ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี

He saw the sun of his happiness

Sink shrouded in the west.

Now he beholds it rise again,

Climbing upwards though the boughs.

อีกไม่กี่วันต่อมา ไล่เห่งกับไล่ป้อก็กลับมาถึงเช็งฮ้อ และแจ้งข่าวดีแก่ไซหมึ่งเข่ง ตลอดเวลาที่เขาทั้งสองเล่าความละเอียดให้ฟังนั้น ในความรู้สึกของพ่อบ้านก็ปิ้มว่าจะหนาวสั่นสะท้านร้อนสะท้านหนาวตายตามไปกับที่เขาเล่าจนสุดสิ้นกระแสความ แหละแล้วไซหมึ่งเข่งจึงค่อยโล่งใจ ประหนึ่งว่ามีใครมาช่วยยกภูเขาออกไปเสียจากทรวงอก.

แลบัดนี้วาสนาอันรุ่งเรืองที่เขาคิดว่าคงจะดับสิ้นสูญไปในคราวนี้ สิเขากลับช้อนชูและยึดถือคงคืนมาครอบครองไว้ได้ดั่งเดิมอีก ประภาพแห่งวาสนาก็นับวันแต่ว่าจะพอประกายเรื่อเรืองขึ้นมาอีกแล้วทุกขณะ.

จึงสองวันต่อมา สภาพการณ์ในคฤหาสน์ใหญ่ของไซหมึ่งเข่ง ก็กลับคืนเข้าสู่สภาพปกติดังเช่นเดิม บ้านหลังใหม่ที่ชะงักการก่อสร้างไว้ชั่วคราวนั้น บัดนี้ได้เริ่มดำเนินงานอีกแล้ว ประตูใหญ่หน้าบ้านได้เปิดถ่างออกรับรองญาติสนิทมิตรสหายดังเช่นเคย.

และวันหนึ่ง ขณะที่ไต้อังยี้ขี่ม้าไปตามถนนสิงโต เขาก็รู้ว่าเวลานี้บ้านนางฮวยลีได้เปิดเป็นร้านขายยาไปแล้ว และด้วยซ้ำมีลูกค้าหนาแน่นเอาการอยู่ ได้ถึงแก่รำพึงอยู่ในใจว่า “เออหนอ ชะรอย เก๊ะรับเงินแม่หญิงปังนี่จะคับแคบไปเสียแล้ว สำหรับกิจการที่เจริญรุ่งเรืองถึงปานนี้” แต่ว่าเมื่อกลับมาเล่าเรื่องนี้ให้นายบ้านของเขาฟัง ไซหมึ่งกลับไม่เชื่อ เขาเพียงแต่ยิ้มๆ แล้วก็ไม่ได้เอาใจใส่เรื่องนี้อีก.

ตราบกระทั่งวันหนึ่งในระยะต้นปักษ์หลังของเดือนที่ครบแปด อันเป็นฤดูที่ลมหนาวเริ่มจะเยือนเข้ามาสู่แคว้น วันนั้น ไซหมึ่งนั่งม้าออกจากบ้านเพื่อหาความสำราญ ตามประสาคนมีเงินที่มีเวลาว่างเหลือเฟือ และไม่รู้จะทำอะไร และในขณะที่เขานั่งม้ามาได้กลางทางนั้นเอง เขาได้พบเข้ากับสหายทั้งสองคือ เอ็งและเจี้ย ทั้งเจี้ยและเอ็งต่างดีใจมาก รุมกันทักถามสารทุกข์สุกดิบอยู่เป็นจ้าละหวั่น เพราะค่าที่ตั้วเฮียหายหน้าหายตาไปเสียหลายวัน มิหนำซ้ำผ่านหน้าบ้านทีไรเห็นแต่ปิดประตูเงียบทุกครั้ง ก็เลยไม่อยากเข้าไปรบกวน ถามไปถามมาเขาวกมาพูดถึงเรื่องที่ไซหมึ่งเกริ่นข่าวว่าจะแต่งงานใหม่นั้น เรื่องราวไปถึงไหนแล้ว พวกเพื่อน ๆ กำลังพากันตั้งตาคอยงานเลี้ยงในวันมงคลคราวนี้อยู่!

ไซหมึ่งก็พูดแก่เพื่อนทั้งสองว่า ปรารถนาของพวกเขามีอยู่เท่านี้เองดอกหรือ ที่ทุกข์ร้อนกันทุกวันนี้เขานั้นต้องประสบเข้ากับเรื่องร้ายแรงเกี่ยวข้องพัวพันทางญาติผู้หนึ่ง จึงทำให้ต้องเลื่อนกำหนดวิวาห์ไป.

“อ้าว แล้วทำไมพี่ท่านไม่เห็นบอกให้พวกเรารู้กันบ้างเล่า เสียใจด้วยจริงๆ เอาเถอะไหน ๆ ก็ไม่ได้พบหน้าค่าตาร่วมเที่ยวเตร่กันนาน วันนี้เราไปหาความสำราญที่บ้านนางหงึ่งยี้สักครู่เป็นไง? เพื่อจะช่วยบรรเทาความเคร่งเครียดของพี่ท่านได้บ้าง?” เป็นคำโอภาปราศรัยที่ท่านผู้อ่านพอจะคาดน้ำใจของเพื่อน ๆ เหล่านี้ได้ถูกอยู่ แต่ว่าคนอันเป็นที่พี่อ้ายของคณะก็หาได้ขัดข้องและทักท้วงแต่อย่างใดไม่ เขานั่งม้าเคียงคลอไปด้วยกันยังบ้านยายโง้วซีม้า เจ้าสำนักนางโลมมีชื่อผู้นั้น.

และขณะย่ำเย็นเมื่อตั้วกัวยิ้งจะกลับบ้าน เขาก็ได้พบเข้ากับยายผั้งที่ถนนตะวันออก ไซหมึ่งดึงบังเหียนม้าให้หยุดพลางตะโกนถามหญิงชรา ว่า “เฮ้ อาม้า–อาม้าผั้ง นั่นจะรีบร้อนไปข้างไหนเล่า?”

หญิงชราหันมาดู ก็จำได้ว่าเป็นชายคู่พิศวาสของนายสาวแต่เดิมทีคนนั้นเอง จึงตอบว่าจะรีบไปทำบุญให้ท่านฮวยกอ ที่ศาลเจ้านอกประตูเมืองสักหน่อย และเมื่อเจ้าหนุ่มถามถึงนายสาวของแกว่าเป็นอย่างไรบ้าง ให้บอกด้วยพรุ่งนี้เขาจะไปหา.

ยายผั้งแกก็หันมาตอบด้วยคำคมว่า “ทั้งคำถามและความตั้งใจของท่านนั้น หามีความหมายอันใดไม่แล้วบัดนี้ ด้วยได้มีคนอื่นเขาเข้ามานอนถามนอนสั่งกันอยู่ทุกคืนทุกวันแล้ว”

ไซหมึ่งก็เอะใจ ถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวว่า “อะไรนะ อาม้าว่านางลีปังแต่งงานใหม่แล้วกระนั้นหรือ?”

หญิงชราแกก็ประชดให้สมใจว่า “อ้าว ก็แต่งแล้วน่ะซี นางเฝ้าแต่หลงคอยท่านอยู่เป็นนานสองนาน ใครจะทนไหว ส่งข่าวไปเท่าไร ๆ ท่านก็ไม่มา ข้าพเจ้าเองเป็นคนนำเอากระจกเงาไปให้เป็นของขวัญแก่ท่านจนถึงบ้าน ท่านยังไม่ให้เข้าไปพบเลย ประตูบ้านท่านก็ปิดตายใครจะเข้าจะออกก็ไม่ได้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะคอยท่านไหว เขาก็ต้องแต่งงานไปกับผู้ชายอื่นน่ะซี”

“ก็ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเล่า?” ไซหมึ่งถาม.

“หมอเตกกัง!”

แล้วหญิงชราก็ลำดับเรื่องราวละเอียดที่เป็นมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน ให้ไซหมึ่งฟังว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? ทำไมฮวยลีปังถึงต้องจำใจแต่งงานในครั้งนี้ จนกระทั่งถึงการที่นางได้ยื่นมือเข้าช่วยพยุงฐานะนายแพทย์ผู้สามีให้ตั้งร้านขายยาขึ้นในบ้าน.

พอได้ฟังยายทั้งเล่าเนื้อความละเอียด ตั้วกัวยิ้งก็ลมแทบใส่ หวุดหวิดจะพลัดตกจากหลังม้าด้วยความเสียดายและอาลัยนาง.

ทั้งรักทั้งแค้น เลยพาลขึ้งเคียดเอาคุณหมอผู้สามีที่เข้ามาขวางจังหวะ เขาบ่นอยู่พึมพำว่า “อัปรีย์อะไรเช่นนี้! ถ้าเป็นคนอื่นก็พอทำเนาดอก เป็นเจ้าหมอเตี้ยนี้เอง ถ้าขืนช้าเป็นเสียการแน่ๆ–ฉิบหายหมด -” และด้วยความหัวเสีย ไซหมึ่งก็ลงแส้ม้ารีบห้อกลับบ้านทันที.

ขณะนั้นทางบ้านของตั้วกัวยิ้ง พวกลูก ๆ เมีย ๆ ของเขากำลังสนุกสนานกันใหญ่ มีนางวัวยะเนี้ย, นางเง็กเล้า, นางบัวคำ และลูกสาวของเขา ซึ่งกำลังร่วมเล่นสนุกสนานกันอยู่กลางสนามหญ้าหน้าบ้าน แต่พอได้ยินเสียงท่านพ่อบ้านมา ต่างก็พากันลุกแล่นหนีไปหมดเหลืออยู่แต่นางบัวคำผู้เดียว และด้วยความที่รู้จักประจบเอาใจสามี พัวกิมเน้ยก็ตรงเข้าไปจะช่วยเขาถอดรองเท้าให้ เมื่อเห็นเขามายืนพิงเสาหินระทดระทวยอยู่.

แต่ที่ไหนได้ ยามนี้อารมณ์สามีขุ่นข้องมา บัวคำมิทันจะสังเกตเห็น “อีบ้า!” หลุดปากไซหมึ่งออกมาเป็นคำแรก และต่อ ๆ ไปว่า “นี่นึกว่าวิเศษแล้วยังงั้นรึ ที่ออกมาเล่นกิ๊วก๊าว ๆ เหมือนเด็กไม่มีงานมีการทำอย่างนั้นหรือ?” และด้วยความฉุนเฉียวที่หัวเสียอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ไซหมึ่งเลยเอาเท้าซัดโครมเข้าให้ โดนร่างน้อยบัวคำฉาดเบ้อเร่อ แล้วเขาก็เดินลงส้นปึงๆ ไม่มีได้ราตรีสวัสดิ์ให้ใครต่อใครเหมือนเช่นเคย ตรงไปห้องหนังสือทางเฉลียงด้านตะวันตกของบ้าน ร้องสั่งคนใช้ให้จัดการมาปูที่นอนให้เขาที่นั่น แล้วหลังจากที่เอะอะเอ็ดตะโรคนนั้นทีคนนี้ทีจนพอใจแล้ว ไซหมึ่งก็หลับไป.

ในระหว่างนี้เอง บรรดาพวกผู้หญิงทั้งสี่นางก็มายืนวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ดวงแขบริภาษีบัวคำว่า “เห็นอยู่แล้วว่าเขาเมามา ทำไมจะหลบไปเสียให้พ้นไม่ได้หรือ? นี่อะไร ยิ่งเขาเข้ามาใกล้ เจ้าก็ยิ่งทำหัวเราะให้น่าหมั่นไส้อวดขึ้นไปอีก หนำซ้ำยังจะสะเออะไปถอดรองเท้าให้เขา ก็สมแล้วนี่ ที่โดนเขาเล่นงานเอา!”

“ถึงว่าเถอะ” เง็กเล้าสำทับรับคำขึ้นมา “ด่าก็ว่าเถอะ เราๆ สามคนนี้ แต่ว่าเรื่องอะไรลูกเต้าเป็นสาวเป็นนาง แล้วจะมาเที่ยวดุเที่ยวด่า เป็นอีบ้า อีอัปรีย์! อย่างนี้ไม่ถูก”

“เอาละ! สรุปแล้วข้าพเจ้าคนเดียวใช่ไหมละที่เป็นคนควรแก่การถูกด่ามากกว่าเพื่อน!” บัวคำประชดย้อนเข้าให้บ้างอย่างน้อยใจ “ก็เมื่อกี้ใครเล่าที่โดนถูกเขาเตะทั้งเกือก? เราใช่ไหมล่ะ! แล้วอย่างนี้ยังจะมาพูดกันหาสวรรค์วิมานอะไรถึงเรื่องเลือกที่รักมักที่ชังอีกเล่า?”

“อ้าว, ก็ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ร้องเรียนให้เขามาเตะเราเสียบ้างล่ะ?” ตั้วเจ๊ออกรับฉอดขึ้นมาทันที “เออน่า, อย่าพูดเลย ใคร ๆ เขาก็รู้ว่า เจ้าน่ะเป็นเมียคนโปรด อย่าทำมาเที่ยวตีโพยตีพายโดยไม่มีเหตุไม่มีผลเลย ไม่มีใครเขาจะไปกล้าตอแยโง่วเจ๊ท่านได้ดอก เขากลัวเจ้าอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ลิ้นของเจ้านั้นตวัดได้ถึงใบหู ใคร ๆ เขาก็รู้อยู่”

“นี่ตั้วเจ๊ ข้าพเจ้ายังไม่ได้ว่าอะไรท่านรุนแรงนะจะบอกให้” นางบัวคำพยายามระงับโทสะเป็นที่สุด “เพราะจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ตั้วกัวยิ้งท่านกำลังหัวเสียขุ่นข้องจากที่หนึ่งที่ใดมา และก็ได้ระบายโทสะลงที่ข้าพเจ้าแล้ว ไม่เห็นน่าที่จะมีเรื่องอันใดอีก”

“มีซิ ทำไมจะไม่มี ก็ทำไมเจ้าจะต้องเสือกไปยืนขวางทางเขาด้วยเล่า? ก็เจ้าหลบไปเสียให้พ้น ๆ เขาไม่ได้หรือ เมื่ออยากจะระบายโมโหก็ระบายเอาซิ หมูหมามีนี่ ระบายเสียให้พอ!” ดวงแขย้ำ.

ก็พอดี เม่งซัมเจ๊แกล้งเสเรื่องมากลบเกลื่อนคดีวิวาททุ่มเถียงเละๆ เทะๆ เสีย โดยแนะว่าให้ลองเลียบเคียงถามไต้อังดู เผื่อจะรู้เค้าเงื่อนของเรื่องบ้าง ซึ่งคำแนะนำของเง็กเล้าได้ผล ไต้อังได้สาธยายหมดจนสิ้นเปลือกถึงสาเหตุแห่งที่มาของอารมณ์ร้ายท่านตั้วกัวยิ้งครั้งนี้!

ได้ยินเรื่องเข้าเท่านั้น เม่งเง็กเล้าก็วิจารณ์ขึ้นว่า “ไม่น่าเลย ผัวตายไม่ทันไร จะด่วนแต่งงานใหม่ ก็เป็นการน่าเกลียดอยู่!”

นางโง้ววัวยะเนี้ยได้ช่องก็เสริมคำซัมเจ๊ขึ้นว่า “ก็ทุกวันนี้ ยังจะมีมนุษย์หน้าไหนบ้างหรือที่สำนึกในการควรมิควร ถมไปพวกเมีย ๆ ความคิดต่ำ พอผัวตายไม่ทันข้ามคืน ศพยังคาบ้านก็ริอ่านกินเหล้าเกี่ยวกับผู้ชายคนใหม่แล้ว เราอยากจะเรียกนังพวกนี้ว่า พวกหน้าด้านไม่มียางอายถึงจะเหมาะ”

เม่งเง็กเล้า และพัวกิมเน้ยก็ต้องเงียบงันไปด้วยกัน เพราะค่าที่ตัวของตัวใช่จะหนีพ้นคำกล่าวหาของนางตั้วเจ๊ไปได้ไม่ ฟังแล้วรู้สึกแสลงหัวใจสาวเอาการอยู่ คล้าย ๆ ว่า นางวัวยะเนี้ยจงใจด่าใส่หน้าอย่างผู้ดีนี่เอง ดังนั้นทั้งสองนางจึงเลือกเอาทางออกข้าง ถอนตัวผละจากวงสนทนาไปเสียก่อน.

และก็เนื่องในโอกาสที่ตั้งกิมกี่ผู้ลูกเขยได้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านนี้เอง ไซหมึ่งเข่งตั้งใจจะให้ลูกเขยได้มีโอกาสทำงานทำการเป็นหลักเป็นฐานกับเขาเสียบ้าง จึงมอบภาระงานควบคุมการก่อสร้างบ้านคราวนี้ให้เขาทำแทนไล่จิว เพราะเห็นว่าไล่จิวชรามากแล้ว ควรจะได้พักผ่อนบ้าง ไซหมึ่งจึงให้เขาไปทำหน้าที่เฝ้าประตู และตั้งก็ขะมักเขม้นเอาใจใส่ในการงานที่ท่านพ่อตามอบหมายให้ดีอยู่ เขาสู้อดทนทำงานโดยมิได้เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเป็นที่ชื่นชมยิ่ง.

แลตั้งกิมกี่ผู้นี้ที่นับแต่ได้เข้ามาอยู่ร่วมชายคากับพ่อตา การปรากฏว่าเขายังมิเคยได้ย่างกรายไปข้างไหนเลย ชั้นแต่ในบ้านก็มิเคยจะได้เหยียบย่างไปยังเรือนอื่นบ้านอื่น ที่นอกเหนือไปจากห้องซึ่งท่านพ่อตาจัดไว้ให้เป็นส่วนของเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจอย่างใดเลยในข้อที่ว่า กิมกี่ไม่รู้จักมักคุ้น และหรือจะได้เคยสนทนาวิสาสะกับบรรดาภรรยาทั้งหลายของท่านพ่อตาเลย.

อยู่มาวันหนึ่ง ไซหมึ่งไม่อยู่บ้าน มีธุระต้องไปในงานเลี้ยงส่งฮ้อข้าหลวงยุติธรรมประจำภาค (Provincial Judge Ho) ดวงแขได้ปรารภขึ้นถึงความอันนางอาทรอยู่ในตัวลูกเขยของสามีกับนางลีเกียว และเม่งเง็กเล้า นางบอกว่ารู้สึกสงสารค่าที่เห็นเขาต้องตรากตรำทำงานที่ได้เห็นแก่เหนื่อยยาก ทำแต่งานวันทั้งวัน จะเป็นการน่าเกลียดหรือไม่ก็มิรู้ หากเราจะจัดเครื่องดื่มของกินให้เขาบ้าง ความจริงเราจะเพิกเฉยเสียก็ได้ เพราะใช่กงการอันใดของเรา แต่บอกจริงๆ เราทนดูคนที่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียว โดยไม่มีใครเหลียวแลเอาใจใส่เสียเลยเช่นนี้ไม่ได้

เม่งเง็กเล้าก็ให้ความเห็นแก่นางดวงแขว่า จะเป็นไรไปเล่า ปรกติเจ๊ท่านก็มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของผู้คนในบ้านอยู่แล้วเป็นธรรมดา ถ้าตั้วเจ๊ไม่สั่งใครจะกล้าทำ.

ดังนั้น นางดวงแขจึงตกลงใจให้แม่ครัวจัดหาอาหารไว้สำหรับตั้ง ครั้นถึงเวลาเที่ยงพักงาน นางก็ใช้ให้คนไปตามเขามากินอาหารที่เรือนใหญ่.

นางได้ทำการต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ทั้งนี้ยังความขอบคุณให้แก่ตั้งกิมกี่เป็นอย่างมาก เขากล่าวแสดงความขอบใจและออกตัวว่านางมิควรจะต้องกังวลแก่เขาถึงเพียงนี้ เพราะงานการที่เขาทำก็ใช่ว่าจะหนักหนาอะไรนัก แล้วนางดวงแขก็ให้สาวใช้ไปตามภรรยาของเขามากินอาหารเสียด้วยกันกับสามี แต่ยังมิทันที่ภรรยาจะทันมาถึง ตั้งก็ได้ยินเสียงกรุ๊กกริ๊ก ๆ อยู่ในห้องข้าง ๆ ชักสงสัยก็ถามตั้วเจ๊ว่า “มีคนเล่นไพ่อยู่ในห้องนี้หรือ?” นางก็ตอบว่าใช่ ภรรยาของเจ้ากับนางเง็กเซียวสาวใช้ของเราเอง ตั้งก็หน้าตึงและพูดว่า “ดูซิ–ดูนางประพฤติตัวซี!” แล้วเขาก็ถอนใจอย่างเอือมระอา “ในขณะที่ตั้วเจ๊ใช้ให้คนไปตามนางทางหนึ่ง สินางไพล่มาเล่นไพ่อยู่เสียอีกทางหนึ่งเช่นนี้เอง!”

แล้วอีกสักครู่ ภรรยาของตั้งก็แหวกมู่ลี่ออกมา นางเข้าร่วมโต๊ะอาหารกับสามีด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ นางดวงแขก็ถามเธอขึ้นว่า “เป็นอย่างไร สามีของเจ้าเขายังพอจะเล่นไพ่เป็นอยู่เหมือนกันมิใช่หรือ?”

“ก็คงพอจะดูๆ กับเขาได้บ้างละกระมัง” เธอตอบอย่างเล่นลิ้น.

“อย่างดีก็พอจะรู้ว่ากลิ่นไหนหอม กลิ่นไหนเหม็นเท่านั้นเอง”

ซึ่งในใจจริงของดวงแขแล้ว นางหารู้ไม่ว่าตั้งกิมกี่ผู้นี้ นอกจากขยันขันแข็งในการงานแล้ว เขายังสันทัดและชำนาญในการประพันธ์กาพย์กลอนโคลงฉันท์และสามารถในการเล่นลูกเต๋า, ทายนิ้ว, เล่นต่อแต้ม และหมากรุก เป็นที่สุดอีกด้วย จึงเมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วนางก็ชวนเขาเล่นไพ่กันสนุกๆ แลตั้งเป็นคนรู้การควรมิควรอยู่ จึงขอตัวอย่างเกรงใจ เขาบอกว่า “อย่าเลย อย่าชวนข้าพเจ้าเล่นด้วยเลย เชิญตั้วเจ๊ท่านเล่นกันสองคนเถิด!”

นางดวงแขก็ว่า จะเป็นไรไปไม่น่าจะต้องมาเกรงอกเกรงใจอะไรกันอยู่ เพราะท่านก็ใช่ใครอื่นที่ไหน ญาติพี่น้องกันทั้งนั้น ดังนั้นทั้งหมดจึงลุกขึ้นไปยังห้องข้าง ๆ พอดีซัมเจ๊กำลังนั่งถอดไพ่ง่วนอยู่ เมื่อนางเห็นว่ามีคนเข้ามา ก็ลุกขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มาใหม่ได้รับความสำราญ แต่ยังมิทันที่เง็กเล้าจะออกประตูไป นางดวงแขก็ชิงรั้งเอาตัวไว้เสียก่อน และถามว่า “จะไปไหนเล่าซัมเจ๊? นี่ตั้งกิมกี่ มิใช่ใครอื่นที่ไหน ควรจะรู้จักกันไว้” แล้วนางดวงแขก็หันมาแนะนำแก่ตั้งให้รู้จักกับซัมเจ๊ของเขาเสีย ตั้งก็คำนับให้แก่นาง แล้วทั้งหมดก็ตั้งวงจับกลุ่มกันเล่นไพ่ คราวแรกๆ ตั้งยังมิได้ลงมือเล่นทีเดียว เขาเพียงแต่ดูๆ แล้วก็ช่วยแนะให้ภรรยาทิ้งตัวนั้นตัวนี้บ้างเป็นบางครั้ง หนักเข้าอดรนทนไม่ได้ ตั้งก็เลยลงมือเล่นเสียเอง เขาได้แสดงฝีมือให้หญิงเหล่านั้นได้เห็นประจักษ์ว่า “ผู้ชายคนที่เมียของเขาบอกว่า ไม่ประสีประสาในการเล่นไพ่นั้น ที่แท้แล้วเขามีความสามารถเกินกว่าจะบอกได้เพียงว่า ไหนหอมไหนเหม็นไปเสียอีก”

และในระหว่างที่เขานั่งเล่นกันอยู่นั้นเอง นางบัวคำก็แง้มมู่ลี่ยิ้มแต้เข้ามา พอเห็นหน้าตั้งถนัด บัวคำก็ทักขึ้นอย่างเป็นกันเองว่า “ตั้งน่ะเองแหละ นึกว่าหนุ่มน้อยที่ไหนเสียอีก”

ตั้งหันขวับไปทางเจ้าของเสียงคนที่ยินเสียงพูดแล้วฟังระรื่นหูเหมือนระฆังเงิน เพียงสบตาภรรยาคนที่ห้าของท่านพ่อตาเข้าเป็นครั้งแรกเท่านั้น เขยหนุ่มของไซหมึ่งก็แทบมืออ่อนตีนอ่อนไปเสียให้ได้ เขารู้สึกวาบหวิวขึ้นในอารมณ์ ประหนึ่งว่าได้มาพบเข้ากับโฉมงามนางใดนางหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นคู่พิศวาสกันมาแต่ชาติปางก่อน.

และขณะที่หนุ่ม-สาวอึกอักอยู่ด้วยกระแสสวาทต่อกันนั้น นางดวงแขก็แนะนำตั้งขึ้นว่า “นี่ไงละ โง่วเจ๊ของท่าน” ตั้งรีบลุกขึ้นประสานมือเพียงอกพลางโค้งคำนับให้นางอย่างนุ่มนวล แล้วตั้วเจ๊ก็ร้องเรียกบัวคำให้มาดูไพ่ “มาข้างนี้ซิ โง่วเจ๊ มาดูเป็ดอ่อนสอนหัด แต่ว่ายน้ำแข็งยังกับเป็ดแก่แน่ะ”

พัวกิมเน้ยแสร้งยกพัดด้ามจิ้วขึ้นกระพือใส่หน้าอันผุดผ่องนวลใยของนางอย่างยวนยี พลางเขยิบเข้าไปยืนข้างนางดวงแข ช่วยชี้แต้มแนะตาเดินให้นางอยู่.

ก็พอดีถึงเวลาที่ตั้วกัวยิ้งกลับ วงญาติมิตรจึงจำต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน เขยหนุ่มถึงกลับตาลีตาเหลือกหาทางออกแทบไม่ทัน เมื่อไซหมึ่งแวะไปตรวจงานก่อสร้างเสียหน่อยก่อนแล้ว เขาก็ตรงมาเรือนนางพัวกิมเน้ย

“วันนี้พี่ท่านกลับแต่วันเชียว” บัวคำถามท่านสามี เขาก็ตอบว่าไม่มีธุระอะไร ชั่วแต่ร่วมไปส่งฮ้อเขาแค่นอกชานเมืองก็พอแล้ว อากาศมันร้อนเหลือเกินทนไม่ไหว แล้วขณะที่เขานั่งรับประทานอาหารว่างอยู่ด้วยกันนั้นเอง สามีก็ได้พูดขึ้นถึงเรื่องการจะจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ในวันมะรืนนี้ เขาเตือนให้นางตระเตรียมอาหารรับรองไว้อย่าให้ขาดเหลือได้ เพราะเชื่อว่าแขกเหรื่อคงมากันมากเช่นเคย.

แลขณะนั้นมืดแล้ว ชุนบ๊วยจึงจุดตะเกียงเข้ามาให้ ไซหมึ่งรู้สึกอ่อนเพลียระเหี่ยใจ ค่าที่ต้องนั่งม้าเกือบทั้งวัน กอปรทั้งได้ดื่มสุราเข้าไปหลายจอก จึงชักจะง่วง ๆ ก็ขอตัวไปนอนแต่หัวค่ำ แต่พอหัวถึงหมอน ไซหมึ่งก็หลับผล็อยทันที เสียงกรนดังสนั่นราวกับว่าฟ้าร้องแว่วมาแต่ไกล ๆ ก็มิปาน.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ