- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
เมื่อศาลจังหวัดตังเพ้ง อันมีตังบุนเจียว เจ้าเมืองเป็นประธาน ได้ตัดสินพิพากษาคดีความของบู๋ซ้ง อดีตผู้บังคับกองลาดตระเวนแห่งเช็งฮ้อ เสร็จสิ้นไปแล้ว ไซหมึ่งเข่งตั้วกัวยิ้งก็รับทราบข่าวนี้ไว้ด้วยความปรีดา เขารู้สึกโล่งอกโล่งใจเสมือนหนึ่งว่า มีใครมาช่วยยกภูเขาอันทับอกออกไปเสียได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการฉลองโชคชัยในกาลนี้ เขาได้สั่งให้จัดงานเลี้ยงเป็นการภายในขึ้น ณ คฤหาสน์ของเขาอย่างมโหฬาร วันนั้นบริเวณเก๋งบัวขาว (Water Lily Pavilion) ภายในอุทยานอันรื่นรมย์ได้รับการกวาดถูและตบแต่งประดับประดาอย่างงดงาม มีวงดนตรีและนักร้องที่อยู่ในความนิยมของประชาชนมาร่วมบรรเลงประกอบงานเป็นการเพิ่มความครึกครื้นยิ่งขึ้น และโอกาสนี้เองภรรยาทั้งห้าผู้สะอางโฉมของท่านเจ้าสัว ต่างก็พะพริ้มเพรากันอยู่ทุกถ้วนหน้าในงานนี้.
กล่าวกันว่างานกินเลี้ยงที่จัดเป็นการภายในของไซหมึ่งคราวนี้ หรูหราและยิ่งใหญ่นัก ซึ่งจะใหญ่ยิ่งและหรูหราสักแค่ไหนนั้น พิจารณาเถิด จากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เขาพรรณนาไว้ดังนี้.–
From precious bronze basins
Swirls the aromatic smoke.
In deep bowls and vases
Chrysanthemums greet the eye.
Rare carvings are displayed
From Kwangsi, land of ivory;
And shimmering strings of pearls,
Gathered on Kwang Tung’s shores.
In crystal bowls are heaped
Dates and pears.
Goblets of blue-green jade
Are brimming with rarest vintages.
A heady fragrance rises
From pitchers of red gold.
Chopsticks are plunged into food
Worth ten thousand cash:
Boiled dragon liver
And stewed phœnix giblets,
Black bears’ paws
And tawny camels’ feet,
And the finest of dragon-phœnix tea paste
To stimulate the palate anew–
Truly a feast unparalleled,
Worthy of the wealthiest of the wealthy.
ซึ่งเมื่อถอดออกมาฟังความเป็นพากย์ไทยแล้ว ก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่มโหฬารสมดั่งต้นฉบับอวดอ้างไว้ยิ่งนัก ฟังซิ.
จากถาดสัมฤทธิ์
อบอวลอยู่ด้วยกลิ่นควันธูปกำยานหอม
ในแจกันและกระถาง
ดอกเบญจมาศสล้างช่อล่อตาชม
รูปปั้นแกะสลักที่งามประณีต
แต่ละล้วนมาจากเมืองกังสี, ดินแดนแห่งงาช้าง;
และพวงสร้อยไข่มุกที่แวมวาวนั้นๆ เล่า
ได้สรรมาแล้วอย่างดีเลิศจากฝั่งทะเลของเมืองกวางตุ้ง.
ในถ้วยผลึก แต่ละม้วนหลามล้น
ด้วยทั้งผลอินทผลัม และลูกสาลี่.
จอกสุราหยกสีมรกต (นั้นเล่า)
ก็เปี่ยมแปล้อยู่ด้วยน้ำสุราองุ่นรสเลิศ
ส่งกลิ่นฉุนฉมชวนลิ้ม
ล่องระเหยมาจากเหยือกสีทองสุกปลั่ง.
ตะเกียบมิรู้กี่คู่ต่อกี่คู่ ขวักไขว่ และสับสนอยู่ในจานอาหาร
(ที่) ประมาณราคา ก็ค่าหมื่น (ตำลึงเงิน)
ตับมังกรต้ม
สตูเครื่องในหงส์
เล็บหมีดำ
ตีนอูฐ (ผัด) เหลืองอร่าม
กอปรด้วยขี้ผึ้งชาหอม มังกร–หงส์ อย่างดีที่สุด
เป็นการช่วยชูรสอาหารให้เอมโอชะยิ่งขึ้นทับทวี
เชื่อเถิด, ยากจะหางานเลี้ยงครั้งใดเทียม
สูงค่า เหนือราคา ควรก็แต่เป็นงานของท่านมหาเศรษฐี
นี้แท้เทียว.
ระหว่างที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินอยู่ ไต้อังเด็กรับใช้คนคู่ใจของท่านตั้วกัวยิ้ง ก็เดินนำพาสาวน้อยหน้าแฉล้มผู้หนึ่งเข้ามาหา พร้อมกับเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายอีกคนหนึ่ง ทั้งสองถือกล่องใส่ของขวัญมาด้วยคนละใบ ไต้อังรายงานต่อท่านเจ้าบ้านว่า ท่านฮวยจื้อฮือให้คนนำของขวัญมาให้
เด็กหนุ่มสาวทั้งคู่นั้นก็กระทำคำนับต่อท่านเจ้าบ้านและแม่นางดวงแข เป็นที่นอบน้อมและแจ้งว่า “ฮวยแกของข้าพเจ้าใช้ให้นำของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้แด่ตั้วเจ๊เป็นของชำร่วย”
ครั้นเมื่อเจ้าบ้านทั้งสองเปิดกล่องออกดู ก็ปรากฏว่าเป็นกล่องใส่ขนมผิงแป้งฟูราดหน้าผลไม้ ซึ่งมีรสโอชะไม่ผิดกับขนมเสวยสำหรับองค์ฮ่องเต้ในพระมหาราชวังกล่องหนึ่ง ส่วนอีกกล่องหนึ่งนั้นใส่ช่อดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose) ทั้งนี้ ยังความปลาบปลื้มใจให้แก่แม่นางวัวยะเจ๊เป็นอันมาก.
นางกล่าวคำขอบใจอย่างลึกซึ้งฝากสาวใช้ผู้นั้นไปถึงแม่หญิงผู้เพื่อนบ้าน พร้อมทั้งถามชื่อและแซ่ของหนุ่มสาวทั้งคู่ เสร็จแล้วนางก็มอบผ้าเช็ดหน้าให้เป็นรางวัลแก่เด็กสาวหน้าอ่อนผู้นั้นผืนหนึ่ง และให้เงินแก่เด็กผู้ชายร้อยอีแปะ แล้วก็อนุญาตให้เขากลับได้.
“ฮวยเจ๊, นี่น้ำใจดีเหลือเกิน” ดวงแขกล่าวแก่สามี “หลายหนหลายครั้งแล้ว ที่เธอทำบุญคุณให้เรา ข้าพเจ้าเองอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ที่หาโอกาสตอบแทนบุญคุณเธอมิได้”
“ฮวยเจ๊, คนนี้ แต่งงานกับจื้อฮือเพื่อนเรามาแต่เมื่อสองปีก่อน” ไซหมึ่งเข่งบอก “เคยได้ยินเขาชมเชยอยู่เสมอถึงนิสัยใจคอภรรยาผู้นี้ของเขา น่าจะจริงอย่างที่เขาชม เพราะหาไม่ เธอคงไม่ใจป้ำถึงขนาดหาเมียน้อยให้จื้อฮือได้ถึงสองคนดอก”
“ข้าพเจ้าดูเหมือนจะเคยได้เห็นหน้าเธอเพียงชั่วหนหนึ่งเท่านั้น” ดวงแขกล่าวสืบไป “ถูกแล้วล่ะ เมื่อวันงานท่านขันทีผู้ใหญ่แซ่ฮวยคนนั้นนั่นเอง ถ้าจำไม่ผิด รูปร่างเธอจะไม่สู้สูงนัก, หน้ากลม ๆ หน่อย แต่คิ้วทั้งคู่ของเธอนี่ซิรู้สึกว่างามเหลือเกิน สมกับที่เป็นผู้หญิงเฉลียวฉลาดรอบรู้และคล่องแคล่วในการสมาคม ข้าพเจ้าคะเนว่าอายุอานามของเธอเห็นจะไม่เกินยี่สิบห้าแน่ๆ”
“อ้าว น้องไม่รู้ดอกหรือว่า ครั้งหนึ่งแม่หญิงลีปังผู้นี้เคยเป็นอนุภรรยาของท่านเหนี่ย ขุนนางผู้ใหญ่แห่งเมืองตั้งเมี้ยฮู้ (Imperial Secretary in Chef Liang from Ta Ming Fu) มาก่อน เธอนี่แหละเป็นผู้ที่นำโชคลาภอันมหาศาลมาให้สามี เนื่องแต่การร่วมสมรสกับเธอละ”
ดวงแขก็บอกแก่สามีว่า “ข้าพเจ้ามิเคยรู้มาก่อนเลย”
“ดีแล้ว, โอกาสหน้าเราจะได้หาทางสมนาคุณเธอเสียบ้าง”
ก็แต่ว่า ยังจะได้มีใครรู้จักแม่หญิงฮวยเจ๊, ผู้นี้ดีอยู่หรือ? ท่านผู้อ่านที่เคารพ, อันนางฮวยเจ๊ผู้ที่ออกชื่อมานี้ ความจริงแล้วนางเกิดแต่สกุลลี (Li) ตามประวัติเล่าว่า เมื่อยามนางปฏิสนธิจากครรภ์มารดานั้น ได้มีผู้นำเอากระถางดอกไม้ลายปลามามอบให้เป็นของขวัญแก่บิดามารดาของนางพอดี จึงผู้ให้กำเนิดของนางทั้งสองได้ขนานนามธิดาน้อยผู้นี้ว่า ปัง (Ping) และเรียกันติดปากว่า ปังเจ๊ (Sister Ping) อยู่มาเมื่อนางจำเริญวัยใหญ่กล้าขึ้น นางก็ได้รับการตบแต่งให้ไปเป็นภรรยาน้อยของท่านขุนนางผู้ใหญ่แซ่เหนี่ย (Secretary-in-chief Liang) และเหนี่ยผู้นี้ก็มิใช่ใครที่ไหน เขาคือลูกเขยของท่านอัครมหาเสนาบดี ฉั่วจิ้ง นั่นเอง ทว่าภรรยาหลวงของเหนี่ย, คือธิดาท่านขุนนางผู้ใหญ่ฉั่วนั้น มีนิสัยขี้หึงเป็นอย่างมาก ปรากฏว่านางเคยได้บีบคอบรรดาเมียน้อยเมียเก็บสวย ๆ ของสามีมาเสียนักต่อนักแล้ว ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของเมียรัก แม่ลีปังคนนี้ เหนี่ยจึงระแวดระวังรักษานางไว้เสมือนนางไก่ถนอมฟองไข่ เขาจัดที่อยู่ให้นางโดยเฉพาะใกล้ ๆ ห้องของเขา คือให้อยู่ทางห้องปีกซ้ายของเก๋งอันเป็นห้องสมุดของเขา โดยมอบไว้ให้อยู่ในความดูแลของสาวใช้ที่เขาไว้วางใจยิ่งคนหนึ่ง อยู่มาครอบครัวเหนี่ยถูกผู้ร้ายลอบฆ่าตายหมดทั้งครัวเรือนมิเหลือหลอ รวมทั้งภรรยาหลวงผู้นั้นด้วย ทว่ามีที่หลงหูหลงตาคนร้ายใจอำมหิตรายนี้อยู่ก็คือ นางลีปังนี้หนึ่ง กับสาวใช้คนคุ้มกันนางนั้นอีกหนึ่ง และสองชีวิตที่รอดตายเหลืออยู่นี้ต่างก็พากันเล็ดลอดหนีกระเซอะกระเซิงออกจากบ้านไป ทั้งคู่หอบหิ้วกันกลับไปสู่บ้านเดิมของปัง ที่เมืองไคฟอง ทว่าในการหนีไปคราวนี้ ลีปังได้นำเอาไข่มุกน้ำเอกติดตัวไปด้วย ๑๐๐ เม็ด พลอยมรกตน้ำงามซึ่งมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าเม็ดละ ๒ ออนซ์ อีก ๓ คู่ แลด้วยเพชรนิลจินดาอันมีค่ามหาศาลที่ปังซุกซ่อนนำเอาติดตัวไปได้ในยามสามีต้องวิบัตินี้ ต่อมานางได้รับความเมตตาจากท่านขันทีฮวย โดยจัดการสู่ขอนางมาตบแต่งให้เป็นภรรยาหลวงของหลานผู้หนึ่งที่ยังโสดอยู่ และหลานชายท่านฮวยผู้นี้ ก็คือ ฮวยจื้อฮือ สองสามีภริยาได้ติดตามท่านขันทีผู้ใหญ่นี้ไปด้วยทุกหนทุกแห่งยามท่านมีชีวิตอยู่ ตราบครั้งหลังสุดเมื่อฮวยได้รับแต่งตั้งให้ไปเป็นข้าหลวงทางภาคใต้ และพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ในราชการ ฮวยก็พาหลานชายและหลานสะใภ้คู่นี้กลับมาอยู่ ณ เช็งฮ้อ, บ้านเก่าเมืองเกิดของเขาแห่งนี้ กระทั่งวาระที่เขาถึงแก่กรรมไป มรดกสินทรัพย์ทั้งหลายก็ตกทอดอยู่แก่ จื้อฮือ แซ่ฮวย ผู้นี้สืบมา.
และฮวยจื้อฮือก็หาใช่คนใดใครอื่นที่ผิดไปเสียจากหนึ่งในจำนวนเก้าของเพื่อนร่วมน้ำสาบานของไซหมึ่งเข่งตั้วกัวยิ้งผู้นั้นไม่ ทุกวันนี้เขาใช้เวลาเที่ยวเตร่สนุกสนานอยู่เป็นประจำกับเอ็งแปะเตี๊ยะ, และเจี้ยฮีตั้ว หรือมิฉะนั้นก็กับคนใดคนหนึ่งในบรรดาพวกเพื่อนเสเพลทั้งแปด เพราะเพื่อนเหล่านี้แต่ละล้วนฝืดเคืองแลยากจน จึงเมื่อมาเจอเจ้ามือใจกว้างกระเป๋าหนักเช่นนี้เข้า ต่างก็ยกยอปอปั้นเสียสุดเหวี่ยง จนจื้อฮือเคลิบเคลิ้มและจ่ายไม่อั้นตลอดเวลามา ปรากฏว่าบางครั้งบางคราวฮวยได้หายหน้าค่าตาไปจากบ้านนับเป็นเวลาติดๆ กันถึงสี่-ห้าคืนก็เคยมี.
เอาละ, เราจะหยุดกล่าวขวัญถึงเขาเสียทีก่อน เพราะงานกินเลี้ยงอันมโหฬารที่ท่านเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งจัดขึ้นในวันนี้ยังไม่สิ้นเสร็จ เสียงกระจับปี่สีซอยังแว่วระงมกังวานอยู่.
“เก๋งบัวขาว” ก้องกระหึ่มอยู่ด้วยเสียงกระจับปี่สีซอ และเสียงสรวลเสเฮฮาของบรรดาแขกเหรื่อที่รับเชิญมาในงานเลี้ยง เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของท่านตั้วกัวยิ้ง คนมั่งคั่งแห่งเช็งฮ้อ กระทั่งถึงเพลาเย็นงานเลี้ยงครั้งนี้จึงได้สิ้นสุดลง ไซหมึ่งเข่งได้ตรงไปยังเรือนพักของแม่นางเมียน้อยคนที่ห้าทันที ตกมาระยะนี้ท่านเจ้าสัวชักจะมึนเมาถึงขนาดแล้ว ฤทธิ์สุราที่เข้าไปทั้งวันเริ่มเผาอกให้เขารู้สึกร่านเร้าอยู่ด้วยอารมณ์ปรารถนาอันร้อนแรง.
ดังนั้นเมื่อพัวกิมเน้ย, เจ้าปูที่หลับปัดที่นอนเสร็จ สองสามีภรรยาต่างก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนและตนออก เพื่อแก่การเข้าสู่นิทรารมณ์ยามราตรี ทว่ายามนี้ ไซหมึ่งเข่งได้ตกอยู่ในอารมณ์ของความพิศวาสที่ป่วนประสาทอยู่ด้วยพิษมึนของเหล้า และทั้งพิษเมาของรักถึงขีดสุดแล้ว การอันจะหลับจะนอนเยี่ยงธรรมดาประเวณีวิสัยจึงหาเป็นที่สบอารมณ์คนผู้นี้ไม่.
แลไซหมึ่งทราบมาว่า นางเมียรักของเขาผู้นี้ มีความชำนิชำนาญในการเป่าขลุ่ยเป็นยิ่งนัก จึงปรารภแก่นางว่า เขาปรารถนาจักได้ฟังเพลงขลุ่ยฝีปากเธอ แลเขานั้นมาตรว่ามิถนัดอยู่แก่การอันจะเป่าขลุ่ยนี้ก็จริง แต่อย่างไรก็ดี ยังมีภูมิรู้พอที่จะแนะนำนิ้วก้านกลเม็ดเด็ดพรายได้บ้าง ดังนั้นเสียงขลุ่ยจากลมปากของโฉมแม่นางพัวกิมเน้ยก็แผ่วครวญแว่ววิเวกขึ้น ตามท่วงทำนองอันแหบโหยในเบื้องต้น และลุกลี้ลุกลนในท่ามกลาง ขับกล่อมเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งให้เพลิดเพลินอยู่ในกามสุขภายในเรือนน้อยหลังนั้น
“โอ้, พระพายชายเฉื่อยเรื่อยๆ ริ้ว
หนาวดอกงิ้ว งิ้วดอก ออกไสว
เกสรงิ้ว ปลิวฟ้า มายาใจ
ให้หนาวใน ทรวง สุดกล้ำกลืน
โอ้, รื่นริน กลิ่นกลอย ดอกสร้อยฟ้า
ทรงแต่สา โรชรวย ชวยชวยชื่น
หอมกระถิน กลิ่นเกลี้ยง เมื่อเที่ยงคืน
เหมือนเคยกลืน กลิ่นกลั่น สุคันธา
เสียงขลุ่ยที่ครวญอยู่เจื้อยแจ้วยังมิทันจบ ท่านเจ้าสัวก็ร้องเรียกชุนบ๊วย, แม่สาวใช้ต้นห้องให้นำน้ำชาเข้ามาให้ ซึ่งก็เร็วทันใจ ที่พอสิ้นเสียงนายผู้ชายสั่ง ต้นห้องสาวเจ้าก็กระวีกระวาดนำเข้ามา ขลุ่ยที่กำลังครวญขับถี่อยู่ก็พลันหยุดชะงักลงกลางคัน พัวกิมเน้ย, ให้ขวยเขินเป็นยิ่งนัก นางรีบกระหวัดผ้าห่มขึ้นคลุมร่างในทันที.
“ฮา–ฮา––” ท่านเจ้าสัวหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ “จะต้องไปอายเด็กมันทำไมน้อง เวลาจื้อฮือเขาหยอกสาวใช้ทั้งคู่ของเขาที่บ้านต่อหน้าแม่หญิงลีปัง เธอยังไม่เห็นจะอายเลย ซึ่งนั่นมิน่าอายกว่านี่เป็นไหน ๆ ดอกหรือ? นางคนพี่ก็เห็นจะอายุพอกับชุนบ๊วยนี้แหละ ข้างแม่น้องสาวก็คือคนที่นำของขวัญมาให้เราเมื่อกลางวันนี้อย่างไรเล่า ไม่เลวนะฮวยคนนี้ เขามีอะไรดี ๆ เหมือนกัน ก็ใครจะคิดบ้างเล่า ว่าคนขนาดฮวยยังจะสนุกสนานได้กับเด็กสาวๆ ขนาดนั้นไหว.”
บัวคำ, ไหวทันในคำพูดของสามี เธอแสร้งเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ “ฮึ, ขี้โกงชะมัดเลยพี่ท่าน ข้าพเจ้าน่ะไม่อยากจะหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งด้วยเลย แต่เท่าที่ฟังพูดมาก็พอจะรู้ทันอยู่ กำลังนึกถึงนางชุนบ๊วยมันอยู่ใช่ไหมละเดี๋ยวนี้? พูดก็พูดมาเสียตามตรงเถอะ อย่ามาทำอ้อมค้อมให้มากเรื่องไปเลย เชิญซิ–อยากจะลองก็ได้ ใครเขาไปห้ามไปหวง เอาเถอะจะปล่อยท่านให้สบายใจเสีย วันพรุ่งนี้เราจะเปิดโอกาสให้- -”
ไซหมึ่งเข่ง, ยิ้มละไมอยู่ในหน้า “ฉลาดนักน้องเรา, ก็อย่างนี้จะมิให้พี่รักเจ้าหมดใจไหวหรือ ช่างรู้อกรู้ใจพี่ไปเสียทุกอย่าง––” แล้วเสียงขลุ่ยที่หยุดชะงักไปชั่วขณะก็แว่วกังวานขึ้นอีกสืบไป ตามลำนำของบทบาทที่เต็มไปด้วยนิ้วก้านและชั้นเชิง.
“โอ้, นางแย้ม แย้มเหมือน จะเยื้อนยิ้ม
ให้เชยชิม แช่มชื่น รื่นนาสา
ส่งแต่กลิ่น รินร่วง พวงผกา
สร้อยสุมา ลีแฝง อยู่แห่งใด
ภุมริน บินลอง ละอองอ่อน
อาบเกสร เสาวรส ซึ่งสดใส
เสาวคนธ์ มณฑา พอยาใจ
ไม่เหมือนได้ ดอกฟ้า ลงมาเชย
โอ้, ยามหนาว ดาวเดือน ก็เคลื่อนคล้อย
จะล่องลอย ลับฟ้า นิจจาเอ๋ย
มิลงมา หน้าบาน บัญชรเลย
จะได้เชย ชมพระ ศศิธร
(สุนทรภู่ ในพระอภัยมณี)
สิ้นเสียงขลุ่ยที่ครวญแผ่ว สองหนุ่มสาวก็ผล็อยหลับไปด้วยกัน หัวซบอยู่กับหัว และขาแนบอยู่แนบขา ไม่ผิดเลยกับคติสอนหญิงที่ว่า “จะผูกพันความรักในชายใดให้แน่นแฟ้นแล้วไซร้ สาวเอย, เจ้าควรจะขับขลุ่ยให้เขาฟัง”
รุ่งขึ้น, วันต่อมา พัวกิมเน้ยได้รักษาคำพูดมั่นคงนัก ด้วยปรากฏว่าวันนั้นทั้งวัน ภริยาคนที่ห้าของไซหมึ่งผู้นี้ ได้ใช้เวลาไปขลุกขลุ่ยอยู่ที่ห้องแม่หญิงดวงแข, ผู้เอกภริยาตลอดทั้งวัน เป็นการปล่อยโอกาสให้ท่านตั้วกัวยิ้ง ได้ชิดเชย “เหมยรุ่น”, เจ้าชุนบ๊วยอย่างอิ่มเอมใจ.
“ท้อเอย, แม้บาน หากต้องลมพาน
ก็รังแต่กลีบเกสรเจ้าจะหลุดร่วงลงโรยดิน
เป็นที่น่าเสียดายอยู่
“หลิวเอย, ใบอ่อนเพิ่งเริ่มจะผลิก้าน
หากต้องลมพาน กิ่งก้านก็รานลู่
ซึ่งก็น่าเสียดายเจ้าอยู่เช่นกัน.”
สืบแต่นั้นมา, สาวใช้ต้นห้องของพัวกิมเน้ยนางนี้ เจ้าก็ได้รับการขยับขยายฐานะให้ได้อยู่ในสภาพดีขึ้นกว่าแต่ก่อน งานหนักเจ้าไม่ต้องแตะอีกแล้วต่อไปนี้ สิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติประจำก็คือปูที่หลับปัดที่นอนให้แม่นาย และเทียบที่น้ำร้อนน้ำชาสำหรับท่านตั้วกัวยิ้ง อยากจะได้สิ่งใด เพชรนิลจินดาหรือทองหยอง บอกเถิด บัวคำยินดีให้ และสารพัดคุณสมบัติอันเป็นสิ่งที่ลูกผู้หญิงสมัยนั้นควรจะรอบรู้ บัวคำก็สั่งสอนให้เจ้าจนสิ้นเชิง ตรงข้ามกับนางชิวเก็ก คนอันเป็นสาวใช้คู่กัน เพราะนางคนนั้นได้รับก็แต่การดุด่าจากแม่หญิงพัวกิมเน้ยนี้มิเว้นวัน.
----------------------------