สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง

บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่นางพัวกิมเน้ย และนางเม่งเง็กเล้า สองศรีภริยาของท่านตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่ง กำลังนั่งสนทนาหยอกเอินกันอยู่ตามประสาหญิง ณ เรือนต้นไม้ภายในอุทยานร่มรื่นของคฤหาสน์เช่นเคยมา อยู่ๆ ก็มีเศษกระเบื้องหล่นกราวตกลงมาจากกำแพงบ้านอย่างไม่มีเหตุผล ทำเอานางเง็กเล้าตกใจมากถึงกับลุกผวาพรวดออกมานอกซุ้ม พลอยทำให้บัวคำตกอกตกใจตามไปด้วย แต่นางยังมีสติดีอยู่ ก็ให้นึกสงสัยว่า ไฉนกระเบื้องถึงจำเพาะเจาะจงมาร่วงหล่นลงตรงนี้ได้ ก็เลยสำรวจตรวจดูอยู่เป็นการใหญ่ นางคลับคล้ายคลับคลาว่ามีใครสักคนกระเย้อกระแหย่งอยู่ทางกำแพงด้านข้างบ้านโน้น ทว่าพอนางจ้องเอาๆ คนๆ นั้นก็ผลุบหน้าหายไป บัวคำจึงสะกิดให้เง็กเล้าดู พลางกระซิบถามเบาๆ ว่า “รั้วบ้านด้านโน้นน่ะเป็นของฮวยจื้อฮือมิใช่หรือพี่ท่าน ชะรอยคงจะเป็นยายผั้งแกปีนกำแพงแอบดูดอกไม้บ้านเรา พอดีเห็นพวกเราเข้า แกถึงได้ผลุบหน้าลงไปเสีย”

และก็ในเย็นของวันเดียวกันนั้นเอง บัวคำคนช่างสังเกต ก็รู้สึกพิศวงสงสัยอยู่ครามครันในทีท่าของสามี ค่าที่เขาออกจะลุกลี้ลุกลนเป็นที่ผิดสังเกตอยู่ เมื่อถามว่าเขาจะกินอะไร? หรือจะดื่มอะไร? เขาก็ปฏิเสธแล้วก็ผลุนผลันลงบันไดเรือนหายไปทางข้างในสวน บัวคำสงสัยก็เลยแอบสะกดรอยตามไปดู นางจึงได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่สิ้นเชิง.

ครั้นเห็นสามีปีนกำแพงลงไปทางบ้านโน้นแล้ว บัวคำก็กลับมาห้องและเดินกลับไปกลับมาอยู่จนกระทั่งอ่อนใจ ก็เลยล้มตัวนอน ทว่านอนเท่าไร ๆ ก็ไม่หลับ เฝ้าแต่ลืมตาโพลงอยู่ตลอดคืน.

จนกระทั่งสามีกลับมาในตอนเช้ามืด นางก็ยังคงนอนลืมตาอยู่ เมื่อนางเห็นไซหมึ่งมีสีหน้าขวยเขินและทีท่ากระดาก บัวคำก็ลุกขึ้นจิกหูสามีให้หันหน้ามาหานาง พลางคาดคั้นเอาความจริงจากเขาว่าหายหัวไปค้างอ้างแรมที่ไหนมาคืนทั้งคืน และนางได้สำทับต่อไปว่า อย่าได้มาโกหกนางเสียให้ยากเลย เพราะนางรู้หมดแล้ว ขอให้บอกมาเสียตรงๆ ว่าเขาได้แล่นไปหานางผู้หญิงเจ้าเสน่ห์คนนั้นมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ซึ่งหากเขาบอกนางเสียตามตรง เรื่องของเรื่องก็จะไม่อื้ออึง ถ้ามิเช่นนั้นนางก็จะโพนทะนาให้ฉาวโฉ่ ให้อายเสียจนมิรู้ที่จะซุกหน้าไว้หนไหนทีเดียว.

ไซหมึ่ง, ก็รู้ตัวว่าเขาจนมุมแม่นางเมียคนนี้แล้วเป็นแน่แท้ ใบหน้าถอดสีสลดลงไปทันที ตั้วกัวยิ้งคนยิ่งใหญ่ของเช็งฮ้อ ก็กลายเป็นแมวเชื่องนอนหวดไปในฉับพลัน เขาคุกเข่าลงขอลุกะโทษและสารภาพผิดต่อบัวคำอย่างละห้อย.

“อย่างไรละก็ นึกว่าเห็นแก่พี่เถิด อย่าเอะอะไปเลย เราจะสารภาพแก่เจ้าตามตรงทุกอย่าง” แล้วไซหมึ่งก็เล่าเรื่องราวทั้งหลายแหล่ที่เป็นมาสู่บัวคำ เขาสรุปเรื่องลงอย่างประจบประแจงว่า “ลีปังเธอตั้งใจอยู่แล้วที่จะมาเยี่ยมคำนับน้องท่านในเช้าวันนี้ เพื่อทำความสนิทสนมและคุ้นเคยด้วย และก็ได้ยินว่าจะส่งรองเท้าซึ่งตัดและเย็บด้วยฝีมือของนางเองมาให้เป็นของขวัญแก่น้องและดวงแขในเร็ววันนี้ พี่เข้าใจว่าคงจะเป็นวันสองวันข้างหน้านี่ละกระมัง โดยเฉพาะน้องท่านแล้ว นางลีปังบอกว่า อยากจะมาขอสมัครเป็นน้องสาวด้วยซ้ำ”

พัวกิมเน้ยก็แว้ดขึ้นว่า อย่ามาตบตานางเลย นางรู้เท่าทันดอก คิดจะอาศัยนางเป็นสะพานทอดใช่ไหมเล่า นางว่า “อย่ามาใช้อุบายทำซัดทรายใส่ตานางเสียให้ยากเลย ว่าแต่ว่าไปหลับนอนกับนังผู้หญิงคนนั้นมากี่หนกี่ครั้งแล้ว?”

ไซหมึ่งก็เลยอดหัวเราะไม่ได้ เขาว่า “ผู้หญิงนี่แปลกเหลือเกิน ตั้งคำถามมาแต่ละข้อแทบจะทำให้ผู้ชายต้องเป็นโรคดีซ่านตายไปตามกัน!” พูดแล้วเขาก็ถอดเอาปิ่นปักผมสองด้ามที่นางลีปังให้เขาส่งให้แก่บัวคำ แลปิ่นทองสองอันที่เขาได้มานี้ ปรากฏว่าเป็นปิ่นประจำตระกูล ซึ่งท่านขันทีฮวยผู้สูงศักดิ์ได้เคยใช้อยู่เป็นประจำสำหรับปักเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในราชสำนัก ที่ด้ามปิ่นจารึกคำว่า “ซิ่ว” (Shu) เอาไว้ ซึ่งแปลได้ความว่า “ความมีอายุมั่นขวัญยืน” นั่นเอง.

“เป็นไง ชอบไหม?” เขาถามภรรยาอย่างเอาใจ.

“เอาละ, เป็นอันว่าข้าพเจ้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ และด้วยซ้ำข้าพเจ้าจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้ท่านทุกวิถีทาง อยากจะไปหานางเมื่อไหร่ละก็บอก ข้าพเจ้าจะช่วยดูต้นทางให้ พอใจพี่ท่านหรือยังเล่า หรือจะเอาอย่างใดอีกก็ว่ามา?” บัวคำแสดงน้ำใจกว้างขวางให้สามีเห็น

สามีก็กล่าวชมเชยนางว่า ช่างเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลเสียนี่กระไร และแล้วเขาก็กอดประทับรับขวัญภรรยาด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาพรรณนาให้บัวคำฟังถึงความรักของแม่นางลีปังที่มีต่อเขาว่า เป็นความรักที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเนื้อแท้แห่งความภักดีของนางเอง หาใช่เพราะจะหวังต้นทุนและกำไรอย่างใดไม่ เป็นความรักแรกที่บังเกิดขึ้นต่อหัวใจนางแน่แท้ “และเพื่อเป็นการตอบแทนความดีของน้อง พรุ่งนี้พี่จะรางวัลเสื้อไหมให้หนึ่งชุด” ไซหมึ่งจบการปลอบประโลมโง่วเจ๊เจ้าลงด้วยสินบนอันเป็นของถูกใจหญิง.

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ใช่ว่าพัวกิมเน้ยจะพลอยปลาบปลื้มและเคลิบเคลิ้มไปด้วยสินน้ำใจของสามีก็หาไม่ นางบอกแก่เขาอย่างเอาจริงเอาจังว่า นางนั้นหาได้เชื่อคำหว่านของเขานักไม่ เว้นเสียแต่เขาจะได้ให้สัญญาไว้แก่นางเป็นที่มั่นเหมาะสามประการ ซึ่งเธอยืนยันแลรับรองว่า ถ้าเขาให้สัญญาตามที่นางขอนี้ได้แล้ว เรื่องราวของเขาจะไม่มีโอกาสล่วงรู้ถึงหูผู้ใดอีกเด็ดขาด.

ไซหมึ่งก็ว่าได้ จะเป็นไรไป หากเป็นความประสงค์ของนางละก็.

พัวกิมเน้ยจึงขอคำมั่นสัญญาสามประการจากสามีไว้เป็นประกันคือ ข้อหนึ่ง ต้องเลิกไม่ไปเที่ยวซ่องโสเภณีอีก ข้อสอง ต้องเชื่อและกระทำตามคำที่นางบอกกล่าวและแนะนำ ข้อสาม ประการสุดท้าย ครั้งใดที่เขาไปค้างกับนางลีปังมา เขาจะต้องกลับมาเล่ารายละเอียดในการหลับนอนแต่ละครั้งๆ นั้นให้นางฟัง และจะเก็บงำปิดบังอันใดไว้แต่น้อยก็มิได้เป็นอันขาด.

“พี่ท่านจะให้สัญญาได้ไหมล่ะ?” บัวคำย้ำอย่างหนักแน่น ซึ่งสามีก็ตกลงยินยอมให้สัญญาแก่นางทุกประการด้วยความเต็มใจ.

แลนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ยามใดไซหมึ่งไปหลับนอนกับลีปังมา เขาก็จะกลับมาเล่าถึงความพิสดารต่างๆ นานา ที่ได้รับให้แม่นางเมียคนที่ห้านี้ฟังเป็นนิจมา ซึ่งคนรับฟังก็เอาการ เพราะถามเสียซอกแซกเหลือเกิน เป็นต้น วันนี้กินอะไรบ้าง? ดื่มอะไรบ้าง? ไปจนกระทั่งความรู้สึกของสามีว่า รู้สึกเช่นไร ในการร่วมหลับนอนกับผู้หญิงคนนั้น เนื้อนุ่มหรือแข็ง กลิ่นกายหอมหรือว่ายังจะชวนให้สำลัก นางดื่มเหล้าเก่งหรือไม่เก่ง คอยังจะแข็งสักขนาดไหน มีฝีไม้ฝีมือในทางเล่นไพ่เก่งฉกาจสักปานใด และหรือว่าละมุนละไมโลดโผนสักแค่ไหน ฯลฯ บัวคำเฝ้าแต่เซ้าซี้ซักถามไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งสามีก็มิเคยจะได้ปิดบังอำพรางนางแต่อย่างใด.

มีอยู่หนหนึ่งที่ขากลับจากบ้านแม่นางลีปัง ท่านตั้วกัวยิ้งได้นำเอาฉากไหมผืนหนึ่งติดมือมาฝาก ฉากเขียนฝีมืองามแผ่นนี้นับว่าเป็นสมบัติมีค่าประจำตระกูลฮวยก็ว่าได้ เพราะท่านขันทีใหญ่ผู้นั้นได้รับพระราชทานมาแต่ราชสำนักของฮ่องเต้ เป็นแพรเลี่ยนเนื้อดียืนยาวอยู่ ตามเนื้อแพรก็ปักกรุยด้วยเส้นไหมเป็นรูปเกี่ยวกับศิลปะอันพลิกแพลงในกามกรีฑาของชายและหญิง ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสิบสองรูปเต็มทั้งผืนฉาก ตรงริมขอบขลิบด้วยดิ้นทองแพรวพรายระยับตา ซึ่งจัดว่างามมาก และนับว่าเป็นฉากที่เขียนขึ้นด้วยจิตรกรฝีมือเอกในยุคนั้น ซึ่งหาค่าคู่ควรอีกได้ยากนัก.

บัวคำรับมาพินิจพิจารณาอยู่นาน นางเฝ้าพิเคราะห์ดูแต่ละรูปๆ จนเป็นที่พอใจแล้วก็ม้วน เรียกให้ชุนบ๊วยเอาไปใส่ตู้เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของนางเสีย สามีก็ค้านว่า ไม่ได้เพราะเขาจะต้องเอาไปคืนเจ้าของภายในสองวันนี้ จะเอาของเขาได้อย่างไร เป็นสมบัติมีค่าประจำตระกูลเขา ที่ขอยืมเขามาได้นี่ก็เพื่อจะเอามาให้เธอดูดอก.

แต่ภรรยาก็เถียงอย่างหน้าด้าน ๆ ว่าไม่ให้ ใครจะมาทำไมเธอ นางบอกว่านางจะเก็บเอาไว้ดูทุกวันเพื่อจดจำทีท่าไว้ใช้บ้าง ไซหมึ่งก็พูดดุๆ ขึ้นมาว่า ถ้าขืนไม่คืนให้เขาโดยดีแล้ว เขาก็จะใช้กำลัง “เอาเถอะเราจะง้างกำปั้นกะจ้อยร่อยของเจ้าออกให้จงได้” สามีพูด บัวคำก็ท้าเสียงใสว่า “เชิญซิ! จะง้างก็ง้างเอาเอง เราไม่ให้–ต่อให้ท่านขยี้เรายับเป็นเสี่ยงๆ หัวเด็ดตีนขาดเราก็ไม่ยอม”

ไซหมึ่งเลยกล่าวขึ้นอย่างขำ ๆ ว่า “เออ, แล้วเราจะทำอย่างไรเล่าทีนี้ คือ? เอาเถอะ, เมื่อเจ้าอยากได้ไว้ดูก็ตามใจ จำๆ เสียให้คล่องนะ แล้วเราจะทดลองแก่เจ้าต่อไป รับรองได้ว่าของเราไม่มีซ้ำแบบแน่ๆ”

พอได้ยินสามีพูดเช่นนี้ บัวคำก็กล่าวขึ้นอย่างดีใจแกมยั่วว่า “ฮ่า, ถ้าได้อย่างพี่ท่านว่าก็วิเศษน่ะซี เอาเถอะ, ข้าพเจ้าจะให้รางวัลไว้ล่วงหน้าก่อน ไม่ต้องมาใช้กำลังง้างแงะกำปั้นข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจะแบให้พี่ท่านเอง”

และแล้วทั้งคู่ต่างก็มิได้ลดราวาศอกให้แก่กัน ในอันที่ไซหมึ่งจะพยายามง้างกำปั้นของบัวคำออก และข้างบัวคำเล่า เจ้าก็พยายามเป็นอย่างที่สุดที่จะยุยั่วให้สามีหักโหมง้างกำปั้นนางให้เต็มที่ จึงดูให้อุตลุดไปหมดบนที่นอนในบัดนั้น

ท่านผู้อ่านที่เคารพ – ก็เดี๋ยวนี้ท่านเชื่อหรือยังเล่าว่าไสยเวทและมนต์ขลังซึ่งเป็นศาสตร์อันลึกลับ ยากยิ่งต่อการจะปฏิเสธเสียได้ว่าไม่มีหรือไม่จริง ดูเอาเถิด ในกรณีอย่างนี้ที่นับแต่นางพัวกิมเน้ยได้ให้หมอเล้าฮวยจื๊อผู้นั้นทำเสน่ห์ให้เธอแล้ว ไซหมึ่งเข่งผู้สามีก็มิได้มีวันจะไปจากนางรอด ซ้ำกลับจะยิ่งมีความพิสมัยในตัวนางเมียคนที่ห้านี้ขึ้นเป็นทับทวีคูณ ทุกวันนี้ บัวคำหามีอันใดที่จะต้องเป็นห่วงและกังวลในเรื่องผัวรักหรือไม่รักอีกแล้ว นางสามารถแม้ที่สุดให้สามีดื่มได้กระทั่ง “น้ำล้างเท้า” ของนางเอง ก็เช่นนี้จะไม่ให้นางอยู่ฐานะ “เมียที่ผัวหลง” ได้อย่างไร ไซหมึ่งเข่ง, ตั้วกัวยิ้งถูกกระทำเสน่ห์เสียอย่างย่ำแย่แล้วทุกวันนี้!

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ