- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
เพื่อนเรา–เผาเรือน
เที่ยงวันวันหนึ่ง ไซหมึ่งเข่งได้รับเชิญจากเพื่อนบ้านแซ่ฮวยคนนั้นให้ไปที่บ้านอีก ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่เมื่อเขาไปถึงบ้านของฮวย และกำลังจะก้าวเข้าประตูเรือนนั้น เขาเกือบจะได้ชนเข้ากับแม่นางฮวยลีปัง ภริยาของเจ้าบ้าน ทั้งนี้เพราะท่านเจ้าสัวแกมัวเหม่อเดินคิดอะไรต่ออะไรของแกหมกมุ่นหัวใจอยู่ และก็ชั่วที่เขาเงยหน้าขึ้นจะกล่าวคำขอโทษต่อเธอนี้เอง ไซหมึ่งก็พลันต้องตะลึงตะไลไปกับความงามอันพิลาสผุดผ่องของหญิงผู้ยืนประจันหน้ากับตนอยู่.
เพราะภายในเสื้อแพรบางตัดหลวม ๆ อย่างอยู่กับบ้านคว้านคอลึกเปิดให้เห็นช่วงคออันกลมกลึงและเกลี้ยงเกลาด้วยผิวผ่อง สะท้อนและสะท้านอยู่ด้วยปทุมถันอันอวบสล้างที่แลระเรื่อ ๆ เห็นอยู่ไหว ๆ ใต้สไบบาง วงหน้ามนรีของตะละแม่นางนั้นเล่า ก็เฉลาแฉล้มอูมอิ่มและสดใสอยู่ด้วยเลือดฝาดอันเปล่งปลั่งผุดผ่องเป็นนวลใยดุจแตงร่มใบแลสะดุดตา คิ้วโค้งทั้งคู่ก็เขียนโค้งไว้อย่างดีแลวิจิตรบรรจงยิ่ง มวยผมดกดำที่ดำดกดุจขมวดไหมและหอมกรุ่น ก็ได้รับการประจงเกล้าไว้กะทัดรัดภายในร่างแหเงิน เธอสวมรองเท้าแดงสีสด ซึ่งตัดอย่างน่าดูรับกับสีขาวของกระโปรงตัวนั้น ก็เมื่อไซหมึ่งต้องมาประสบกับความงามอันงามล้นของหญิงหนึ่งซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ จะเป็นไปไม่ได้เทียวหรือที่ว่าหัวใจของเขาจะเกิดรู้สึกเสียวซ่านและซาบซ่านขึ้นอย่างบอกไม่ถูก.
และเมื่อเขาก้มลงคำนับนางนั้นเอง เสียงหวานจะแจ้วจับใจก็กล่าวปฏิสันถารขึ้นอย่างละมุนละไมว่า “ขอความสุขทั้งหมื่นประการ (บ้วนฮก) จงเป็นของตั้วกัวยิ้งท่านเถิด” แล้วนางก็ถอยกลับเข้าห้องไป และเมื่อสาวใช้ได้นำแขกผู้มีเกียรติคนนี้ไปยังห้องรับรองเรียบร้อยแล้ว สักครู่นางก็เยี่ยมหน้าออกมาบอกว่า ขอโทษด้วยที่ทำให้เขาต้องเสียเวลาคอย เพราะสามีของนางออกไปธุระนอกบ้านยังมิกลับ แต่อีกสักประเดี๋ยวก็คงจะมา ทันใดนั้น สาวใช้ก็ยกที่น้ำร้อนน้ำชาเข้ามาขัดจังหวะเสีย นางลีปังคอยจนกระทั่งคนใช้ลับตัวไปแล้ว จึงได้กล่าวแก้ไซหมึ่งเข่งเป็นเชิงขอร้องสืบไปว่า หากเขาจะออกไปเที่ยวนอกบ้านกับสามีของนางในวันนี้ละก็ ขอให้ช่วยดูแลห้ามปรามด้วย อย่าให้เสพสุรามึนเมามากไปนัก เดี๋ยวจะเลยไม่กลับบ้านกลับช่องอีก เพราะนางต้องอยู่บ้านแต่ลำพังกับสาวใช้แต่เพียงสองคนเท่านั้น ดูกระไรอยู่ ไซหมึ่งก็รับว่าจะช่วยยับยั้งและระมัดระวังสามีของนางให้ไว้เป็นอย่างดี.
พอดีมีเสียงขานเข้ามาแต่ข้างภายนอกว่า “ท่านฮวยกอกลับมาแล้ว” เลดี้ปังจึงขอตัวกลับห้อง.
แลเรื่องที่ฮวยจื้อฮือเชิญท่านตั้วกัวยิ้ง เพื่อนบ้านผู้นี้มาในวันนี้นั้น ก็คือว่า เขาตั้งใจจะชวนให้ไปเที่ยวในงานวันแซยิดนางหงึ่งยี้ ดาราประจำซ่องยายโง้วซีม้า คนคู่ขาของเขาด้วยกันนั่นเอง เพราะวันนี้เป็นวันยี่สิบสี่ค่ำเดือนหก ตรงกับวาระคล้ายวันเกิดของนาง ซึ่งไซหมึ่งก็ตกลงใจจะไปด้วย ทว่าอย่างไรก็ตาม ไซหมึ่งหาได้ลืมคำขอร้องของนางลีปัง ที่เธอได้สั่งพูดไว้ไม่ ดังนั้น เมื่อไปร่วมสนุกสนานกันเป็นที่รื่นเริงและครึกครื้นเต็มที่แล้ว แต่ไซหมึ่งเข่งเห็นว่า ฮวยกอจะเมาแล้วเขาก็รั้งเอาตัวกลับมาส่งบ้านเสีย ซึ่งการนี้ภรรยาของฮวยได้แสดงความขอบอกชอบใจต่อเขาเป็นอย่างมาก แต่ไซหมึ่งก็ตัดบทเสียว่า การเพียงเท่านี้นางมิควรจะขอบอกขอบใจเขาให้มากมายเกินไปนัก เพราะต่อให้ยิ่งกว่านี้ถ้าเป็นคำขอร้องของนาง เขาก็ย่อมจักปฏิบัติให้นางได้อยู่ เลดี้ผู้เจ้าบ้านก็ได้แต่พึมพำขอบอกขอบใจอยู่มิขาดปาก และยิ่งทำให้นางรู้สึกซ่านระทึกไปด้วยปีติยิ่งขึ้นอีก เมื่อไซหมึ่งกล่าวว่า เขาแปลกใจเหลือเกินว่า ทำไมหนอชายที่มีภริยางามเช่นฮวยจื้อฮือนี้ ช่างกระไร สามารถทิ้งเมียออกไปหาความสำราญกับหญิงอื่นนอกบ้านได้ เขาพูดว่าหากชายใดทำได้ดังนี้ “เห็นทีผู้ชายคนนั้นคงหาความคิดไม่!”
ซึ่งนางลีปังก็ยอมรับอย่างชื่นตาว่า “ที่ท่านตั้วกัวยิ้งเจรจามานั้นถูกต้องอยู่” และแล้วนางก็ฝากฝังสามีให้ไซหมึ่งได้ช่วยตักเตือนห้ามปรามในโอกาสต่อไป ทั้งนี้นางได้แสดงความขอบคุณล่วงหน้าต่อเขาเป็นอย่างมาก.
ก็ผู้ชายอย่างไซหมึ่งเข่ง ตั้วกัวยิ้ง แห่งเช็งฮ้อผู้นี้ ได้เป็นที่รู้กันอยู่ดีแล้วว่า เขาเป็นคนเจ้าชู้เช่นไร แลเมื่อเขาได้ประจักษ์ต่อทีท่าของหญิงอันเป็นภรรยาเพื่อน ซึ่งเผยสัมพันธ์และส่อความรู้สึกออกมาในท่าทีเช่นนี้ เขาก็ตระหนักแก่ใจได้ทันทีว่า รูปการอันที่เขาจะลองทามสวาทกับเธอนั้นพอมีหวังอยู่ และขณะนี้เขาก็กำลังเป็นต่อ ไซหมึ่งยิ้มให้แก่เธออย่างนุ่มนวล พลางรับคำเป็นที่มั่นเหมาะว่า เขาจักพยายามสอดส่องดูแลความประพฤติของชายอันเป็นสามีของนางให้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขากล่าวปลอบใจเธออย่างนิ่มนวลก่อนที่จะลากลับ.
แลนับแต่นั้นมา ไซหมึ่งเข่งก็ได้มีแผนการในใจไว้แยบยล โดยวางอุบายไว้อย่างแยบคายดังนี้
ครั้งใดก็ตาม หากเขามีโอกาสได้ไปเที่ยวเตร่ร่วมกับฮวยจื้อฮือแล้วไซร้ ให้เพื่อนๆ ของเขา อาทิ เอ็งฮวยจื๊อ เจี้ยฮีตั้ว หรือคนอื่น รีบรินสุราให้เขากินๆ เสีย พอรู้สึกว่าชักจะเมาแล้วเขาก็ปลีกตัวกลับ เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็จะแสร้งยืนรีรออยู่หน้าประตู คะเนดูว่าทางบ้านฮวยกอ นางลีปังกับสาวใช้คู่ใจทั้งสองได้เดินออกมารอรับสามีของนางถึงหน้าบ้านแล้ว ไซหมึ่งก็จะทำเดินกลับไปกลับมาอยู่แถวๆ หน้าบ้านของนาง เป็นทีว่าเขาได้มาช่วยดูแลบ้านช่องให้ในระหว่างเวลาที่รู้ว่าสามีของนางไม่อยู่นี้ บางครั้งเขาก็จะแกล้งส่งเสียงกระแอมไอให้แม่หญิงลีปังเธอได้ยิน หรือบางครั้งก็จะทำเป็นสงสัยและสนใจในเงาวับๆ แวมๆ ตามซุ้มตามรั้ว คล้ายๆ ว่าเผื่อจะมีผู้ใดใครแปลกปลอมมาหลบซ่อน ซึ่งนางลีปังเมื่อเห็นเช่นนี้ นางก็จะทำหลบเสียในเงามืดเพราะด้วยความขวยเขินใจ แต่ครั้นพอเห็นเจ้าสัวหนุ่มเดินห่างออกไปเข้าจริงๆ นางก็จะค่อยๆ โผล่หน้าออกมาแลดูตามเขาด้วยแววตาละห้อย การจึงเป็นอันว่า “หนุ่มพ่อบ้าน” และ “สาวเจ้าเรือน” คู่นี้ ต่างคอยรอโอกาสอัน “สวรรค์จะบันดาล” อยู่ด้วยกันสืบมา.
กระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะที่ไซหมึ่งเข่งกำลังยืนเล่นอยู่หน้าประตูบ้าน นางซิ่วชุน (Apricot Blossom) สาวใช้จากเรือนฮวยกอได้ตรงเข้ามาหา และบอกว่า แม่นางลีปังอยากจะขอพบเพื่อปรึกษาการสักอย่าง แล้วนางก็ค่อยกระซิบแต่พอได้ยินว่า “ขณะนี้สามีของปังเจ๊ไม่อยู่บ้าน” ไซหมึ่งได้ยินเช่นนั้น ก็มิพักจะรอช้าให้เสียเวลาแก่การ เขารีบเดินตามนางสาวใช้ผู้นี้ไปทันที และเมื่อได้นั่งคอยอยู่ในห้องรับแขกสักครู่แล้ว นางลีปังก็เข้ามาพบและถามเขาว่า เขาได้พบสามีของนางที่ไหนบ้างหรือเปล่า? ไซหมึ่งก็บอกว่า เขาได้พบกับฮวยตั้งแต่วันวานนี้ที่บ้านของยายแต้ (Mother Chong) แต่ว่าเขามิได้อยู่ด้วยเพราะรีบกลับเสียก่อน แต่วันนี้ทั้งวันเขายังมิได้พบกับสามีของนางเลย และเขายังได้กล่าวอวดตัวเป็นเชิงปรารภต่อไปอีกว่า เป็นบุญของเขาเหลือเกินที่เมื่อวานนี้เขากลับบ้านเสียก่อน ดีมิดีแม่หญิงลีปังจะว่าเอาได้ ว่าทำไมอยู่ด้วยกันแล้วไม่ตักเตือนกัน นับว่าเป็นโชคที่เขาจะไม่ต้องกลายเป็นคนเสียคำพูด ตามที่รับปากไว้ต่อนาง เลดี้ฮวยก็ระบายความในใจของนางให้แก่สหายของสามีฟังสืบไปว่า ทุกวันนี้นางเอือมคนผู้ผัวเต็มทนแล้ว ไม่เห็นทำงานทำการอะไร เอาแต่เที่ยวสำมะเลเทเมาถ่ายเดียว นางเกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติ ผัวของนางคงจะมิอาจเอาดีกับเขาได้ เพื่อนบ้านหนุ่มคนมีหน้ามีตาของหมู่บ้านก็ว่า อย่าด่วนวู่วามตำหนิสามีของนางไปก่อน อันที่จริงสามีท่านก็นับเป็นเพื่อนที่ดีอยู่ในสายตาของเพื่อนฝูง เขาเป็นคนมีนิสัยโอบอ้อมอารีแลมีน้ำใจกว้างขวาง ซึ่งอย่างที่ไซหมึ่งพูดนี้ ฟังดูก็รู้ทีว่าเหน็บแนมและประชดประชันอยู่ในตัว เขาทั้งสองนั่งสนทนาอยู่ด้วยกันเช่นนี้อีกครู่ใหญ่ ไซหมึ่งก็ลากลับ เพราะเกรงไปว่าฮวยจื้อฮือจะกลับมาพบเข้า การใหญ่อันที่เขาตั้งใจไว้จะเสียผล รังแต่จะเสียเวลาคิดการไปเปล่า ๆ.
รุ่งขึ้นเมื่อฮวยกลับมาบ้าน เขาก็ถูกนางลีปังต่อว่าต่อขานเป็นการใหญ่ นางบอกเขาว่า ไซหมึ่งเข่งเพื่อนของเขานั้นช่างแสนดี อุตส่าห์คอยได้เป็นห่วงเป็นใยในตัวเขา เฝ้าแต่แนะนำและตักเตือนให้ในทางที่ถูก ควรหรือที่เขาจะเพิกเฉยละเลยมิคิดถึงบุญคุณคนผู้นั้น น่าจะมีกะจิตกะใจหาอะไรส่งไปตอบแทนสมนาคุณเขาบ้าง เพื่อเป็นที่ประจักษ์น้ำใจต่อกันไว้สืบไป สามีได้ฟังก็เห็นด้วยรีบจัดส่งสิ่งของไปกำนัลท่านตั้วกัวยิ้ง คนเพื่อนบ้านนั้น เป็นจำนวนสี่หีบ พร้อมทั้งเหล้าองุ่นอย่างดีอีกหนึ่งเหยือก.
ส่วนทางบ้านท่านไซหมึ่งเข่ง เมื่อเลดี้วัวยะเห็นท่านฮวยกอ อยู่ๆ ก็ส่งของกำนัลมาให้ จึงถามสามีขึ้นว่า เรื่องเป็นอย่างไรมาเป็นอย่างไร หลานชายท่านขันทีจึงส่งของมาให้เราเช่นนี้ สามีก็อธิบายให้ฟัง. นางตั้วเจ๊ของไซหมึ่งก็เหน็บแนมสามีว่า “โอย ท่านนี่ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน รู้จักและแนะนำสั่งสอนชาวบ้านเขาให้ประพฤติดีก็ได้ แต่ว่าตัวของท่านเองนั้นหาประพฤติได้ดีเหมือนอย่างที่เที่ยวสั่งสอนคนอื่นเขาไม่ว่าแต่ว่าตามมรรยาทที่ดีแล้ว เราควรจะต้องจัดหาของอะไรส่งไปเป็นการตอบแทนเขาบ้างจึงจะถูก ไหนดูซิว่าใครเป็นคนส่งของสิ่งนี้มา ถ้าเป็นแม่หญิงลีปัง ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นผู้จัดตอบแทน แต่ถ้าเป็นจื้อฮือก็ต้องเป็นหน้าที่ของท่าน.”
สามีก็พลิกชื่อที่นามบัตรดู ปรากฏว่าเป็นของสามีนางลีปัง ดังนั้น ไซหมึ่งจึงบอกแก่นางดวงแขว่า “พรุ่งนี้ เขาจะเชิญฮวยจื้อฮือมาเลี้ยงอาหารที่บ้านเป็นการตอบแทน”
จึงรุ่งวันต่อมา, ไซหมึ่งเข่งได้เชิญฮวยมาร่วมรับประทานอาหารเลี้ยงที่บ้านตามที่รับปากไว้ต่อเลดี้วัวยะ ครั้นเสร็จสิ้นการเลี้ยงแล้ว ฮวยจื้อฮือก็ลาเจ้าบ้านกลับ พอถึงบ้านภรรยาของเขาก็เข้ามาหาและพูดว่า “น่าเห็นใจ ตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเหลือเกินนะ เพราะประสาแต่ของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังสู้จัดเลี้ยงสมนาคุณท่านเสียเป็นการใหญ่ สิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุ ควรที่ท่านจะระลึกถึงบุญคุณเขาอยู่”
ก็พอดีโอกาสที่หลานชายท่านขันทีฮวยผู้นี้ จะได้หาทางจัดงานเลี้ยงสมนาคุณไซหมึ่ง, ผู้เพื่อนบ้านมาถึง นั่นคือเทศกาลสารทดอกเบญจมาศบานวันเก้าค่ำ เดือนเก้า ซึ่งนอกจากไซหมึ่งแขกสำคัญที่เชิญมาแล้ว ยังบรรดาเพื่อนฝูงร่วมสาบานทั้งนั้นก็มากันครบหน้า การเลี้ยงได้เป็นไปอย่างสนุกสนานเช่นเคย ตลอดเวลาที่การเลี้ยงโต๊ะดำเนินไปก็มีดนตรีขับคลอไปด้วย และยิ่งกว่านั้นนางบำเรอสองคนที่เจ้าภาพจัดหามา ก็แสดงลวดลายของนางอย่างถึงขนาด สมกับที่ฮวยจงใจจัดขึ้นเป็นงานตอบแทนท่านตั้วกัวยิ้งผู้นั้น.
การเลี้ยงดำเนินไปกระทั่งค่ำ ไซหมึ่งเข่งจึงได้ลุกจากโต๊ะ ขอตัวเพื่อจะออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่ ทว่าตอนที่เขาเดินจะออกประตูห้องนั้นเอง ก็เกือบชนเข้ากับแม่นางลีปัง ภรรยาของเจ้าบ้านที่มายืนแอบซุ่มดูความเป็นไปของสามีและเพื่อนอยู่ นางรีบหลบเสียทัน แต่ก็ยังมิทันที่ไซหมึ่งจะได้ปฏิบัติตามที่ตั้งใจไว้ นางซิ่วชุนสาวใช้ของแม่หญิงลีปังก็โผล่ออกมาจากเงามืด และตรงเข้าไปกระซิบบอกความแก่เขาว่า ปังเจ๊ของเธอสั่งให้มาขอร้องท่านตั้วกัวยิ้งว่า อย่าเสพสุราให้มากนัก แม่นางท่านเป็นห่วง ถ้าให้ดีละก็รีบกลับบ้านเสียแต่หัวค่ำ แล้วแม่หญิงจะไปตามให้มาทีหลัง.
ไซหมึ่งได้ยินดังนั้นก็นึกกระหยิ่มใจ เลยลืมที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะออกมาทำธุระเสียสิ้นเชิง เขากลับเข้าไปนั่งโต๊ะอีกครั้ง และครั้งนี้เขาแกล้งทำเป็นเมามาก ใครรินเหล้าส่งให้ก็ปฏิเสธไม่ยอมกิน บอกว่าเมาๆ ทำเป็นครางอ้อแอ้ ๆ แล้วก็ฟุบไปกับโต๊ะ.
ขณะเดียวกัน ลีปังก็เริ่มรำคาญและหงุดหงิดใจ ค่าที่ยามหนึ่งล่วงไปแล้ว แต่พ่อเจ้าประคุณสามีขี้เมาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปข้างไหน ต่ออีกครู่จกสิกเหนียน กับซึงเทียนฮวยจึงได้ลากลับ ครั้นไซหมึ่งทำท่าว่าจะลากลับบ้าง ฮวยก็ว่า อะไรตั้วเฮีย ทำเป็นคนนั่งไม่ติดไปได้? เดี๋ยวก่อนซิ ถึงค่อยกลับ ราวกับว่าท่านรังเกียจเจ้าบ้านเสียเต็มประดา ไซหมึ่งก็พูดแต่โดยดี ทั้ง ๆ ที่ทำเมาว่า ขอโทษที่ท่านฮวยกอ วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าออกจะเมามากไปหน่อย แล้วก็มิได้ฟังเสียง เขาเรียกคนใช้ให้มาช่วยพยุงโซเซโซซัดกลับไปทันที.
อยู่ทางนี้เอ็งฮวยจื๊อก็ปรารภขึ้นว่า “เอ, ตั้วเฮียแกเป็นอะไรของแกไปนะวันนี้ ทุกทีๆ ไม่เห็นเคยยอมแพ้ง่ายๆ” เจี้ยฮีตั้วก็ว่า “ช่างเถอะ อย่าไปเอาใจใส่เลย เรากินของเราต่อไปดีกว่า” แล้วทั้งสามก็นั่งร่ำสุราอยู่ด้วยกันสืบไป.
แม่หญิงลีปังก็ยิ่งไม่ชอบใจใหญ่ นางบ่นพึมพำๆ แล้วก็ร้องเรียกสามีให้ออกมาหา นางว่า “อย่างไรละ ก็ขอให้เขาได้เห็นใจนางบ้างเถิด เพราะนี่ก็ค่อนดึกค่อนดื่นมากแล้ว จะไปไหนก็ไปกันเสีย อย่าให้ต้องมาเปลืองน้ำมันตะเกียงจุดเฝ้าดูคนขี้เมาเอะอะเฮฮาหนวกหูเช่นนี้เลย หรือว่าต้องการจะให้นางนั่งถ่างตาดูเพื่อน ๆ ขี้เมาของเขาทำลิงทำค่างอวดก็ว่ามา” สามีก็พูดอ่อยๆ ว่า เขาเองน่ะอยากจะออกไปนอกบ้านเต็มประดาแล้ว แต่เกรงใจนาง ลีปังก็ว่าจะมาเกรงอกเกรงใจนางหาวิมานอะไรอยู่อีก รีบไปๆ เสียให้พ้นยิ่งดี แล้วเอาเจ้าเพื่อนบ้าบอทั้งสองนั่นไปเสียด้วย แล้วคืนนี้ก็ไม่ต้องกลับมาให้นางเห็นหน้าอีกเป็นอันขาด ฮวยได้ยินดังนั้นก็ดีใจ รีบกระวีกระวาดฉุดไม้ฉุดมือเพื่อนเสเพลทั้งสอง แล้วก็พากันจูงแม่นางระบำทั้งคู่โซซัดโซเซออกจากบ้านไป โดยมีเจ้าเทียนฮกและเจ้าเทียนฮี้สองคนใช้ติดตามเป็นผู้พิทักษ์ไปด้วยแต่ห่างๆ.
ย้อนกล่าวถึงไซหมึ่งเข่ง แต่แกล้งทำเมาและให้คนใช้พยุงตัวกลับบ้านนั้น เขาหาได้กลับจริงไม่ คงแอบซุ่มอยู่ที่ใต้กำแพงบ้านนั้นเอง ท่านเจ้าสัวคนไวไฟนั่งซุ่มเสียจนเมื่อยและชักจะกระวนกระวายขึ้นมาตะงิดๆ ก็พอดีได้ยินเสียงหมาเห่าทางหน้าบ้านของฮวย สักครู่ก็มีเสียงประตูปิดดังเอี้ยดแล้วก็เงียบไป กระทั่งอีกอึดใจก็มีเสียงแมวร้องอยู่บนกำแพงตรงที่เขาซ่อนอยู่ จึงแหงนหน้าขึ้นไปดู อ้าว, นางซิ่วชุนนั่นเองน่ะแหละ กำลังพยักพเยิดให้รีบปีนกำแพงเข้ามา ไซหมึ่งมิได้รอช้า ทว่ากำแพงค่อนข้างจะสูงอยู่ก็เลยต้องเสียเวลาหาโต๊ะหาเก้าอี้มาซ้อนกันปีนขึ้นไป แต่ทางด้านบ้านของเพื่อนนั้นดีเหลือเกินเพราะมีบันไดพาดรอไว้ให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเสียเวลา ซิ่วชุนนำท่านตั้วกัวยิ้งไปยังห้องห้องหนึ่ง ซึ่งริบหรี่ ๆ อยู่ด้วยแสงเทียน ณ ที่ห้องนั้นเอง ไซหมึ่งได้ประสบเข้ากับภาพของสาวงามผู้เจ้าของนามลีปัง, สะใภ้ของท่านขันทีใหญ่ ซึ่งขณะนั้นสาวเจ้ากำลังอยู่ในเสื้อนอนแพรบางหลวม ๆ ที่แลดูงดงามอล่องฉ่อง นางสยายผมลงเปลือยไหล่ ทำให้แลดูดกดำสนิทเสมือนเส้นไหมอันละเอียดอ่อนแผ่คลุมอยู่เหนือแท่งหยก เมื่อนางเห็นชายอันต้องใจเข้ามา ก็รีบตรงเข้ามารับรอง และเชื้อเชิญให้เขานั่งตามสบาย พลางรินสุราให้เขาเป็นการคำนับ.
“ข้าพเจ้านั่งรอเสียเกือบตาย–” ลีปังบอกและทิ้งคำพูดไว้เป็นนัย––“กว่าท่านฮวยกอกับเพื่อน ๆ ขี้เมาจะออกจากบ้านกันไปได้”
“แต่แม่หญิงท่านแน่ใจละหรือว่า ฮวยกอ, ของท่านจะไม่หวนกลับมาบ้านคืนนี้อีก?” ไซหมึ่งถามอย่างไม่แน่ใจ.
“ข้าพเจ้าอนุญาตให้เขาไปได้จนกระทั่งเช้า ไม่ต้องกลัวไปดอกถึงข้อนี้ เวลานี้ทั้งบ้านก็มีแต่ข้าพเจ้าและสาวใช้นี้อีกสองคนกับแม่นมผั้ง คนเฝ้าประตูบ้านเท่านั้น แล้วก็–ท่านอีกคน––”
ไซหมึ่งได้ฟังก็หายกังวลใจ พลางทรุดลงนั่งแนบไหล่และเคล้าคลึงโฉมงามทันที ทั้งคู่ต่างสนทนาพาทีกระซี้กระซิกอยู่ต่อกันเป็นที่สนิทเสน่หา ดื่มสุราร่วมจอกและเสพอาหารร่วมจานดูเป็นที่สุขสำราญถึงขนาดอยู่ ตลอดนี้มีนางเหง่งชุนเป็นคนริน และนางซิ่วชุนเป็นคนเสิร์ฟ เมื่อหลังแต่ที่ได้เสพสุราอาหารกันเป็นที่อิ่มหนำสำราญใจแล้ว ทั้งคู่ก็จูงมือกันเยื้องย่องเข้าห้องนอน และ ณ ที่นั้นเอง ใต้มุ้งผ้าโปร่งซึ่งไหวยะยาบด้วยสายลมโชยระรื่นรินและอวลอบอยู่ด้วยกลิ่นกำยานหอมอันคละคลุ้ง ความสุขและความปรารถนาอันใดที่ทั้งสองได้มุ่งมาดปรารถนาไว้แต่เนิ่นนานนั้น บัดนี้ ความสุขและความปรารถนาอันนั้นก็สำเร็จสมมโนรถเป็นของเขาทั้งสองแล้วอย่างสมบูรณ์และสมใจ.
พอสบเชิงเริงรื่นชูชื่นแช่ม
ต่างยิ้มแย้มหย่อนตามไม่ห้ามหวง
มณฑาทิพย์กลีบหุ้มเป็นพุ่มพวง
ขยายดวงเด่นกระจ่างเมื่อกลางวัน
เกษมสุขทุกสถานพิมานทิพย์
เห็นลิบลิบลอยสล้างกลางสวรรค์
พวกรำเต้นเล่นงานค้างการนั้น
กลับประชันโรงรำตามลำพัง
เหมือนราตรีมีโขนละครหุ่น
กลางวันวุ่นเวียนเต้นกลับเล่นหนัง
ตะโพนฆ้องกลองตีไม่มีดัง
เหมือนสองสังวาสสวาทไม่คลาดคลา
(พระอภัยมณี)
และเพื่อที่จะป้องกันความสุขและความปรารถนาของตนไว้ให้เป็นความลับอันรื่นรมย์เฉพาะตน มิประสงค์ให้แพร่งพราย เลดี้ฮวยได้ลงทุนหาสมุดหนังปิดซ้อนบานหน้าต่างไว้เสียอีกชั้นหนึ่ง แต่ถึงกระนี้ความรื่นรมย์ของคนทั้งคู่ก็ยังหาได้เป็นความลับอยู่แต่เฉพาะเขาทั้งสองไม่ เพราะสิบเจ็ดปีที่ผ่านโลกมาของเหง่งชุน สอนให้นางรอบรู้และฉลาดพอที่จะแสวงหาเสาะค้นความสุขได้ แม้จะมิใช่เป็นของๆ ตนก็ตามที ดังนั้น เจ้าจึงได้เจาะบานหน้าต่างแอบดูจนได้ นอกจากเงาสลัวลางของมุ้งที่ไหวยะยวบเพราะถูกลมชาย และแสงเทียนอันริบหรี่ ๆ ที่สาดเงาวอบแวบวอมแวมนั้นแล้ว เหง่งชุนยังแว่วเสียงคู่สุขทั้งสองสนทนาพาทีกันมากระทบหูอีกว่า.
“น้องท่านอายุเท่าใดแล้วเดี๋ยวนี้?”
“ยี่สิบสาม ก็ตั้วเจ๊ของท่านเล่า สักเท่าใด?”
“ยี่สิบหกเข้าปีนี้แล้วละกระมัง”
“แหม แก่กว่าข้าพเจ้าถึงสามปี แต่ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะฝากของขวัญไปให้แม่นางสักอย่าง มิทราบว่าแม่นางยังจะพอใจหรือไม่?”
“ไม่ต้องกลัวดอก ตั้วเจ๊เป็นคนดีมีอัธยาศัยนุ่มนวลน่ารัก”
“เช่นนั้นหรือ ก็ถ้าเผื่อตั้วเจ๊จับได้ว่า ท่านแอบเที่ยวกลางคืนอย่างนี้ ท่านยังจะแก้ตัวกับเธอว่าอย่างไรเล่า?”
“โอ, ภรรยาของเราแต่ละคน ๆ นั้นอยู่ห่างกันคนละบ้านลิบลับนัก ไม่มีใครจะมาสังเกตดอก เว้นเสียแต่โง่วเจ๊ละก็ว่าไม่ถูก เพราะเธออยู่เรือนสวน เผื่ออาจจะเห็นเข้าก็เป็นได้ แต่ใช่ธุระกงการอันใดที่นางจะมายุ่งเกี่ยวในเรื่องของเรามิใช่หรือ?”
“แล้วโง่วเจ๊คนนี้ล่ะ อายุเธอจะสักเท่าใด?”
“เห็นจะรุ่นราวคราวเดียวกับตั้วเจ๊นั่นแหละ”
“ดีแล้วละ ถ้าแม่นางโง่วเจ๊ เธอไม่รังเกียจ ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะขอมอบตัวเป็นน้องสาวนางด้วยสักคน เช้าพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะส่งรองเท้าไปให้เธอกับแม่นางดวงแขของท่านคนละสองคู่เป็นของขวัญ”
แล้วภรรยาของฮวยกอก็ถอดปิ่นทองออกจากมวยผม ยื่นให้ไซหมึ่งสองอัน พลางกำชับเขาไว้มั่นเหมาะว่า อย่าให้สามีของเธอเห็นได้เป็นอันขาด.
ไซหมึ่งเข่ง, ตั้วกัวยิ้งกลับบ้านเอาในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยมีเงื่อนไขตกลงไว้ต่อกันเป็นที่เรียบร้อยก่อนแต่จะจากมาว่า ถ้าได้ยินเสียงกระแอมและมีเศษกระเบื้องหล่นข้ามกำแพงไปละก็หมายถึง ฝั่งทะเลเปิด ให้รีบมา.
เจ้าสัวหนุ่มแวะมายังเรือนของนางพัวกิมเน้ย ซึ่งปรากฏว่าขณะนั้นนางยังไม่ลุกจากที่นอน ทว่าพอเห็นหน้าสามีเข้าเท่านั้น บัวคำก็ลืมตาโพลง ถามขึ้นมาทันที “ไปไหนมาทั้งคืนล่ะ พี่?”
ไซหมึ่งก็แก้ตัวว่าไปอยู่ที่บ้านยายโง้วเป็นเพื่อนฮวยเขามา “ไม่ได้ทำอะไรดอก เป็นเพื่อนฮวยเขาน่ะ” สามียืนยันเสียงแข็ง.
ซึ่งพัวกิมเน้ยก็เชื่อตามที่สามีบอก แต่ว่าเงาแห่งความสงสัยได้เริ่มระแวงขึ้นมาบ้างแล้วเลือน ๆ ในอกสาว.
----------------------------