บู๋ซ้งต้องโทษ

ย้อนกลับมาดูทางตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่งคนนั้นบ้าง ยามเมื่อเข้าตาจนมิรู้ที่จะหลบหนีไปซุกซ่อนแห่งใดดี ก็เลยตัดสินใจกระโดดสุ่มสี่สุ่มห้าลงไปในลานบ้านของใครคนหนึ่งที่ข้างร้านขายอาหารแห่งนี้ หากโชคดีบังเอิญเป็นบ้านของท่านซินแสฮกผู้ชราคนอันเป็นที่คุ้นเคยกับเขาอยู่ เมื่อท่านซินแสผู้เฒ่าออกมาเห็นเข้าก็บอกแก่เขาว่า บัดนี้เหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ที่เกี่ยวข้องระหว่างเขากับบู๋ซ้งนั้น เป็นอันสิ้นสุดยุติลงไปแล้ว ค่าที่คนอันเป็นนายทหารใหญ่ผู้นั้นหาตัวท่านเจ้าสัวไม่พบ ก็เลยหันไปเล่นงานเอาแก่ลีกั่วท้วนเพื่อนของเขาแทน และขณะนี้เจ้าหน้าที่กรมการเมืองก็กำลังเกาะกุมตัวไปส่งอำเภออยู่

เจ้าสัวหนุ่มผู้ลี้ภัยมาได้อย่างหวุดหวิด ได้ยินดังนั้นก็ให้รู้สึกโล่งหัวใจ ราวกับใครมาช่วยยกภูเขาหินทึบที่ทับอกทั้งแท่งออก เขากล่าวขอบคุณท่านซินแสเป็นอย่างมากก่อนจะลาไป.

ไซหมึ่งเข่งได้กลับมาเล่าเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ที่บังเกิดขึ้นให้นางพัวกิมเน้ย ภรรยายอดรักของตนฟัง และทั้งคู่ต่างก็ให้แสนจะปลาบปลื้มใจนัก แต่ว่าเพื่อแก่ความปลอดภัยต่อเสถียรภาพของเขาทั้งคู่ในประการอันนอนใจได้ยิ่งขึ้น บัวคำได้แนะนำสามีว่า ควรที่เขาจักได้จัดส่งเงินส่งทองไปเป็นของกำนัล ปิดปากพวกเสมียนพนักงานตำบลนี้ไว้เสียก่อนในต้นมือ เพื่อจะได้เป็นทางเร่งรัดรูปคดีของเราสองคนให้เสร็จสิ้นสืบไป ไซหมึ่งเข่งเห็นดีด้วย จึงสั่งคนใช้ให้นำเงินแท่งเนื้อบริสุทธิ์จำนวน ๕๐ แท่ง กับถ้วยชุดเคลือบน้ำยาดีสำหรับที่เสพสุราไปมอบให้แก่ท่านเจ้าเมือง นอกนั้นก็เป็นเบี้ยบ้ายรายทางสำหรับพวกขุนน้ำขุนนางกรมการตำบลทุกถ้วนหน้า.

ก็เมื่อได้หว่านเงินหว่านทองเจือจานแจกจ่ายไปถึงเพียงนี้ มีหรือที่การใดอันเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งปรารถนาจักไม่สมแก่ความคิด ไม่มีปัญหาเมื่อบู๋ซ้งมาพบหน้าท่านผู้ว่าการตำบลเข้าอีกหนหนึ่งในครั้งนี้ ความเกื้อกูลแลไมตรีจิตที่ท่านเจ้าเมืองเคยได้มีต่อเขามาเมื่อหนหลังนั้น อย่าได้ไปหาเลยในบัดนี้ เขาได้รับแต่วาจาอันขู่เข็ญแลสีหน้าอันคุกคามจากท่านผู้ว่าการฯ ทันทีที่เห็นหน้า ท่านตีกุ้ยได้อ้างว่า บู๋ซ้งมีความผิดเป็นอุกฤษฎ์โทษสถานหนักอย่างแน่แท้ ประการแรก บังอาจใส่ร้ายต่อท่านคหบดีอันเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในตำบล ซึ่งนับเป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ แต่เอาละ สำหรับกรณีแรก ทางการไม่อยากจะเอาความ เพราะเห็นแก่ความดีความชอบในหนหลัง สิบัดนี้ โทษฐานฆ่าคนตายต่อหน้าธารกำนัลในเวลากลางวันแสก ๆ ยากจะละเว้นให้เสียได้ จงเร่งให้การมาแต่สัตย์จริงโดยเร็ว.

ข้างผู้ต้องหาคนอันกินตำแหน่งซุงปู่โตเท้าแห่งตำบลเช็งฮ้อ ก็ให้การว่า “การจะควรมิควรประการใดก็สุดแท้แต่จะพิจารณา ที่สัตย์จริงนั้นข้าพเจ้าเองหาได้มีข้อวิวาทขุ่นเคืองอันใดกับผู้ตายไม่ ข้าพเจ้ามีข้อคดีพัวพันเป็นส่วนตัวอยู่ก็ต่อไซหมึ่งเข่ง คนอันเป็นเจ้าของร้านขายยาหน้าตลาดผู้นั้นดอก หากผู้ตายบังอาจเข้ามาขัดขวางและซุกซ่อนที่อยู่ของศัตรูผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการตัว ข้าพเจ้าบันดาลโทสะ จึงได้กระทำรุนแรงต่อเขาไป ซึ่งโทษสถานนี้ข้าพเจ้ายินดีที่จะรับคำพิพากษาตัดสินลงโทษตามกระบิลเมือง แต่ประการอันที่ข้าพเจ้าหวังในความเป็นธรรมนั้นอยู่ที่ว่า ขอท่านใต้เท้ากรุณาโปรดได้สั่งจับไซหมึ่งเข่ง ผู้กระทำการฆาตกรรมพี่ชายของข้าพเจ้าคนนั้น มาคุมขังเพื่อรอรับการพิจารณาตัดสินลงโทษด้วย.”

“ชะช้า–เหลวไหลอีกแล้วเจ้าบู๋ซ้งนี้ เจ้ารู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้เจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร คดีฆ่าบู๋ตั้วพี่ของเจ้านั้นเป็นคดีหนึ่ง แต่คดีฆ่าลีกั่วท้วนนี้เป็นอีกคดีหนึ่งเรื่องละกรณีกันต่างหาก แล้วก็ไม่เห็นจะมีเรื่องพาดพิงอันใดถึงท่านเจ้าสัวคนนั้นเลย ดูเจ้าออกจะลามปามแลโอหังก้าวร้าวเกินไปเสียแล้ว ถ้าโบยหลังกันเสียก่อนเห็นจะดีละกระมัง–หือ?–มิฉะนั้นเจ้าก็คงไม่รับสารภาพแน่ๆ.”

และพอท่านผู้การฯ ให้สัญญาณขึ้นเท่านั้น พนักงานศาลที่ยืนคอยรับใช้อยู่ข้าง ๆ บัลลังก์ ก็ปราดเข้าจับตัวบู๋ซ้งคว่ำลงกับพื้น กระหน่ำหลังของเขาด้วยเรียวไผ่สองอันควบทันที.

เมื่อต้องโบยไปได้ประมาณสักยี่สิบที บู๋ซ้งก็พ้อท่านผู้ว่าการตำบลขึ้นว่า “เสียแรงที่ข้าพเจ้ากตัญญูและได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการมาด้วยดี ควรที่ท่านจักได้ปรานีแก่ข้าพเจ้าบ้าง?” แต่ว่าสองหูของท่านผู้พิพากษาอื้อเสียหมดแล้วด้วยเสียงใสของเงินห้าสิบแท่งที่ไซหมึ่งเข่งให้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าสั่งให้ราชทัณฑ์เร่งมือโบยเจ้าคนโทษหนักผู้นี้สืบไปอีกจนครบห้าสิบที เสร็จแล้วไสหัวไปเข้าคุกตอกเล็บและจำขื่อคาไว้ให้แข็งแรง เพื่อรอรับคำพิพากษาพิจารณาโทษต่อไป.

แลบู๋ซ้ง คนอันต้องโทษรับทัณฑ์อยู่ในคุกนั้นเล่า ปกติเพื่อนเป็นคนครองอัธยาศัยดีและมีนิสัยงาม ขุนนางข้าราชการอันเป็นที่รักชอบก็มีอยู่ ทว่าแต่ละเพื่อนขุนนางเหล่านั้นหรือก็ล้วนได้รับสินบนปิดปากจากเจ้าสัวไซหมึ่งกันทั้งนั้น เรื่องที่จะโต้เถียงคัดค้านก็จำต้องชะงักเสีย แต่เมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาได้สองเพลาแล้ว การณ์อันตึงเครียดก็ค่อยผ่อนคลายทุเลาลง พวกเขาเหล่านั้นก็รวมหัวกันคิดหาทางช่วยเหลือแก้ไขรูปคดีให้แก่ซึ่งซุงปู่โตเท้าผู้นี้ใหม่ ซึ่งรูปคดีที่พวกเขาทำขึ้นใหม่นี้มีรูปการไปในทำนองว่า “ผู้ตายเป็นลูกหนี้ของบู๋ซ้งอยู่ เมื่อบู๋ซ้งไปทวงเข้า ผู้ตายกล่าวบิดพลิ้วมิยอมชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้โดยดี เจ้าหนี้บันดาลโทสะขึ้นมา ก็เลยปฏิบัติการรุนแรงลงไป ยังผลให้ลีกั่วท้วนคนอันเป็นลูกหนี้ถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ ตามหลักฐานการชันสูตรพลิกศพปรากฏว่า ผู้ตายได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หน้าผาก ที่หน้าอกเบื้องซ้ายและที่ท้องน้อย มีอาการช้ำใน สุดที่จะเยียวยาได้ จึงได้ถึงแก่กรรมในทันที” เมื่อสร้างรูปคดีเงื่อนงำขึ้นเสียใหม่ดีแล้ว ทางคณะกรมการตำบลเช็งฮ้อ ก็ส่งตัวผู้ต้องหาไปฟ้องยังศาลจังหวัด ณ เมืองตังเพ้ง พร้อมด้วยประจักษ์พยานรู้เห็นคือเห่งล้วนเจ้าของร้านขายอาหาร กับนักร้องสาวทั้งสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ในวันนั้นด้วย.

ครั้งนั้น เจ้าเมืองตังเพ้งชื่อ ตังบุนเจียว (Chen) เป็นคนพื้นบ้านชาวเมืองห่อนั้ม (Honan) เจ้าเมืองผู้นี้เป็นคนนิสัยโอบอ้อมอารี และมีใจเที่ยงธรรม มั่นในศีลในสัตย์นัก เมื่อได้รับสำนวนฟ้องคดีของบู๋ซ้งแล้ว ก็มิได้รอช้าให้เสียเวลาไป ได้จัดการสอบสวนทวนพยานและตรวจสำนวนคดีฟ้องร้องกล่าวโทษผู้ต้องหาที่มีมาโดยละเอียดทันที.

“เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันนะบู๋ซ้ง บัดนี้เจ้าถึงได้ฆ่าชายผู้นี้ตาย” ตังเรียกบู๋ซ้งมาซักถามต่อหน้าบัลลังก์.

“ข้าแต่ท่านผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ข้าพเจ้าได้มาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ท่านแล้ว โดยจริงใจท่านนี้แลเสมือนประทีปอันรุ่งโรจน์ของข้าพเจ้า สวรรค์เบื้องบนแม้นหากมีจริงแต่ก็ไกลนัก ท่านนี้แลคือแสงสว่างบันดาลให้นำมาซึ่งความแจ่มกระจ่างต่อดวงใจอันมืดมนของข้าพเจ้า ท่านยังจะอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้กล่าวความจริงใจของข้าพเจ้าได้อยู่หรือ?”

“พูดมา–พูดมาเถิด เรายินดีรับฟังเจ้า”

แล้วน้องชายร่วมแซ่ของบู๋ตั้ว ก็ลำดับความแต่ต้นมาถึงประพฤติเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ท่านข้าหลวงแห่งเมืองตังเพ้งฟังจนสิ้นเชิง.

บู๋ซ้งได้เล่าให้ตังฟังสืบไปถึงว่า เขาไม่อาจได้ความยุติธรรมแท้จริงจากศาลตำบลเช็งฮ้อ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะขอแก้แค้นบุคคลที่กระทำต่อพี่ชายของเขาด้วยตนเองให้จงได้ และด้วยอารมณ์ที่ผูกพันพยาบาทต่อไซหมึ่งเข่งคนนั้นเอง เมื่อลีกั่วท้วนผู้ตายเข้ามาขัดขวางในวิถีทางของเขาเข้า เขาบันดาลโทสะสุดขีดขึ้นมาก็กระทำรุนแรงลงไป จนเป็นเหตุให้ลีผู้นั้นถึงแก่ความตาย แต่ทั้งนี้เขายินดีและพร้อมที่จะก้มหน้ารับโทษานุโทษตามกระบิลเมือง หากแต่ประการเดียว ขอให้ศาลอันทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม โปรดได้นำเอาตัวผู้ประทุษร้ายพี่ชายของเขามาลงโทษให้จงได้.

“เอาละๆ เราเข้าใจได้ถูกต้องหมดแล้ว” ท่านเจ้าเมืองตังเพ้งพยักหน้าให้บู๋ซ้งหยุด แล้วทันใดนั้นเอง เขาหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ศาลให้คว่ำเฆี่ยนกรมการเมืองผู้ที่สมรู้ร่วมคิดกันทำรายงานเท็จต่อหน้าศาลทันที.

“สมควรแล้วหรือที่ข้าราชการของฮ่องเต้จะประพฤติตนเช่นนี้” ตังบุนเจียวหันไปตวาดอยู่เอ็ดอึง “พวกท่านใช้อำนาจหน้าที่กันในทางทุจริตเช่นนี้ดอกหรือ? ศาลเป็นที่ที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม มิใช่สถานที่จะมาหากินทางการค้า”

และเมื่อได้เรียกพยานแต่ละคน ๆ มาไต่สวนปากคำเสร็จสิ้นแล้ว ท่านเจ้าเมืองคนซื่อก็สรุปคำตัดสินคดีเรื่องนี้ลงในประการที่ว่า “บู๋ซ้งกระทำผิดเพราะเนื่องแต่มุ่งหวังจะแก้แค้นแทนพี่ชายของเขาที่ตาย และเขาก็เป็นคนมีเกียรติยศ ทั้งเป็นผู้มั่นในกตเวทิตาธรรม สมควรจักได้รับการยกย่องสรรเสริญ จึงเห็นว่าผู้ผิดนี้ควรจักได้รับความปรานีและลดหย่อนผ่อนโทษ โดยให้อยู่ในฐานะนักโทษที่มีฐานะดีกว่านักโทษอุกฉกรรจ์อื่น ๆ” แล้วตังก็ส่งข้อตัดสินคดีความของเขาให้ที่ประชุมพิจารณา.

เช่นนี้ บู๋ซ้งจึงได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษลงเป็นอย่างมาก ทั้งกิตติศัพท์ชื่อเสียงในความเป็นผู้พิชิตเสือร้ายเหนือเขาเก้งเอี่ยงเมื่อวันนั้นของเขาก็ยังกำจรกำจายอยู่ พวกพัศดีผู้คุมต่างก็โอภาปราศรัยต่อเขาเป็นอย่างดี มิได้มีผู้หนึ่งผู้ใดข่มเหงระราน.

ส่วนบรรดาพยานบุคคลต่าง ๆ ที่ทางการตำบลเช็งฮ้อส่งมานั้น ตังสั่งให้กลับได้ และบันทึกสำนวนคดีเรื่องนี้กลับไปให้ผู้ว่าการเช็งฮ้อ รีบดำเนินการสอบสวนไซหมึ่งเข่ง, นางพัวกิมเน้ย, ยายเห่ง, ฮุยกอ และปลัดตำบลฮั้วห่อเก้า เสียใหม่ โดยกำชับไปอย่างเด็ดขาดว่า มิให้เห็นแก่หน้าผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น แล้วให้รีบเสนอรายงานขึ้นไปยังจังหวัดโดยด่วน.

ขณะเดียวกันนี้เอง สายลับที่ท่านเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งจ้างให้มาทำการติดตามเรื่องนี้อยู่ ก็รายงานข่าวล่าสุดจากตังเพ้งไปให้ทราบ พอท่านตั้วกัวยิ้งรู้เรื่องเข้าเท่านั้นเอง เขาก็ให้มีอันเนื้อตัวสั่นเทิ้มไปหมดทั้งสรรพางค์กาย ค่าที่มองหาทางออกมิพบอีกแล้ว เรื่องที่จะวิ่งเต้นติดสินบนท่านตังบุนเจียว ข้าหลวงประจำตังเพ้งผู้นี้มิมีทางสำเร็จแน่ เห็นอยู่ก็แต่นายพลเอี้ยเกี่ยง (Marshall Yang) คนอันเป็นเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ ณ เมืองไคฟองเท่านั้น.

ไซหมึ่งได้จัดการส่งไต้อังยี้ คนใช้อันไว้วางใจสนิทของเขาเป็นผู้นำข่าวเรื่องนี้ไปแจ้งแก่เอี้ย ยังเมืองหลวงโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อที่เอี้ยจักได้หาทางขอความช่วยเหลือต่อท่านขุนนางผู้ใหญ่ ฉั่วไทซือ (Chancellor Tsai) คนอันรับตำแหน่งอาจารย์สอนหนังสือองค์รัชทายาทผู้นั้นต่อไป เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียฉั่วจะนิ่งนอนใจเสียมิได้ เพราะหลีผู้ว่าการตำบลเช็งฮ้อ ซึ่งมีส่วนพัวพันร่วมในคดีนี้หรือก็อยู่ในความอุปการะของเขา จึงไม่มีปัญหาที่ว่าฉั่วจักต้องหาทางช่วยเหลือผู้อยู่ในความอุปถัมภ์ค้ำจุนของเขา มิให้ต้องคดีได้เป็นแน่ ๆ.

ซึ่งการณ์ก็เป็นจริงอย่างไซหมึ่งคาดคะเนไว้ เพราะเมื่อฉั่วได้ทราบเรื่องเข้า เขาก็มิได้นิ่งนอนใจ รีบเขียนจดหมายส่วนตัวถึงข้าหลวงเมืองตังเพ้งทันที และตังบุนเจียวผู้นี้หรือก็บังเอิญเคยได้รับการสนับสนุนส่งเสริมในหน้าที่ราชการจากท่านขุนนางฉั่วผู้นี้อยู่ด้วย ดังนั้นเมื่อได้รับจดหมายแล้วเขาก็ต้องรีบดำเนินการตัดสินพิพากษาคดีความเรื่องนี้ใหม่ จากโทษสถานเบาแต่เดิมที่วางไว้นั้น บัดนี้ บู๋ซ้งจำต้องได้รับโทษแรงยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อปัดความผิดอันต้องโทษประหารชีวิตออกไปเสีย เพราะอาศัยความดีความชอบที่เคยเป็นซุงปู่โตเท้ามา โทษเนรเทศและเฆี่ยนหลังอีกห้าสิบทีนี้ ก็มิใช่โทษย่อมเยานักสำหรับเขามิใช่หรือ?

รุ่งวันต่อมา บู๋ซ้งก็ได้รับบัญชาให้มาฟังคำพิพากษาคดีความเรื่องของเขาใหม่ คราวนี้ผู้คุมได้ปลดขื่อคาไม้อันเดิมออก และเปลี่ยนเป็นขื่อเหล็กแทน เมื่อฟังคำตัดสินจบ ราชทัณฑ์ก็คว่ำเขาลง เฆี่ยนเสียห้าสิบทีตามกำหนดโทษ เสร็จแล้วก็สักหน้าประจานตามธรรมเนียมนักโทษเนรเทศ แล้วท่านเจ้าเมืองก็สั่งให้ผู้คุมควบคุมตัวเขาไปสู่ ณ ตำบลชายแดน ที่อยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางสองพันลี้แต่ในวันนั้นเอง.

ส่วนคดีความอันที่พัวพันพาดพิงถึงคนใดใครอื่น ตามที่ตังเคยได้สั่งงานไปแล้วนั้น เป็นอันให้ระงับเสียสิ้น เรื่องทั้งหลายแหล่ก็เป็นอันสิ้นสุดยุติลง คงเหลือก็แต่บู๋ซ้งคนเคราะห์ร้าย ที่จะต้องก้มหน้ารับโทษไปตามกบิลเมือง.

เมื่อวีรบุรุษผู้พิชิตเสือคนนี้จะออกจากตังเพ้งนั้น ผู้คุมใจอารีได้เมตตานำเขาย้อนกลับมายังตำบลเช็งฮ้อ เพื่อให้เขาได้มีโอกาสฝากฝังสั่งเสียต่อแม่หนูเหง่งยี้ หลานสาวคนกำพร้าพ่อแม่คนนั้นของเขาก่อน.

บู๋ซ้งได้มอบหมายหลานสาวของเขาให้อยู่ในความดูแลของเพื่อนบ้านผู้อารีคนหนึ่ง เพื่อนบ้านผู้นั้นก็เต็มใจรับอุปการะหลานสาวของเขา และยังได้ให้ความหวังแก่เขาไว้อีกในอันที่จะยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษคดีของเขานี้ต่อองค์พระจักรพรรดิให้ เมื่อบู๋ซ้งกล่าวขอบใจเพื่อนบ้านผู้อารีคนนั้นแล้ว เขาก็เริ่มต้นเดินทางออกจากเช็งฮ้อ เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางคือ มังจิว (Meng Chou) อันเป็นสถานกำหนดโทษของเขาแต่ในวันนั้น

ในการเดินทางไปรับโทษคราวนี้ของเขา ปรากฏว่าได้มีเพื่อนบ้านมาส่งเป็นอันมาก เพราะเขาเหล่านั้นต่างตระหนักอยู่ถึงน้ำจิตน้ำใจอันดีของคนคนนี้แต่หนหลัง.

หากครั้งก่อน, เขาจะได้เดินทางมาสู่เช็งฮ้อในท่ามกลางความปลาบปลื้มของชาวบ้าน ในครั้งนี้ บู๋ซ้งก็ได้เดินทางออกจากเช็งฮ้อในท่ามกลางความอาลัยของเพื่อนบ้านเป็นยิ่งนักเช่นกัน.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ