ของขวัญจากนางบัวคำ

เมื่อยายเห่งได้รับคำบอกเล่าจากผู้จัดการแซ่ฮกคนนั้นแล้ว แกก็ออกตระเวนตามหาตัวท่านเจ้าสัวไซหมึ่งเป็นการใหญ่ เที่ยวได้ลัดตรอกเข้าซอกบุกซอยอะไรต่ออะไรของแกไปตามเรื่อง กระทั่งมาถึงซ่องโสเภณีแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ที่ว่าการตำบล ยายเห่งก็เจอท่านตั้วกัวยิ้งเข้าอย่างว่าจริงๆ.

แลไซหมึ่งเข่งนั้น หลังจากที่ต้องแกร่วคอยรับรองแขกเหรื่ออยู่เมื่อวันวานทั้งวันแล้ว พอตกค่ำเขาก็หาทางปลีกตัวออกมาแสวงหาความสุขนอกบ้านกับเพื่อน ๆ บังเอิญมาเจอแหล่งดีเข้า คนอันเป็นทายาทเศรษฐีขายเครื่องยาก็เลยกลับบ้านไม่รอด นั่งฉลองนอนฉลองวันเกิดอยู่เสียจนกระทั่งเช้า และขณะนี้เขาก็ยังเมาไม่สร่าง ดูทีท่าที่เขานั่งม้ามาก็รู้ เพราะโงกเงกง่อนแง่นกระไรอยู่ เมื่อยายเห่งเห็นเช่นนั้นก็ปราดเข้ายึดบังเหียนม้าเอาไว้แน่นพลางพูดกับเขาว่า “โอ เป็นอย่างไรไปเล่าท่านหลานชาย ไม่น่าเลยจะกินให้มากมายจนเช่นนี้ ทีหน้าทีหลังละก็ดื่มแต่พอดี ๆ ซิ.”

“อ้าว ป้าฉันเองน่ะแหละ นึกว่าใคร” ไซหมึ่งปรือตาขึ้นทักหญิงชราด้วยเสียงอ้อแอ้อย่างคนลิ้นไก่สั้น “นี่ถ้าพัวกิมเน้ยใช้ให้มาตามละซิ ฮะฮา นึกแล้วอย่างไรก็คงไม่ผิด จริงไหมละป้า?”

ยายเห่งก็ยื่นปากยื่นคอซุบซิบอะไรต่ออะไรให้ท่านเจ้าสัวฟังสักครู่หนึ่ง เสียงเศรษฐีหนุ่มพูดตัดบทขึ้นว่า “ฉันรู้แล้วละป้า–ไต้อังยี้มันไปบอกให้ฉันรู้แล้ว เห็นว่าโกรธฉันใหญ่ใช่ไหมล่ะ เอาเถอะ–นี่ฉันก็กำลังตั้งใจจะไปหานางอยู่แล้วพอดี.”

แล้วทั้งคู่ต่างก็เดินสนทนากันมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงปากทางแยกออกถนนหินม่วง ยายเห่งขอตัวรีบรุดล่วงหน้าเพื่อไปบอกข่าวดีให้บัวคำรู้เพื่อเตรียมตัวไว้คอยท่า.

และก็ยังมิทันที่หม้ายสาวนางบัวคำจะทันทำใจคอให้เป็นปกติต่อข่าวอันแสนจะปราโมทย์ครั้งนี้ ไซหมึ่ง ตั้วกัวยิ้ง ชู้รักของนางก็ปรากฏร่างเข้ามาในบ้านพอดี บัวคำถอนสะอื้นออกมาอย่างสุดกลั้นทันที.

“เป็นเกียรติยศแก่ข้าพเจ้าเหลือเกินแล้ววันนี้ ท่านตั้วกัวยิ้งมาบ้านข้าพเจ้าได้” บัวคำประชด “คิดว่าจะลืมอีทาสผู้ซื่อคนนี้เสียแล้ว ถามใคร ๆ ก็ไม่รู้ ไม่มีใครพบใครเห็นเลยพักนี้ แต่ก็น่าเห็นใจดอก คนกำลังข้าวใหม่ปลามัน ก็ต้องแยกกันยากหน่อยเป็นธรรมดา เหมือนกาวกับน้ำรัก จริงไหมละท่าน?”

“โธ่ ไปฟังอะไรกันนะเรื่องบ้าๆ บอๆ ข้าวใหม่ข้าวเก่าที่ไหนกัน? เรามัวติดธุระเรื่องจัดการเตรียมแต่งงานนางลูกสาวอยู่ ก็เลยไม่มีเวลาว่างจะมาหาเจ้าได้.”

“อย่ามาโกหกให้ฟังหน่อยเลยน่า” บัวคำใส่งอนเข้าให้. “สาบานมาซิ–สาบานมาต่อหน้าม้าที่ท่านขี่มานี้แหละ ว่าท่านไม่ได้ไปมีเมียใหม่เอาไว้ เอ้า สาบานมา.”

“ก็ได้––” เศรษฐีหนุ่มอ้อมแอ้ม ๆ แข็งใจตอบ “เชื่อเถอะน่า ให้ตายโหงตายห่าไปซิเอ้า––”

“ชะช้า พ่อคนปากแข็ง โรคห่าโรคเหวอะไร จะมาเอาชีวิตคนอย่างท่าน.” หญิงสาวร้องสวนขึ้นมาทันควันอย่างฉุนเฉียว พลางถลันเข้าคว้าหมวกที่เขาสวมขว้างผลุงลงกับพื้นห้อง ทำเอายายเห่งตกอกตกใจเสียจะแย่ แกรีบงกๆ เงิ่น ๆ ลุกไปหยิบหมวกของท่านตั้วกัวยิ้งขึ้นมาวางไว้เสียบนโต๊ะอย่างพินอบพิเทา.

“เฮ้ ช้าก่อน ๆ ขอเสียทีแม่หลานสาว ขอทีเถอะ อย่าพึ่งโมโหโทโสวู่วามกันไปก่อน ที่จะไปโกรธท่านตั้วกัวยิ้งนั้นไม่ถูก ต้องโทษยาย––” หญิงชราพยายามกลบเกลื่อนข้อวิวาทของหนุ่มสาวโดยชิงออกรับเอาเป็นความผิดเสียเอง แกอ้างว่าเป็นความผิดของแกเองที่ไม่ได้ถามไซหมึ่งเข่ง ถึงเหตุผลต้นปลายในการหายหน้าค่าตาของเขาไป เพราะลืมเสีย.

แต่ว่าไม่มีวันเสียละ ลงผู้หญิงได้โมโหหึงขึ้นมาแล้ว ยากนักจะห้ามได้ นี่ก็เหมือนกัน นางพัวกิมเน้ยมิได้ฟังเสียง มิไยหญิงชราจะห้ามปรามสักเท่าใด ๆ นางกระชากเอาปิ่นปักผมออกมาจากกระหมวดมวยของเจ้าหนุ่ม แลปรากฏว่าปิ่นนั้นยังชุ่มอยู่ด้วยน้ำมันใส่ผม ทางด้ามของปิ่นมีโคลงสลักเป็นใจความว่า.–

เสียงม้าร้องดังมาจากเนินอันร่มรื่น.

อย่างคึกคะนอง.

เมื่อถึงฤดูดอกท้อบาน.

เสียงจอกแก้วก็แว่วกังวานมาจากเหลาหยก

ซึ่งปิ่นปักผมอันนี้ ความจริงเป็นของขวัญซึ่งนางเง็กเล้า ภรรยาคนที่สามได้มอบให้เขาไว้เป็นที่ระลึก แต่นางพัวกิมเน้ยคิดไปข้างว่า เป็นปิ่นของพวกผู้หญิงนักร้อง–นักรำตามเหลาตามซ่องที่มอบให้เขามา นางก็เลยเอาซุกไว้เสียในแขนเสื้อของนาง และตัดพ้ออย่างขุ่นเคืองว่า “สันดานคนเจ้าชู้ ฮึ ดูซินี่ไงพยาน ไหนปิ่นอันของเราที่ท่านเอาไปล่ะ?”

ไซหมึ่งก็แก้ตัวแก่นางว่า เขาได้ทำตกหายเสียแล้วเมื่อวันก่อนเนื่องจากเมามาก!

“ชะช้า มนุษย์ลวงโลก หลอกกันเล่นได้ง่าย ๆ ยังกับว่าเราเป็นทารกอมมือ.” พัวกิมเน้ยกระดกนิ้วกราดหน้าใส่เจ้าหนุ่มอย่างฉุนเฉียว.

หญิงชราก็เห็นว่าขืนปล่อยให้นางบัวคำโมโหโทโสอยู่เช่นนี้ เรื่องราวจะลุกลามใหญ่โตไปจึงพูดตัดบทว่า “โธ่ แม่หญิงก็จะทะเลาะเบาะแว้งกันไปถึงไหน ท่านตั้วกัวยิ้งของยายน่ะพูดก็พูดเถอะ ท่านเป็นคนสายตายาว จริงอยู่ท่านอาจมองเห็นแมลงหวี่แมลงผึ้งได้แม้ให้ไกลแสนไกล แต่ว่าท่านหาอาจมองเห็นช้างตัวเบ้อเร่อที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านได้ไม่ บางทีถึงกับเดินซุ่มซ่ามไปชนเอาเข้าก็เคย จำไว้เถิดคุณผู้ชายคนนี้น่ะ ท่านเป็นโรคพิสดารเช่นนี้.”

“เอ้า ป้าก็พลอยมารุมเล่นงานเสียด้วยอีกคนแล้ว” ไซหมึ่งเข่งตัดพ้อหญิงชราพลางแกล้งถอนใจใหญ่ที่อ่อนอกอ่อนใจเต็มประดา.

และพอดีบัวคำเหลือบไปเห็นพัดด้ามจิ้วในมือของเจ้าหนุ่มเข้า นางจึงกระชากออกมาคลี่ดูปรากฏว่า พัดเสฉวนของไซหมึ่งด้ามนั้นเปรอะเลอะเทอะชาดทาปากผู้หญิงเต็มไปหมด แถมตามขอบทั้งสองก็มีรอยฟันขบเห็นประจักษ์ อารมณ์ระแวงมีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมตามประสาหญิง สิยิ่งมากระทบเข้ากับความหึงหวง บัวคำก็ขยำขยี้ฉีกพัดด้ามจิ้วเล่มงามนั้นเป็นเสี่ยงจนย่อยยับไปกับมือ ด้วยนางคิดไปข้างว่า พัดนี้ก็คงเป็นของพวกผู้หญิงพรรค์อย่างนั้นอีกเหมือนกัน.

“อ้าว แล้วกัน เธอ อย่า–อย่าฉีก พัดนี้ปกตีเต๋าเพื่อนรักร่วมสาบานให้ไว้ เป็นของรักชิ้นหนึ่งของเรา อย่าพึ่งฉีกเสีย” แล้วไซหมึ่งก็เข้ายื้อแย่งอยู่พัลวัน แต่หาสำเร็จไม่ นางพัวกิมเน้ยฉีกเสียจนได้.

แลชั่วที่สองหนุ่ม-สาว ยังกระเง้ากระงอดอยู่ต่อกันนั้น เจ้าเหง่งยี้คนอันกำพร้าบิดาก็ขออนุญาตเพื่อเข้ามาจัดตั้งน้ำร้อนน้ำชาให้ เมื่อแม่หนูตั้งโต๊ะน้ำชาเป็นที่รับรองท่านเศรษฐีหนุ่มเรียบร้อยแล้ว ก็กระทำคำนับท่านตั้วกัวยิ้งอย่างนอบน้อมตามที่นางแม่เลี้ยงสั่งสอนกำชับกำชาเจ้าไว้ก่อนจะออกไป

เมื่อยายเห่งเห็นว่า เหตุการณ์เป็นที่โอภาปราศรัยกันดีแล้ว แกก็ขอตัวลุกไปเข้าครัว ทว่าก่อนจะออกไปหญิงชราหันมาสำทับคู่หนุ่ม-สาว เสียทีหนึ่งว่า “ไหนๆ ท่านทั้งสองก็ต่อปากต่อคำกันนานแล้ว ควรจะเลิกรากันได้ที ต่อไปนี้ถึงเวลาจะหาอะไรใส่ปากใส่ท้องแล้ว” แล้วแกก็เดินหัวเราะชอบใจไปห้องครัว.

ระหว่างนี้เอง นางพัวกิมเน้ยก็เข้าไปหยิบถาดของขวัญสำหรับเป็นของกำนัลในวาระวันคล้ายวันเกิดของไซหมึ่งออกมาให้ ซึ่งของขวัญเหล่านี้แต่ละล้วนสำเร็จขึ้นด้วยฝีมืออันประณีตของนางเองทั้งสิ้น นอกเหนือจากบรรดาของต่าง ๆ แล้ว นางยังมอบปิ่นทองให้เป็นที่ระลึกแก่ชู้รักอีกอันหนึ่งด้วย ปิ่นนั้นสลักด้ามทำเป็นคำโคลงไว้ว่า

ขอมอบปิ่น “บัวซ้อน” นี้

แด่คนอันเป็นสุดที่รักของข้า

ต่างหน้าและแทนใจ

ตราบชั่วชีวิต.

ไซหมึ่งให้รู้สึกซาบซึ้งในความรักและภักดีของเมียบู๋ตั้วคนนี้ที่มีต่อตนเป็นยิ่งนัก เขารั้งร่างนางเข้ามาแนบไว้กับอ้อมอกอย่างทะนุถนอม พลางก้มลงประจงสูดสุคันธรสจากกระพุ้งแก้มนางชู้รักแต่เบามือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งคู่ต่างตื่นตาและตื่นใจอยู่ด้วยความผูกพันกระสันสวาท อันเป็นคู่เสน่หาฉันคนรักตราบชั่วตะวันลับฟ้า โดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยโรยราแต่สักว่าเล็กน้อยเลย.

และเป็นอันว่าในคืนนี้ ท่านไซหมึ่ง ตั้วกัวยิ้งมิได้กลับบ้านของเขา คงใช้เวลาตลอดราตรีนี้พักค้างอยู่กับนางคนอันเป็นพี่สะใภ้บู๋ซ้ง ณ เรือนน้อยแห่งนี้เอง.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ