รักแท้–รักเทียม

แต่ไซหมึ่งเข่งอยู่กินเป็นสามีภรรยากับแม่หม้ายทรงเครื่องฮวยลีปังมา การณ์ก็ปรากฏว่าทุกวันนี้เขามั่งคั่งร่ำรวยมาก ทั้งนี้เพราะด้วยไหนจะสมบัติดั้งเดิมของเขาแล้วเล่ายังจะสมบัติของฝ่ายเมีย ดังนั้นการอันจะจับจ่ายใช้สอยภายในบ้านจึงเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ข้าทาสหญิงชายก็พรักพร้อม แต่ละล้วนมีความสุขเกษมเปรมปรีดิ์อยู่นี่ทุกถ้วนหน้า.

และยิ่งกว่านั้นเขายังให้จัดให้มีการฝึกวงมโหรีขึ้นไว้ประจำบ้านอีกด้วย โดยตกลงว่าจ้างลีเม้งนักดนตรีหนุ่มผู้พี่ชายของนางลีกุยเข่งนั่นเองมาเป็นครูสอน.

ส่วนในด้านการทำมาค้าขายเล่า เขาได้ลงทุนเปิดกิจการตั้งโรงรับจำนำขึ้นร้านหนึ่งที่ตลาด ต่อจากร้านขายยาเครื่องยาเดิมของเขา งบประมาณในการดำเนินงานใหม่นี้เป็นจำนวนถึงสองพันตำลึง ทั้งนี้มอบให้อยู่ในการจัดการของตั้งกิมกี่ ผู้ลูกเขย และมีฮก กับปังสี่ เลขานุการผู้นั้นของเขาเป็นผู้ช่วย ปรากฏว่ากิจการดำเนินไปด้วยดี ชั่วระยะที่เปิดร้านขึ้นไม่กี่วัน ผู้คนชาวบ้านก็พากันมาจำนำข้าวของเป็นที่อุ่นหนาฝาคั่ง จนถึงกับไซหมึ่งต้องดัดแปลงห้องชั้นบนของเรือนใหม่ ทำเป็นห้องพัสดุไว้ของมีค่า

ถึงตัวผู้จัดการตั้งกิมกี่เองก็เถอะ เขามีความขยันขันแข็งและตั้งอกตั้งใจในการทำงานเป็นอย่างมาก เช้าถึงค่ำหน้าดำคล้ำเครียดอยู่กับงาน จนเป็นที่โปรดปรานของท่านพ่อตาเป็นอย่างมาก.

ถึงแก่วันหนึ่ง ไซหมึ่งได้เรียกเขาเข้าไปพบ และยกย่องชมเชยเขาเป็นอย่างมาก ตั้งก็กล่าวฝากเนื้อฝากตัว และรับรองแข็งขันในการจะรับปฏิบัติหน้าที่ที่ท่านพ่อตามอบหมายไว้ใจนี้ให้เป็นอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะกระทำได้ เขาบอกท่านพ่อตาว่า เขารู้ตัวของเขาดีว่ายังไม่มีความรู้ความสามารถจัดเจนเท่าใดนักในการปฏิบัติงาน จึงหากจะมีการใดขาดตกบกพร่องขึ้นก็ขอท่านบิดาได้กรุณาอภัยและตักเตือนสอนสั่งแก่เขาด้วย ซึ่งยังผลให้ท่านพ่อตาทวีความปรานีขึ้นอีกเป็นอันมาก สืบแต่นั้นมา ไซหมึ่งได้พยายามเอาลูกเขยผู้นี้ติดหน้าตามหลังไปไหนต่อไหนด้วยเสมอ พยายามแนะนำให้เขาได้รู้จักมักคุ้นกับบรรดาพ่อค้าและบุคคลสำคัญในวงธุรกิจการค้า และผู้มีอิทธิพลในวงการปกครองของบ้านเมืองในทุกโอกาสอันควร ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นการเปิดหูเปิดตาให้ลูกเขยได้ศึกษาหาความชำนาญในการจะออกปฏิบัติภารกิจโดยโดดเดี่ยวสืบไปในวันหน้า ทั้งนี้ก็นับว่าเป็นโชคดีของตั้งกิมกี่อย่างยิ่ง.

อยู่มาวันหนึ่ง ไซหมึ่งเข่งนึกอยากจะไปเที่ยวบ้านยายลีม้า เพราะว่าหมู่นี้เขาได้เหินห่างเพื่อนฝูงเสียนาน มิได้ออกเที่ยวซอกแซกหาความสำราญนอกบ้านดังแต่ก่อน ดังนั้นจึงตกลงใจออกจากบ้านและแวะไปชวนเอ็งฮวยจื๊อ กับเจี้ยฮีตั้วให้ไปเที่ยวด้วยกัน แต่เห็นว่าเวลายังวันอยู่ เขาก็เลยเถลไถลแวะไปเยี่ยมเสียงตี้เจียกเสียก่อน นั่งกินน้ำร้อนน้ำชาอยู่จนเห็นได้เพลาแล้วถึงได้ออกจากบ้านเสียงไปยังซ่องของยายลี.

และฤดูนั้นเป็นฤดูหิมะกำลังตกหนัก ฝนลูกเห็บพรำตลอดเวลา อากาศก็ออกจะหนาวเหน็บเอาการอยู่ จึงขณะนั่งม้ามาด้วยกันตามทาง เอ็งได้ปรารภขึ้นดังๆ ว่า “เฮ้อ อากาศหนาวๆ เช่นนี้ หากมีคนสวยแนบข้างกะเขาสักคน ก็คงจะอุ่นกาย” เจี้ยก็เลยสนับสนุนขึ้นว่า “ถูกอย่างที่เพื่อนพูด นี่ตั้วเฮียท่านก็เริดร้างนางลีกุยมาได้เกือบเดือนแล้ว ชั่งกระไรใจคอพี่ท่านจะยอมเสียเงินไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ได้ตั้งเดือนละยี่สิบ-สามสิบตำลึง โดยมิได้คิดจะเรียกเอาทุนคืนเสียบ้างเลยหรือไรนี่?”

แต่แล้วเมื่อเขาทั้งสี่มาถึงซ่องยายลีเข้าจริง ก็หามีคนสวยคนงามไว้ให้เขาได้แนบชิดเชยแก้หนาวสักนางไม่ คงมียายเฒ่าเจ้าสำนักแกออกมาต้อนรับอยู่ผู้เดียว แกบอกว่า ลีกุยเข่งพึ่งจะได้ออกจากบ้านไปเมื่อชั่วครู่นี้เอง เพราะนางคอยท่านตั้วกัวยิ้งมาก็หลายเพลาแล้ว มิเห็นกรายมาบ้าง เลยชะรอยนางคาดเสียว่า คืนนี้ท่านตั้วกัวยิ้งก็คงจะไม่มาอีก นางจึงได้ตัดสินใจไปร่วมงานแซยิดน้าสาวคนที่ห้าเสีย.

แต่อันที่จริงแล้ว ยายลีม้าแกโกหกมดเท็จทั้งเพ เพราะนางลีกุยเข่งมิได้ออกจากบ้านไปข้างไหนแต่อย่างใด ด้วยซ้ำขณะนี้นางกำลังนั่งคุยกระจู๋กระจี๋อยู่อย่างสำราญบานใจกับหนุ่มหน้าใหม่ที่เรือนเล็กข้างหลังบ้าน เพื่อนนอนคนใหม่ของนางลีกุยผู้นี้ชื่อ เต็ง เป็นพ่อค้าขายแพร เดินทางมาจากเมืองฮังจิว เขามาค้างอยู่กับนางลีกุยได้คืนหนึ่งแล้ว หลังแต่ที่จำหน่ายสินค้าหมดและมีกำไรงาม คืนนี้เป็นคืนที่สองที่เขารู้สึกติดเนื้อพึงใจในรสเสน่ห์น้ำรักของสาวงามชาวเช็งฮ้อผู้นี้ จึงหลังแต่ที่แวะซื้อเสื้อผ้าเอาไปให้บิดาที่บ้านพักแล้ว เต็งหนุ่มก็แนวกลับมาหานาง ซึ่งเป็นขณะที่เขาทั้งคู่กำลังเชยชมเสื้อไหมของขวัญตัวใหม่สำหรับนางอยู่ต่อกันนั้นเอง ไซหมึ่งก็พรวดพราดโผล่เข้ามา ยายเฒ่าลีเห็นไม่ได้การ ก็เลยลนลานผลักเจ้าหนุ่มลูกค้าจรให้แอบมานั่งซ่อนสนทนาเสียกับนางลูกสาวทางเรือนหลังบ้าน ตัวแกสู้อุตส่าห์ออกไปรับหน้าท่านลูกค้าขาประจำผู้มีเกียรติดังกล่าวมา.

ข้างว่าไซหมึ่งเข่ง เมื่อไหน ๆ ก็บากหน้ามาทั้งทีแล้ว คิดเสียว่าคอยก็คอย ไม่ช้าคืนนี้นางคนรักก็คงกลับมาแน่ๆ เขาก็เลยสั่งซื้อเหล้าซื้ออาหารมากินกัน ทั้งสี่คนนั่งร่วมสนทนาอยู่กับยายลีม้า และพี่สาวของนางลีกุย เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง.

เมื่อนั่งสนทนากันอยู่นานช้า ตั้วกัวยิ้งก็ชักเมื่อยขึ้นมา จึงลุกขึ้นออกมาเดินเล่นเพื่อยืดเส้นยืดสายที่ข้างนอก และก็ช่างบังเอิญอะไรเช่นนั้นที่เขาเกิดไปได้ยินเสียงสนทนาหยอกเอินของหนุ่มสาวคู่นี้เข้า เขานึกสงสัยและอยากรู้ว่าเป็นใคร ก็เลยปีนหน้าต่างลอบชะโงกขึ้นไปดู ร่างของชายหญิงทั้งคู่ที่ปรากฏแก่คลองจักษุของเขาบัดนั้น หาใช่คนใดใครอื่นที่ผิดไปเสียจากลีกุยเข่งแม่อบเชยช่องามของเขาไม่ และข้างชายหนุ่มหน้าใหม่ผู้นั้นเล่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนมาจากแคว้นใต้.

เสมือนใครเอาคมมีดมากรีดเนื้อเชือดเถือเอาดวงใจของเขาไป ไซหมึ่งเข่งเกิดโมโหพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีประดุจคนเสียจริต ไซหมึ่งถลาพรวดพราดเข้ามาในห้องรับแขก ถีบโต๊ะเก้าอี้พังกระจาย ฉวยได้จอกขว้างจอก ฉวยได้แก้วขว้างแก้ว สักแต่ว่าฉวยอะไรได้คว้าอะไรได้ ไซหมึ่งขว้างฉิบหายวายป่วงหมด มิเลือกว่าถ้วยชามรามไห ปากก็ร้องตะโกนเอะอะเอ็ดตะโรลั่นบ้าน ร้องเรียกคนใช้ที่ติดตามมาให้ขึ้นมาช่วยกันพังบ้านนี้เสียให้จงได้.

“มึงไปซุกหัวอยู่ที่ไหน อ้ายคนเมืองใต้สารเลว ออกมา–ออกมาเสียโดยดี” ไซหมึ่งเต้นผางออกไปกลางสนามหญ้าร้องท้าทายเต็ง ให้ออกมาสู้กัน “เร็วไปจับเอาตัวมันมา จับมันมัดมาด้วยกันทั้งคู่มอมหน้าเสีย แล้วขังไว้เรือนหน้าประตูบ้านนั่นแหละ คนไปใครมาเขาจะได้เห็นกันทั่ว ๆ!” ตั้วกัวยิ้งร้องสั่งคนใช้ให้จัดการกับเจ้าหนุ่มคนชิงรัก.

ข้างว่าเต็งนั่นเล่า ธรรมดาอาชีพของเขาก็เป็นพ่อค้า ดังนั้นเรื่องที่ว่าเขาจะหาญสู้มนุษย์นั้นไม่มีหวัง พอได้ยินเสียงไซหมึ่งเข่งคุกคามขู่เข็ญเข้าเช่นนั้น ความกลัวตัวสั่นแทบว่าจะสิ้นลมปราณ รีบชมซานหลบเข้าไปซุกอยู่ใต้เตียงอย่างอกสั่นขวัญแขวน ทำให้สาวงามลีกุยมองดูอยู่ด้วยความหยามหยันในสีหน้า นางบอกแก่เขาว่า: -

“บ๊า! ผู้ชายอะไรขี้ขลาดตาขาวสิ้นดี? เราเจอะมาเสียบ่อยจนชินแล้วเรื่องเช่นนี้ อย่าลืมว่าอาม้าแกยังอยู่อีกทั้งคน จะไปกลัวอะไรกัน ออกมาเสียเถอะ ปล่อยให้เขาสำรากของเขาให้พอ!”

แต่ไซหมึ่งเข่งยามนี้ ต่อให้ยิ่งกว่าอาม้าลีก็รั้งเขาไม่ไหว อารมณ์ร้ายของเขาขณะนี้ดูไม่ผิดอันใดกับสุนัขบ้า แม้เพื่อนฝูงที่มาด้วยกันก็แทบฉุดเขาไม่ไหว ต่างปลอบโยนและเตือนสติให้เขาสำนึกถึงฐานะและความเป็นอยู่ของเขา ที่มิอาจเปรียบกันได้ด้วยประการทั้งปวงกับพ่อค้าผ้าชาวฮังจิวคนนั้น ครู่ใหญ่ไซหมึ่งก็ค่อยทุเลาโกรธและได้สำนึกขึ้น เขาออกปากสาบานไว้แต่บัดนั้นว่า ต่อไปนี้เขาจะมิขอเหยียบย่างเข้ามาในซ่องยายลีนี้อีก แล้วก็โดดขึ้นหลังม้าควบฝ่าพายุหิมะกลับไปบ้านในท่ามกลางราตรีอันหนาวเหน็บของคืนนั้น.

แลไซหมึ่งเข่งเมื่อกลับมาถึงบ้านนั้น เพลาก็ล่วงดึกเข้าไปแล้ว ท้องฟ้าอากาศที่มัวมนอยู่ครู่ค่ำ ก็กลับแจ่มใสปลอดโปร่งขึ้นดังเดิม หมู่ดาวจระเข้ทอดทิวโชติช่วงอยู่ทางเบื้องอุดรทิศาภาค ไซหมึ่งลงจากหลังม้าแล้วก็เดินตัดสนามหญ้าตรงไปยังเรือนพักของภรรยา เขาเดินลุยกองหิมะสวบสาบ ๆ ไปด้วยความหัวเสีย แต่ในทันทีที่เขาผลักประตูรั้วจะเข้าบ้านใหญ่นั้นเอง ไซหมึ่งก็เกิดเอะใจขึ้นมา เพราะเห็นบานประตูเปิดงับแงอยู่ เขาคาดไปข้างว่าชะดีจะร้ายคงจะมีเหตุการณ์ผิดปกติอันใดสักอย่างเกิดขึ้นทางข้างภายในบ้าน คิดเช่นนี้แล้วพ่อบ้านคนฉุนเฉียวก็หลบเข้าซุ่มแฝงเงาคอยดูเหตุการณ์อยู่ริมประตู.

ทันใดนั้นเอง ตั้วกัวยิ้งก็เห็นเจ้าเง็กเซียว สาวใช้ต้นห้องของนางดวงแขเดินกะเล่อกะล่าแบกโต๊ะบูชาเทิ่ง ๆ ออกประตูมา แล้วก็นำเอาไปตั้งไว้ที่ปลายเฉลียงทางเดิน ซึ่งก่อเลียบขนานไปกับกำแพงบ้านอันไม่ไกลจากที่ ๆ ไซหมึ่งซุ่มอยู่เท่าใดนัก เมื่อเง็กเซียวตั้งที่บูชาและวางธูปหอมกำยานเผาไว้พร้อมมูลดีแล้ว สักครู่ ไซหมึ่งก็เห็นนางดวงแข ภรรยาหลวงของเขาเดินสำรวมอิริยาบถออกมาภายในเครื่องแต่งกายสำหรับกอปรยัญพิธีอย่างเชื่องช้าดูเป็นที่เคร่งขรึมอยู่.

เหตุการณ์เหล่านี้ยังความพิศวงงงงวยให้แก่ตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งเข่ง เป็นที่สุด เขามิรู้ว่าต้นสายปลายเหตุมีมาอย่างไร ซึ่งก็น่าอยู่ดอกที่เขาจะไม่อาจล่วงรู้ได้ เพราะนับแต่ที่เขาเกิดระหองระแหงโกรธขึ้งกับนางตั้วเจ๊คนนี้แล้ว เขาก็มิเคยได้เอาใจใส่แยแสในความประพฤติเป็นอยู่ของนางเลย.

ดังนั้น เป็นธรรมดาที่สามีผู้งมงายในห้วงอบายมุขผู้นี้ ย่อมมิอาจรู้ได้ว่าทุกวันนี้ ภรรยาหลวงของเขาได้หันเข้าถือศีลกินเจอยู่เป็นกิจวัตรประจำเดือนเสียแล้ว.

ทั้งนี้ด้วยความที่นางปรารถนาดีต่อสามี ดวงแขอุตส่าห์ถือศีลภาวนาสวดอ้อนวอนขอศีลขอพรให้แก่ไซหมึ่งเป็นประจำทุกเดือนมา เดือนละสามครั้งตามกำหนดถือศีลของนาง และแต่ละครั้งที่นางงดเสพยาสุราเมรัยเนื้อสัตว์นี้ นางจะต้องมากระทำสักการะกราบไหว้ต่อหมู่ดาวจระเข้ทุกคราวไป.

ดังนั้น เมื่อนางดวงแข เดินสำรวมอิริยาบถมาถึงที่ตั้งโต๊ะบูชาอันนางสาวใช้จัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว นางก็ลงมือแผ้วกวาดฝุ่นผงรอบๆ บริเวณจนสะอาดสะอ้าน เสร็จแล้วนางก็คุกเข่าลงบนเบาะนวมหน้าที่บูชา จุดธูปและเผากำยานเป็นการสักการะต่อนักษัตรดาราบนห้วงเวหาหาว แล้วนางก็ก้มลงกราบอยู่ด้วยดวงจิตอันแน่วแน่นิ่งสงบรำงับ พลางนางก็กล่าวอธิษฐานวิงวอนขอพรต่อเทพยดาเจ้าด้วยเสียงพึมพำๆ ว่า

“ข้าพเจ้าหญิงอาภัพผู้ยากแห่งตระกูลโง้ว มีความเศร้าสลดในพฤติกรรมของไซหมึ่งเข่งผู้สามีเป็นอย่างมาก ในการที่ทุกวันนี้เขาได้หลงระเริงจนลืมบ้านลืมช่อง เอาแต่เที่ยวสำมะเลเทเมาอยู่ด้วยสุราและนารี ปล่อยปละละเลยบรรดาภรรยาทั้งหลายไว้อย่างมิได้ไยดี ทุกวันนี้เขายังหาได้มีบุตรเพื่อไว้สืบแซ่ตระกูลกับเขาไม่ ในจำนวนภรรยาทุกคนของเขาที่มีอยู่ ขณะนี้ก็หามีใครแต่สักคนที่จะให้กำเนิดทายาทแก่เขาไม่ เช่นนี้หากเขาหาบุญไม่แล้ว วิญญาณสามีของข้าพเจ้าจะได้ใครเล่าเป็นผู้เซ่นสรวงและบูชา ใครเล่าจะเป็นผู้รักษาฮวงซุ้ยที่ฝังศพยามเมื่อเขาตาย ข้าพเจ้าเฝ้าวิตกกังวลถึงเขาอยู่ทุกทิพาราตรีมา ห่วงว่าสามีข้าพเจ้าเขายังจะได้ใครที่ไหนหนอมาช่วยอภิบาลรักษาเขายามเมื่อชราเข้าครอบงำ? ขอเทพยดาเจ้า ผู้ประจำนักษัตรโปรดได้เล็งทิพยญาณ ข้าพเจ้าขอกราบอธิษฐานซึ่งทวยเทพเจ้าผู้ทรงสิทธิศักดิ์ โปรดได้เอื้ออำนวยพร กลับจิตดลใจสามีของข้าพเจ้าให้หันกลับมาฝักใฝ่ในเหย้าเรือน เพื่อที่ความหวังในอันจะยังทายาทให้ถือกำเนิดแก่เขา จักได้ดำรงตระกูลวงศ์สืบไป นี้เป็นคำกราบอธิษฐานด้วยจริงใจ จากข้าพเจ้าหญิงผู้อาภัพ”

เสมอแต่ยินคำอธิษฐานอ้อนวอนเทพเจ้าอันดวงแขตั้วเจ๊กล่าวมิทันจบ ไซหมึ่งก็รู้สึกละอายใจเหลือล้นพ้นประมาณแล้ว เขาสำนึกถึงความหลังอันอยุติธรรมที่เขาได้สำแดงต่อนางมาอย่างทารุณโหดร้าย ทว่าบัดนี้หญิงคนเดียวกับที่เขาเคยโหดร้ายทารุณ และอยุติธรรมกับนางมานั้นเอง ได้สู้อุตส่าห์ฝ่าความเหน็บหนาวของกาลอันดึกดื่นแห่งราตรีเพียงเพื่อที่จะมาบูชาขอพรจากเทพยดาประจำดาวให้ปกปักรักษาและเอื้ออำนวยทายาทแก่เขา เช่นนี้มิใช่น้ำเนื้อแท้แห่งความภักดีของนางหรือ?

ไซหมึ่งมิทันรอให้นางกล่าวจบ เขาโผล่พรวดพราดออกมาจากที่ซ่อน และตรงเข้าไปหานางในทันที เขาค่อยประจงกอดและโอบเอาร่างนางดวงแขเข้าไว้กับอ้อมอกอย่างทะนุถนอม ซึ่งตั้วเจ๊เองหนแรกนางก็ให้ตระหนกอกสั่นอยู่เหลือหลาย ที่อยู่ๆ สามีก็โผล่เข้ามากอดนาง ดวงแขได้พยายามผลักไสเพื่อให้พ้นจากอ้อมกอดของสามี และดิ้นรนจะกลับเข้าเรือนให้จงได้ แต่ไซหมึ่งได้กระชับร่างนางไว้มั่น สุดที่ดวงแขจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหนีไปไหนพ้น!

“น้องเอ๋ย! พี่นี้โง่มานานแล้ว เดี๋ยวนี้หูตาสว่าง พี่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร พี่เข้าใจจิตใจน้องได้เป็นอย่างดีแล้วบัดนี้!” สามีพูดด้วยน้ำเสียงอันซาบซึ้ง “ต่อความอยุติธรรมทั้งหลายแหล่ที่พี่ได้แสดงต่อน้องมา พี่รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งในความผิดทั้งหมดของพี่ที่แล้ว ๆ มา”

แต่นางดวงแขคงยังอ้ำอึ้งและไว้ท่าปึ่งชาอยู่ด้วยความน้อยใจ นางได้กล่าวเป็นเชิงเหน็บแนมแก่สามีว่า “ชะรอยพี่ท่านจะเข้าประตูผิดเพราะหิมะลงหนัก เรื่องอะไรอยู่ๆ พี่ท่านจะจงใจมาเหลียวแลหญิงเลว ๆ ที่พี่ท่านจงเกลียดจงชัง และมิเคยแยแสด้วยตลอดเวลามาเช่นข้าพเจ้านี้?”

สามีไม่ตอบ แต่กลับช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นและค่อยโอบประคองพานางกลับไปยังห้อง โดยที่ต่างมิได้พูดจาอันใดต่อกันเลยตลอดทางตราบกระทั่งเรือน ภายใต้แสงประทีปโคมไฟอันกระจ่างแจ่ม ไซหมึ่งเฝ้าเพ่งพินิจพิจารณาเรือนร่างของนางดวงแขอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก ในความรู้สึกที่เขาเห็นว่า ภรรยาหลวงของเขาผู้นี้สวยไม่เบา ภายในเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดที่นางกำลังสวมใส่อยู่ดูช่างงามกลมกลืนและละเมียดละไมสมเป็นศรีสะใภ้แห่งตระกูลไซหมึ่งยิ่งนัก กระโปรงสีเหลืองและเสื้อรัดรูปสีกุหลาบสด พักตร์ผ่องที่งามผุดผาดอยู่ภายใต้หมวกคลุมสีดำประดับปิ่นคันงาม จี้หยกรูปโพธิสัตว์กวนอิมล้อมกรอบทองทอแสงระยับอยู่เหนือทรวงอกอันอวบอัด! งามอย่างนี้–สวยเช่นนี้ ก็แล้วจะมิให้พี่อดใจรักเจ้าไหวหรือ? ไซหมึ่งโค้งให้แก่นางอย่างระยอบ พลางสารภาพว่า.

“ตาพี่บอดและหูพี่หนวกมานานแล้ว พี่หลงพะนอแต่ก้อนกรวดหินประดาดจนลืมเพชรน้ำงามล้ำค่าเม็ดนี้ของพี่ไว้เสียนานช้า แต่ก่อนพี่ไม่เคยเชื่อฟังคำน้องเลย บัดนี้พี่รู้สำนึกแก่ใจแล้ว ขอโทษพี่เถิด จะให้พี่กราบขอโทษกี่หมื่นกี่พันหนก็ยอม!”

แต่ดวงแขยังมิคลายหายที่ขุ่นเคือง นางใส่แง่ต่อสามีว่า “ก็ข้าพเจ้าใช่ภรรยาคนคู่ควรแก่การอันจะยุ่มย่ามในวิถีทางของพี่ท่าน มีอย่างหรือที่จะอาจเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ดีแก่ท่านได้ ประสงค์อย่างเดียวทุกวันนี้ของข้าพเจ้าคือขออยู่เงียบ ๆ แต่ลำพัง และจะเป็นพระคุณมาก หากพี่ท่านจะไม่มารบกวนก่อความยุ่งยากลำบากให้แก่ข้าพเจ้าอีก ไม่เหมาะดอกที่ท่านจะมาเอาใจใส่ในตัวข้าพเจ้า โปรดได้ละข้าพเจ้าไว้แต่ผู้เดียวเถิด ข้าพเจ้าขอร้อง ขอพี่ท่านกรุณาได้ออกไปเสียจากเรือนนี้ คิดว่าท่านคงไม่ปรารถนาให้ข้าพเจ้าต้องเรียกสาวใช้มาเปิดประตูให้มิใช่หรือ?”

“วัวยะเนี้ยเอย วานเจ้าอย่าเสือกไสขับไล่พี่ วันนี้พี่ได้รับความหัวเสียมาตลอดเวลาแล้ว พี่มาหาเจ้าคืนนี้ก็ด้วยหวังที่จะระบายความกลัดกลุ้มในใจต่อเจ้า ควรหรือน้องมาดื้อดึงกับพี่ หันหน้ามาพูดจากันแต่โดยดีเถิด จะโกรธขึ้งไปถึงไหน”

“ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าพเจ้าเล่า ในความหัวเสียของพี่ท่าน? ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะรับเป็นคนคอยฟังความกลุ้มกลัดขัดใจของท่านดอก โปรดได้ไประบายกับคนอื่นเถิด”

แล้วนางก็เมินหน้าเสียทางหนึ่ง มิยอมจักสบตาแก่สามีไซหมึ่งคุกเข่าลงงอนง้อขอโทษนางอยู่หนแล้วหนเล่า ที่สุดเขาซบลงแทบเท้าของภรรยาผู้นี้และออดอ้อนรำพันความเป็นที่ชวนสงสารนักว่า “น้องเอ๋ย พี่ขอโทษ–พี่ขอโทษนะน้องนะ!” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบว่าจะเสียงแหบเสียงแห้งเสียให้ได้

แต่วัวยะเจ๊ก็ไม่ยอมรับฟังอยู่ดี “ท่านมาทำเป็นสุนัขประจบนาย ครวญครางเช่นนี้ต่อข้าพเจ้าเพื่อประโยชน์ใด ข้าพเจ้าจะเรียกสาวใช้ขึ้นมาเดี๋ยวนี้แหละ” แล้วดวงแขก็หันไปร้องเรียกนางเง็กเซียวให้เข้ามา.

สามีเห็นเช่นนั้น ก็แทบว่าจะลุกขึ้นตั้งตัวไม่ทัน เขายืนตรองอยู่อย่างกระอักกระอ่วนใจว่า จะหาทางขับนางสาวใช้ได้อย่างไรดี ก็พอดีเง็กเซียวโผล่เข้ามา ท่านพ่อบ้านคนปัญญาไวก็บอกแก่นางว่า “เร็วเข้าเง็กเซียว รีบออกไปยกโต๊ะบูชาเข้ามาเก็บเสีย ตั้งทิ้งตากหิมะอยู่นานแล้วเดี๋ยวจมหมด”

แต่แม่สาวใช้กลับศอกกลับให้คุณชายอย่างทะลึ่ง ๆ ว่า “ข้าพเจ้ายกเข้ามาเก็บนานแล้ว”

นางวัวยะเนี้ยทันแก่ความคิดของสามี อดรนทนฟังไม่ได้ก็เลยแหนบเข้าให้ว่า “พี่ท่านน่ะแสนจะบรมโกง หลอกเด็กหลอกเล็กก็ได้ ผู้ชายอะไรพรรค์นี้ก็มี” แล้วนางก็หัวเราะขึ้นอย่างขบขันในท่าทางอันขวยเขินของสามี.

เง็กเซียวยืนตีหน้าเซ่อรอรับฟังคำสั่งคุณผู้หญิงอยู่ ครั้นเห็นว่าใช่การอันใดของตัวต่อไปแล้ว เจ้าก็เลี่ยงออกมาเสีย ไซหมึ่งเห็นเช่นนั้นก็หันเข้าใช้ลูกไม้เดิมต่อไปอีก คือคุกเข่าลงงอนง้อขอสารภาพผิดต่อภรรยาสืบไป

ในที่สุดนางดวงแขก็ใจอ่อน นางตัดพ้อด้วยความช้ำใจว่า “ข้าพเจ้าสาบานไว้แล้วเทียวนะ ว่าต่อให้อีกร้อยปีพันชาตินี้ จะไม่ขอร่วมหลับนอนกับพี่ท่าน” แล้วนางก็อนุญาตให้สามีกระเถิบขึ้นมานั่งเคียงข้างได้ พลางร้องเรียกสาวใช้ให้ยกที่น้ำร้อนน้ำชามา แล้วทั้งคู่ต่างก็หันหน้าเข้าปรองดองต่อกันเป็นอันดี ไซหมึ่งเล่าความอันที่ตนได้รับความสะเทือนใจมาจากซ่องยายลีม้า แล้วก็ย้ำให้ภรรยาฟังว่า ต่อไปนี้เขาจะมิขอข้องแวะกับหญิงโสเภณีสืบไปอีก.

ซึ่งดวงแขกให้สติเขาว่า การอันควรหรือไม่ควรจะประพฤติตนเช่นใดนั้นเป็นเรื่องของเขาเอง ซึ่งเขาน่าจะรู้ได้ดีอยู่ อันผู้หญิงโสเภณีเหล่านี้ย่อมไม่อาจมีอะไรซื้อความซื่อสัตย์ของมันไว้ได้ดอก ต่อให้แสนมหาสมบัติก็ตามที จึงมิควรที่เขาจะมาปรารมภ์ คิดไปก็ไร้ประโยชน์เปล่าเปลืองแก่ความคิดโดยใช่เหตุ เพราะต่อให้ผูกมัดรัดรึงและล่ามโซ่ประทับครั่งเอาไว้ ผู้หญิงพวกนี้ก็ไม่มีวันที่จะเชื่องกับคนเลี้ยง!

สามีก็ว่าที่ภรรยาตักเตือนมานั้นเป็นการถูกต้องทุกอย่าง แล้วเขาก็อนุญาตให้สาวใช้ออกไปได้ หลังแต่ที่ได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกแล้ว ไซหมึ่งก็ชวนนางตั้วเจ๊เข้าสู่ที่สนิทนิทรารมย์สืบไป.

ภรรยาเห็นเช่นนั้น ก็พูดอย่างมีนัยและยิ้มยวนอยู่ในที่ว่า “การอันจะเข้าที่หลับนอนร่วมกันกับข้าพเจ้านี้พี่ท่านคงมิได้รับความสบายดอก” ว่าแล้วดวงแขกชม้ายตาดูวาววามหวามเสน่ห์ตรึงใจอยู่ นางย้ำสืบไปอีกว่า คิดดูเสียให้ดีนะพี่ หากรักที่จะหลับนอนกับเมียคนนี้ของท่านละก็ ก่อนอื่นอย่าพึ่งด่วนตัดสินใจลงไปให้เร็วนัก!”

แต่แทนที่สามีจะโต้ตอบ เขากลับผงกหัวลุกขึ้นมาโอบกระหวัดรัดเอาร่างนางดวงแขเข้าไว้เต็มรัก ในอารมณ์ของเขาหน่วงหนักอยู่ด้วยความปรารถนาเป็นที่สุดแล้ว.

ซึ่งหากจะให้พรรณนาความในตอนนี้เพื่อฟังกันให้เป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจแล้ว เห็นจะมิอาจสรรหาคำพรรณานาอันใดให้พริ้งไพเราะได้เท่าคำกลอนในเสภาขุนช้าง–ขุนแผน ที่ว่า

พี่ยอมแพ้แล้วไม่แก้สำนวนนาง

พลางก็กางมือกอดไว้กับกาย

เกิดโกลาฟ้าลั่นสนั่นเสียง

เปรี้ยงเปรี้ยงอสนีคะนองสาย

พิรุณโรยโปรยสาดกระเซ็นปราย

พระพายพัดพ่างเพียงพิภพพัง

ลั่นพิลึกครึกครื้นคลื่นละลอก

แฉะกระฉอกฟองเฟอะขึ้นฟูมฝั่ง

ตลิ่งกระทบกลบกระแทกกระเทือนดัง

พอฝนถั่งลมก็ถอยพลอยนิทรา.

คืนนี้ ไซหมึ่งเข่งได้คืนดีแล้วกับนางโง้ววัวยะ ภรรยาหลวงของเขา.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ