วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง

บัดนี้วันที่สิบห้า กลางเดือนแปด อันเป็นวาระคล้ายวันเกิดของวัวยะเนี้ย ศรีภริยาท่านตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งเข่ง ก็เวียนมาบรรจบครบรอบแล้ว และค่าที่ท่านสามีได้ตัดสวาทขาดสัมพันธ์กับนางสืบมาหลายเพลาแล้ว จึงปรากฏเมื่อถึงวันอันเป็นมงคลวาระของภรรยา เขาก็มิได้อยู่ร่วมงานร่วมการด้วย เลี่ยงไปขลุกอยู่เสียที่บ้านนางลีกุยเข่งทั้งวัน ซึ่งเป็นการแสดงออกให้นางวัวยะเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า สามีได้มีความรู้สึกต่อนางสถานไร แต่นางก็สู้นิ่งอดออมถนอมน้ำใจไว้ มิได้ตัดพ้อต่อว่าสืบปากสืบคำให้มากความไป.

ก่อนเย็นวันนั้น เมื่อไต้อังเด็กคนใช้นำม้าไปรับไซหมึ่งที่ซ่องยายลีม้า เขาก็ได้รับคำถามจากนายผู้ชายของเขาว่า มีข่าวอะไรจากทางบ้านบ้างหรือ? ไต้อังก็เล่ารายละเอียดให้ตั้วกัวยิ้งของเขาฟังว่า มิได้มีข่าวอันใดเลย แขกเหรื่อก็กลับไปกันหมดแล้ว หากจะมีก็ตรงที่นางฮวยลีปังได้ใช้ให้ยายผั้งนำของขวัญไปให้ตั้วเจ๊หลายห่ออยู่.

และเมื่อสังเกตสีหน้าท่าทางเจ้าเด็กคนสนิท เห็นทำกระมิดกระเมี้ยนและหน้าตาแดงก่ำเหมือนคนร่ำสุรามา ไซหมึ่งสงสัยก็ถามว่า

“ดูเจ้าออกจะร้อนรนอยู่นี่ คงจะแอบไปกินเหล้ามาละกระมัง?”

ไต้อังยี้ก็บอกท่านตั้วกัวยิ้งตามตรงว่า เขาดื่มสุรามาสองชามใหญ่จากบ้านปังเจ๊ เพราะนางใช้ให้ยายผั้งไปตามเขามาพบ เพื่อจะสั่งความบางอย่างถึงท่าน “นางบอกว่านางรู้สึกขมขื่นใจตัวเองเหลือเกินที่ด่วนตัดสินใจแต่งงานไปกับหมอเตกกัง นางใคร่ขอให้ตั้วกัวยิ้งท่านได้โปรดกรุณายกโทษให้นางด้วย นางสั่งฝากข้าพเจ้ามาว่า ขอให้ท่านไปเยี่ยมนางที่บ้านบ้าง นางอยากจะพบท่านเหลือเกิน และนางได้กำชับข้าพเจ้ามาอีกว่า ให้รีบนำคำตอบจากท่านไปบอกแก่นางโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้ นางคอยฟังอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็อดที่จะเวทนานางเสียมิได้ เพราะทุกวันนี้นางมีแต่ความซูบซีดแลผ่ายผอม เนื่องแต่ตรอมใจในตัวท่าน ซึ่งแต่ก่อนนางมิเคยเป็นเช่นนี้เลย”

ไซหมึ่งฟังคนสนิทเล่าจบแล้ว เขาก็พูดด้วยความโกรธที่ฝังใจว่า “ผู้หญิงเลว นางยังจะมาปรารถนาเอาอันใดจากเราอีกเล่า?” แล้วเขาก็ตัดสินใจสั่งไต้อังให้ไปบอกแก่นางลีปังว่า “ไปเถิด ไปบอกแก่นางว่า เราหามีเวลาว่างพอที่จะเทียวไปเทียวมาหาสู่นางเหมือนอย่างแต่ก่อนไม่ เอายังงี้ก็แล้วกัน บอกแก่นางว่าวันไหนวันที่เราจะส่งเกี้ยวคานหามไปรับนางเข้าไปอยู่ในบ้าน เอาเถอะ ไปบอกนางตามนี้แหละ”

แล้วไต้อังก็ขออนุญาตไซหมึ่งกลับไปบอกข่าวแก่นางฮวยลีปัง เมื่อรู้เรื่องที่ตั้วกัวยิ้ง คนคู่พิศวาสเก่าสั่งความมา ลีปังก็แทบว่าจะตรงเข้าสวมกอดเจ้าเด็กรับใช้คนนี้เสียเพราะด้วยความดีใจ นางชมเขาอยู่มิขาดปาก “เจ้าชั่งเป็นคนเดินข่าวที่น่ารักอะไรเช่นนี้! เอาเถอะ เราจะไม่ลืมบุญคุณของเจ้าเลย” แล้วนางก็กระวีกระวาดลงไปในครัวจัดการหุงหาอาหารขึ้นมาเลี้ยงเจ้าเด็กผู้นี้ด้วยตนเอง ลีปังได้ต้อนรับขับสู้พ่อสื่อน้อยคนนี้เป็นอย่างดีที่สุด.

วันรุ่งขึ้น หม้ายสาวของจื้อฮือก็ไปจ้างกุลีมาเก็บของ ซึ่งกว่าจะเก็บหมดก็กินเวลาเข้าไปถึงห้าวัน ส่วนมากของของนาง ก็คือสมบัตินานาชนิดที่นางได้เก็บสะสมเอาไว้นั่นเอง.

และก็โดยมิได้เอ่ยปากบอกเล่าเก้าสิบอย่างใดให้ภรรยาหลวงรู้ เยี่ยงที่เคยกระทำมา ไซหมึ่งกำหนดเอาวันที่ยี่สิบเดือนแปด เป็นวันรับตัว เขาให้จัดตึกหลังใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จหลังนั้น เป็นเรือนหอสำหรับภรรยาคนที่หก–นางฮวยลีปังผู้นี้.

ครั้นถึงวันกำหนดรับตัวเจ้าสาว ไซหมึ่งก็จัดส่งเกี้ยวหามหลังงามมีม่านแพรแดงประดับประดาหรูหราไปยังบ้านนางฮวยลีปัง พร้อมด้วยขบวนคนใช้สี่คนของเขา และมีพนักงานคุมเกี้ยวถือโคมนำขบวนด้วยอีกแปดนาย ซึ่งจัดว่าปืนขบวนแต่งงานที่ใหญ่โตเอาการอยู่

และวันเดียวกันนี้เอง ไซหมึ่งเข่งก็มิได้ออกจากบ้านไปข้างไหนเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ใช่ว่าเขาจะอยู่บ้านเพื่อจัดงานจัดการรับรองเจ้าสาวคนที่หกนี้ก็เปล่า ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน ทั้งนี้เพราะเขากำหนดไว้ในใจว่า จะหาทางกำหราบนางฮวยลีปังให้คุ้มแค้น.

ข้างเจ้าสาวเมื่อมาถึงบ้านสามีในอนาคตเข้าจริงๆ นางก็รู้สึกตกใจมาก ค่าที่ไม่เห็นมีญาติผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายเจ้าบ่าวแต่ผู้ใดสักคนออกมาต้อนรับ อีกทั้งบ้านช่องหรือก็เงียบสงัด ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีพิธีรีตองเกี่ยวแก่การแต่งงานอะไรสักอย่าง นางก็ลงจากเกี้ยวนั่งพักคอยอยู่ใต้ซุ้มประตูใหญ่

ทั้งนี้เพราะตามประเพณีที่ดีของชาวจีนนั้น การที่เจ้าสาวจะเข้าสู่บ้านของสามีได้ ก็ต้องต่อเมื่อมีสตรีผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวออกมาทำการต้อนรับเชื้อเชิญเป็นศักดิ์ศรี เจ้าสาวจึงจะเข้าบ้านของสามีได้ ก็เมื่อไม่มีใครสักคนในบ้านของไซหมึ่งโผล่หน้าออกมาให้เห็นเช่นนี้ จะให้นางลีปังทำอย่างไร?

ก็จะให้ผู้คนในบ้านทำอย่างไรได้เล่า? ในเมื่อท่านตั้วกัวยิ้งคนเจ้าบ้านมิได้สั่งการให้ปฏิบัติแต่อย่างหนึ่งอย่างใดไว้ ดังนั้นแต่ละคนต่างก็ได้แต่นั่งมองดูตากันปริบๆ ปล่อยให้เขาปลงขบวนแห่กันอยู่ที่ข้างนอกบ้าน.

กระทั่งในที่สุด นางเง็กเล้า ซัมเจ๊ อดรนทนดูอยู่ไม่ได้ จึงรีบไปที่ตึกนางวัวยะเนี้ย ขอร้องให้นางช่วยมาทำหน้าที่ “เฒ่าแก่” ฝ่ายผู้ชายออกไปรับรองนางฮวยลีปังเข้าบ้านเสียที ทั้งนี้ ซัมเจ๊อ้างว่า เพราะนางวัวยะเนี้ยเป็นภริยาหลวงของตระกูล ดังนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่โดยตรงของนาง และยังแถมเตือนตั้วเจ๊ให้สำนึกในหน้าที่อีกว่า “หากตั้วเจ๊ท่านมิทำแล้ว เห็นทีตั้วกัวยิ้งจะโกรธเอา เพราะบัดนี้นางลีปังก็มาคอยอยู่นานแล้วตั้งครึ่งวันค่อนวัน ควรจะได้เห็นใจนางบ้าง”

แลใจจริงของตั้วเจ๊นั้น นางรู้สึกอีหลักอีเหลื่ออยู่ เพราะนางไม่สู้จะชอบหน้า “เจ้าสาว” คนใหม่นี้อยู่แล้วเป็นทุน แต่ความเกรงใจสามีตามคำที่เม่งเง็กเล้าว่ามีอยู่ จึงจำใจต้องรับไปปฏิบัติภารกิจอันนี้ ทั้ง ๆ ที่มิสู้จะเต็มใจนัก.

แต่นางฮวยลีปังได้เข้ามาอยู่ในนิวาสสถานของไซหมึ่งเข่ง เป็นการเรียบร้อยสมดังมโนรถปรารถนาของนางแล้ว ความที่คิดไว้ว่าคืนนี้เจ้าบ่าวจะ “เข้าห้อง” นั้นก็หาสมที่คิดไม่ เพราะปรากฏว่าในคืนนั้น ไซหมึ่งได้นอนค้างกับนางพัวกิมเน้ย.

ต่อรุ่งเช้า ไซหมึ่งจึงมาเรียกหานางที่หน้าตึก สั่งให้แต่งตัวไปที่เรือนใหญ่ แล้วท่านพ่อบ้านก็เรียกประชุมบรรดาภรรยาใหญ่ภรรยาน้อยทั้งหลาย รวมทั้งผู้คนในบ้านมากันพร้อมหน้า แลแจ้งให้ทราบเป็นทางการทั่วกันว่า บัดนี้เขาได้รับนางฮวยลีปังผู้นี้ ไว้ในฐานะภรรยาคนที่หกของเขาแล้ว!

แลในคืนที่สองนี้ นางลีปังเจ้าสาวก็คงต้องนอนเฝ้าเรือนหอรอสามีอยู่แต่ผู้เดียวอีก เพราะปรากฏว่า คืนนี้ไซหมึ่งเกิดไปค้างกับนางเม่งเง็กเล้าเสียอีกแล้ว.

ต่อล่วงเข้าคืนที่สาม ซึ่งเป็นคืนที่ลีปังจะต้องนอนคนเดียวอีก นางก็เกิดทนไม่ไหวขึ้นมา นางรู้สึกชอกช้ำและระทมใจต่อการรับรองอันปึ่งชาเฉยเมยอย่างไม่ไยดีของไซหมึ่งครั้งนี้เป็นอันมาก ดังนั้นเพลาประมาณเที่ยงคืนของคืนนั้นเอง สองสาวใช้ของนางก็พลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นจากที่นอน เพราะด้วยเสียงคร่ำครวญอันน่าเวทนาของนายสาว จึงรีบเปิดประตูเข้าไปดู ปรากฏว่าภายใต้แสงไฟอันริบหรี่ ๆ ของตะเกียงน้ำมันที่ไส้จวนจะมอดแล้วนั้น ร่างของปังเจ๊ในชุดวิวาห์กำลังห้อยต่องแต่งอยู่กับขื่อเตียง ด้วยแพรพันเอวของนางผืนนั้นเองรัดคออยู่.

ทั้งเหง่งชุน และซิ่วชุนตกใจใหญ่ รีบผลุนผลันออกไปตามนางพัวกิมเน้ยให้รีบมา เมื่อโง่วเจ๊มาถึง นางได้พยายามข่มความรู้สึกไว้เป็นที่มั่นคง ตัดสินใจปีนขึ้นไปตัดเงื่อนแพรที่รัดคอนางปังออก แล้วช่วยกันประคองร่างอันปราศจากสติของเจ้าสาวผู้น่าสงสารลงวางบนเตียง และก็มหัศจรรย์กระไรเช่นนั้น ชั่วครู่เดียวก็มีฟองน้ำลายไหลออกมาฟูมปาก และนางเริ่มหายใจรวย ๆ! เคราะห์ดีอะไรเช่นนี้ เพราะด้วยความตกใจและลุกลี้ลุกลนนั่นเอง ลีปังลืมกระตุกเงื่อนให้รัดแน่น การจึงเป็นอันว่า นางรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด.

และเพลาเดียวกันนี้เอง ชุนบ๊วยก็รีบไปรายงานถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นให้ตั้วกัวยิ้งทราบ ซึ่งขณะนั้นเขากำลังนั่งเสพสุราและสนทนาอย่างสนุกสนานอยู่กับซัมเจ๊ และก็เป็นขณะเดียวกับที่ไซหมึ่งกำลังรับฟังโอวาทจากภรรยาคนที่สามอยู่เกี่ยวด้วยเรื่องที่เขามึนชาต่อนางลีปังลั่กเจ๊นี้เอง.

ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะลั่นอยู่ข้างนอกห้อง เง็กเล้าจึงใช้ให้หญิงต้นห้องของนางออกไปดู ก็ได้ความว่า ลั่กเจ๊ผูกคอตายเสียแล้ว โง่วเจ๊กำลังใช้ให้คนมาตามท่านตั้วกัวยิ้งรีบไปเร็ว ๆ เข้า.

เม่งเง็กเล้ารู้เรื่องเข้าเช่นนั้น นางก็หันมาต่อว่าสามีขึ้นว่า เห็นไหมเล่าเพราะเขามิเชื่อนาง เห็นหรือยังว่าแลเป็นเช่นไร ว่าแล้วนางก็รีบลนลานถือโคม รีบไปตามตั้วเจ๊ และนางลีเกียว ให้มาที่เรือนนางลีปังทันที.

เมื่อมาถึง นางดวงแขได้ถามบัวคำว่าให้คนเจ็บกินซุปน้ำขิงร้อน ๆ แล้วยัง? บัวคำก็ว่าให้กินแล้ว ตั้วเจ๊จึงว่า ถ้าเช่นนั้นคงมิเป็นไรให้เธอนอนพักเอาแรงต่อไปเถิด สักครู่ก็คงฟื้น.

แล้วสักครู่ทั้งสามนางซึ่งต่างรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจในภรรยาเก่าฮวยผู้นี้เป็นอันมาก ต่างก็แยกย้ายกันกลับไปเรือน หลังจากที่ได้เฝ้าดูอยู่จนเห็นว่าอาการนางพอจะค่อยทุเลาลงแล้ว แต่ตลอดเวลานี้ ไซหมึ่งเข่งคงนอนเอกเขนกอยู่ที่เรือนนางเง็กเล้า เหมือนทองไม่รู้ร้อน โดยมิได้เอาใจใส่ในนางแต่อย่างใด.

ครั้นเช้าขึ้น ไซหมึ่งเห็นว่าบรรดาเมีย ๆ ของตนดูยังลุกลี้ลุกลนวุ่นวายอยู่กับอาการของนางลีปัง เขาชักหมั่นไส้ก็เลยปรามขึ้นว่า “ให้เฉย ๆ กันไว้เสียบ้าง อย่าวุ่นวายมากไปนัก และเขาพูดสืบไปว่า เป็นลูกไม้มารยาของนางลีปังที่เพื่อจะให้ใครต่อใครพากันไปโอ๋นาง ไม่เห็นจะมีอะไรเป็นที่น่าห่วงกังวลเลย เขาไม่เชื่อหรอกว่า คนอย่างนางลีปังจะคิดผูกคอตาย แล้วเขาก็ว่า “เอาเถอะไว้เป็นหน้าที่ของเราเอง เย็นนี้เราจะให้นางผูกคอตายให้เราเห็นประจักษ์แก่ตาเอง ดูซิว่านางยังอยากจะตายจริงหรือไม่ ขืนทำบิดพลิ้วละก็ทีนี้เป็นโดนหวดด้วยแส้ม้าแน่ ๆ !”

บรรดาภรรยาทั้งหลาย เมื่อได้ยินสามีว่าเช่นนี้ต่างก็มิกล้ามีปากเสียงโต้แย้ง พากันนิ่งเงียบงันไปหมด แต่ว่าในหัวใจของแต่ละนางนั้น เต้นตึ้กตั้กตูมตามอยู่ด้วยกัน เพราะความสงสารนางฮวยลีปัง แทบว่าเหงื่อจะออกมาเสียทั่วทุกขุมขน.

แล้วดั่งที่เขาได้ลั่นวาจาไว้ เย็นวันนั้นเอง ไซหมึ่งก็เดินท่อมๆ หน้าตาบึ้งตึงไปยังเรือนนางลีปัง เขาซุกแส้ม้าไปด้วยในแขนเสื้อ พอไปถึงเขาก็สั่งให้คนใช้ปิดประตูลั่นดาลหมดทั้งนอกและใน ขณะนั้นเจ้าสาวค้างตัวยังคงนอนแบ่บ ตากะปริบๆ อยู่บนเตียง แต่พอเห็นหน้านางคนรักเก่าเข้า ไซหมึ่งก็ยิ่งโกรธหนัก เขาไล่ตะเพิดให้สาวใช้ทั้งสองออกไปเสียนอกห้อง กระชากเอาเก้าอี้มานั่งหน้าถมึงทึงอยู่กลางเรือน.

“ว่าไง อยากจะผูกคอตายรึ? ทำไมถึงจำเพาะจะมาผูกเอาตอนเข้ามาอยู่ในบ้านเราแล้วล่ะ ทีอยู่บ้านของเจ้าทำไมไม่ผูก จะได้ตาย ๆ ไปเสียรู้แล้วรู้รอด”

และตลอดเวลานี้ นางซัมเจ๊ และบัวคำได้แอบมองตามมาคอยซุ่มดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงนางฮวยลีปัง.

เสียงตั้วกัวยิ้งคุกคามลั่กเจ๊สืบไปอีกว่า “ก็ทำไมเจ้าถึงไม่ไปผูกคอตายอยู่เสียที่บ้านผัวเก่า–อ้ายหมอเตกกังคนนั้นเล่า มาผูกทำไมในบ้านเรา เราไม่ได้ขอร้องหรือขู่เข็ญล่อลวงอะไรเจ้าให้เข้ามาอยู่เลย เจ้าอยากมาของเจ้าเองต่างหากเล่า เอาเถอะ ไม่เป็นไร เมื่อเจ้าอยากจะตายจริงๆ ก็จะเป็นไรมี เราไม่อยากขัดใจเจ้า เอ้านี่แน่ะเชือก ผูกเสียซิ ผูกเสียให้ตายต่อหน้าเราเดี๋ยวนี้แหละ อยากดูน้ำหน้านัก” พูดแล้วไซหมึ่งก็โยนขดเชือกไปวางกองตรงหน้าหญิง อันเคยเป็นภรรยาเก่าของฮวยจื้อฮือทันที.

ลีปังตกใจจนสุดขีด นางแว่วสำนึกถึงคำเตือนของหมอกาง ที่เคยเล่าให้นางฟังถึงพฤติการณ์ของไซหมึ่งขึ้นมาในบัดดล–หรือว่าเขาเป็นหัวหน้าพวกโจรลอบลักกระทำข่มขืนชำเราลูกเขาเมียเขาจริงอย่างที่หมอกางว่า–หรือเขาล่อลวงเรามาให้ตกหลุมพรางแล้วเดี๋ยวนี้ นางคิดไปคิดมาวนเวียนอยู่แต่ในใจหลายตลบ นางคิดไม่ตกก็เลยเสียขวัญสะดุ้งร้องหวีดขึ้นมาสุดเสียง!

“ลงมา–ลงมาจากเตียงเสียดีๆ ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด แล้วคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้” เสียงไซหมึ่งคุกคามหนักเข้า.

ครั้นเห็นนางยังรีๆ รอๆ อิดเอื้อนอยู่อีก (ซึ่งความจริงนางไม่มีกำลังจะลุกนั่นเอง) สามีก็ยิ่งโมโหหนัก ผลุนผลันลุกขึ้นกระชากรั้งเอาตัวนางลงมาจากเตียงทันที พลางเขาก็กระหน่ำแส้ม้าลงบนหลังอันเปลือยเปล่าของนางลีปังสามทีซ้อนๆ.

บัดนี้ ลีปังนึกตัดสินโชคชาตานางตกแล้วว่า สุดแท้แต่เวรกรรมจะเป็นไปเถิด นางถูกไซหมึ่งจับค้ำคอให้นั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้า และได้รับคำถามอย่างกระโชกกระชากขู่เข็ญว่า ทำไมนางถึงทรยศต่อความรักของเขา? ทำไมถึงไปมีสามีใหม่ไม่รอคอยเขาตามที่สัญญา? แล้วก็ทำไมถึงจำเพาะจะต้องไปแต่งงานกับอ้ายหมอสับปะรังเคคนนั้น? ซึ่งข้อหลังนี้เขาถือเป็นข้อกินแหนงแคลงใจอย่างแสนสาหัส ด้วยซ้ำยังมีประการที่สำคัญอีกคือว่า เรื่องอะไรถึงต้องออกทุนรอนให้เจ้าผัวหมอคนนั้นของนางตั้งร้านขายยาแข่งกับเขา?

นางฮวยลีปังก็ตอบไปตามจริงว่า นางเสียใจเหลือเกินในการกระทำที่แล้ว ๆ มาทั้งหมดของนาง แต่ก่อนอื่นขอให้ตั้วกัวยิ้งได้โปรดระลึกไว้ด้วยว่า นางได้อ้อนวอนเขาเป็นนักหนาแล้วที่จะขอเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่เขาก็มิเคยโผล่หน้าไปหานางเลย นางบอกว่านางรอคอยเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนแทบจะเป็นบ้า แต่ว่าเขาเองไม่เคยนึกถึงนาง ถ้าไม่เชื่อก็ให้เขาเรียกยายผั้งม้ามาถามดู ย่อมจะรู้ดีเป็นแน่ นางไม่สบายเพราะความตรอมใจจนแทบจะตายจากเขาไปอยู่แล้ว พอดีได้หมอกางคนนั้นไปช่วยรักษา เป็นชั่วเวลาที่บังเอิญจังหวะพอดี นางมิรู้ที่จะตัดสินใจอย่างใดถูก ข้างตั้วกัวยิ้ง ท่านก็ไม่เหลียวแลนางบ้างเลย ข้างนางหรือก็มิอาจอยู่คนเดียวอย่างว้าเหว่เช่นนั้นได้ นางเลยจำใจหลับหูหลับตาแต่งงานไปกับหมอเตกกัง แต่ทั้งนี้นางบอกว่า นางแสนจะผะอืดผะอมและขมขื่นเสียเป็นที่สุดแล้ว ก็เมื่อเห็นปานฉะนี้ เขายังจะคุมแค้นขึ้งเคียดเอาอะไรกับนางอีกหรือ น่าที่จะได้ปรานีและยกโทษให้แก่นางบ้าง.

ไซหมึ่งได้ฟังความชัด อารมณ์วู่วามก็ชักค่อยผ่อนคลาย แต่ว่ายังไม่หายเสียเลยทีเดียว.

“ก็ไหนมีคนเขามาบอกเราว่า เจ้าจะให้ผัวใหม่ของเจ้ายื่นฟ้องทวงทรัพย์สมบัติที่เจ้าฝากเราไว้อย่างไรล่ะ จริงหรือไม่จริง?”

ลีปังว่า “ต๊ายตาย ใครเอาอะไรที่ไหนมาพูด ข้าพเจ้ายังมิเคยแม้แต่จะคิด!”

ไซหมึ่งก็คาดคั้นและซ้อมค้างสำทับสืบไปว่า “แน่รึ ก็ที่เจ้าขอเข้ามาอยู่ในบ้านกับเรานี้ มิใช่เพื่อหวังจะมาเรียกร้องทวงสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของเจ้าดอกหรือ? เผื่อเจ้าได้คืนไปแล้ว จะได้เอาไปไว้สำหรับบำเรอผัวใหม่ต่อไปอีกอย่างไรเล่า จะบอกให้รู้เสียก่อนว่าอย่างไรเสียเจ้าก็ไม่มีโอกาสจะได้ทรัพย์ของเจ้าคืนไปจากเราง่าย ๆ อย่าหวังเลย และเรื่องที่หมอเตกกังผัวเก่าของเจ้าต้องคดีครั้งนั้น ก็ใช่ฝีมือใครที่ไหน เรานี่เองแหละเป็นคนบันดาลให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น รู้เอาไว้เสียด้วย!”

“ยังงั้นดอกหรือนี่” ลีปังร้องขึ้นอย่างดีใจ และบอกว่าที่นางค่อยโล่งหัวอกไปได้ก็เพราะเรื่องนี้ มิเช่นนั้นนางก็มิรู้ที่จะหาทางตีจากเจ้าคนวายร้ายผู้นั้นได้เช่นใด ด้วยซ้ำนางยังบอกว่านางดีใจเหลือเกินที่รู้ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของไซหมึ่ง เพราะเท่ากับช่วยชีวิตนางไว้เหมือนกัน

แต่อะไรก็ตาม สิ่งที่เขาข้องใจเป็นล้นพ้นนั้น ก็คือว่า : -

“ถามจริงๆ เถอะ ระหว่างเรากับผัวเจ้าคนที่เป็นหมอคนนั้น ใครยังจะแข็งแรงกว่ากัน?” นี่เป็นคำถามประการสุดท้ายของไซหมึ่งเข่ง.

ซึ่งนางฮวยลีปังก็ตอบถูกใจตั้วกัวยิ้งไปเลยเหมือนกันว่า “เรื่องอะไรท่านถึงได้นำตัวของท่านไปเปรียบเทียบกับเจ้าหมอสวะพรรค์อย่างนั้นเล่า ฉันใดฟ้าสูงย่อมไม่คู่ควรกับแผ่นดินต่ำ ฉันนั้นตั้วกัวยิ้งท่านกับหมอเตกกัง อย่าได้ไปหาอะไรเลยจากคนคนนั้นที่จะนับว่าเป็น “ลูกผู้ชาย” ถ้าหากท่านอยากจะเปรียบกันแล้วไซร้ ฮวยที่ตายไปแล้วนั่นแหละยังค่อยจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อยกับท่าน แต่ท่านคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่า ระหว่างท่านกับจื้อฮือ หากจื้อฮือดีกว่าท่านแล้ว เรื่องอะไรข้าพเจ้าจะต้องคร่ำครวญและผูกใจต่อท่านเล่า ในเมื่อฮวยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่เมื่อระยะเวลานั้น สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ตั้วกัวยิ้งท่านเปรียบเสมือนยาทิพย์ประเทืองใจ เจ็บไข้ได้ป่วยฉันใดรักษายาอื่นไข้ไม่คลาย ต่อได้ยาทิพย์ขนานแท้ดั้งเดิมคือตั้วกัวยิ้งท่านแล้ว ที่เจ็บก็หาย ที่หนักหนาใกล้ตายก็ย่อมยืนยงคงรอดชีวิตได้ ก็มิใช่ท่านหรือที่เปรียบเสมือนยาเทวดาขนานเอก อันจะอาจรักษาแผลหัวใจข้าพเจ้าได้ มีหรือที่ข้าพเจ้าจะขาดสามิภักดิ์ในท่าน วานพิจารณาเถิด”

ไซหมึ่งเข่งยินคำคนคู่เคยพิศวาสรำพันเช่นนั้น พลันเขาก็โยนแส้ม้าทิ้ง แลก้มลงพยุงโฉมนางลีปังให้ลุกขึ้น พลางเขาช่วยหยิบยกเสื้อผ้ามาให้นางสวมใส่มิให้เป็นที่อุจาดแก่ตา เขาก้มลงรับขวัญนางเมียเก่าจื้อฮืออย่างแสนพิศวาส พลางก็บอกว่า ต่อไปนี้เป็นอันสิ้นที่เรากินแหนงแคลงใจเจ้าแล้ว สืบแต่นี้ไปเราสองจะได้คงครองความสุขสดชื่นกับเขาบ้าง.

แล้วไซหมึ่ง ก็ค่อยประคองร่างนางลีปังเข้าไว้กับอ้อมกอดแต่เพลามือ––

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ