราช ๑๐๔๘ ปีขารอัฐศกนั้น กรมการเมืองไชยาบอกข้อราชการเข้ามาถึงกรมพระกระลาโหม ในลักษณนั้นว่าเจ้าพระยานครสีธรรมราชเปนขบถแขงเมืองแลซ่องสุมผู้คนเครื่องสาตราวุธเปนอันมาก จะยกเข้ามาตีหัวเมืองฝ่ายตวันตกทั้งปวง ได้หัวเมืองทั้งปวงแล้วจะยกเข้าไปทำร้ายกรุง อนึ่งนายสังข์ยมราชเจ้าเมืองนครราชหสีมาซึ่งหนีไปได้นั้น ภาสมักภักพวกออกไปตั้งอยู่ณะพรมแดนเมืองนครสีธรรมราชแลแขวงไชยาต่อกัน แลคิดการขบถเข้าด้วยพระยานครสีธรรมราชอีก ตั้งซ่องสุมชาวนอกทั้งปวง แลผู้คนเข้าเกลี้ยกล่อมสังข์ยมราชนั้นก็มาก จึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดีนำเอาข้อราชการนั้นขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ตรัสทราบเหตุดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธดำรัศว่า อ้ายสองคนนี้องค์อาจนักจะไว้มันมิได้ ควรจะแต่งทับใหญ่ยกไปทั้งทางบกทางเรือปราบปรามมันเสียจึงจะชอบ อันอ้ายขบถสองคนนี้มันไม่พ้นเงื้อมมือเรา แม้นได้ตัวแล้วจะสับมิให้กากลืนแค้น แล้วมีพระราชดำรัศสั่งสมุหกะลาโหมให้ตรวจเตรียมช้างม้าเครื่องสรรพาวุธทั้งปวง แลเรือรบเรือไล่เรือลำเลียงเสบียงอาหารให้พร้อมไว้ทั้งทางบกทางเรือ แล้วมีพระราชโองการมาณพระบัณฑูรสุระสิงหนาทตำรัศเหนือเกล้า สั่งให้พระยาสุรสงครามเปนแม่ทับหลวง พระสุรเสนาเปนยุกรบัด พระยาเพชรบูรีเปนเกียกกาย พระยาสีหราชเดโชเปนกองน่า พระยาราชบูรีเปนทับหลัง ถือพลสกรรจ์ลำเครื่อง ๑๐๐๐๐ ช้างเครื่องสามร้อย สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธทั้งปวงยกไปทางบก ฝ่ายทับเรือนั้นให้พระยาราชบังสันเปนนายกองเรือรบทะเลร้อยลำ พลรบพลแจวห้าพันยกไปทางทะเลทับหนึ่ง แลให้ทับบกทับเรือยกไประดมตีเอาเมืองนครสีธรรมราช ๚ะ

๏ ครั้นถึงณวันได้มหาพิไชยฤกษ จึ่งพระยาสุรสงคราม พระยาราชบังสัน แลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลาย ก็กราบถวายบังคมลา ยกทับไปตีเมืองนครศรีธรรมราช โดยลำดับสถลมาค ชลมารค ไปพร้อมทับกัน ณะเมืองไชยาบุรี แลแม่ทับบกเกนเอาผู้รั้งกรมการเมืองชุมภอนเมืองไชยา ถือพลหัวเมืองทั้งปวงเข้ามาบันจบทับยกไปด้วย แล้วกำหนดไปแก่กองทัพเรือให้ยกออกจากเมืองไชยาพร้อมกัน แลกองทับบกยกไปถึงพรมแดนเมืองไชยาแลเมืองนครสีธรรมราชต่อกัน ซึ่งนายสังข์ยมราชตั้งอยู่นั้น ก็เข้าล้อมไว้ในเพลากลางคืน แลนายสังข์ยมราชมิรู้ตัว ไม่ทันที่จะจัดแจงต้านทานให้มั่นคง ต้องจำเปนจำรบพุ่งผู้คนทแกล้วทหารมิทันพร้อมเพรียงกัน ระส่ำระสายไปเปนอลหม่าน แลนายสังข์ยมราชมีฝีมือเข้มแขง ถือพลทหารออกแหกหักจะออกมา ทับกรุงต่อรบต้านทานไว้เปนสามารถ แล้วเข้ารุมตีกระหนาบเปนหลายกอง พวกนายสังข์ยมราชน้อยตัวเหลือกำลังแหกออกมามิได้ ก็แตกฉานล้มตายเปนอันมาก แลตัวนายสังข์ยมราชหนีไปมิพ้นกับทหารร่วมใจเจ็ดคนแปดคนด้วยกัน ก็ยืนประจำรบพุ่งอยู่จนตายในที่รบสิ้น ทับกรุงได้ไชยชำนะแลได้เชลยพวกนายสังข์ยมราชนั้นก็มาก ก็ยกล่วงแดนเมืองนครสีธรรมราชเข้าไป ๚ะ

๏ ส่วนเจ้าพระยานครสีธรรมราชแจ้งว่าทับกรุงยกออกมาทั้งทับบกทับเรือ แลเสียสังข์ยมราชแก่ทับบกดังนั้นก็เสียใจ จึ่งแต่งทับบกทับเรือยกไปรบพุ่งต้านทานไว้ ให้อย่อนกำลังศึกลงก่อน แล้วกวาดเอาครอบครัวอพยพบ้านนอกทั้งปวงแลเสบียงอาหารเข้าไว้ในเมืองเปนอันมาก แล้วตกแต่งปราการป้อมค่ายคูประตูหอรบปักขวากหนามตามทำนองศึกพร้อมเสรจ แลจัดแจงบ้านเรือนบำรุงทแกล้วทหารไว้คอยต้านทานรบพุ่งทับกรุงเปนสามารถ ๚ะ

๏ ฝ่ายทับเรือพระยาราชบังสรรยกไปทางทเลล่วงแดนเข้าเมืองนครศรีธรรมราชก่อนทับบก ได้ยุทธนาการด้วยทับเรือเมืองนครสีธรรมราชในกลางทเล แลทับเรือเมืองนครต่อรบต้านทานเปนสามารถ ทับเรือฝ่ายกรุงจะหักเอามิได้ ก็ทอดสมอรอยิงกันอยู่เปนหลายวัน เสียงปืนใหญ่สนั่นครั่นคฤกกึกก้องสเทือนท้องมหรรนพนที ดุจเสียงมหาวาตะพยุหใหญ่ถ้อยทีมิได้มีไชยชำนะแก่กัน ส่วนทับบกนั้นก็ไปปะทะทับเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งค่ายรับอยู่เปนหลายค่าย ก็ยกเข้าโจมตีได้ยุทธนาการด้วยชาวนครศรีธรรมราช ๆ รบพุ่งต้านต่อเปนสามารถจนถึงอาวุธสั้น ทับกรุงหักเอามิได้ ก็ตั้งค่ายรายล้อมอ้อมโอบค่ายชาวนครศรีธรรมราชเข้าไว้ แลได้ต่อยุทธนาการหลายวันหลายเพลา แลกองทับเมืองนครเหนทับกรุงมีฝีมือเข้มแขงจะรับไว้มิอยู่ ก็แหกหนีออกจากค่ายแต่ในกลางคืน ทับกรุงไล่ติดตามไปในทันที ทับเมืองนครมิได้รอรับ วิ่งกระจัดพรัดพรายพ่ายหนีไปเปนอลม่าน ไม่เปนตำบลสนทยา เสียพลช้างม้าเครื่องสาตราวุธแก่ทับกรุงเปนอันมาก ที่ต้องอาวุธบาดเจบล้มตายทั้งนายและไพร่นั้นก็มาก ก็รุดทับหนีไปยังเมืองนครศรีธรรมราช ๚ะ

๏ ฝ่ายทับกรุงได้ไชยชำนะ จับได้ช้างม้าคนเชลยอาวุธต่าง ๆ เปนอันมากก็ยกติดตามไป ครั้นแจ้งว่าข้างทับเรือชาวเมืองนคร รบต้านทานอยู่เปนสามารถเข้ายังมิได้ก็ยกกองทับลงไปช่วยตีกระหนาบสะกัดหลังทางทเล แลทับเรือเมืองนครถูกทับกระหนาบน่าหลังเสียรี้พลล้มตายมากทานมิได้แตกฉานพ่ายหนี แลชักใบแล่นกลับไปโดยทิศานุทิศทั้งปวง กองทับกรุงได้ไชยชำนะ ก็ยกเข้าล้อมเมืองนครศรีธรรมราชพร้อมกันทั้งทับบกทับเรือ แลตั้งค่ายรายล้อมไปรอบเมือง ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยารามเดโชเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ครั้นเสียทับบกทับเรือแก่ฆ่าศึกดังนั้นก็เสียใจ จึ่งจัดทหารขึ้นประจำรักษาน่าที่เชิงเทินโดยรอบ กอประด้วยเครื่องสรรพาวุธป้องกันเมืองเปนสามารถ แล้วแต่งทับออกไปตีฆ่าศึก แลได้รบกันทุกๆวันมิได้ขาดจนรามือกันลงแล้ว นัดกันแต่งทหารชำนาญดาบโล่ดาบด้างดาบสองมือให้ออกรำสู้กันตามกระบวนเพลงตัวต่อตัวเปนหลายครั้ง แต่ทับกรุงกับชาวนครตั้งเขี้ยวเขนทำสงครามกันมาช้านานประมาณถึงสามปี ถ้อยทีมีฝีมือเข้มแขงมิได้มีไชยแลปราไชยแก่กัน แลพลซึ่งรักษาน่าที่ แลพลค่ายล้อมร้องเพลงภ้อกันไปมาต่าง ๆ ฝ่ายทับกรุงมีเรือลำเลียงเข้าเสบียงอาหารส่งกันอยู่มิได้ขาด เลี้ยงรี้พลมิได้อดหยากซูบผอม แลบริบูรณอยู่สิ้นกำลังศึกแข็งมืออยู่ ฝ่ายในเมืองสิ้นเสบียงอาหารผู้คนอดอยากซูบผอมล้มตายมาก กำลังศึกก็ถอยลงแลมิอาจยกออกมาต่อตีนอกเมืองได้ ก็รักษาแต่มั่นไว้ แลกองทับกรุงเหนชาวเมืองกำลังศึกถอยลง ก็แต่งพลอาษาสองพันยกเข้าถอนขวากหนามข้ามคูเข้าไปเอาบันไดภาดป่ายปีนปล้นเอาเมือง แลพระยารามเดโชเจ้าเมืองมายืนให้พลทหารรบพุ่งป้องกันเปนสามารถ แลพุ่งสาตราวุธแหลนหลาวยิงปืนใหญ่จ่ารงมณฑกนกสรับระดมออกไปดังห่าฝน ต้องพลอาษาทับกรุงล้มตายบาดเจบมาก แลจะปล้นเอามิได้ก็พ่ายออกไป จึ่งแม่ทับให้ทำทุบทูบังตัวกันอาวุธยกเข้ามาปล้นอีกเล่า แลขุดอุโมงค์รุ้งเข้ามาใกล้เชิงกำแพงเมือง ชาวเมืองพุ่งสาตราวุธมิได้ถูกต้อง จึ่งพระยารามเดโชเจ้าเมือง ก็แต่งพลทหารออกทลวงฟันฆ่าศึกซึ่งขุดอุโมงคเข้ามานั้น แลได้ต่อยุทธนาถึงอาวุธสั้น ประจันจู่โจมฟันพลอาษาทับกรุงล้มตายมาก เหนจะทำการมิได้ก็กลับไป แลบันดาขุนนางกรมการทั้งหลายในเมืองนคร เอาใจลงด้วยพระยารามเดโชเปนขบถแขงเมืองสิ้นทั้งนั้นช่วยกันตรวจตรารักษาน่าที่เชิงเทินป้องกันเมืองเปนกวดขันมิให้เอาใจออกหาก แลประนีประนอมกันอยู่สิ้น จึ่งพระยารามเดโชก็ปฤกษาด้วยขุนนางกรมการทั้งปวงว่า ซึ่งทับกรุงยกออกมาตีเมืองเราบัดนี้ ได้ยกเข้ามาปล้นหลายครั้งทำมิได้ก็ระอามือเราอยู่ แลศึกเราได้ทีจะละไว้มิได้ ควรจะยกออกไปตีให้แตกฉานพ่ายไปเสียจึ่งจะชอบ แลขุนนางกรมการทั้งปวงก็เหนด้วย จึ่งให้จัดพลทหารที่มีฝีมือเข้มแขงประมาณสามพันล้วนถืออาวุธสั้น แลพระยารามเดโชก็ยกพลทหารออกจากเมืองในกลางคืนแลขับพลทหารเข้าไปปล้นค่ายฆ่าศึก แลพลทับกรุงซึ่งรักษาน่าที่ล้อม รู้ตัวก็สาดปืนไฟใหญ่น้อยยิงออกมา แล้วยกออกมาจากค่ายไล่ทลวงฟันพลทหารชาวเมืองนคร ๆ ก็ยืนยันประจันบานต่อยุทธโห่อึงอุดเอาไชย รี้พลล้มตายทั้งสองฝ่าย แต่ทว่าพวกชาวเมืองตายมากกว่าประมาณสองเท่า แลพระยารามเดโชเหนจะเอาไชยชำนะมิได้ ก็พ่ายกลับเข้าเมือง แต่ยกออกปล้นค่ายดังนี้เปนหลายครั้ง เสียรี้พลทแกล้วทหารมาก จะตีให้แตกฉานมิได้ก็รักษาแต่มั่นไว้ บันดาไพร่พลเมืองทั้งหลายอดหยากอาหารซูบผอมมากแลล้มตายเปลืองไปทุกวัน ๆ แลเสบียงอาหารเปียกแว้งเลี้ยงกันไปก็สิ้นมือลง เจ้าพระยานครศรีธรรมราชก็เศร้าใจ เหนจะรักษาเมืองไว้มิได้ ด้วยขัดเสบียงอาหารจะแต่งออกลาดหากินนอกเมืองก็ไม่ได้ ด้วยฆ่าศึกตั้งล้อมไว้โดยรอบ มิรู้ที่จะคิดอุบายถ่ายเทเลย จึ่งคิดว่าซึ่งกูจะอยู่ในเมืองให้พวกประทุษร้ายแผ่นดินจับได้นั้นอย่าสงไสย กูจะหนีไปให้รอด แต่อุบายซึ่งจะหนีไปนั้น เหนจะเอาธุระได้ก็แต่พระยาราชบังสันซึ่งเปนแม่ทับเรือออกมานั้น ด้วยเปนสหายเพื่อนรักกันมาแต่ก่อน เหนจะเสียกันมิได้ จะช่วยแก้ไขกันไปรอด ๚ะ

๏ จึ่งแต่งหนังสือลับให้คนสนิทไว้ใจถือลอบออกไป ถึงพระยาราชบังสันเปนใจความว่า หนังสือเราพระยารามเดโชมาถึงสหายเราพระยาราชบังสัน ด้วยเราทั้งสองเปนข้าทูลละอองธุลีพระบาท สมเดจ์บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวแห่งเรามาด้วยกัน แลเปนสหายรักคู่ชีวิตรจิตใจได้ศุขทุกข์ทำราชการสนองพระเดชพระคุณมาแต่ก่อนเปนอันมาก แลครั้งเมื่อทรงพระกรุณาดำรัศใช้ให้ไปตีเมืองลาวเมืองลว้า แลตีพม่าซึ่งยกตามมอญเข้ามาตั้งณะเมืองไซโยกนั้น แลเราทั้งสองก็เปนคู่ทุกข์คู่ยากได้ทำราชการสงครามเอาไชยชำนะมาทูลเกล้าถวายด้วยกันเปนหลายครั้ง แลสมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดปรานพระราชทานยศศักดิ์ชุบเลี้ยงเราทั้งสองถึงขนาด แลเมื่อพระองค์ทรงพระประชวรนั้นมีทาษปรปักข์กล่าวคือพระเพทราชาแลหลวงสระศักดิ์สองคนพ่อลูกละน้ำพิพัฒสัตยาเสีย คิดอ่านทำการขบถข่วงชิงเอาราชสมบัติ แลเสนาบดีทั้งปวงในกรุงมิได้มีผู้ใดช่วยคิดอ่านทำการกำจัดสัตรูราชสมบัติเสียได้ แลพระองค์ทรงพระโทมนัสจนเสดจสวรรคต แลราชสมบัติก็ได้สิทธิแก่พระเพทราชา แล้วให้หาท้าวพระยาพระหัวเมืองทั้งหลายเข้าไปถวายบังคม ฝ่ายเราขัดแขงอยู่มิได้เข้าไปนั้น ใช่ว่าตัวเราจะเปนขบถต่อแผ่นดินนั้นหามิได้ เหตุว่าเราคิดกตัญูในพระผู้เปนเจ้าของเราซึ่งเสดจ์สวรรคตนั้น จึ่งมิได้เข้าไปอ่อนน้อมยอมตัวเปนข้าผู้ประทุษร้ายแผ่นดิน ประการหนึ่งก็เกิดมาเปนชายชาติทหารคนหนึ่งก็มีทิฐิมานะอยู่บ้าง ที่ไม่เคยกลัวเกรงนบนอบไซ้ ก็ไม่นบนอบได้ถือตัวอยู่ ตามประเพณีคะดีโลกย์วิไสย จึ่งมีศึกยกมาติดเมืองเรา แลทับกรุงกับเราได้ทำยุทธนาการสงครามกันมาช้านาน ใช่ว่าทแกล้วทหารแห่งเราจะเขจ์ขามคร้ามฝีมือศึกพลทหารกรุงนั้นหามิได้ ก็ภอสู้รบกันได้อยู่ แลบัดนี้ฝ่ายเราอย่อนกำลังลงด้วยขัดเสบียงอาหารจำเปนจำแพ้ด้วยออกลาดหากินมิได้ เหนจะรักษาเมืองไว้เปนอันยาก เราไม่สู้รบแล้ว จะหนีไปจากเมือง แลซึ่งจะแหกออกนั้นอย่าคิดเลย ว่าค่ายล้อมทับกรุงจะทานฝีมือเราได้ คงเราจะแหกออกไปได้ไม่ขัดสน แต่ทว่าจะไปมิตลอดด้วยไม่มีนาวาที่จะไป แลซึ่งเราจะไปให้รอดจากชีวิตรอันตรายครั้งนี้ก็เพราะสหายเราจะเอาธุระเรา แลสหายเราจงคิดถึงความทุกขความยากด้วยกันมาแต่หนหลัง ครั้งเปนข้าทูลละอองธุลีพระบาท สมเดจพระเจ้าอยู่หัวแห่งเรามาด้วยกันนั้น แลจงได้เมตาการุญภาพอนุเคราะหแก่เราครั้งนี้เถิด ช่วยจัดแจงเรือรบไว้รับน่าท่าศักลำหนึ่ง ในสามวันเราจะแหกออกไปโดยค่ายล้อมด้านสหายเรา แลลงเรือได้แล้วก็จะลาสหายเราหนีไปตามยถากรรมของเรา ๚ะ

๏ ครั้นพระยาราชบังสันได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็คิดถึงความหลังซึ่งได้เปนสหายรัก แลเปนเพื่อนทุกข์ยากมาแต่ก่อนนั้น ก็มีจิตรคิดเมตตาแก่พระยารามเดโชยิ่งนัก ด้วยเปนชาติแขกด้วยกัน แล้วเข้าใจว่า การนี้ลับอยู่มิได้มีผู้ใดรู้เหน ก็จัดแจงเรือรบไว้รับณน่าท่าลำหนึ่ง แล้วเขียนหนังสือลับเปนใจความว่า ซึ่งธุระของสหายเราต้องประสงค์นั้น เราก็จัดแจงไว้พร้อมแล้ว จงรีบออกมาโดยเรวเถิด อย่าให้เนิ่นช้า การจะเอิกเกริกไปเราจะได้ความผิด แล้วส่งหนังสือให้ผู้ถือออกมานั้น กลับเข้าไปแจ้งแก่พระยารามเดโช ๆ ได้แจ้งแล้วก็มีความยินดีนัก จึ่งสั่งทหารร่วมใจทั้งหลายห้าสิบเสศ ให้ตระเตรียมตัวให้พร้อมไว้ ครั้นค่ำลงพระยารามเดโชกับทหารร่วมใจทั้งหลาย ก็ไล่ฆ่าฟันบุตรภรรยาญาติแลขุนนางกรมการทั้งหลายตายสิ้น ตามประเพณีวิไสยแขกไม่สู้ จะหนีแล้วก็ย่อมฆ่ากันเสียสิ้น มิให้ฆ่าศึกได้ไปเปนเฉลย แลพระยารามเดโชคนนี้มีวิชาการดีฝีมือก็เข้มแขง แลคอยดูฤกษดีแล้ว แลตัวพระยารามเดโชก็ถือดาบสองมือนำหน้าพลทหารห้าสิบเสศ ล้วนถือดาบสองมือด้วยกันสิ้น เปิดประตูกรูกันออกจากเมืองในเพลากลางคืน แล้ววิ่งเข้าจู่โจมโรมรุกบุกบันฟันปีกกาค่ายล้อม ด้านริมแม่น้ำน่าที่พระยาราชบังสัน แลพลอาษาจามซึ่งรักษาค่ายล้อมทั้งหลายนั้น ก็ระดมปืนไฟใหญ่น้อยยิงแย้งออกมาเปนโกลาหล แลพระยารามเดโชกับพลทหารทั้งหลาย เปนคนดีมีวิชาอาวุธมิได้ถูกต้องแลมิได้ย่นย่อท้อถอย ก็แหกหักค่ายปีกกาพังลงได้ ก็ไล่ทลวงจ้วงฟ้อนฟันพลอาษาจามทั้งหลายล้มตาย แลลำบากเปนอันมาก พลค่ายล้อมทั้งหลายทานฝีมือมิได้ ก็แยกออกไปให้ พระยารามเดโช กับพลทหารทั้งหลายก็ไล่ฟาดฟันฝ่าพลทับกรุงแหวกเปนช่อง ๆ ออกไป มิได้มีผู้ใดต้านทาน ก็ภาพลทหารกรูกันลงได้ในเรือรบซึ่งพระยาราชบังสันจัดแจงจอดไว้รับณน่าท่านั้น แล้วออกเรือไปถึงทเล ชักใบแล่นออกไปยังมหาสมุท แล่นหนีไปยังเมืองแขก ทับกรุงก็เข้าเมืองได้ ไล่จับผู้คนเก็บสิ่งของทั้งปวง แลนายทับนายกองทั้งหลายแจ้งว่า ตัวขบถแหกหักออกได้ น่าที่พระยาราชบังสันแล้วได้เรือรบแล่นหนีไป พระยาราชบังสันมิได้จัดแจงทับเรือไปติดตามให้ทันที ละให้ตัวขบถหนีไปพ้นเหนผิดอยู่ จึ่งเอาคดีนี้ไปแจ้งแก่พระยาสุรสงครามแม่ทับหลวง ๆ ได้แจ้งดังนั้น ก็พิจารณาสืบสาวไต่สวนไล่เลียง แลการนั้นมิมิดก็ได้เนื้อความว่า พระยารามเดโชเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชสอดหนังสือลับออกไปถึงพระยาราชบังสัน ๆ รู้กันกับผู้คิดมิชอบ จัดแจงเรือรบไว้ให้นัดหมายให้ออกมา แลแล้วส่งตัวขบถให้หนีไปพ้น ครั้นไล่เลียงเปนสัตยแท้ แล้วก็ให้จำตัวพระยาราชบังสันเข้าห้าประการ แล้วออกหนังสือเข้าไปณกรุงเทพมหานคร ให้สมุหพระกลาโหมกราบทูลพระกรุณาโดยเหตุทั้งปวงนั้น ให้ทราบสิ้นทุกประการ ๚ะ

๏ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ตรัสทราบประพฤติเหตุดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธแก่พระยาราชบังสันยิ่งนักดำรัศว่า มันเปนพวกอ้ายขบถ แล้วให้มีตราตอบออกไปยังกองทับว่าให้สืบสาวเอาพรรคพวกรู้เหนทั้งปวงได้แล้ว ก็ให้เอาตัวพระยาราชบังสันแลพรรคพวกรู้เหนทั้งหลายตระเวนสามวัน แล้วให้ประหารชีวิตรแลตัดศีศะเสียบไว้ณะประตูเมืองนครศรีธรรมราช อย่าให้ผู้อื่นดูเยี่ยงอย่างสืบไปภายน่า แล้วให้จัดแจงตั้งแต่งนายทับนายกอง ผู้ใดซึ่งมีฝีมือเข้มแขงมีความชอบมากให้อยู่ครองเมือง แลจัดแจงบ้านเมืองอาณาประชาราษฎรทั้งหลายให้ราบคาบเปนปรกติแล้ว ก็ให้เลิกทับกลับมายังกรุงเทพมหานครเถิด ๚ะ

๏ ครั้นท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลาย ได้แจ้งในท้องตราดังนั้นแล้ว ก็กระทำดุจพระราชกำหนดออกไปนั้นทุกประการ แล้วตั้งแต่งผู้รั้งกรมการอยู่รักษาเมือง แลไว้อาณาประชาราษฎรช้างม้าเครื่องสาตราวุธสิ่งของทั้งหลายไว้สำหรับเมืองภอสมควร แล้วเลิกกองทับบกทับเรือกวาดคนเชลยช้างม้าเครื่องสาตราวุธสิ่งของทั้งหลายกลับเข้ามายังกรุงเทพมหานคร แลขึ้นเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวกราบทูลโดยเหตุทั้งปวง แล้วก็ถวายช้างม้าคนเชลย แลสิ่งของทั้งหลายซึ่งตีได้นั้นเปนอันมาก โดยสมควรแก่ความชอบนั้น ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๔๙ ปีเถาะนพศก สมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัศให้ช่างพนักงานจัดการสร้างพระมหาปราสาทองค์หนึ่งในพระราชวังข้างใน ครั้นเสรจแล้วพระราชทานนามบัญญัติพระมหาปราสาทชื่อพระที่นั่งบันยงค์รัตนาศน์ เปนสี่ปราสาทด้วยกันทั้งเก่าสาม คือพระที่นั่งวิหารสมเดจองค์หนึ่ง พระที่นั่งสรรเพชปราสาทองค์หนึ่ง พระที่นั่งสุริยามรินทรองค์หนึ่ง แล้วให้ขุดสระเปนคู่อยู่ซ้ายขวาพระที่นั่งบรรยงค์รัตนาศน์ แล้วให้ก่ออ่างแก้ว แลภูเขา มีธ่ออุทกธาราไหลลงในอ่างแก้วนั้น ที่ริมสระคู่พระมหาปราสาทนั้น แลให้ทำระหัดน้ำณอ่างแก้วริมน้ำ ฝังธ่อให้น้ำเดินเข้าไปผุดขึ้น ณ อ่างแก้วริมสระนั้น แลให้ทำพระที่นั่งทรงปืน ณ ท้ายสระเปนที่เสดจออก กลับเอาที่ท้ายสนมเปนที่ข้างน่า แลให้ทำศาลาลูกขุนในซ้ายขวา แลโปรดให้ขุนนางเข้าทูลลอองธุลีพระบาทณพระที่นั่งทรงปืน แลเข้าทางประตูมหาโภคราช ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๕๐ ปีมโรงสัมฤทธิศก ขณะนั้นสมเดจพระอัคมเหสีฝ่ายซ้าย กรมหลวงโยธาเทพ ทรงพระครรภ์กำหนดถ้วนทศมาสประสูตรพระราชโอรสกอประด้วยศรีระวรรณลักษณเปนอันดี พระญาติวงษานุวงษ์ทั้งหลายก็ถวายพระนามว่าตรัสน้อย แต่สมเดจพระบรมราชบิดาตรัสเรียกว่าสามอย่าง ๚ะ

๏ ในปีมโรงสัมฤทธิ์ศกนั้น ทรงพระกรุณาให้ต่อกำปั่นใหญ่ลำหนึ่งแลให้ทูตานุทูตคุมเครื่องราชบรรณาการ ออกไปเจริญทางพระราชไมตรี ณกรุงฝรั่งเสศ, เหมือนเมื่อเจ้าพระยาโกษาปานออกไป ครั้งแผ่นดินสมเดจพระนารายน์เปนเจ้าก่อนนั้น ถึงปีมเมียโทศกทูตานุทูตกลับเข้ามาแต่เมืองฝรั่งเสศ คุมเอาสิ่งของเครื่องราชบรรณาการต่างๆเปนอันมาก ซึ่งพระเจ้ากรุงทะมิฬเสรตรประเทศทรงตอบแทนมานั้น ขึ้นทูลเกล้าถวาย จึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งราชทูตเปนเจ้าพระยาพระคลังตามโบราณราชประเพณีเยี่ยงอย่างมาแต่ก่อน ๚ะ

๏ ในเดือนหกปีมเมียโทศก ลุศักราช ๑๐๕๒ นั้น มีหนังสือบอกกรมการเมืองสวรรคโลกย์ลงมาถึงสมุหนายกว่า นายบุญเกิดคล้องนางช้างเผือกได้ณะป่าแขวงเมืองสวรรคโลกย์ สูงสี่ศอกมีนิ้ว สรรพด้วยคชลักษณงามบริบูรณ จึ่งเจ้าพระยาจักรีนำเอาข้อราชการสารเสวตรกีริณีนั้นขึ้นกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสทราบเหตุดั้งนั้น ก็ทรงพระปราโมชยิ่งนัก จึ่งดำรัศให้พระหลวงขุนหมื่นกรมช้างทั้งหลาย ขึ้นไปรับนางเสวตรกิริณีลงแพขนาน มีเรือแห่แหนตามบูรพประเพณี ล่องลงมายังพระนครศรีอยุทธยา ทรงพระกรุณาให้เทียบแพขนานเข้าณะพะเนียดให้นำนางช้างเผือกขึ้นประทับอยู่ณะโรงสมโพชณะตำบลพะเนียด แลให้มีการมหรสพสมโพชสามวัน แลนำลงเรือขนานมีเรือคู่ชักแห่แหนเปนขบวนเข้ามายังพระนคร แลให้นำนางเสวตรคเชนทร์ขึ้นไว้ณะโรงยอดในพระราชวัง แล้วทรงพระกรุณาพระราชทานขนานนามกร ชื่อพระอินทไอยราพตคชบดินทร์วรินทรเลิศฟ้า แลนายบุญเกิดซึ่งคล้องต้องนั้นก็พระราชทานเปนขุนอินทร์คชประเสริฐ แลพระราชทานขันทองหนักสามตำลึง เงินตราสามชั่ง เสื้อผ้าสามสำรับ แลพระราชทานตราภูมคุ้มห้ามส่วยสัดพิกัดอากรขนอนตลาดทั้งปวงสิ้น แลทรงพระกรุณาโปรดให้ไปทำกินอยู่ตามภูมลำเนาดุจแต่ก่อน ๚ะ

๏ ในปีมเสงก่อนนั้น สมเดจพระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชดำริห์ถึงคุณพระอาจาริย์เจ้าอธิการวัดพระยาแมน ซึ่งได้ถวายพยากรณ์ไว้ว่าจะได้เสวยราชสมบัติ แต่ยังทรงผนวชเปนภิกษุภาวอยู่ในวัดพระยาแมนนั้น แลพระผู้เปนเจ้าทำนายแม่นนัก แล้วได้ให้โอวาทานุสาศนในสมณกิจทั้งปวงมีพระคุณมาก ควรจะทำสนองพระคุณให้ถึงขนาด ครั้นทรงพระราชดำริห์แล้ว เพลาเช้าก็เสดจ์ด้วยเรือพระที่นั่งไปยังวัดพระยาแมน ครั้นถึงประทับเรือพระที่นั่งณะตะพานแล้วเสดจขึ้นยังพระอารามถวายนมัสการพระอาจาริย์ด้วยสัจเคารพแล้ว ก็ดำรัศซึ่งการจะสร้างพระอารามให้ถาวรณ์ขึ้นกว่าเก่า แลพระผู้เปนเจ้าให้อนุญาตแล้ว ก็เสดจกลับยังพระราชวัง มีพระราชตำรัศสั่งอรรคมหาเสนาบดี ให้กะเกนกันไปสร้างวัดพระยาแมน แลการสร้างพระอารามนั้น สองปีเสศจึ่งสำเรจในปีมแมตรีศก แล้วทรงพระกรุณาให้มีการฉลอง แลมีการมหรศภต่าง ๆ แลมีโจนร่มด้วย คำรบสามวันแล้วทรงถวายไทยทานแก่พระสงฆ์เปนอันมาก แลไว้ข้าพระสำหรับอุปถากพระอารามนั้นก็มาก แลถวายพระกัลปนาขึ้นพระอารามตามธรรมเนียมแล้ว ทรงพระกรุณาตั้งพระอาจาริย์เปนเจ้าอธิการวัดพระยาแมน ชื่อพระศรีสัจญาณมุนีราชาคะณะคามราคีถวายเครื่องสมณบริขารพร้อมตามศักดิ์พระราชาคณะทุกประการ ๚ะ

๏ ในศักราช ๑๐๕๓ ปีมแมตรีศกนั้น ณวันจันเดือนเจดแรมหกค่ำ นักเสดจ์เถ้าซึ่งครองกรุงกัมพูชาประเทศ ให้ทูตานุทูตถือศุภอักษรเข้ามาถึงอรรคมหาเสนาธิบดี ณะกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา ในลักษณศุภอักษรนั้นว่า กองช้างณะกรุงกัมพูชาธิบดีไปโพนช้างคล้องต้องนางช้างเผือกสูงสามศอกคืบมีนิ้ว สรัพด้วยคชลักษณงามบริบูรณ แลพระเจ้ากรุงศรียโสทรนครอินทร์กุรุรัตนราชธาณี ขอถวายนางศรีเสวตรคเชนทรชาติกระษัตริย์ฉัตทันต์ตัวประเสริฐมาเปนพระบรมอรรคราชพาหนะแห่งพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้า กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยา ขอเอาพระราชกฤษฎาเดชานุภาพสมเดจพระนั่งเกล้า เปนที่พึ่งที่พำนักนิ์สืบไป และจะขอพระราชทานเชิญข้าหลวงกรมช้างออกไปรับเข้ามา จึ่งสมุหนายกนำลักษณ์ศุภอักษรพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีนั้น ขึ้นกราบทูลพระกรุณาให้ทราบสิ้นทุกประการ สมเดจพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสทราบเหตุดังนั้นก็ทรงพระโสมนัศ ดำรัศให้พระราชทานเสื้อผ้าแก่ทูตานุทูตคนละสำรับแล้ว ดำรัศให้ข้าหลวงสามนายแลกรมช้างออกไปด้วยทูตานุทูต แลให้นางช้างเผือกเข้ามาณะกรุงโดยรยะสถลมารควิถี อยุดยั้งประทับร้อนแรมมา อย่าให้อิดโรยเปนเหตุการได้ แลข้าหลวงสามนายกับกรมช้างทั้งหลาย ก็กราบถวายบังคมลาออกไปยังกรุงกัมพูชาธิบดี ด้วยทูตานุทูตอันมานั้น ๚ะ

๏ ครั้นถึงกรุงกัมพูชาประเทศ เสนาบดีก็นำข้าหลวงเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี ๆ ก็ตรัสพระราชทานปฏิสรรฐารเปนอันดี แลให้เลี้ยงดูเหล่าข้าหลวงมิให้อดอยากได้ แล้วให้พระยาพระเขมรสามนาย คุมเอานางช้างเผือกไปด้วยข้าหลวงซึ่งออกมารับนั้น แลข้าหลวงสามนายกราบถวายบังคมลาพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี แล้วก็นำนางช้างเสวตรกุญชรออกจากกรุงกัมพูชาประเทศกับด้วยพระยาเขมรสามนายนั้น แลเดิรทางประทับร้อนแรมรอรั้งยั้งอยุดโดยสถลมารควิถี กำหนดเดือนหนึ่งกับญี่สิบวัน จึ่งมาถึงกรุงเทพมหานคร จึ่งทรงพระกรุณาให้ปลูกโรงสมโพชณตำบลพะเนียด แลให้นางช้างเผือกประทับอยู่ณะโรงสมโภชนั้น แล้วให้มีการมหรสพสมโพชคำรบตติยวาร แล้วให้ยาตราพระบรมหัตถินีลงสู่เรือขนานมีเรือคู่ชักแห่แหนเข้ามายังพระนคร แล้วให้นำนางเสวตรคเชนทรขึ้นไว้ณโรงยอดในพระราชวัง ทรงพระกรุณาพระราชทานขนานนามบัญญัติชื่อพระบรมรัตนากาษชาติคเชนทรมหันต์อนันต์คุณวิบุลยเลิศฟ้า แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกณมุขเด็จพระที่นั่งสรรเพชปราสาท พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย ฝ่ายทหารพลเรือนเฟี้ยมเฝ้าณทิมดาบตามตำแหน่งซ้ายขวา จึ่งให้เบิกพระยาพระเขมรสามนาย เข้าเฝ้าถวายบังคมณะศาลาหว่างทิมดาบ แลดำรัศพระราชประฏิสรรฐารสามนัดตามอย่างพระราชประเพณี แล้วพระราชทานเสื้อผ้ารางวัล แก่พระยาพระเขมรทั้งสามนั้นโดยสมควร แลพระราชทานเครื่องราชูประโภคบริโภคต่าง ๆ ตอบแทนออกไปแก่พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีนั้นเปนอันมาก แลพระยาพระเขมรสามนายก็กราบบังคมลา กลับออกไปยังกรุงกัมพูชาธิบดี ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๕๔ ปีวอกจัตวาศก ขณะนั้นเกิดขบถลาวคนหนึ่ง ชื่อบุญกว้าง อยู่ณแขวงหัวเมืองลาวฝ่ายตวันออก มีความรู้วิชาการดี แลมีสมักพักพวก ๒๘ คน คิดอ่านทำการขบถตั้งตัวว่าเปนผู้มีบุญ แลภาสมักพักพวกเข้ามาอยู่ณสาลาแห่งหนึ่ง นอกประตูเมืองนครราชสีมาแลกั้นม่านอยู่มิดชิดแล้ว ให้คนไปหาตัวพระยานครราชสีมา แลกรมการทั้งปวงออกมา จึ่งพระยานครราชสีมาก็ขี่ช้างพังตัวหนึ่ง มีบ่าวไพร่ทนายตามออกไปยี่สิบเสศ ครั้นออกมานอกเมืองเกือบจะถึงสาลา แลบุญกร้างขบถก็ลุกออกมายืนอยู่นอกหม่าน แล้วชี้นิ้วร้องตวาดด้วยเสียงเปนอันดังด้วยอำนาทคุณวิชาบรรดานให้พระยานครราชสีมาตกใจกลัวยิ่งนัก แลขับข้างหันหวนแล่นหนีเข้าประตูเมืองทั้งบ่าวไพร่ด้วยกัน แลอ้ายคิดมิชอบกับสมัคพักพวกไล่ตามเข้ามาในเมือง ไพร่พลเมืองแลกรมการทั้งหลาย ก็เกรงกลัวมันด้วยอานุภาพคุณวิชาการ มิได้มีผู้ใดอาจหารเข้าจับมันได้ ต้องอยู่ในอำนาทอ้ายขบถสิ้น แลขบถบุญกว้างกับสมักพักพวกก็เข้าตั้งอยู่สาลากลาง สั่งให้บำรุงช้างม้ารี้พลให้พร้อมไว้ จึ่งพระยานครราชสีมาแลกรมการทั้งหลายปฤกษากันว่า ซึ่งอ้ายขบถเกิดขึ้นในเมืองเรา แต่กำลังเราทั้งปวงเข้าจับกุมมันไม่ได้ ด้วยมันเปนคนดีมีวิชาการอยู่ ครั้นจะนิ่งเสียเล่า ก็เหมือนหนึ่งเปนพักพวกเข้าด้วยอ้ายขบถ จะภากันตายเสียสิ้น จำจะอุบายถ่ายเทฬ่อลวงมันให้ยกลงไปตั้งอยู่เมืองลพบุรีภอให้ใกล้พระเดชพระคุณ แลจะขอเอาพระเดชานุภาพสมเดจพระเจ้าอยู่หัวมาปกเกล้าด้วย จึ่งจะทำมันได้ถนัด ๚ะ

๏ ครั้นเหนพร้อมด้วยกันแล้ว ก็ชวนกันออกไปหาอ้ายขบถณสาลากลาง แล้วจึ่งว่าข้าพเจ้าทั้งปวงขอเปนข้าท่านสิ้น แลจะขออาษาลงไปตีกรุงเทพมหานครถวาย แลซึ่งจะตั้งอยู่ณเมืองนครราชสีมานี้ หาเปนประโยชน์ไม่ ถ้าได้ยกกองทับลงไปตั้งอยู่ณเมืองลพบุรี กวาดเอาผู้คนหัวเมืองให้ได้มากแล้ว ก็ยกเข้าโจมตีเอากรุงเทพมหานครเหนจะได้โดยง่าย แลซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายว่าดังนี้ ควรมิควรขอท่านกรุณาอย่าถือโทษเลย ครั้นบุญกว้างขบถได้ฟังดังนั้น มิได้แจ้งว่าเปนกลอุบาย สำคัญว่าจริงก็เชื่อถือ แลเหนชอบด้วยทุกประการ จึ่งให้เจ้าเมืองกรมการเกนพลเมืองนครราชสีมาได้ ๔๐๐๐ เสศ ช้างเครื่อง ๘๔ ม้า ๑๐๐ เสศ สรัพด้วยเครื่องสรรพาวุธพร้อมเสรจ ก็ยกจากเมืองนครราชสีมา เดิรทับตัดลงทางเมืองบัวชุม เมืองไชยบาดาล กวาดได้ผู้คนเปนอันมาก ก็ยกกองทับผ่านไปเมืองลพบุรี แลตั้งซ่องสุมผู้คนอยู่ในที่นั้น จึ่งพระยานครราชสีมา แลกรมการทั้งหลาย ก็คิดอ่านแต่งหนังสือลับให้ขุนหมื่นมีชื่อถือลงไปถึงสมุหนายกให้กราบทูลพระกรุณาโดยเหตุทั้งปวงนั้น ให้ทราบสิ้นทุกประการ ๚ะ

๏ ฝ่ายกรมการเมืองสระบุรี เมืองบัวชุม เมืองไชยบาดาล ก็แต่งหนังสือบอกลงมาถึงสมุหนายกว่า เมืองนครราชสีมาเปนขบถ บัดนี้ยกกองทับลงมากวาดเอาผู้คนณแขวงเมืองบัวชุม เมืองไชยบาดารได้เปนอันมาก แล้วยกผ่านไปโดยตวันตกมิรู้ว่าจะไปแห่งใด แลหนังสือบอกฝ่ายเมืองแนวน้ำแควป่าสักมาถึงก่อนหนังสือบอกฝ่ายเมืองลพบุรีสองวัน เจ้าพระยาจักรีก็เอาหนังสือบอกทั้งสองฉบับนั้นขึ้นกราบทูลพระกรุณาพระบาทบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค ตรัสได้ทรงทราบประพฤติเหตุดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธ ดำรัศว่าอ้ายขบถ ๒๘ คนเท่านั้น ชาวนครราชสีมามากหลายพัน ถึงไม่สู้รบด้วยอาวุธเลย จะทิ้งด้วยมูลดินแต่คนละก้อนก็ไม่ภอฝีมืออีก ไฉนมันจึ่งว่ากลัวความรู้อยู่ในอำนาทอ้ายขบถสิ้นทั้งนั้น เปนอัษจรรยใจนัก ไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อน จึ่งดำรัศสั่งอรรคมหาเสนาธิบดีให้ตระเตรียมช้างม้ารี้พลไว้ให้สรัพ จึ่งมีพระราชดำรัศให้พระยาสุรเสนาเปนแม่ทับหลวง แลท้าวพระยาอาษาหกเหล่าทั้งปวง เปนยุกระบัตรเกียกกายกองน่ากองหลัง ถือพลสกรรธลำเครื่อง ๕๐๐๐ สรัพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวง ให้ยกไปเอาตัวอ้ายขบถ แล้วให้มีตราตอบไปแก่พระยานครราชสีมา แลกรมการทั้งปวงว่า ถ้ากลัวมันอยู่จะจับมันมิได้ไซร้ ก็ให้ล้อมมันไว้ก่อน อย่าให้มันสงไสย ต่อทับกรุงยกขึ้นไปถึงจึ่งให้จับตัวมันส่งออกมาให้แก่กองทับกรุงทีเดียว แล้วพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ ไปแก่กองทับชาวนครราชสีมา ให้ ๆ แก่อ้ายคิดมิชอบ แลให้เจรรจาเล้าโลมมันจงดี อย่าให้มันรู้ตัวเสีย จะทำไม่ถนัด ๚ะ

๏ ครั้นถึงวันอันได้พิไชยฤกษ จึ่งพระยาสุรเสนาแลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลาย ก็กราบถวายบังคมลาแล้วยกทับบกทับเรือขึ้นไปยังเมืองลพบุรี ครั้นใกล้ถึงจึ่งให้หนังสือลับไปแก่กองทับชาวนครราชสีมา นัดหมายวันคืนเพลาสัญญาอานัด ให้ยกเข้าล้อมพร้อมกัน ฝ่ายพระยานครราชสีมาแลกรมการทั้งปวง ก็เอาสิ่งของซึ่งพระราชทานขึ้นไปก่อนนั้น ให้แก่อ้ายเหล่าร้ายพูดจามิให้สงไสย ครั้นถึงวันอันนัดหมายนั้นแล้วก็ยกพลทหารเข้าล้อมชั้นใน ฝ่ายทับกรุงล้อมไว้ชั้นนอกเปนมั่นคง แลขบถบุญกว้างกับสมัคพัคพวกทั้งปวง มิทันรู้ตัวก็สดุ้งตกใจกลัวยิ่งนัก จะหนีก็เหนไม่พ้น จะต่อรบเล่าก็เหลือกำลัง มิรู้จะทำประการใดได้ก็นิ่งอยู่สิ้น พลชาวนครราชสีมาก็เข้ากลุ้มรุมจับอ้ายคิดมิชอบ แลสมักพัคพวก ๒๘ คนได้สิ้น แล้วพันทนาส่งออกไปยังกองทับกรุง ๆ ก็บอกหนังสือลงไปให้กราบทูลพระกรุณา แล้วเลิกทับกลับลงมายังกรุงเทพมหานคร จึงสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชดำรัศให้ลงพระราชอาญาแก่อ้ายคิดมิชอบ แลพักพวกทั้งปวงถึงสิ้นชีวิตร ๚ะ

๏ แล้วมีพระราชโองการตรัสสั่งสมุหนายกให้ตรวจเตรียมพลช้างพลม้าพลราชรถบทจรเดินเท้าแลพลนาวาพยุหพร้อมไว้ กำหนดพลหมื่นหนึ่งทั้งทางบกทางเรือ แลการพระพุทธสมโพชทั้งปวงนั้น ก็ให้จัดแจงไว้ให้สรัพจะเสดจพระราชดำเนินขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท อันประดิษฐานเหนือภูเขาสุวรรณบรรพต โดยโบราณราชประเพณีมาแต่ก่อน ๚ะ

๏ ครั้นถึงวันอันได้ศุภมงคลนักขัตฤกษในเพลา ๑๑ ทุ่ม จึ่งพระบาทบรมบพิตพระพุทธเจ้าช้างเผือก ก็สอดทรงเครื่องศิริราชอลังการสรรพาภรณบวรวิภูสิต สำหรับพิไชยราชรณยุทธ ทรงราชาวุธสรัพเสรจ ก็เสดจสู่เรือพระที่นั่งศรีสามรถไชยอันอำไภยด้วยเสวตรมยุรฉัตร ขนัดพระอพิรุมชุมสายพรายพรรณกลิ้งกลดบดบังพระสุริยบังแซรกสลอนสลับจามรสล้างสว่างไสว ไพโรจด้วยขนัดธงเทียวธวัชเปนทิวแถว ดูแพรวพรายระย้าระยับจับแสงสุริยวโรภาศ ผ่องพื้นอัมภรวิถีเถือกถ่องส่องแสงจันทรแจ่มฟ้าดาษดาด้วยเรือดั้งกัน แลเรือพระประเทียบเรียบรายเรือพระราชวงษานุวงษเสนาพฤฒามาตยราชกระวีมนตรีมุขลูกขุนทั้งหลายรายเรียงจับสลากเปนคู่ ๆ ดูพันฦกกึกก้องกาหลด้วยศรับทสำเนียงเสียงพล ประโคมปี่กลองชนะแตรสังข ฆ้องไชย ฆ้องใหญ่ ฆ้องกระแต แซ่เสียงสนั่นนิฤนาท ก็ขยายพยุหบาตราคลาเคลื่อนขบวนน่าหลัง คับคั่งท้องแถวนัทธีเปนลำดับวารีมารค กำหนดระยะทางโยชนหนึ่ง ก็บันลุถึงพระราชนิเวศพระนครหลวง ก็เสดจพักพลพายประทับร้อน เสวยพระกระยาหารสำราญพระอารมณเสดจเข้าที่พระบันทมในที่นั้น ครั้นเพลาชายแล้วสองนาฬิกา จึ่งเสดจลงเรือพระที่นั่ง ให้ยาตรานาวาพยุหไปโดยลำดับ กำหนดทางโยชนหนึ่ง ก็ถึงพระตำหนักเจ้าสนุกนิ์ จึ่งเสดจขึ้นประทับแรมอยู่ที่นั้นสองเวร แลมีพระราชดำรัศสั่งอัคมหาเสนาธิบดีให้ตรวจเตรียมพลแห่แหนทั้งปวง โดยกระบวนพยุหบาตราสถลมารคตามอย่างโบราณราชประเพณีทั้งปวงให้พร้อมไว้ ๚ะ

๏ ครั้นเพลาประจุไสมได้พิไชยฤกษ จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเครื่องราชวิภูษนาภรณแล้วเสรจ เสดจทรงข้างต้นพังสุริยอัษฎางคที่นั่งรอง พังอนงค์ศรีสรรคผูกเครื่องสุวรรณปฤษฎาหลังคาทอง พร้อมด้วยหมู่หมวดคชินทรเสนางคนิกรดั้งกันแซรกแซรงสลับค่ายค้ำพังคา แลหมู่พลอาษาสินทพพลากรกรรกงริ้วรายโดยขบวนซ้ายขวาน่าหลังคั่งคับเปนขนัด ถัดนั้นช้างพระราชบุตรนัดาวงษานุวงษทั้งหลาย แลรถประเทียบเรียบรายตามเสดจเปนถ่ท่งแถวงามไสวอำไพยด้วยเครื่องสูงเสวตรฉัตรธงฉานธงไชยเปนคู่ ๆ ดูมโหฬาราดิเรกด้วยพลบทจรเกนแห่ แลพลอุโฆศแตรสังขพิณภาทยฆ้องกลองชนะ ประโคมครั่นครั้นกึกก้องนฤนาทให้ขยายพยุหบาตราไปโดยรัฐยาร่มรื่นระโหถานแถวเถื่อนพันฦกอธึกด้วยนานาพรรณพฤกษชาติ บ้างเพล็ดดอกออกผลกล่นกลาดดูกระการตา ก็เสดจยาตราพลากรทวยหารไปโดยลำดับสถลมารควิถีสิ้นทางห้าร้อยห้าสิบเส้น ก็บรรลุถึงเชิงเขาสุวรรณบรรพต จึ่งให้อยุดขบวนแห่แหนทั้งปวงแล้ว สมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรำพระแสงของ้าวเหนือกระพองช้างต้นสิ้นวารสามนัด บูชาพระพุทธบาทโดยพระราชประเพณีเสรจแล้วก็บ่ายพระคชาธารโดยมารควิถีกำหนดทางห้าสิบเส้นถึงพระราชนิเวศธารเกษมเสดจลงสู่เกยแล้ว ๆ เสดจเข้าประทับแรมณพระตำหนักนั้น ๚ะ

๏ ครั้นรุ่งขึ้นจึ่งสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ก็เสดจพระราชดำเนิน พร้อมด้วยเสนาบดีมนตรีมุขมูลิกากระบวรราชบุตรราชนัดา กรมฝ่ายน่าฝ่ายใน ใจอภิรมแลนางพระสนมทั้งหลายขึ้นไปนมัศการพระพุทธบาตรอันโอฬาร ทุกเวลาเช้าเย็นเปนนิจทุกวันมิได้ขาด แลทรงถวายสการบูชาด้วยสัจเคารพเปนอันดี แล้วเสดจพระราชดำเนินไปเหนือไหล่เขา เสดจนั่งเหนือแท่นสีลาใกล้ต้นพระศรีมหาโพธิ ทรงโปรยสุวรรณรัชฏะ พระราชทานแก่พลนิกายทั้งหลายเปนอันมาก ตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน แล้วทรงพระกรุณาให้มีการมหรสพสมโพชมีนานานุประการ ครั้นค่ำให้จุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ รทาใหญ่แปดรทาบูชาพระพุทธบาท เปนมโหฬาราธิการยิ่งนัก แล้วทรงถวายไทยทานแก่พระสงฆ์เปนอันมาก แล้วสมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็เสดจพระราชดำเนิน พร้อมด้วยพระราชวงษานุวงษเสนาพฤฒามาตยพระสนมนารถนารีทั้งหลายไปประภาศณพระตำหนักธารโสกปลายธารทองแดง แลเสดจเที่ยวประภาศชมพนมพนัศแนวเนินเทินเขาทุกลำเนา ถ้ำธารลหารเหวเปลวปล่องช่องชวาก เวิ้งว้างสิงขรเขตวิเสศด้วยสรรพรุกขขาตินานา ทรงผลผกาทุกกิ่งก้านกล่นกลาด ชมหมู่จตุบททวิบาทต่างต่างชาติดูกระการ สำราญพระราชหฤๅไทยแล้วเสรจแล้วเสดจกลับยังพระราชนิเวศธารเกษม คำรพเจดวันแล้วถวายนมัสการลาพระพุทธบาท ยกพยุหบาตราโดยกระบวนสถลมารคชลมารคกลับยังกรุงศรีอยุทธยา ๚ะ

๏ จบเล่ม ๒๑ สมุดไทย ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ