- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
สวรรค์ในร้านน้ำชา
เมื่อแม่เฒ่าเห่งรับเงินจากไซหมึ่งแล้ว ก็หันมาพูดอย่างยิ้มแย้มเชิงปลอบใจกับนางพัวกิมเน้ยว่า “ยายจะออกไปซื้อเหล้าที่ถนนประจิมสักครู่ไม่นานดอก ไปตรงใกล้ ๆ ที่ว่าการตำบลนี้เอง ประเดี๋ยวก็จะกลับ วานช่วยนั่งคุยเป็นเพื่อนท่านตั้วกัวยิ้งแทนยายสักหน่อย ในกระปุกเหล้านั่นดูเหมือนจะยังมีเหล้าเหลืออยู่อีก พอแม่หญิงจะเติมได้สักคนละจอกเห็นจะทันเวลายายกลับ–ยายไปก่อนละนะ” แล้วหญิงชราก็ก้าวเท้าจะออกจากห้องไป
“อย่าวุ่นวายเพราะฉันเลย ฉันดื่มพอแล้วละ.”
“โธ่, แม่หญิงก็ อีกสักนิดหน่อยจะเป็นไรไป ท่านไซหมึ่งก็ใช่คนแปลกหน้ามาแต่ไหน คนกันเองแท้ๆ ทำไมหรือ กะอีสมบัติจะนั่งดื่มเหล้าสนทนากันอีกสักคนละเล็กละน้อย อย่าทำเป็นคนใจคอคับแคบไปหน่อยเลยน่า เชื่อยายเถิด––”
“ไม่เอาละยาย อย่าไปเลยเชื่อฉันเถอะ” บัวคำท้วงหญิงชราเสียจนเสียงหลง ทว่าหาได้มีทีท่าอันจะขยับเขยื้อนลุกหนีที่ไม่พอใจประการใดก็หาไม่ ยายเห่งก็มองเห็นรูปการเป็นต่อเข้ามาข้างตัวเช่นนั้น ก็รีบผลุนผลันออกจากห้องไปและไม่ลืมคล้องสายยูประตูห้องไว้เสียให้เป็นที่แน่นหนา เสร็จแล้วหญิงชราคนมีความชำนาญในทาง “ชะลอภูเขามาบรรจบกัน” ก็ลงมานั่งปั่นฝ้ายอย่างสบายใจที่ห้องชั้นล่าง.
แหละแล้วบัดนี้ ในห้องน้อยชั้นบนนั้นก็คงเหลือแต่คู่หนุ่มสาวอันใจจดใจจ่อต่อกันอยู่แต่ลำพังสองคน ทั้งคู่ต่างนั่งนิ่งมิได้สนทนาอันใดต่อกันเป็นชั่วครู่ บัวคำก็ค่อยเขยิบเลื่อนมานั่งให้ถอยออกมาเสียจากโต๊ะหน่อยหนึ่ง เป็นทีว่าหมดธุระของนางแล้ว แต่ว่าในเวลาเดียวกันนางก็อดจะลักลอบชำเลืองตาขึ้นมองดูเจ้าหนุ่มเสียมิได้ นางเฝ้าชำเลืองแล้วชำเลืองเล่าอยู่มิขาดระยะ ถึงไซหมึ่งก็เหมือนกัน เขาเฝ้าจับจ้องอยู่แต่ที่วงพักตร์ของหญิงสาวอันตัวผูกใจอยู่มิวางตา.
ในที่สุด เขาก็เอ่ยปากถามนางขึ้นก่อนว่า “เออนี่ที่แม่หญิงท่านบอกข้าพเจ้าไว้หนหนึ่งนั้นลืมเสียแล้ว ครอบครัวของท่านแซ่อะไรนะที่บอกไว้.”
“แซ่บู๋ค่ะ!”
“อา นึกออกแล้ว แหมลืมเสียสนิท แซ่บู๋ๆ เออจริงสินะ” เขาแสร้งทำเป็นขานแซ่ของนางทบทวนอยู่หลายตลบ แล้วจึงถามสืบไปเชิงสงสัยว่า “แซ่นี้ข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นมีใครใช้กี่คนเลยในหมู่บ้านนี้–เออ นึกได้ละมีคนหนึ่งชื่อบู๋ตั้ว ก็เจ้าบู๋ตั้วที่ขายขนมเปี๊ยะนั่นอย่างไรเล่า คนที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า ‘อ้ายเตี้ยหมาตื่น ๆ’ ชะรอยจะเป็นเครือญาติกับแม่หญิงท่านกระมัง?”
บัวคำเมื่อถูกเจ้าหนุ่มพูดจี้หัวใจเช่นนั้นนางให้รู้สึกอับอายเป็นยิ่งนัก โลหิตฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว นางกล่าวตอบอย่างมะนาวไม่มีน้ำว่า ถูกแล้ว เขาเป็นสามีของนางเอง แล้วพัวกิมเน้ยก็ก้มหน้าเง้ามิต่อคำด้วยชายหนุ่มสืบไป.
ไซหมึ่งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย เสมือนตกอยู่ในภวังค์ของความเศร้าสลดอันเหลือล้น ที่ได้ยินคำนี้จากปากนาง แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจว่า “เฮ้อ โลกช่างทารุณอะไรเช่นนี้หนอ!”
“เอ๊ะ ทำไมนี่–เรื่องอะไรกัน ใครได้ไปทำอะไรให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจหรือก็เปล่า?” บัวคำย้อนให้เจ้าหนุ่มอย่างประชดประชัน พลางชม้อยตาค้อนด้วยจริตงอน.
“หามิได้ ข้าพเจ้ามิได้หมายว่าโลกนี้ทารุณต่อข้าพเจ้าดอก แต่ทารุณต่อแม่หญิงท่านต่างหาก!”
แล้วเจ้าสัวหนุ่มคนกล้องแกล้งก็พูดจาเกี้ยวพาราสีหญิงสาวสืบไป สารพัดมธุรสวาจาบรรดามี เจ้าหนุ่มผู้นี้ก็สรรหาแต่ล้วนเอามากำนัลเป็นสิ่งบำรุงหูแก่หญิงสาว บัวคำเล่าก็มิได้เป็นอันตั้งสติสำรวมใจ ได้แต่นั่งแทะชายเสื้อแก้ขวยเล่นไปตามเรื่องตามราว เดี๋ยว ๆ ก็เงยหน้าขึ้นชม้ายตามาสบเจ้าหนุ่มเสียครั้งหนึ่งหนหนึ่งเสมอไป การเป็นอยู่เช่นนี้ จนในที่สุดไซหมึ่งอดรนทนไม่ไหวจึงทิ้งไพ่ตายใบสำคัญเพื่อรวบรัดตัดบทเอาดื้อ ๆ เขาแกล้งถอดเสื้อแพรสีเขียวชั้นนอกออก โดยอ้างว่าอากาศร้อนเหลือทนแล้ว ก็ทำทีขอร้องให้สาวงามคนอันเป็นภรรยาบู๋ตั้ว ช่วยพาดไว้ที่เตียงยายเห่งให้ที แต่หญิงสาวใส่แง่เข้าให้โดยอ้างว่าธุระไม่ใช่ อยากจะพาดก็พาดเอง กงการอะไรต้องมาให้เดือดร้อนถึงคนอื่นเขา มือไม้เป็นอัมพาตไปหรือว่าไร เจ้าหนุ่มก็ว่าตามแต่ใจแม่หญิงเถิด เมื่อมิปรานีก็สุดแล้วแต่ใจ แล้วไซหมึ่งก็โยนเอาเสื้อนั้นไปพอดีเกี่ยวที่เหนือเตาผิง ซึ่งโชคก็ช่างบังเอิญเข้าข้างเขาอะไรเช่นนี้ ค่าที่ชายแขนเสื้อเกิดไปปัดเอาด้ามตะเกียบหล่นลงไปใต้โต๊ะพอดี มิหนำซ้ำเป็นใต้โต๊ะจำเพาะใต้ม้านั่งของหญิงสาวเข้าอีก เรื่องของเรื่องจึงดูสมกับแผนการตามที่ยายเห่งแกคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้.
จึงเมื่อเจ้าหนุ่มเติมเหล้าให้หญิงสาวแล้ว ก็เกิดหาตะเกียบจะคีบกับแกล้มใส่จานให้นางขึ้นมา แต่ว่าตะเกียบหายไปไหนเสียข้างหนึ่งแล้วก็ไม่รู้.
“นี่ใช่หรือไม่มิทราบ ตะเกียบอันที่ท่านกำลังหาอยู่?” พัวกิมเน้ยบอกพร้อมกับยิ้มให้อย่างยียวน เพราะที่จริงแล้วนางแกล้งเอาเท้าเหยียบตะเกียบนั้นไว้เสียเอง.
“อ้อ อยู่นี่เองน่ะแหละ!” ไซหมึ่งแกล้งพูดขึ้นอย่างดีใจ แล้วก็ยงโย่ยงหยกก้มลงเก็บตะเกียบ แต่แทนที่เจ้าหนุ่มจะหยิบของอันต้องการ เขากลับกุมเอาเท้าอันกระจ้อยร่อยของหญิงสาวไว้เต็มมือ บัวคำหัวเราะลั่นพลางขับเจ้าหนุ่มอย่างล้อเลียน.
“เฮ้ว เล่นอะไรก็ไม่รู้? เดี๋ยวเอ็ดตะโรลั่นนะจะบอกให้!”
พลันไซหมึ่งก็ผลุนผลันลงคุกเข่าอยู่ต่อหน้านาง
“กรุณาเถิด แม่หญิงผู้น่ารัก โปรดได้เมตตาแก่ข้าพเจ้าคนอาภัพนี้สักครั้ง” เขาออดเท่านั้นไม่พอ ยังแถมวางมือลงเหนือท่อนขาอ่อนของหญิงสาวเป็นเชิงลุกะโทษอีกโสดหนึ่งด้วย.
ก็แล้วจะให้บัวคำเลือกทางออกได้อย่างไรนอกเสียจะผลักไสอยู่ไปมา ปากก็ร้องว่า “ไป–ไป ไม่เอา เล่นพิเรนทร์อะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ เดี๋ยวตบเข้าให้เสียนี่!”
“อ๊ะ ก็ดีนะซิแม่หญิง เชิญท่านเลือกตบเอาเถิดตามแต่จะพอใจ ตบเสียให้ตายไปคามือ ตายเสียกับมือแม่หญิงท่านนี้แลประเสริฐนัก.”
ก็ลงผู้ชายดำเนินสงครามสวาทแบบเจ้าชู้หน้าด้านอย่างนี้ สาวเจ้าก็จำต้องอึ้งไป แต่นางอึ้งไปได้ไม่นานเท่าใดดอก เพราะชั่วคณะนั้นเอง–ชั่วขณะที่บัวคำยังมิทันจะเอ่ยตอบแต่อย่างใดนั้นเอง ไซหมึ่งก็รั้งกระหวัดเอาร่างของนางเข้าไว้ในอ้อมกอด เขาโอบอุ้มนางวางลงบนเตียงนอนของยายเห่ง พลางก็ค่อยประจงปลดเปลื้องเข็มขัดและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมร่างของนางออก และแล้ว–––หนุ่มสาวทั้งคู่ก็เฉลี่ยกันแบ่งส่วน เพื่อร่วมหนุนหมอนน้อยเหนือเตียงเป็นที่สำราญอยู่ด้วยกันแต่บัดนั้น.
พิจารณาเถิด, ท่านผู้อ่านที่เคารพ บุคคลคนแรกที่ได้ลิ้มรสความรักเมื่อเริ่มรุ่นของบัวคำนี้คือ เศรษฐีชราเตียไต้โห ผู้นั้น อย่างดีที่สุดเฒ่าเตียจะมิให้นางได้ก็คือถุงเงินอันมหาศาล ทว่าความมหาศาลของสินทรัพย์มีความหมายอันใดเล่าต่อหญิงสาวผู้นี้ ในเมื่อชายชราผู้เจ้าของถุงเงินถุงทองมีให้นางได้ก็แต่เพียงสังขารอันแก่หง่อม ขี้มูกขี้ตาหรือก็เกรอะกรัง หนวดหงอกแทบจะเป็นปู่ของนางก็ว่าได้ แล้วท่านเจ้าสัวแกจะเอากำลังวังชามาจากไหน ในเมื่ออาหารของแกแต่ละมื้อ ๆ ก็ชั่วแต่น้ำซุปถั่วข้น ๆ เท่านั้น ฟันฟางรึก็หักถอน เนื้อหนังก็เหี่ยวยาน–พิจารณาเถิดเช่นนี้จะให้บัวคำสุขได้อย่างไรกัน มาถึงบุคคลอันเป็นคู่ครองคนที่สองของนางเล่าเช่นกันอีก เพราะเขาคือบู๋ตั้ว ชายอาภัพคนรูปชั่วผู้นั้น แต่บัดนี้ นางมาปะไซหมึ่งเข่ง เจ้าหนุ่มวัยฉกรรจ์และข้อลำล่ำสันทะมัดทะแมงคนนี้เข้า นี้แลจึงเป็นคนอันคู่ควรต่อการจะเป็นคู่เคียงของแม่นาง จะว่าข้างชายเล่าเขาหรือก็เจนจบในศาสตร์แห่งกามกรีฑา ฝ่ายหญิงเล่าก็ยิ่งอยู่ในรสของความเสน่หา ฉะนี่หรือที่บัวคำจักมิได้รับความสุขและพึงพอใจ? สวรรค์จะมีอยู่ที่ไหน? ใกล้หรือไกล? ช่างเถิดสำหรับคนใดใครอื่นผู้แสวงบุญ เพราะสำหรับหนุ่มและสาวผู้แสวงสวาทคู่นี้ สวรรค์ของเขามิได้อยู่ห่างไกลสุดเอื้อมแค่ใดนัก สวรรค์ของเขาอยู่แค่ในร้านน้ำชาของยายเห่ง–อยู่บนเตียงนอนในห้องน้อยของหญิงชราเจ้าเล่ห์ผู้นี้เอง.
อกแอบอก–เป็ดน้อยเอย เจ้าทั้งคู่กำลังเริงสวาท
เจ้าดำผุดดำว่ายอยู่อย่างสุขเกษมเปรมปรีดิ์ในสายธาร
หัวแนบหัว–หงส์งามทั้งคู่เอย เจ้าก็ดีแต่จะก่นสาละวน
ผจงจัดรังรักของเจ้าอยู่บนคาคบไม้เท่านั้นเอง
หญิงสาว–จรดปากอันแดงจิ้มลิ้ม
เคล้าเคลียกระพุ้งแก้มของเจ้าหนุ่มอยู่มิวาง
เจ้าหนุ่ม–กระชับศีรษะของหญิงสาวให้แหงนเงยถนัดถนี่เป็นที่รัดรึงอยู่
บัดนี้ ปิ่นทองที่แซมอยู่เหนือเกล้าทั้งคู่ก็หลุดแล้ว
เกศาสยายอันแลดูดกดำละม้ายกลุ่มเมฆในวสันตกาล
ก็แผ่สลวยเต็มไปทั้งผืนหมอน
สัจกริยาของเจ้าหนุ่มที่อ้างไว้เป็นคำฉกรรจ์ต่อความรัก
ฟังเถิด ลึกซึ้งเสมือนห้วงมหาสมุทร
และยั่งยืนประดุจโขดขุนเขา
แต่ละล้วนกลโลมที่เจ้าหนุ่มสรรค์หา
มาปรนนิบัตินับด้วยร้อยพันประการ
ฉันใดเมฆแลหมอกที่ถูกกำจัดให้ปราศสิ้นแล้ว
จากท้องฟ้าเพราะแรงลม
ฉันนั้นทิฐิและความไว้ตัวของหญิงสาว
ยามเจ้าหนุ่มตะโบมสวาทจริงอยู่เป็นการหักโหม
ทว่ามันเป็นการหักโหมที่หวานชื่น
แม้จะคราง สิก็ใช่ด้วยความเจ็บปวด
หากด้วยความพอใจ เสมือนเสียงกังวานใสของนกคีรีบูน
โอษฐ์ของนางเล่าก็ฟูมฟายอยู่ด้วยฟองน้ำลาย
นางกระหวัดชิวหาออกแลบเลียอยู่ด้วยความพอใจอันสุดขีด
ทั้งสรีระร่างของนางซ่านสยิวไปด้วยแรงสวาท
โลหิตฉีดแรง, สุดที่นางจะยับยั้ง
ความหื่นหฤหรรษ์อันใดไว้ได้อีกแล้ว
แต่ว่าบัดนี้อาการหอบปรากฏขึ้น
ให้เห็นได้แล้วถนัดจากโอษฐ์อิ่มของนาง
ประกายวาววามอันสุกใสหล่อเยิ้ม
คลอเบ้าตาของหญิงสาว
ร่างงามชโลมอยู่ด้วยหยาดเหงื่อที่แลมลังเมลือง
ราวกับไล้ไว้ด้วยเม็ดไข่มุก
ทรวงอกอันอวบอัดของนงคราญไหวพะเยิบ
กระเพื่อมๆ ดุจคลื่นที่คลานเข้าโถมหาด
บัดนี้–เพลิงแห่งดำฤษณาได้มอดเชื้อของมัน
สองชู้คู่สวาทได้เสร็จและสมรักของเขาลงแล้วอย่างเปรมปรีดิ์.
เมื่อทั้งคู่กอปรธุรกิจเยี่ยงคนธรรพ์วิวาห์เสร็จสิ้นแล้ว ต่างก็ลุกขึ้นแต่งเนื้อแต่งตัวให้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็เป็นเพลาเดียวกับที่ยายเห่งโผล่พรวดเข้ามา หญิงชราเริ่มสำแดงเล่ห์ออกให้เห็นทันที แกแสร้งตบมืออยู่ฉาดใหญ่อย่างขุ่นเคือง ทำสีหน้าท่าทางให้แลดูบึ้งตึงน่าเกรงขาม พลางส่งเสียงตวาดอยู่แหวๆ “ฮิ, ฮิ งามหน้าแล้วไหมละ!” แกหันมาเล่นงานหญิงสาว ซึ่งบัดนี้ยืนตัวสั่นหน้าซีดอยู่ด้วยความละอายยิ่งนักหนาทันที.
“ชะช้า แม่หลานสาว ที่ยายขอร้องมาน่ะ ขอให้มาช่วยเย็บเสื้อดอก ไม่ใช่ให้มาเล่นชู้กันอย่างนี้! ไม่ได้ เรื่องนี้ยายต้องบอกให้บู๋ตั้วเขารู้ไว้ ดีไม่ดีเขาจะมาถอนหงอกยายเข้า” แล้วแกก็ทำท่าทำทางประหนึ่งว่าจะออกจากห้องไปจริงๆ ทำเอานางพัวกิมเน้ย ซึ่งขณะนี้ยืนหน้าตาแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกอยู่ใจหายใจคว่ำหมด นางรีบผลุนผลันคว้าชายเสื้อหญิงชราไว้แน่น.
“คุณยายเจ้าขา สงสารหลานด้วยเถิด” นางพร่ำวิงวอนอย่างน่าสงสาร ด้วยสุ่มเสียงอันสั่นเครือ
“ก็ได้ แต่ว่าต้องให้สัญญากับยายก่อน คืออย่างนี้ ต่อไปแม่หญิงต้องมาพบกับท่านตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งที่ร้านของยายนี่ทุก ๆ วันไป–ไม่รู้ละ เวลาใดท่านตั้วกัวยิ้งแกอยากพบหลานขึ้นมา ใช้ให้ยายไปตามมิว่าจะเป็นเช้ามืดหัวไก่โห่หรือค่ำคืนดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม หลานต้องมาหาท่านไซหมึ่งให้ได้ทีเดียว ถ้าแม่หญิงยอมตกลงอย่างยายว่านี้ละก็ เอาเถอะยายจะเฉยเสียในเรื่องนี้ จะตกลงไหมเล่า? ถ้าไม่ตกลง ยายก็ต้องเลือกเอาข้างบอกความเรื่องนี้ให้สามีของหลานรู้”
บัวคำรู้สึกอับอายขายหน้าจนสุดที่จะกล่าววาจาอย่างใดออก ได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ ยายเห่งก็สำทับต่อไป “ว่าไง จะยอมหรือไม่ยอม? ตอบมาเสียเร็ว ๆ แม่หญิง ชักช้าเสียเวลาน่ะ”
ในที่สุดหญิงสาวคนเสียเชิงก็หลุดปากอ้อมแอ้มออกมา “จ้ะ, ตกลง ฉันยอมตามที่ยายว่า––”
เสร็จแล้วยายแม่สื่อเอกคนนี้ ก็หันไปหาฝ่ายชายบ้าง “ว่าไง ท่านตั้วกัวยิ้ง ทุกอย่างก็เรียบร้อยหมดแล้ว อย่าลืมที่สัญญาไว้ มิฉะนั้น––”
“โอ๊ะ–อย่ากลัวไปเลยป้า เชื่อฉันบ้างซิ เรื่องคำพูดแล้วฉันถือนัก คำไหนต้องเป็นคำนั้น ไม่ต้องกลัว”
“เอาละ แต่ยังมีอีก–เรายังมีเรื่องที่จะต้องตกลงกันอีก เดี๋ยวก่อน––” หญิงชราเริ่มเรื่องของแกต่อไปอีก โดยอ้างต่อเจ้าหนุ่มว่า แกต้องการของประกันจากเขาสักอย่างเพื่อมอบไว้ต่อนางบัวคำ ให้เป็นประจักษ์พยานในความรักที่เขามีต่อนาง แกบอกว่า จริงอยู่แม้เหตุการณ์ทั้งหมดแกได้เห็น และเรื่องราวทุกอย่างแกได้รู้ แต่ว่ายังหาแน่นอนไม่ เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ อยู่ ดังนั้นเพื่อเป็นสักขีพยานขอให้ไซหมึ่งมอบของที่ระลึกถึงความสัมพันธ์ครั้งนี้ไว้ต่อนางพัวกิมเน้ยสักอย่าง.
ไซหมึ่งก็รีบปลดปิ่นทองออกจากมวยผมของตน เสียบให้ที่ผมมวยของนางบัวคำทันที แต่นางรีบดึงเอาออกเสียและซุกไว้ในแขนเสื้อเป็นที่มิดชิด เพราะนางเกรงไปว่า ของสิ่งนี้จะเป็นที่พิรุธให้สามีของนางสังเกตเห็นได้ และขณะที่นางมัวยืนตะลึงต่อเหตุการณ์อันเป็นไปอย่างรวดเร็วนี้เอง โดยมิทันที่นางจะป้องกันหรือขืนขัดทัดทานอย่างใดได้ ยายเห่งก็ปุบปับดึงเอาผ้าเช็ดหน้าแพรผืนงามของนางออกจากแขนเสื้อยัดส่งให้ในมือของไซหมึ่ง เป็นเสมือนของแลกเปลี่ยน เสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสามต่างก็ร่วมวงกันนั่งดื่มสุราอยู่ต่อไปอีกครู่ใหญ่ พัวกิมเน้ยก็ขอตัวกลับไปบ้าน โดยออกทางประตูหลังร้านเช่นเคยมา.
เมื่อเหลืออยู่ด้วยกันแต่ลำพังระหว่างเจ้าสัวหนุ่มคนเจ้าชู้และยายเห่งคนเจ้าเล่ห์แล้ว หญิงชราก็ถามขึ้นว่า “เป็นไง ป้าจัดการให้เรียบร้อยดีไหมล่ะ?”
“แหม, วิเศษเลยป้า! ฉันเป็นหนี้บุญคุณป้าครั้งนี้อย่างบอกไม่ถูก.”
“เป็นอย่างไรบ้าง ทีท่านางยังจะชำนิชำนาญแก่เชิงเป็นที่สบใจท่านอยู่หรือ?”
“โอ ยอดเยี่ยมเหลือเกิน–อย่าให้ฉันต้องพูดอะไรอีกเลย!”
“ดีแล้วละ ถ้าเช่นนั้น อย่างไรละก็อย่าลืมของรางวัลเสียเล่า”
“เชื่อเถอะน่า ฉันไม่ลืมดอก กลับไปบ้านแล้วจะรีบจัดการเอามาให้”
หญิงชราหัวเราะแก้มยุ้ยอย่างถูกใจ, ก็จะไม่ให้แกถูกใจอย่างไรไหว ในเมื่อธงแห่งชัยชนะโบกสะบัดให้เห็นอยู่แล้วอย่างเต็มตา เสียงแตรสังข์ก็ประโคมแว่วมาอยู่ระรัวหู!
“เฮ้อ, ทีนี้แหละ ป้าจะคงพ้นทุกข์พ้นร้อนกับเขาเสียที ต่อไปนี้ถึงแม้ตาย ก็คงจะตายกับเขาได้อย่างนอนตาหลับ เห็นจะไม่ต้องเที่ยวลุกขึ้นมาเรี่ยไรเงินค่าธรรมเนียมจ้างคนตามผีจากท่านอีกละ!”
แลรุ่งเช้าของวันต่อมานั้นเอง ไซหมึ่งเข่งก็เอารางวัลสิบตำลึงมาให้ยายเห่งตามสัญญา สมแล้วมิใช่หรือ ดังที่คำพังเพยบุร่ำบุราณว่าไว้ “เงินเท่านั้นที่จะบันดาลอันใดให้ได้ตามความประสงค์” และไม่ว่ายุคใดสมัยใด เชื่อเถิดคำกล่าวนี้ย่อมเป็นจริงอยู่เสมอ จึงมิพักกล่าวให้มากความไปถึงยายเห่ง ที่แกแสนจะดีใจเป็นนักหนาในเงินสิบแท่งของรางวัลคราวนี้ แกรีบขันอาสาอย่างกุลีกุจอทีเดียวในการที่จะไปตามแม่นางบัวคำมาให้ท่านเจ้าสัวหนุ่มแต่เช้า ทั้งนี้โดยมิพักให้ไซหมึ่งต้องออกปากวักวานแต่อย่างใด ความจริงเพลาหรือก็ยังเช้าโขอยู่ บู๋ตั้วเจ้าขนมเปี๊ยะคนร่างเตี้ยผู้นั้นหรือก็ยังมิทันจะได้ออกไปขายขนมเลย. แต่ว่าเมื่อท่านตั้วกัวยิ้งปุบปับเกิดมีอารมณ์เช้าขึ้นมาเช่นนี้ ก็จะทำอย่างไรได้ “ถึงลูกผัวจะอยู่ก็ช่างมันเป็นไร คนเราลงใจมันตรงกันละก็ ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็รั้งไม่อยู่” นี่ยายเห่งแกคิดของแกเสียเช่นนี้ ดังนั้นแกจึงรีบกระวีกระวาดมาที่ห้องบู๋ตั้วทันที แสร้งทำเป็นว่ามาขอยืมทัพพี แกมายืนร้องเรียกหญิงสาวอยู่ที่นอกบ้าน.
ขณะนั้นพัวกิมเน้ย ภริยาผู้สะคราญโฉมของบู๋ตั้ว กำลังจัดโต๊ะให้สามีกินอาหารเช้าอยู่ พอได้ยินเหง่งยี้ ลูกสาวติดพ่อเข้ามาบอกว่า ยายเห่งมาขอยืมกระจ่าอยู่ที่ประตูข้างหลังบ้าน หญิงสาวก็รีบแจ้นออกไปกุลีกุจอเชื้อเชิญหญิงชราเป็นการใหญ่ แต่ยายเฒ่าเจ้าเล่ห์แกปฏิเสธอ้างว่า ลูกค้าขาประจำคอยแกอยู่ที่ร้านจะต้องรีบกลับไปรับรอง พอหญิงสาวนำของที่แกต้องการให้แล้ว แกก็ขอบอกขอบใจ พลางพูดเป็นนัยว่าที่ร้านไม่มีคนอยู่ต้องรีบกลับ ซึ่งบัวคำฟังก็รู้ทีว่า บัดนี้ชู้รักได้มารอคอยนางอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงรีบคะยั้นคะยอให้ผู้สามีรีบกินอาหารเสียให้เสร็จๆ จะได้ออกไปขายขนม และพอคนผู้ผัวคล้อยหลังออกพ้นประตูเรือนไปเท่านั้นเอง บัวคำก็ก้าวสวบ ๆ ขึ้นบันไดไปชั้นบน จัดแจงแต่งเนื้อแต่งตัวเลือกนุ่งเลือกห่มแต่ที่ผ้าไหมผ้าแพรชุดที่ดีที่สุด ผัดหน้าทาแก้มจนดูเป็นที่อล่องฉ่องเฉิดฉายดีแล้ว เจ้าก็ลงเรือนไปพบพ่อยอดชู้ตามสัญญา แต่ว่านางมิลืมที่จะกำชับแม่หนูเหง่งไว้เป็นคำตายว่า
“เจ้าดูแลบ้านช่องให้ดีนะ เราจะไปช่วยยายเห่งเย็บเสื้อ เวลาบิดาเจ้ากลับมาบ้านละก็รีบไปบอกให้เรารู้เสียล่วงหน้าด้วยได้ยินไหมที่สั่ง? ขืนไม่ทำตามละก็ แม่จะตบเสียให้แก้วหูแตกคอยดู อีเด็กเวร มึงจำไว้ให้จงดี.”
ขณะเมื่อโฉมเจ้าบัวคำย่างเข้ามาในห้องน้อยที่ร้านน้ำชายายเห่งตอนเช้านั้น ในความรู้สึกของไซหมึ่งยามเมื่อประสบร่างอันพิไลโฉมของนางเข้า เขาเคลิบเคลิ้มไปราวประหนึ่งว่า นี่โฉมนางเทพธิดาล่องฟ้ามาหรือว่าไร และแล้วโดยมิต้องทักถามพูดจากันสืบไปให้มากความ หนุ่มสาวทั้งสองต่างนั่งอิงแอบแนบกระซิบ พรอดพร่ำรำพันรักกันไปตามประสาคู่พิศวาส ไหล่เสียดไหล่และขาแนบขา
“เป็นอย่างไร แม่หญิง วานนี้สามีเขาพูดว่าอย่างไรบ้าง?” ยายเห่งถามบัวคำขึ้นหลังจากที่ได้ยกน้ำร้อนน้ำชามาเทียบมารินให้สองหนุ่มสาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.
“เขาถามฉันว่า เย็บเสื้อศพให้ยายเสร็จแล้วหรือยัง ฉันบอกเขาว่าไหน ๆ เย็บเสื้อแล้วก็เลยช่วยเย็บถุงน่องรองเท้าให้ยายเสียด้วย จะได้เสร็จเรื่องเสร็จราวเสียเลยทีเดียว.”
ไซหมึ่งได้ยินคำนางเอ่ยเช่นนี้ ก็พลันนึกรู้แก่ใจแล้วว่า ตนเป็นต่ออยู่เต็มตัว ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นไปว่า วันนี้บัวคำเจ้าช่างแสนสวยยิ่งกว่าเคย ๆ ได้เห็นมาเป็นทบเท่าทวีคูณ, แม่เอ๋ย เจ้าช่างงามอะไรเช่นนี้ ยามเมื่อนางลิ้มสุราแต่อ่อน ๆ สิ สองแก้มก็แดงระเรื่อดุจทาไว้ด้วยชาดบางเห็นเป็นสีชมพูอ่อน! ขมวดผมที่ปรกปอยลงมาสองข้างขมับ ก็คมขำดูน่ารักแลรับกับใบหน้า ประหนึ่งว่าเขียนไว้ด้วยปลายพู่กันอันบรรจง! ในหัวใจของเจ้าหนุ่มขณะนั้น โฉมแม่นางเจ้าช่างละม้ายแม้นไม่มีผิดกับโฉมเทพีแห่งดวงจันทร์หนึ่งไม่มีสอง ยากนักที่จักหานางในใต้หล้านี้เทียมทัน.
จึงด้วยความที่สุดแสนจะจงจิตพิศวาสในโฉมพธูนาง ไซหมึ่งกางแขนออกตระกองกอดนางไว้กับอ้อมอกอย่างทะนุถนอม ขณะนั้นเองแรงกอดที่เกิดแต่การอันไม่จงใจ ได้ทำให้อาภรณ์ที่นางสวมใส่รั้งสูงขึ้นมาตามแรงสัมผัสที่รัดรึงของเจ้าหนุ่ม เผยให้เห็นฝ่าเท้าอันกระจ้อยร่อยและแบบบางทั้งคู่ของนางที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าต่วนสีดำนั้น ไซหมึ่งสุดระงับใจไว้ได้ไหว เขาแสร้งรั้งชายกระโปรงของบัวคำให้ร่นสูงขึ้นไปกว่าเดิมอีก เพื่อจักขอดูให้เต็มตา อา–เท้านางงามนัก พลันไซหมึ่งก็ซาบซ่านสยิวร่านระริกๆ ขึ้นในอารมณ์ แลฉันคนอันเป็นคู่เสน่หาหนุ่มสาวทั้งสองต่างร่วมเสพสุราอยู่ต่อกันเป็นที่สุขสำราญใจ.
เสียงบัวคำฉะอ้อนถาม “พี่ท่านอายุเท่าใดแล้วมิทราบได้?”
“สามสิบห้าเข้าปีนี้แล้วน้อง” เจ้าหนุ่มตอบ “วันเกิดของพี่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้แหละ ตรงกับวันที่ ๒๘ เดือนเจ็ดนี้เองน้อง.”
“อื้อ–แล้วเมียเล่า พี่ท่านมีกี่คน?”
“ถ้าไม่นับเมียหลวงของพี่เสียคนหนึ่งแล้ว พี่ก็มีเมียรองๆ อยู่อีกสามหรือสี่คนเท่านั้นเอง แต่ว่าบอกจริงๆ เมียๆ พวกนี้ไม่มีใครสักคนที่พี่รัก.”
“แล้วลูกล่ะ?”
“คนเดียวเท่านั้นน้อง พี่มีลูกสาวกับเขาอยู่คนเดียว นี่ก็กำลังจะจัดการแต่งงานให้ในเร็ว ๆ นี้.”
และเมื่อทั้งคู่ต่างประเล้าประโลมพรอดพร่ำกันอยู่ครู่ใหญ่ ไซหมึ่งก็ล้วงแขนเสื้อหยิบเอาตลับสีผึ้งอย่างดีที่บรรจุผงชาหอมและขี้ผึ้งโอลีฟหอมออกมา เขาแตะผงขี้ผึ้งนี้ที่ปลายลิ้น แล้วก็ตวัดลิ้นป้อนใส่ปากให้นางบัวคำ นางถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้ม แล้วต่างก็โผผวาเข้าหากัน หญิงกอดชายชายกอดหญิง ต่างเกี้ยวกระสันอยู่ต่อกันเป็นที่กระชับรัดรึง ด้วยอารมณ์ปรารถนา.
----------------------------