- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
หลังจากที่ได้เกิดเหตุการณ์อันรุนแรงระหว่างน้องผัว-พี่สะใภ้ ที่ถึงขนาดปะทะกันด้วยคารมอันรุนแรงถึงพริกถึงขิงแล้ว บัวคำเจ้าก็เดินร้องไห้ลงบันไดไป คงทั้งสองพี่น้องให้นั่งสั่งเสียสนทนากันอยู่แต่ลำพัง เขานั่งจิบเหล้ากันพลางคุยกันพลางจนถึงเวลา บู๋ซ้งจึงลาพี่ชาย เขาย้ำแล้วย้ำอีกถึงคำตักเตือนของเขา และยังกำชับนักหนา ว่าถ้าพี่ชายเกิดรักจะขยันทำกินอย่างเดิมละก็ให้บอก เขาจะได้ส่งคนมาเฝ้าบ้านให้ แต่ข้างพี่ชายก็ยืนยันว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งของน้องชายทุกประการ เรื่องจึงเป็นอันว่าหายห่วงไปเสียที บู๋ซ้งลาพี่กลับและนับได้ว่าเป็นการลากลับครั้งหลังสุด ที่บู๋ซ้งไม่มีโอกาสจะได้กลับมากล่าวคำอำลาอีกเป็นซ้ำสองต่อพี่ชายของเขาในชั่วชีวิตนี้ เพราะเขาได้คุมขบวนอูฐต่างบรรทุกส่วยสาอากรทองและเงิน เดินทางไปส่งยังเมืองหลวง ภาคตะวันออก แต่ ณ เพลาเช้ามืดของวันรุ่งขึ้นนั้นเอง.
และสืบแต่วันนั้นเป็นต้นมา บู๋ตั้วได้ปฏิบัติตนตามคำเตือนของน้องชายทุกประการ คือนึ่งซาลาเปาขายแต่น้อยไม่ทำมากเหมือนเก่า แล้วรีบกลับบ้านแต่วัน ๆ พอกลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้วก็จัดการปิดประตูหน้าต่างชักม่านมู่ลี่ลงเป็นที่มิดชิดไม่ปล่อยให้ประเจิดประเจ้อ ตัวเองนั่งเล่นนอนเล่นอยู่แต่ในห้อง ทว่าชาตาเขาเป็นคนอาภัพ ถึงจะนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในบ้าน ก็ยังไม่วายโดนเมียสาวก่นโคตรเข้าให้ทุกวันไป เขาโดนนางด่าว่าติดต่อกันอยู่อย่างนี้ถึงสาม–หรือสี่วัน เหตุการณ์ถึงค่อยยังชั่วลง “มึงนะมึง, อ้ายโง่ ช่างไม่ได้เป็นตัวของตัวเสียแล้วนี่ คนไม่มีมันขมอง มีอย่างรึตะวันยังโด่ค้ำหัวดันเสือกปิดประตูหน้าต่างบ้านเสียแล้ว รู้ไหมละชาวบ้านเขาสุมหัวนินทากันให้แซ่ดไปแน่ะ–‘อ้ายอีผัวเมียคู่นี้ มันกลัวผีห่าจะมาหลอกมันกลางวี่กลางวัน ถึงต้องได้ปิดประตูหน้าต่างแต่ยังไม่ชิงพลบ ฟังซิ’–นี่ละเพราะมึงมัวแต่ไปเชื่อคำอ้ายน้องชายมึง ก็ไม่เห็นจะได้ความอะไร ดีแต่คุยโวใส่ความคนอื่นเขา” ซึ่งสามีก็ได้แต่นั่งฟังไป ไม่ได้ปริปากโต้แย้งอะไรทั้งสิ้น เขาพยายามสะกดกลั้นความโกรธไว้อย่างแสนสาหัส นอกจากเมื่อเห็นเหลือบ่ากว่าแรงก็ตวาดเอาเสียที “เฮ้อ ช่างหัวมันเถอะวะ ใครจะนินทาว่าร้าย ก็อ้ายที่น้องชายเรามันเตือนของมันน่ะถูกแล้ว––”
“ถูก! หนอย–อ้ายขี้ทูดเอ๊ย––” นางแหวเข้าให้ เท่านี้ไม่พอแถมถุยน้ำลายใส่หน้าเข้าให้อีกด้วย “-–มนุษย์โง่ๆ พรรค์นี้ก็มีกะเขาด้วย โธ่, อ้ายคนไม่มีความคิด ดีแต่ให้คนอื่นเขาจูงจมูกอยู่เรื่อย ๆ” ซึ่งคนผู้ผัวก็คงทำใจเย็นสู้เสือเข้าไว้ “เออน่า, ช่างมันเถอะ ใครจะว่าอะไรก็ช่าง เราถือว่าน้องชายมันพูดของมันถูกและมีค่ามากสำหรับเรา” ก็ลงรูปการเป็นไปในทำนองที่ว่า มึงด่าได้ด่าไปกูเฉยไว้ มึงเป็นไฟกูเป็นน้ำ เอ้าเอากัน หรือมิเช่นนั้นก็มึงเป็นเสือรึ เอาซีวะเลือกจะเป็นเสือตัวไหน ตัวผู้หรือตัวเมีย ถ้าเป็นตัวผู้กูเป็นตัวเมียเอง ยังงี้เรื่องก็ไม่มีเรื่อง หนักเข้าบัวคำก็เอือมระอาไปเอง และค่อยๆ ชินต่อสภาพการณ์แผนใหม่ในบ้าน บางวันนางก็จัดการปิดประตูหน้าต่างชักม่านมู่ลี่ไว้ให้เสร็จ ก่อนหน้าที่สามีจะกลับมาเสียเอง ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้ บู๋ตั้วก็สังเกตเห็นอยู่ เขาแอบซ่อนความพอใจในความประพฤติของภรรยาไว้เงียบๆ แต่ในใจ.
อันว่าวิถีชีวิตของเราท่านนี้ย่อมมีอันแปรเปลี่ยนและผันผวนเป็นธรรมดา กาลเวลาที่ลับล่วงก็ช่างรวดเร็ว ดูไม่ผิดอะไรกับความผกผันของม้าหนุ่มทรามคะนองที่ร่านลำพองอยู่กลางทุ่ง ความกลับกลอกและสับสนของวิถีชีวิตเราท่านนี้ ท่านเปรียบไว้เช่นกับกระสวยหูกทอผ้าอันไม่มีเวลาจะหยุดนิ่ง วันและเดือนล่วงไปและล่วงไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก.
สิ้นศักราชปีนั้นเอง เอี้ยง, เจ้าชายแห่งแสงสว่างของราชวงศ์ซ้องผู้สืบรัชทายาท ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทนองค์สมเด็จพระจักรพรรดิองค์ก่อน ราชอาณาจักรจีนได้ประสบเข้ากับฤดูอันรื่นรมย์ยิ่งฤดูหนึ่ง–นั่นคือ ฤดูชุนเทียน (Season of Plum Blossom)!
ณ เช้าอันสดใสและชุ่มฉ่ำวันหนึ่งในฤดูดังกล่าวนี้เอง, บัวคำ, สาวน้อยซึ่งวันนี้ตบแต่งร่างกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ สวยหรูดูเป็นที่สะดุดตา กำลังคอยเวลาที่สามีจะออกจากบ้านไปขายซาลาเปานึ่งอยู่ ทั้งนี้เพื่อที่นางจะได้มีโอกาสออกไปนั่งทอดอารมณ์ยังเฉลียงชายกันสาดที่ประตูบ้านอันเป็นมุมสำราญประจำวันของนางเช่นเคย และก็เยี่ยงนิยายเก่า ๆ ที่เล่าสืบปากกันมาว่า เหตุการณ์เล็กน้อยอย่างที่ไม่ได้คาดฝันนั้น อาจนำมาซึ่งอุบัติการณ์อันใดอันหนึ่งที่จะดีหรือร้ายก็ได้ในชีวิต จึงเพียงด้วยเหตุการณ์ที่หญิงงามผู้หนึ่งจะได้ทำไม้ค้ำกันสาดล้มไปโดนหัวของใคร ๆ เข้าสักคนหนึ่งขณะที่เดินผ่าน เพราะเหตุด้วยแรงนางทานกระแสลมไม่ไหว ซึ่งเหตุการณ์เพียงเท่านี้แหละที่อย่างน้อยก็ได้ทำให้วิถีชีวิตของลูกสาวช่างตัดเสื้อแซ่พัวผู้หนึ่ง ได้มีอันเป็นไปทั้งในทางเจริญขึ้นและเสื่อมลง
เพราะเหตุการณ์เล็กน้อยนี้ แลคือที่มาของเรื่องใหญ่ อันจะชักนำให้ยืดเยื้อไปสู่เรื่องอันสมบูรณ์ของเรื่อง “บุปผาในกุณฑีทอง” ที่ท่านผู้อ่านกำลังติดตามอยู่ ทว่าในที่นี้ เป็นแต่เพียงเหตุการณ์ที่จะนำเราไปสู่ตอนของ “เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์” เท่านั้นดอก.
เมื่อได้ทำไม้ค้ำกันสาดชายคาล้มไปโดนศีรษะชายผู้หนึ่งซึ่งเดินผ่านมาเข้าให้เต็มเปาแล้ว ประสาหญิงบัวคำก็ให้ตระหนกอยู่เป็นกำลัง ทว่าถึงอย่างไรก็ตามนางยังอดที่จะขบขันเสียมิได้ ในการที่ชายแปลกหน้าผู้นี้ช่างกระไรเซ่อซ่าเดินงมเข้ามาชนเอาได้ แต่อะไรกันนี่–หือ? นางเพ่งพินิจอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อเจ้าหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ต่อหน้านางบัดนี้––ลักษณะท่าทางนะหรือ โอ่อ่าเช่นเดียวกับหนุ่มสังคมที่ปราดเปรียวทั้งหลาย อายุอานามก็คงอยู่ในราว ๓๕ ปี เรือนร่างก็ดูองอาจและผึ่งผาย ภายในเสื้อทูนิคไหมบางสีเขียวอ่อน เขาสวมหมวกมีพู่สอดไว้ด้วยปิ่นรูปธนูทอง ทำให้ทุกอิริยาบถที่เขาย่างบังเกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งๆ ขึ้นด้วยทุกครั้ง เขาคาดเอวด้วยรัดประคดทองหัวหยก สวมถุงเท้าขนสัตว์และใส่รองเท้าพื้นบางสวยสะอาดตา ในมือถือพัดด้ามจิ้วลายทองฝีมือประณีต เพียงแต่มองผาด ๆ บัวคำก็สะเทิ้นและเอียงอายวิสัยสาวปะชายอันทรงรูปงามสง่าเป็นที่ต้องตาตน
ข้างเจ้าหนุ่มแปลกหน้าที่ยามทุกขลาภ เดินมาดี ๆ ถูกคนทำไม้ค้ำกันสาดหล่นโดนศีรษะเอาได้ หนแรกก็รู้สึกให้โมโหอยู่มาก ๆ “บัดซบจริง ๆ ใครน่ะ ช่างไม่ดูผู้คนเสียบ้างเลย” เขานึก พลันชะงักอย่างกะทันหัน เงยหน้าขึ้นตั้งใจจะด่าว่าเจ้าคนซุ่มซ่ามเสียให้สาแก่ใจ ทว่าพอเขาเงยหน้าขึ้น เห็นคนที่เขาถือว่าบังอาจและซุ่มซ่ามผู้นี้เข้า เขาก็ถึงกับตะลึงงันมืออ่อนตีนอ่อนไปหมด ก็จะไม่ให้เจ้าหนุ่มอ่อนไปหมดทั้งตีนและมือได้อย่างไร ในเมื่อคนที่เขาตั้งใจไว้จะด่าว่าให้เต็มที่สมใจนึกผู้นี้เป็นหญิงสาว–และด้วยซ้ำหญิงสาวที่ทรงความงามราวกับว่าหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงันเข้าให้ด้วย ชายหนุ่มก็ถึงแก่ตะลึงตะไลเต็มไปด้วยความพิศวงงงงวยนี่เป็นล้นพ้น.
เส้นผมอันดำขลับและละเอียดอ่อนของนาง
บรรจงมุ่นเกล้าไว้เป็นมวยงาม
ส่งกลิ่นหอมโชยระรื่นช่างรัญจวนใจ
บนมวยเล่าเจ้าก็ปักไว้ด้วยปิ่นทองอันประณีต
นางทัดหูข้างหนึ่งไว้ด้วยช่อดอกไม้สดสล้างสองดอก
หวีสับที่ใช้สับผมไว้ก็งามอย่างน่าพิศ
คิ้วของนางนั้นงดงามจนไม่รู้จะพรรณนาอย่างใดถูก
เหมือนกับว่ามีใครเอาใบหลิวอ่อน
มาวางซ้อนไว้เหนือพวงดอกท้อ
ต่างหูประดับของนางก็ส่งเสียงกังวานเป็นที่ไพเราะนัก
นางซ่อนร่างอยู่ในเสื้อมัสลินเนื้อดี
ซึ่งตัดและเย็บอย่างพิถีพิถันสมรูปและรับทรง
เผยให้เห็นช่วงอกอันอวบอัด
และผุดผ่องของนางได้อย่างถนัดตา
เสื้อนั้นปักเป็นดอกดวงแบบสมัยนิยมของฮูนาน
นางนุ่งผ้าถุงสั้น, ตัดด้วยแพรเปลือกไม้เป็นมันเลื่อมระยับ
และแลบปลายแขนเสื้อไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย
ซึ่งปักฉลุไว้เป็นลายดอกไม้งาม
นางห้อยถุงบุหงาใส่น้ำอบหอมกรุ่นไว้ที่บั้นสะโพก
ส่งกลิ่นขจรขจาย
ที่คอเสื้อนั้นนางกลัดดุมไว้เม็ดหนึ่ง
ต่อพิศลงมาต่ำ
จะเห็นเท้าเล็กๆ ทั้งคู่ที่งามเหมือนดอกพลับพลึงทอง
ควรจะนับว่าเป็นโชคอย่างยิ่งสำหรับละอองธุลีฝุ่น
ที่มีโอกาสรองรับเท้าของโฉมพธูเจ้า
ขณะเยื้องย่าง เท้าทั้งสองของนางที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าแตะ
ซึ่งเย็บด้วยแพรต่วนสีขาว
สะอาดประดุจหุ้มไว้ด้วยปุยสำลีนั้น -
บางและเบาเสมือนกับความเบาและบางของปุยเมฆ
ยามนางยาตร์กรายอิริยาบถ
ก็จะเห็นถุงเท้าไหมสีแดงสดวอมแวมไปทุกช่วงก้าว
หัวเข่าเล็กของนางก็กลมกลึงสวยจับตานัก
ชวนให้เป็นที่ใฝ่มองอยู่มิวางตา
ทุกระยะเวลาที่นางขยับขยายกิริยาการ
มิว่าจะนั่งลุกหรือยืนเดิน
จะได้กลิ่นหอมอันระรื่นจรุงใจ
โชยมาจากเบื้องภายในอาภรณ์ที่นางสวม
ช่างเป็นกลิ่นหอมที่หอมหวนละมุนละไมอย่างแปลกประหลาด
ชวนให้อยากดมเหมือนกับกลิ่นอันฉุนฉมของสางชะมด
คลุกเคล้าผสมมาด้วยกลิ่นสุคันธรส
ของเกสรหอมแห่งดอกไม้
เพียงได้ยลโฉมของนางเท่านั้น ยังจะมีบุรุษใดอีกหนอ?
ที่จะไม่สิ้นสติไปเพราะด้วยความเสน่หายาใจในตัวเธอ!
ด้วยรังแต่จะได้รับความเยาะหยันจากนาง!
เพราะจักมีก็แต่ความเจ็บปวดในหัวใจปิ้มว่า
จะวายปราณไปเป็นแท้เที่ยง.
“เธอช่างงามบาดหัวใจอะไรเช่นนี้ เส้นผมดกดำที่หยิกสลวยเป็นลอนของนางเกล้าไว้เป็นมวยงาม ดูช่างไม่ผิดอะไรกันเลยกับขนนกกาน้ำ ใบหน้าอันผุดผ่องยิ่งเพิ่มความผุดผาดขึ้นอีกเป็นทับทวี เมื่อประดับอยู่ด้วยคิ้วอันดำขลับโค้งเรียวทั้งคู่ของนางเข้า นัยน์ตาที่สุกใสแจ๋วแหววนั้น แฝงไว้ด้วยแววโศกหวานซึ้งสะเทือนใจ ริมฝีปากอิ่มของนางขณะเผยอเอื้อนจำนรรจา ก็ระรวยมาด้วยกลิ่นหอม จมูกโด่งเป็นสันงอนงามเหมือนสลักไว้ด้วยแท่งโมราสีกุหลาบอ่อน รับกับพวงแก้มอันเปล่งปลั่งที่อิ่มอาบอยู่ด้วยเลือดฝาดของวัยสาวทรามกำดัดแลระเรื่อเป็นสีชมพูอ่อน ๆ ร่างของนางสูงระหงราวกับก้านดอกไม้ไหว ควรจักทะนุถนอมแต่เบามือ นิ้วทั้งสิบของนางกลมเรียวได้ส่วนสัดเหมือนหน่อของต้นหอมที่เกลากลึงจากแท่งหยก เอวของนางนั้นอ่อนโค้งและคดคอดราวกับความคดคอดและอ่อนโค้งของก้านกกยามเมื่อสะท้านลม ผิวกายนางผุดผ่องและนุ่มนวลประหนึ่งชะโลมไล้ไว้ด้วยฝุ่นแป้งหอมอันละมุนมือ ปทุมถันทั้งคู่ของนางก็เต่งตึงและตั้งเต้า เท้างามที่เล็กกะทัดรัดทั้งคู่สอดส่ายอยู่ไหว ๆ ขณะนางขยับเขยื้อนอิริยาบถก็วอมแวมวับวาวราวกับรังสีดาวอันเพริศพรายในท้องฟ้า ปลีน่องก็อวบอูม ฯลฯ และยังมีอีกมากต่อมากนักที่เหลือจะพรรณนา ทั้งที่มิดชิดซ่อนเร้นและเปิดเผย ดูช่างเต็มไปด้วยเลือดฝาด สดชื่นและนุ่มนวลน่าจับต้องนัก”––ซึ่งสุดที่ทั้งผู้รจนาจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ และผู้ถอดถ่ายจากภาษาอังกฤษมาเป็นพากย์ไทยนี้จะบรรยายได้เท่าถึง; “I know not what. Ah, who could ever tire of gazing at such charms!” ต้นฉบับเดิมได้สรุปคำรำพันโฉมของสาวแม่งามผู้นี้ลงด้วยถ้อยคำเช่นนี้.
แลโฉมพัวกิมเน้ย, ที่ด้วยแรงน้อยของนางทำให้มิอาจคอนไม้ค้ำกันสาดไว้ได้มั่น กระทั่งทำให้หล่นตกลงไปโดนศีรษะชายแปลกหน้าผู้ที่เดินผ่านมานี้เล่า นางก็ได้ตระหนกแก่ใจอยู่ แต่ครั้นเมื่อเจ้าหนุ่มได้ปะตานางเข้า แลหายโมโหจนกลายเป็นยิ้มอย่างร่าเริงแล้ว ชะรอยบัวคำจะสำนึกในความผิดพลาดของนางได้ นางประสานมือขึ้นค้อมวิงวอนขอลุกะโทษในความพลั้งพลาดครั้งนี้ของนางต่อชายหนุ่ม ซึ่งในความรู้สึกของเขาขณะนั้นควรแต่อย่างเดียว คือ “การปลอบประโลมนางให้หายขุ่นข้องในดวงใจ”
“ลมแรงเหลือเกินท่าน โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าทานแรงลมไม่ไหวเลยทำให้ท่านต้องพลอยเจ็บตัวไปด้วย”
ก็จะโกรธจะขึ้งอะไรอยู่อีกเล่า เพียงเห็นหน้าสิแทบว่าจะหายโกรธอยู่แล้ว ยิ่งมาโดนกรอกหูอยู่ด้วยคำวอนหวานซึ้ง และที่ท่าอันอ่อนช้อยเชิงขอสมาเข้าเช่นนี้อีก เจ้าหนุ่มคนยิ้มง่ายก็ยิ้มแย้มแจ่มใสถอดหมวกออกโค้งให้สาวเจ้าอย่างงดงามแทบว่าหัวจะจดพื้น เขาบอกแก่นางว่า ใช่เรื่องที่นางจะต้องเก็บมาคิดให้กังวลหัวใจเลย กับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ข้าพเจ้าหามีที่จะถือโกรธแม่นางไม่ สิซ้ำดูเหมือนจะเป็นความผิดของข้าพเจ้าเอง ที่ซุ่มซ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือพรวดพราดเข้ามาในทางของท่าน.
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ หาได้เล็ดลอดไปจากสายตาของยายเห่งพั้ว, หญิงชราเพื่อนบ้านของพัวกิมเน้ยไปไม่ หญิงผู้เฒ่าฉวยโอกาสทองของแก ก้าวออกมาจากร้านน้ำชาเพื่อร่วมบทบาทกับสองหนุ่มสาวด้วยทันที แกถามชายหนุ่มผู้ที่บัดนี้กำลังแป้นยิ้มอยู่อย่างระรื่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เป็นอย่างไรไปท่านตั้วกัวยิ้ง โดนไม้ค้ำกันสาดเข้าหรือ โถ?”
“เป็นความผิดของฉันเองดอกจ้ะป้า” หนุ่มแปลกหน้าที่ได้รับการยกย่องจากหญิงชราให้เป็นถึงท่านตั้วกัวยิ้งรีบออกตัวชิงรับผิดเสียก่อน ทั้งปั้นยิ้มให้แกอย่างประจบ “หวังว่าแม่หญิงคงจะยกโทษให้ข้าพเจ้าแล้ว” เสร็จกัน ทีแรกโมโหเสียเป็นวักเป็นเวรตั้งใจจะด่าว่าเสียให้สะใจ ไปยังไงมายังไงเกิดมารับเหมายอมเป็นคนผิดเข้าให้เสียแล้วนี่.
“ได้โปรด–ฟังก่อน––” ผู้เป็นตัวการรีบละล่ำละลักค้านคำเจ้าหนุ่มปากคอสั่น “ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดที่จะต้องมาขอโทษข้าพเจ้าเลยนี่”
“โอ, แม่หญิง โปรดเถิด อย่าขุ่นเคืองข้าพเจ้าอีกเลย” เจ้าหนุ่มยืนกรานจะขอรับเอาความผิดเป็นของตนให้จงได้ เขาพยายามบีบเสียงให้สั่นระรัวเป็นที่น่าเวทนา ข้างนัยน์ตาก็มิได้อยู่สุข กวาดชำเลืองสำรวจไปทั่วเรือนร่างของหญิงสาว ตามชั้นเชิงของเจ้าชู้ผู้ชำนาญเล่ห์มิวางตัว เวียนจ้องแล้วจ้องเล่าเจ็ดแปดตลบ กว่าจะขยับย่างผละจากนางไปเสียได้ ตอนที่เจ้าหนุ่มแปลกหน้าจะจากนางไปนี้สง่างามจับตานัก เขาก้าวเท้าเนิบ ๆ อย่างปล่อยอารมณ์ ตาพุ่งตรงไปเบื้องหน้า มือก็กระพือพัดด้ามจิ้วไปพลาง.
ยังจะต้องให้บอกกันสืบไปอีกหรือว่า หญิงสาวผู้พราวเสน่ห์คนนี้เป็นใคร ถ้าผิดไปเสียจากโฉมนางพัวกิมเน้ย ภริยาสาวสวยของบู๋ตั้ว ชายร่างเตี้ยคนนั้นนั่นเอง นี่บัดนี้เจ้าหนุ่มแปลกหน้าผู้นั้นก็จากนางไปแล้ว แต่ว่าเสน่ห์เจ้าหนุ่มยังติดตานางอยู่มิรู้วาย “ทั้งโก้เก๋และกล้องแกล้ง จะพูดจะจาก็นุ่มนวลฟังแล้วรื่นหูพิลึก มิหน้ำซ้ำ เอ, เขาอาจนึกชอบเราเข้าแล้วกระมัง? ฮึ, ก็ถ้าไม่ชอบ ทำไมจะต้องมาสบตาเราตั้งเจ็ดหน-แปดหนทำไมเล่า? เออพิลึกจริง นึก ๆ ดูก็––” บัวคำเจ้ายังคงยืนส่งสายตาจ้องจับอยู่ที่เรือนร่างของชายหนุ่มตราบกระทั่งเขาลับร่างไป ด้วยความครุ่นคิดประสาอารมณ์สาวที่ขาดคู่ชิดชมอันต้องตาและต้องใจว่า “เจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นใครหนอ? มีลูกเมียแล้วหรือยัง? บ้านช่องหลักฐานเป็นอย่างใด?” ฯลฯ ซึ่งแน่เหลือเกินปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากบัวคำเจ้าได้รู้จักชื่อเสียงและบ้านช่องที่อยู่ของเขาแล้ว เจ้าก็คงจะไม่เสียเวลาต้องยืนมองตามเจ้าหนุ่มผู้นี้ให้เมื่อยนัยน์ตา
เนื่องด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจที่นางโต๊ะยี่เจ๊เกิดปุบปับสิ้นชีวิตลง ไซหมึ่งเข่งจึงอีเหละเปะปะออกจากบ้านมาอย่างไม่มีความหมาย สักแต่ว่าไป ๆ พอให้หายกลุ้ม แลความตั้งใจจริงนั้นก็มีอยู่บ้าง เพราะเขาอยากจะพบเอ็งแปะเตี๊ยะสักหน่อย เนื่องจากเพื่อนผู้นี้ไม่สู้จะลงรอยกับเพื่อนฝูงคนอื่น ๆ เขา ก็พอดีมาเจอเหตุการณ์อย่างไม่ได้คาดฝันเข้าเสียก่อนระหว่างทาง จึงเป็นอันว่าความตั้งใจที่จะไปหาเพื่อนเอ็งคนนั้นพับไว้ก่อน สู้กลับบ้านไปนอนฝันหวานถึงแม่สาวสวยที่พบเมื่อครู่ดีกว่า.
อยู่มาวันหนึ่ง อารมณ์ค้างที่เกาะแจจากเหตุการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันก่อนได้ฉุกสำนึกขึ้นในใจของไซหมึ่ง “เออ, ผู้หญิงคนนั้นช่างสวยจริงๆ น่ารักเหลือเกิน เราจะหาทางติดต่อกับนางได้ยังไงดีหนอ? ถามยายเห่งเจ้าของร้านน้ำชาข้างบ้านดูคงจะรู้เรื่อง ดูท่าทางยายป้านี่เหลี่ยมคูแกไม่เบา ลองเสียเงินให้แกเสียสอง-สามตำลึง ขี้คร้านจะได้เรื่อง” เมื่อนั่งรำพึงคิดหาลู่ทางที่จะเคลมนางนกน้อยขนสวยตัวนี้วกไปวนมา แล้วเขาก็เกิดตกที่นั่งใจร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที อย่ากินมันเลยเรา อาหารกลางวันมื้อนี้ ไปร้านยายเห่งเจรจาความเมืองเรื่องรักให้เสร็จสิ้นไปดีกว่า คิดแล้วไซหมึ่งก็ผลุนผลันแต่งเนื้อแต่งตัวออกจากบ้าน ตรงไปร้านน้ำชายายเห่งพั้ว เจ้าหนุ่มเลือกหาโต๊ะที่นั่งที่เหมาะๆ ตัวหนึ่งตรงใต้มุขยื่นข้างหน้าร้านได้พอดี.
“อะฮ้า, ตั้วกัวยิ้ง วันนี้ท่านมาถึงร้านข้าพเจ้าได้เทียวนะ ถ้าจะประสงค์อะไรมาบ้างละกระมัง” หญิงชราสัพยอกพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ท่านเศรษฐีหนุ่ม.
“ป้าจ๋า มานี่หน่อยซิ อยากถามอะไรหน่อย ผู้หญิงคนสวย ๆ บ้านนั้นน่ะลูกใครเมียใครจ๊ะป้า?”
“พิกลจริง ท่านตั้วกัวยิ้งนี่ หล่อนก็เป็นน้องสาวยมบาล คนที่เป็นลูกสาวของนายพลแห่งถนนที่ห้านั่นนะซิ เอ๊ะ, นี่จะมาถามป้าไปทำไมกัน?”
“โธ่ป้าก็–พูดเป็นเล่นไปได้ ถามจริงๆ เถอะน่า ฉันอยากรู้.”
“อ้าว, ท่านไม่รู้จักหล่อนจริง ๆ หรือนี่ ตายจริง ก็เมียคนขายขนมที่ทำเนียบผู้ว่าการตำบลอย่างไรเล่า.”
“ฮะ ป้าหมายถึงหยูซาน (Yu San) คนขายขนมลูกพลับนั่นหรือ?”
“ไม่ใช่–ถ้าเป็นเมียหยูซานก็ยังค่อยยังชั่วนะซี เพราะพอจะยังเป็นคู่ผัวตัวเมียที่ไปวัดไปวากับเขาได้บ้าง นี่ไม่ใช่หยูซาน เอ้า ไหนทายใหม่อีกสักทีรึ ?”
“ถ้างั้นก็ต้องเป็นเมียคนขายเกาเหลาเนื้อต้มที่ชื่อ หลีซาน (Li San)?”
“ไม่ใช่–ผิดอีก คนอย่างหลีซานดีเกินกว่าที่จะมาเป็นผัวคนขี้ริ้วของนาง ลองอีกที ไหนทายมาใหม่อีกหนซิ”
“ดีละ, ถ้างั้นไม่ใช่ใครอื่นแน่ นางต้องเป็นเมียของเจ้าเด็กน้อย เล่าเสี่ยว (Liu Hsiao) คนไหล่พิการนั้นแน่ๆ”
“ก็ไม่ถูกอีกแหละท่าน เพราะถึงอย่างไรเล่าเสี่ยวก็ยังจัดว่าเข้าท่าเข้าทางกว่าคนที่เป็นสามีของนางจริงๆ เป็นไหน ๆ เอ้าลองทายอีกทีรึเผื่อจะถูก”
“โอยไม่ไหวแล้วละป้า ขืนทายอีกก็ผิดอีก ป้าบอกฉันมาเถอะ”
“อ้า, ดีละ ถ้าเช่นนั้นป้าจะบอกให้ ก็เมียคนขายขนมซาลาเปาที่ชื่อบู๋ตั้ว นั้นอย่างไรเล่า”
“ฮ่า จริง ๆ หรือป้า บู๋ตั้วคนแคระที่เขาเรียกอ้ายเตี้ยหมาตื่นคนนั้นน่ะหรือ เป็นผัวของหญิงสาวคนนี้?”
“ถูกแล้ว บู๋ตั้วคนนั้นละ เชื่อป้าเถิด”
ไซหมึ่งหัวเราะออกมาอย่างขบขัน แต่แล้วเขาก็อดที่จะอุทานออกมาด้วยความสลดใจเสียมิได้ “โธ่เอ๋ย นี่แหละหนอที่เขาว่า เนื้อแกะย่างเข้าปากหมาละ ด้วยซ้ำอ้ายหมาก็แสนจะขี้เรื้อนเสียอีกด้วย.”
“ฮื่อ, มันก็จริงอย่างท่านว่า” ยายเห่งถอนหายใจด้วยความรู้สึกสมเพชในหญิงสาวคนอาภัพในความรักผู้นี้ แกพูดกับไซหมึ่งว่า “นี่ละท่าน เรื่องเช่นนี้แหละที่เขาว่า ๆ ไม่ต่างอะไรกันเลยกับคนบัดซบที่มีโอกาสเป็นเจ้าของม้าพันธุ์ดีแล้ว ด้วยซ้ำแถมมีเมียงามนอนกอด ก็รูปตาแก่ในดวงจันทร์ที่เลอะเทอะนั่นน่ะ คู่ควรอยู่ดอกหรือกับความงามของดวงจันทร์เจ้า”
“เอาล่ะป้า ฉันไปละ คิดอัฐซิเท่าไหร่?”
“เฮ้ย เฉยเถอะท่านตั้วกัวยิ้ง เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้เอง จะรีบไปไหนกัน นั่งคุยก่อนซี อัฐฬสคิดเมื่อไหร่ก็ได้”
“เออ นี่เด็กเจ้า (Chao) ลูกชายของป้าน่ะหายไปไหนเสียล่ะ หรือว่าไปเป็นลูกจ้างลูกออนใครเขา?”
“ไม่รู้มันเลยท่าน เท่าที่ป้าได้ข่าวครั้งสุดท้ายนั้น ได้ยินว่ามันร่วมทางไปกับพ่อค้าที่มาแต่เมืองอันฮุย (An Hui) แล้วตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย ช่างเถอะท่านตั้วกัวยิ้ง ป้าไม่เอาเรื่องเอาราวกับมันอีกแล้ว เจ้าลูกคนนี้มันจะเป็นหรือตายก็ช่าง พอกันทีชาตินี้”
“เจ้าเด็กคนนี้ท่าทางมันเฉลียวฉลาด ดูท่าทางมีไหวพริบดีอยู่ ยังไง ๆละก็ถ้าเผื่อกลับมาบ้าน ส่งไปให้อยู่กับฉันก็แล้วกัน”
“โอ ถ้าท่านกรุณามันถึงแค่นี้ละก็ นับเป็นวาสนาของอ้ายเจ้ามัน”
“เอาละไว้ให้เขากลับมาบ้านก่อน แล้วเราค่อยมาพูดจากันใหม่ ฉันไปก่อนละนะ” แล้วไซหมึ่งก็ลุกจากร้านน้ำชาไป
แต่แล้วเพียงสอง-สามชั่วโมงให้หลัง เขาก็กลับมานั่งที่ในร้านนี้อีก เฝ้าจ้องจับสายตาอยู่แต่ที่ประตูบ้านนางพัวกิมเน้ย–แม่คนเท้าสวยผู้นั้นมิวางตา.
“รับเกาเหลาเนื้อสดต้มลูกลี้ไหมล่ะคะ? เสี่ยขา” เสียงหวานนุ่มหูของนางรับใช้ประจำร้านฉุดอารมณ์ไซหมึ่งให้ตื่นจากภวังค์
“อืม์ม, ถ้าจะเข้าทีดีเหมือนกัน––” ไซหมึ่งหันมากล่าวกับหญิงรับใช้ “เอาก็เอา–เอามากินสักชาม ใส่น้ำส้มมาก ๆ หน่อย”
สักครู่ ยายเห่งเจ้าของร้านก็นำเกาเหลาเนื้อสดต้มลูกลี้กำลังร้อน ๆ มาตั้งให้ที่โต๊ะ ไซหมึ่งก้มหน้าก้มตาซดเกาเหลาร้อนๆ อยู่ชั่วครู่ ก็กล่าวชมขึ้นว่า “แหม เกาเหลาป้านี่วิเศษจริง ไปเรียนวิธีทำมาจากไหนนะ ป้าถ้าจะต้มเกาเหลาชำนาญมากละกระมัง?”
“ชำนาญ–ท่านอาเสี่ยหมายความว่าอะไรกัน? ก็จะไม่ให้ป้าชำนาญได้อย่างไรกัน ในเมื่อชั่วชีวิตป้าได้แต่หาคู่ให้คนเขาแต่งงานกันมาไม่รู้สักกี่สิบกี่ร้อยคู่แล้ว จะไม่ชำนาญได้อย่างไรไหว”
“อ้าว, ก็ใครไปพูดกับป้าเรื่องแต่งงานแต่งการเล่า? ฉันพูดถึงเรื่องเกาเหลาลูกลี้ของป้าต่างหาก”
“ฮะ ยังงั้นดอกหรือ? ขอโทษด้วย หูป้าไม่สู้ดี ได้ยินเป็นว่าป้าน่ะไปรู้วิธีเป็นแม่สื่อหาคู่ให้เขามาแต่ไหนกัน ถึงได้ชำนาญเช่นนี้”
“บ๊ะ งั้นก็เรี่ยมซิป้า” เจ้าสัวหนุ่มชอบใจใหญ่ เขาพูดพร้อมกับยิ้มอย่างถูกใจ “นึกแล้วไม่ผิดว่าป้านี่แหละจะเป็นคนช่วยยกภูเขาออกจากอกฉัน ป้าคิดว่ายังจะพอมีทางหาเมียให้ฉันสักคนได้ไหมจ้ะป้า? จริง ๆ นะถ้าป้าช่วยฉันสำเร็จ เท่าไหร่เป็นเท่ากันซิ เอ้าว่าก็ว่ามาเถอะ”
“นี่เป็นเสียยังงี้แหละ พวกท่านอาเสี่ยหนุ่ม ๆ ละก็ เอะอะชอบมาพูดเล่นกับป้ายังงี้เสียเรื่อย ถ้าเผื่อคุณนายที่บ้านเกิดมาได้ยินเข้าจะว่ายังไงกันพ่อคุณ ฮึ ดีไม่ดีจะมาแพ่นเอาป้าเข้านะ จะบอกให้”
“ไม่ต้องเป็นห่วงถึงเรื่องนั้นดอกป้า เมียฉันเขาใจเย็นนักเรื่องเช่นนี้ พูดกันรู้เรื่อง เผื่อป้ามีช่องทางละก็ช่วยหาที่ถูกอกถูกใจให้ฉันสักคนจะไม่ได้เทียวหรือ? ถ้าได้อย่างว่าละก็ป้าเอ๊ย ว่ามาเถอะ เท่าไหร่เท่ากัน อย่าลืมนะช่วยหาให้ฉันสักคน เอาขนาดที่มือชั้นป้าว่าใช้ได้นั่นแหละ ฉันเอาทั้งนั้นละ.”
“ป้าก็มองไว้ให้แล้วอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน ที่เห็นว่าพอจะสมน้ำสมเนื้อกับท่านตั้วกัวยิ้ง แต่ที่ว่านี้ป้าเองยังไม่แน่ใจนักนะ––”
“เอาทั้งนั้นแหละป้า บอกมาเถิด พูดกันซื่อ ๆ จะเอายังไงก็เอากัน ฉันละชอบนักเรื่องพูดกันตรงๆ”
“ก็ดี ถ้าจะให้ป้าพูดตรงๆ ยังงี้ก็ได้ ผู้หญิงคนที่ป้าดูเอาไว้และเห็นว่าพอจะคู่ควรกับท่านนี้ เมื่อว่าถึงความสวยความงามกันละก็ไม่เลว หล่อนสวยเอาการอยู่ อยู่ที่ว่าหล่อนมีอายุมากเสียแล้วนะซี”
“ไม่สำคัญดอกป้า บางทีลูกไม้สุกน่ากินกว่าลูกไม้ห่ามนะจะบอกให้ ว่าแต่ว่าหล่อนมีอายุสักเท่าไร? เรื่องจะแก่กว่าหรืออ่อนกว่าฉันสักสองสามปีนั้นไม่สำคัญดอก”
“หล่อนเกิดเมื่อปีกุน นับไปนับมาก็เห็นจะละกระมังสัก ๖๓ ปีในปีใหม่นี้”
“ปัดโธ่ ป้าพูดเป็นเล่นไปได้” ไซหมึ่งพูดขึ้นอย่างรำคาญและหงุดหงิดใจพลางหัวเราะ “ดูป้าจะต้องพูดตลกให้เป็นเล่นเสียเรื่อยเชียว”
“เอาละดีแล้ว งั้นเรามาตกลงอะไร ๆ กันเสียก่อน” หญิงชราเจ้าเล่ห์ให้ความหวังแก่เขาด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง.
“ยังงี้สิป้า ว่ากันให้เป็นงานเป็นการ ฉันละชอบนัก มา–มาดื่มกันเสียก่อนเป็นไง เพื่อความสำเร็จของเรา.”
ไซหมึ่งยังคงนั่งสนทนาอยู่ที่ร้านยายเห่งจนกระทั่งเย็นจึงได้กลับบ้าน.
“ป้าฉันไปก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้ฉันจะมาชำระเงิน วันนี้–เชื่อไว้ก่อน ได้ไหมป้า?”
“โฮ้ย, เสี่ยก็ จะเป็นไรไปนะ เอาเถอะ แล้ววันหน้าวันหลังอย่าลืมมาแวะร้านป้าอีกก็แล้วกัน”
ตั้งแต่ไซหมึ่งเข่ง ตั้วกัวยิ้ง เกิดไปติดเนื้อพึงใจ–โฉมเมียงามบู๋ตั้วเข้าวันนั้น เขาก็ให้มีแต่ความกลัดกลุ้มกระวนกระวายใจตลอดมา ฉันใดเจ้าชายวิหยาสะกำรัชทายาทของระตูกะหมังกุหนิง เคยถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเพียงแต่ได้เห็นรูปภาพอะนะบุษบาในครั้งกระโน้น ก็ฉันนั้นกับไซหมึ่งที่กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเหมือนกัน เมื่อเกิดถูกตาอะนะบัวคำ คนสวยแห่งถนนฝั่งซ้ายของตำบลเช็งฮ้อครั้งนี้เข้า ต้นฉบับพากย์อังกฤษกล่าวไว้ว่า “ในห้วงหทัยประเทศของตั้วกัวยิ้งหนุ่ม เต็มไปด้วยความครุ่นคำนึงถึงแต่โฉมแม่ยอดหญิงที่งามล้นคนนี้มิวายเลย” ซึ่งใช่ว่าอาการทั้งนี้จะได้ลอดพ้นไปจากความสังเกตของนางวัวยะเจ๊ ศรีภรรยาของเขาก็หาไม่ แต่นางคิดไปเสียข้างว่า คนอันเป็นสามีกลัดกลุ้มใจเนื่องมาแต่สูญเสียเมียคนที่สามอยู่ นางจึงไม่ได้เอาใจใส่นัก
เช้าวันรุ่งขึ้น พอยายเห่งแกเปิดประตูร้าน ยกหน้าถัง เตรียมโต๊ะเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อยไม่ทันไร เจ้าสัวหนุ่มก็มาเดินตระเวนสำรวจท้องถนนอยู่ก่อนแล้ว.
“ดูเจ้าหนุ่มถ้ามันกระวนกระวายเต็มที” หญิงชรารำพึง “ฮะ ๆ โดนน้ำผึ้งล่อจมูกเข้าหน่อย อ้ายหนุ่มก็งุ่นง่านจะเป็นบ้าเป็นหลังเสียให้ได้ ดีแล้วละเจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าเคยได้ปอกลอกชาวบ้านเขามามากแล้ว อีทีนี้ถึงตาข้าบ้างละ เจ้าจะต้องจ่ายให้ข้าสมกับความดิ้นรนปรารถนาของเจ้าในครั้งนี้”
ขอให้พึงสังเกตไว้เสียด้วยว่า ยายเห่งคนนี้เป็นคนที่ไม่มีศีลธรรมในใจของแกกับใครเลย แกหากินอยู่กับการเป็นแม่สื่อแม่ชักเช่นนี้มานับเป็นปีๆ แกเป็นทั้งหมอตำแยที่สามารถ และนางผดุงครรภ์ที่ชำนาญ ยิ่งกว่านั้นแกยังเป็นเอเย่นต์รับซื้อของโจรอีกด้วย นี่–คือคุณสมบัติของหญิงชรามากเล่ห์คนนี้. ซึ่งเราจะได้พบกับพฤติการณ์ของแกอีกในบทต่อๆ ไป––
เมื่อยายเห่งเห็นเจ้าหนุ่มที่แกวางแผนไว้จะต้อนตือให้จำหนับเดินมาที่ร้าน แกก็หลบเข้าไปเสียข้างในครัว ทำเป็นยุ่งอยู่กับกาต้มน้ำร้อนน้ำชา ข้างเจ้าหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักเล่า พอเข้าร้านได้ก็กรากเข้ายึดชัยภูมิโต๊ะนั่งใต้มุขยื่นหน้าร้านทันที เขาเฝ้าแต่ได้สอดส่ายสายตามองไปทางบ้านนางพัวกิมเน้ย คนนั้นอยู่ร่ำไป ซึ่งตลอดเวลานี้หญิงชราทำเป็นไม่เห็น แกล้งสาละวนอยู่กับกาต้มน้ำชาบนเตาไฟของแกท่าเดียว กุลีกุจอพัดแล้วพัดอีกไฟก็ไม่รู้จักติดเสียที.
“เฮ้ ป้า–ป้าจ๋าไม่ได้ยินหรือจ้ะ ฉันขอน้ำชาร้อน ๆ สองถ้วย” เสียงแขกผู้มาประเดิมร้านแต่เช้ามืด ร้องตะโกนสั่งน้ำชาดังลั่นมาจากโต๊ะ.
“โอ ท่านตั้วกัวยิ้งน่ะเองแหละ ตายจริง” ยายเห่งเดินแต้มคนแก่เข้าให้ทันที “แหม ไม่ได้เห็นหน้าเสียหลายวัน คอยสักครู่นะเชิญตามสบายก่อน”
“มานั่งคุยกันที่โต๊ะนี่ดีกว่านะป้า” ไซหมึ่งร้องเชิญเมื่อแกนำชาจีนอย่างดีสีเขียวปั้ดมาตั้งให้ที่โต๊ะตามคำสั่ง
“ฮ่า–ฮ่า ไม่เอาละท่าน ป้าไม่นั่งด้วยดอก” แกพูดพร้อมกับหัวเราะก๊ากใหญ่ “ป้าหวังว่าท่านเสี่ยคงไม่ตั้งใจจะมาเกี้ยวป้าดอกนะ”
ไซหมึ่งไม่ได้หัวเราะไปด้วยคำพูดทีเล่นทีจริงของหญิงชรานี้ เขามุ่งแต่จะเจรจาเอาการเอางานของเขาให้ได้เรื่องท่าเดียว “บอกฉันอีกทีเถอะป้า ว่าบ้านถัดไปน่ะเขามีอะไรขายบ้าง?”
“ทำไมหรือท่าน ถมไปที่จะซื้อ–อะไรเล่า? เขามีขายทั้งนั้นแหละ ขนมปังกรอบ, กะหล่ำปลียัดไส้ เนื้อชุบไข่, เนื้อชุบแป้งทอด, ซุปเนื้อกับแป้งต้ม และเนยอุ่น”
“ว้า ป้านี่เลอะเทอะใหญ่แล้ว พูดกันจริงๆ น่า ถ้าบ้านนั้นเขาทำซาลาเปาละก็ ช่วยเจรจาขอซื้อให้ฉันสักสี่สิบ-ห้าสิบลูกเถอะ”
“ถ้าจะให้ดี ป้าเห็นว่าท่านควรจะไปคอยดักซื้อเวลาเขาออกมาขายที่ถนนดีกว่า จะได้ไม่เป็นที่สงสัย ทำกะเร่อกะร่าเข้าไปขอซื้อเขาถึงในบ้านนั้น ดูจะประเจิดประเจ้อมากไปหน่อย”
“เออจริงซิ ถูกของป้า” แล้วไซหมึ่งก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นซดโฮกเดียวหมด ลุกขึ้นออกจากร้านไป เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายตลบ เดี๋ยวหัวถนน เดี๋ยวท้ายถนน ผ่านหน้าบ้านแล้วผ่านหน้าบ้านอีก ข้ามไปเดินเตร่ฝั่งถนนข้างโน้นเสียที เดี๋ยวข้ามมาเดินฝั่งนี้เสียอีกที ไปๆ มาๆ เจ็ดแปดเที่ยวก็ไม่ได้ผล เลยต้องเร่กลับเข้ามานั่งในร้านน้ำชายายเห่งอีกจนแล้วจนรอด
“อ๊ะ ท่านเจ้าสัวนี่คึกอะไรขึ้นมานะวันนี้ ถึงได้ติดอกติดใจร้านป้าเสียจริง” หญิงชราเจ้าของร้านยั่ว
ไซหมึ่งไม่พูดว่าอะไรหมด เขาควักเงินเหรียญออกจากกระเป๋าแล้วยัดเยียดให้ในมือแก
“ป้าเอาไปก่อนสำหรับหนี้สินที่ฉันเป็นหนี้อยู่”
ยายเห่งรับเงินเก็บเข้าพก พลางนึกในใจว่า “ดีละ เราต้องทิ้งไพ่ให้เจ้าหนุ่มนี่กระหยิ่มใจในความหวังอยู่เรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอเป็นค่าเช่าร้านถึงวันพรุ่งนี้แล้วถมเถไป พลางแกก็กล่าวกับเขาว่า “เอ, ป้าดู ๆ ท่านคงจะมีอะไรอึดอัดอยู่ในใจเป็นแน่”
“ก็ทำไมป้าถึงทายถูกเล่า?”
“โฮ่ย จะไปยากเย็นอะไรกัน คำพังเพยเขาว่าไว้–
เมื่อมีหนุ่มแปลกหน้ามาถึงนี่
ถามเรื่องที่เป็นไปใช่เหตุผล
สูเจ้าควรสังเกตมีสีหน้ายล
ย่อมอาจรู้ผลเหตุเลิศแท้–เอย.
“พูดก็พูดเถิด เรื่องพรรค์นี้คนอย่างป้าเคยผจญมามากแล้ว พอจะรู้อยู่”
“ดีแล้วป้า ถ้าป้าสามารถทายใจฉันถูกว่า ฉันอึดอัดใจเรื่องอะไรละก็ ขอให้ทายมา ถ้าถูกฉันจะให้รางวัลป้าห้าตำลึง”
“โอ, ป้าไม่ต้องเสียเวลาคิดทายให้เนิ่นนานไปดอก กระซิบให้ฟังเดี๋ยวนี้ก็ได้ ว่าที่ท่านย่ำไปย่ำมาหน้าร้านป้าตั้งแต่เมื่อวานซืนจนกระทั่งวันนี้ เรื่องของเรื่องก็อยู่ที่แม่คนสวยบ้านถัดไปนั่นใช่ไหมละ? ผู้หญิงคนนี้แหละที่ทำให้ท่านฮึดฮัด ๆ อยู่จนถึงเดี๋ยวนี้ นี่ป้าทายถูกไหมเล่า?”
“โล่งใจจริงป้าถูกเผงเลย ผู้หญิงคนที่ป้าว่านี้ละตั้งแต่ฉันได้เห็นหน้าวันนั้นแล้ว บอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะขยับตัวไปไหนจะพูดจะจาเรื่องอะไร หรือชั้นสุดจะคิดจะนึกเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็แล้วแต่ ดูให้กังวลถึงแต่ผู้หญิงคนนี้เสมอไป ป้าเชื่อไหมล่ะว่า เดี๋ยวนี้ฉันไม่อาจระงับอกระงับใจได้อีกต่อไปแล้ว พิพักพิพ่วนอย่างไรก็บอกไม่ถูก จะกินจะนอนจะพูดจะคุยดูมันหนีไม่พ้นภาพผู้หญิงคนนี้ไปได้เลย จะคิดทำการทำงานอะไร ก็ให้หลงเลือนป้ำ ๆ เป๋อ ๆ นี่บอกจริงๆ ป้าช่วยแนะนำให้ฉันได้รู้จักกับนางสักหน่อยเถอะ”
“เอาละ ป้าเองก็อยากจะพูดกับท่านอย่างเปิดอกเหมือนกัน คือว่ายังงี้ ถ้าหากป้าได้เป็นเจ้าของร้านน้ำชานี้เองเมื่อใดแล้ว ป้าก็คงจะมีความสบายใจกะเขาบ้าง จะได้จ้างผีเปรตที่ไหนก็ได้ให้มันเฝ้าร้านให้ สามปีมาแล้วที่ป้าต้องเฝ้าแต่จับเจ่ามองดูพรายน้ำเดือดจากกาต้มน้ำชานี้มา ป้ายังจำถึงเหตุการณ์หลังๆ ของป้าได้ดี วันนั้นเป็นวันต้นเดือนมิถุนายน ทั้งหนาวทั้งสั่นทีเดียวละท่าน ก็หิมะมันตกเสียหนักเหลือเกินนี่––วันนั้นแหละที่สามีของป้าได้เสียชีวิตไป ป้าต้องผจญมากับเหตุการณ์แวดล้อมที่กดขี่บีบรัดชีวิตป้า ป้าวิ่งวุ่นผจญเหตุการณ์หาทางออกเพื่อยังชีพของป้าสืบมา มีช่องทางอะไรให้ป้าทำป้าเป็นเอาทั้งนั้น ป้าต้องเป็นหม้ายมาจนถึงอายุหกสิบสามเข้าปีนี้ คิดดูซิว่าป้าหาเลี้ยงตัวเลี้ยงลูกมาได้อย่างไร? ป้าก็เที่ยวได้หากินไปอย่างนี้แหละ เป็นแม่สื่อนายหน้าหาเมียหาผัวให้เขาบ้าง เป็นหมอตำแย-แม่นมให้เขาบ้าง หรือไม่ก็เป็นนายหน้าขายเสื้อผ้าเก่า ๆ ให้เขา เอาค่าวิ่งเต้นไปตามประสา หรือว่ามีช่องทางใช้เล่ห์เพทุบายอะไรป้าก็เอา ป้าพอจะมีความรู้อยู่บ้างในทางตรวจและรักษาโรคด้วยวิธีบ่งเข็ม”
“โอ ประเสริฐจริงป้า ถึงป้าจะเป็นผู้หญิงก็จริง แต่เก่งหลายอย่าง เอาละถ้าป้าช่วยให้ฉันได้มีโอกาสสนทนากับผู้หญิงคนที่ว่านี้ได้ละก็ ฉันเป็นจ่ายให้ป้าสิบตำลึงเงินทันที เอ้า! พอใจหรือยังล่ะสำหรับค่าซื้อโลงใส่ศพป้าเวลาตาย.”
“ฮ่า–ฮ่า ท่านเสี่ย อย่าพูดเล่นน่า” หญิงชราย้ำคำอ้าง “อย่าพูดให้ป้าต้องมานั่งหัวเราะดีใจไปเปล่าๆ ปลี้ๆ เลย”
ซึ่งเจ้าสัวจะพูดเล่นพูดจริงแค่ไหน ประการใดนั้น? เงินแท่งสิบตำลึงสำหรับค่าตัวของคนสวยแม่บัวคำ ยังจะแพงหรือถูกสมแก่ราคาเพียงใด อดใจไว้ฟังต่อในตอน “อุบายแม่สื่อ” สืบไป เพราะไหนๆ “เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์” เข้าให้จนหงำเหงือกถึงแค่นี้แล้ว เรื่องจะถอยหลังนั้นไม่มีวันสำเร็จแน่ ให้เป็นลูกเมียเทวดาหน้าไหนก็ตามที
----------------------------