กลีบบัวใช้บาป

แต่ไล่เห่งผู้สามีของนางต้องเคราะห์กรรมจำขังอยู่ในเรือนจำ เน้ยเข่งเจ้าก็มิเคยจะเยือนร่างปรากฏโฉมฉุยฉายเหมือนเช่นเคย นางปล่อยเนื้อปล่อยตัวและละเลยเสียซึ่งการปรุงโฉมประทินผิวทุกประการ ผมเผ้าหลุดลุ่ยรุงรัง หน้าตาก็ซูบซีดแลเศร้าหมองสิ้นแววงาม แก้มอิ่มที่เคยผ่องบัดนี้เดี๋ยวตอบหมดราศี นางมิได้ไยดีต่อข้าวปลาอาหารและเครื่องดื่มบริโภคทุกชนิด เฝ้าแต่ก่นโศกเศร้าอยู่ในห้องปิ้มว่าจะสิ้นใจตายไปในชั่ววันชั่วพรุ่ง ซึ่งพฤติการณ์ของนางทั้งนี้ ยังความเศร้าใจและวิตกกังวลในสุขภาพของนางให้บังเกิดแก่ไซหมึ่งเข่งผู้ชู้รักเป็นอย่างมาก เขาเฝ้าแต่กำชับแล้วกำชับเล่า ให้เจ้าเง็กเซียวช่วยมาเป็นเพื่อนปลอบประเล้าประโลมนางให้คลายหมอง

แต่ภรรยาสาวผู้สามีเคราะห์ร้ายต้องคดีหนักมิได้คิดใส่ใจฟัง เคยอย่างไรมาก็คงเป็นไปอย่างนั้น นับวันที่นางได้เสื่อมคลายความพิศวาสและศรัทธาในตัวของท่านพ่อบ้านลงเป็นลำดับ กระทั่งวันหนึ่งนางได้รับคำบอกเล่าจากไล่อันเพื่อนผัว มาบอกนางว่าเขาได้ไปเยี่ยมสามีของนางมา เขาบอกว่า “ไล่เห่งนั้นมิต้องลำบากอนาทรอันใดนักดอก ศาลเขากำลังจะลดหย่อนผ่อนโทษให้อยู่แล้ว เห็นทีโทษจะไม่หนักหนาเท่าใดนัก” เน้ยเข่งก็ค่อยคลายความขุ่นข้องหมองใจลง ผิวพรรณหน้าตาของนางค่อยแช่มชื่นผ่องใส ดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิมครัน

อยู่มาเพลาหนึ่ง ไซหมึ่งได้แวะผ่านมาทางเรือนของนาง ซึ่งขณะนั้นนางเน้ยเข่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูเรือนพอดี เมื่อเห็นว่าปลอดผู้ปลอดคน ทั้งในครัวก็กำลังสงบงบเงียบ นางจึงร้องเชิญให้ชู้เชยผู้เป็นเจ้าบ้านคนบุญหนักขึ้นมาบนเรือนก่อน นางถามเขาถึงข่าวคราวของไล่เห่งว่า คดียังจะดำเนินไปแค่ไหนแล้ว ซึ่งเขาก็ตอบแต่ละล้วนเอาใจนาง เขาบอกว่าเพราะเห็นแก่นางแต่ผู้เดียวนี้เอง เขาจึงสู้ติดต่อขอร้องท่านผู้พิพากษาให้ช่วยหาทางผ่อนปรนลดหย่อนโทษทัณฑ์สามีของนาง และเขายังได้ปั้นเท็จสืบไปอีกถึงว่า เขามีความมั่นใจเหลือเกินว่า ในชั่วอีกไม่กี่วันนี้เองไล่เห่งก็คงจะได้รับการปลดปล่อยตัวจากที่คุมขัง เอาเถิดเมื่อไหน ๆ ไล่เห่งออกจากคุกได้แล้ว เขาก็จะช่วยหาทางสนับสนุนให้ได้มีอาชีพเลี้ยงตัวสืบไป และเขาไม่ลืมที่จะย้ำว่า ทั้งหมดที่เขาทำลงไปนั้นก็เพราะด้วยเจตนาดีต่อนางเป็นที่สุดแล้ว!

นางเน้ยเข่งได้ยินดังนั้นก็โผผวาเข้าซบหน้าลงกับซอกคอผู้ชู้รักด้วยความยินดีเป็นที่สุด

แน่เหลือเกิน ที่เน้ยเข่งย่อมจักปลาบปลื้มและปีติยินดียิ่งไปตามคำลวงของไซหมึ่ง เพราะทุกวันนี้ความปลอดภัยในสวัสดิภาพของสามี เป็นสิ่งที่นางต้องประสงค์อย่างยิ่ง นางเฝ้าพิรี้พิไรต่อชายผู้เป็นประมุขของบ้านสืบไปถึงความผูกพันอันที่จะได้สิ้นสุดกันเสียที ระหว่างไล่เห่งผู้สามีกับตัวนาง ในโอกาสแรกที่ไล่เห่งพ้นโทษเมื่อใด ตั้วกัวยิ้งหาทางส่งเขาไปทำมาหากินเสียที่ตำบลอื่น และจัดหาคู่ครองตบแต่งอยู่กินให้เขาเสียใหม่ตามควรแก่ฐานะ แล้วความสุขของเราทั้งสองจะไปไหนเสีย เราต่างก็จะได้ร่วมชีวิตและคงครองความรักอยู่ต่อกัน ด้วยความผาสุกและสดชื่นชั่วนิรันดร

ตั้วกัวยิ้งก็ดื่มด่ำกำซาบอยู่ด้วยความพิศวาสอันเน้ยเข่งเจ้าวิงวอนฝากเนื้อฝากตัวเป็นที่อ่อนหวานและซาบซึ้งตรึงใจนัก เขาบอกว่า เอาเถิด เขาจะรีบติดต่อกับท่านผู้พิพากษาเจี้ยโดยเร็วที่สุด เพื่อจะให้ปล่อยตัวไล่เห่ง แล้วเขาก็พรรณนาถึงความสุขอันสดชื่นที่จะบังเกิดต่อเขาทั้งสองภายในเรือนน้อยอันน่าอยู่ ซึ่งเขาได้ดูที่ทางและเตรียมไว้แล้วเพื่อเป็นสมบัติของนางในวันหน้า แลว่า “บัดนี้เจ้าจะมัวโศกเศร้าอยู่สืบไปไย ด้วยรังแต่จะทำให้หมองโฉม!”

แล้วไซหมึ่งก็ค่อยประจงปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางเน้ยเข่งออกจากกระพุ่มอกอวบระย้าตึงเต่งน่ายวนยี ความอรชรอ้อนแอ้นลดหลั่นเรื่อยลงมาที่คอดสะเอวนาง ดุจเส้นปันพรมแดนระหว่างเนื้อนุ่มส่วนบนและล่างให้เห็นประจักษ์ชัด เจ้าหนุ่มลดสายตาลงมาปะทะเข้ากับความผึ่งผายของสะโพกที่อวบอัด ซึ่งแม้จะแผ่ขยายอย่างระมัดระวัง แต่ก็ดูยังจะใหญ่และกว้างกว่าส่วนบนของเรือนร่าง แลยะยุ้ยเป็นกระพุ้งผ่องเผินพิลาสละลานใจ ครั้นลดตาต่ำก็รวบลิ่วลงไปสู่โคนขาอ่อนจนปลีน่อง จวบกระทั่งปลายเท้าของนางแลล่อนจ้อนเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด ลมร้อนปลายฤดูอบอ้าวผะผ่าวผิวเข้ามาทางหน้าต่าง ซึมเหงื่อสาวงามให้ผุดพุ่งดุจฉาบไล้ด้วยเม็ดไข่มุก

ก็ร้อนออกอย่างนี้ จำเป็นอีกหรือที่ทั้งเขาและนางจะต้องการอาภรณ์เสื้อผ้าอันใดอีกต่อไป––

ยังจะต้องให้บรรยายกันมากความไปอีกหรือ ในเมื่อทั้งหญิงและชายคู่นี้ต่างก็มิได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ และหรือใช่ว่าจะได้สำเร็จมรรคผลลุฌานสมาบัติอันวิเศษมาแต่ใดก็หาไม่ ดังนั้นนอกจากเสียงหอบถี่ระคนหายใจหนัก บางครั้งก็จะสอดแทรกแผ่วระริกมาด้วยคำวอนของฝ่ายหญิง กับเสียงตอบโต้อันแหบห้าวของฝ่ายชายซึ่งสุดแต่จะสรรหามา ล้วนเป็นถ้อยคำฉกรรจ์ในอันจะอ้างอิงถึงความรักและภักดีที่เขามีต่อนางจวบชีวิตดับทั้งสิ้น

ความโศกเศร้าของนางเน้ยเข่งได้ปลาสนาการไปกับกลุ่มลมร้อน ที่แผ่ซ่านแทรกซึมอยู่ในบรรยากาศภายในเรือนน้อยสิ้นแล้วแต่บัดนั้น!

วันนี้ เมียสาวเจ้าไล่เห่งได้รับเงินรางวัลค่าทำขวัญความเคราะห์ร้ายของสามีจากตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่ง เป็นจำนวนสองตำลึง ก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป!!

กลีบบัวเกิดมั่นใจในสวัสดิภาพของสามีขึ้นมาอย่างแน่นแฟ้นอีกครั้ง ก็จะไม่ให้นางมั่นใจได้อย่างไร ในเมื่อบุคคลคนเดียวที่อาจชี้ชาตากรรมของสามีนางได้นั้น ได้รับรองเป็นมั่นเหมาะไว้ต่อนาง ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ ดังนั้นจะให้ภรรยาคนใดใครก็ตามอดไหวหรือ ที่จะงำความดีใจในข่าวดีนี้ไว้มิให้ปรากฏ? กลีบบัวก็เช่นกัน นางเที่ยวได้คุยขรมให้บรรดาเพื่อน ๆ คนใช้ฟัง และแล้วข่าวนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงหูนางเง็กเล้า พอออกจากปากนางเง็กเล้าก็เข้าหูนางโง่วเจ๊ทันที

“ฮะ จริงหรือนี่?” พัวกิมเน้ยถามพลางทำตาโตอย่างไม่เชื่อหู “ดีละ ปล่อยให้มันละเมอเพ้อพก หวังลมๆ แล้งๆ ของมันไปก่อน ไว้คอยดูฝีมือเราเสียบ้าง ถ้าไม่สำเร็จก็อย่านับถือว่าเราเป็นลูกสาวของตระกูล “พัว” สืบไป!” นี้เป็นคำยืนยันของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่เคยผิดหวังมาเลยในชีวิตของความเป็นภรรยาตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่งผู้นี้!

เง็กเล้าได้ยินเช่นนั้น ก็เตือนว่าโง่วเจ๊จะไปห้ามตั้วกัวยิ้งได้อย่างไรไหว ทุกวันนี้เขาหลงเสน่ห์ชายผ้านุ่งนางเน้ยเข่งเสียจนงอมแงมแล้ว แม้ตั้วเจ๊เองเตือนเขายังไม่ยอมรับฟัง

“เอาเถอะ ซัมเจ๊เฉยไว้ก็แล้วกัน” บัวคำตัดบทและพูดอย่างเขื่องๆ กับเพื่อนสาวเชิงอวดตัวว่า ซัมเจ๊น่ะไม่มีธาตุของนักสู้ดอก เรื่องเช่นนี้มันต้องนาง “มีหรือเราเป็นเมียตบเมียแต่ง จะมายอมให้อีขี้ข้าขึ้นมาลอยนวลตีเสมอหน้า ฮึ, ตายเสียก่อนเถิดชาตินี้ถึงจะยอม!”

แลค่าที่ภรรยาคนที่สามของไซหมึ่งผู้นี้นางไม่มีความเข้มแข็งในตัวเลย ดังนั้นนางจึงพลอยเออออห่อหมกสรรเสริญเยินยอไปต่อนางพัวเจ๊

จึงเย็นวันนั้นเอง ขณะที่ไซหมึ่งกำลังร่างเขียนคำร้องขอผ่อนผันลดโทษให้ไล่เห่ง บัวคำก็โผล่เข้ามา นางถามเขาว่า “กำลังเขียนอะไรหรือ?”

สามีก็สะดุ้งสุดตัว หนแรกเขาตกใจ เพราะอยู่ๆ โง่วเจ๊ก็พรวดพราดเข้ามาโดยมิรู้เนื้อรู้ตัว แล้วเขาก็ตอบคำภรรยาไปอย่างตะกุกตะกักว่า “กำลังเขียนหนังสือถอนฟ้องไล่เห่งอยู่!”

บัวคำก็ทรุดตัวลงนั่งข้างสามี แลเริ่มชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นหว่านล้อมไซหมึ่งว่า “ที่ท่านทำเช่นนี้ เป็นการกระทำที่โลเลไม่แน่นอนเด็ดขาด มิใช่วิสัยของคนเป็นนายคนเลย ชั่งกระไร—” แลนางพ้อสืบไปว่า เขาไม่มีความคิดความอ่านของตัวเองเลย เลื่อนลอยดุจเรือขาดหางเสือ เปะปะไปสุดแต่กระแสน้ำไหลจะพัดให้ลอย ก็เรื่องอะไรจึงยอมให้นางขี้ข้ามันปั่นหัวได้เช่นนี้เล่า มีตาเสียเปล่าแต่ก็หาแววไม่ พิจารณาเสียให้รอบคอบบ้างเป็นไร ว่านางเน้ยเข่งน่ะ มันแสนรักและภักดีผัวมันออกถึงปานนั้น ตั้วกัวยิ้งท่านสารพัดจะขุนมัน เงินเอย ทองเอย ทั้งแสนจะเอาอกเอาใจป้อยอมันด้วยประการต่าง ๆ สิใช่ว่ามันจะเสื่อมถอยลดน้อยความรักผัวมันลงก็หาไม่ ขืนท่านถอนฟ้องให้ศาลเขาปล่อยตัวไล่เห่งออกมาแล้ว ทีนี้ท่านจะหาโอกาสไหนได้ลิ้มรักแสวงสุขกับนางเมียมันได้เล่า? ท่านคิดหรือเปล่าถึงอุปสรรคข้อนี้ คอยดูไป นับวันแต่ท่านจะหากินทั้งเนื้อสดและผักดิบไม่มีได้ แล้วก็รังแต่จะเป็นที่ล้อเลียนเย้ยหยันของพวกคนใช้มัน ซึ่งถ้าตั้วกัวยิ้งท่านประสงค์ครองสวาทนางเน้ยเข่งจริง ๆ แล้ว ไฉนจึงจะคิดถอนฟ้องปลดปล่อยเจ้าวายร้ายสามีของนางเสียเล่า?”

โดนคารมคมคายของนางบัวคำเข้าไม้นี้ ก็เลยแทนที่ไซหมึ่งจะเขียนฎีกาถอนฟ้องเจ้าไล่เห่ง กลับกลายเป็นหนังสือเตือนเร่งให้รีบดำเนินคดีเสียโดยเร็วที่สุดไปฉิบ

ผู้พิพากษาเจี้ยซึ่งเป็นทาสน้ำเงินไซหมึ่งอยู่ ก็จำต้องปฏิบัติตามคำของตั้วกัวยิ้งโดยทันที แต่มีที่ขัดอยู่ก็ตรงกรมการศาลผู้หนึ่งเป็นคนตงฉิน เกิดไม่ยอมลงความเห็นด้วย โทษสถานหนักของไล่เห่งคนเคราะห์ร้าย ก็จำต้องลดลงมา เหลือแต่เพียงต้องโบยห้าสิบทีและเนรเทศให้ไปอยู่เมืองชีจิวอันเป็นภูมิลำเนาเดิม ตามบทกำหนดโทษสำหรับบุคคลผู้ประพฤติตนเป็นข้าโจษเจ้า!

ครั้นถึงวันตัดสินคดีความ ไล่เห่งซึ่งถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินมาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว ก็ได้รับการเบิกตัวมาพร้อมด้วยผู้คุมสองคน ซึ่งมีหน้าที่จะต้องนำตัวเขาไปส่งยังเมืองชีจิว สารรูปผัวนางเน้ยเข่งทุกวันนี้แสนจะดูไม่ได้ ทั้งผ่ายผอมและทรุดโทรมลงไปเป็นอย่างมาก ไหนจะทุกข์ใจ ไหนจะขัดสนจนยาก อัฐฬสเงินทองหรือก็ไม่มีติดตัวเลยแม้แต่อีแปะเดียว

เขาได้อ้อนวอนแก่ผู้คุมทั้งสองด้วยเสียงละห้อยน่าเวทนานักว่า “ไหว้เถอะพี่ชาย นึกว่าเมตตาแก่ข้าพเจ้าคนไร้ที่พึ่งแล้วสักครั้งเถิด นึกว่าเอาบุญช่วยได้พาข้าพเจ้าผ่านไปทางบ้านนายจ้างของข้าพเจ้าสักหน่อยเถิด ภรรยาข้าพเจ้ายังอยู่ที่บ้านนั้น เผื่อจะได้ขอปันเสื้อผ้าและเงินทองพอติดเนื้อติดตัวไปบ้าง เราจะได้ไม่ต้องขัดสนในระหว่างทาง”

“เจ้านี่ถ้าจะเสียสติแล้ว?” ผู้คุมตอบ “ก็ที่เจ้าต้องมารับโทษทนทุกขเวทนาอยู่เช่นนี้น่ะ มิเพราะนายจ้างของเจ้าดอกหรือ ที่เป็นคนยื่นฟ้องร้องและเอาเรื่องเอาราวแก่เจ้า มีอย่างหรือที่เขาจะอนุญาตให้ภรรยาของเจ้าได้มีโอกาสออกมาพบ? ทำไมเจ้าไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้วหรือ?”

“เอาเถิด พี่ชาย ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสยืนคอยพบนางที่หน้าประตูบ้านของไซหมึ่งสักครู่เถอะ เผื่อคนใดใครผ่านออกมา ข้าพเจ้าจะได้ขอความกรุณาให้เขาไปบอกท่านตั้วกัวยิ้ง เพื่อขออนุญาตพบภรรยาของข้าพเจ้าสักครู่” คนโทษผู้น่าสงสารขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผู้คุมใจอ่อนนึกสงสารและเวทนาขึ้นมา ก็นำไล่เห่งไปยังบ้านไซหมึ่งเข่ง และอาศัยที่ว่าบ้านของเอ็งฮวยจื๊ออยู่ใกล้เคียงกับบ้านนายจ้างของเขา ซึ่งไล่เห่งเคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน นักโทษคนต้องเนรเทศผู้นี้จึงไปขอความกรุณาจากเขา เพื่อหวังให้ช่วยนำความไปขอร้องตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่ง ได้อนุญาตให้เขาได้พบกับภรรยาเป็นครั้งสุดท้าย แต่เอ็งได้ปฏิเสธไม่ยอมให้ความช่วยเหลืออันใดสิ้นแก่เขา ดังนั้นไล่เห่งจึงต้องผิดหวังกลับมา แต่เขาก็ยังไม่สิ้นความพยายาม ได้เซซังไปขอร้องเพื่อนบ้านแถวนั้น ให้ช่วยไปขออนุญาตต่อนายจ้างของเขาเพื่อเข้าพบภรรยา แต่ปรากฏว่าไซหมึ่งเข่งไม่ยอมรับฟังคำขอร้องอันใดทั้งสิ้น มิหนำซ้ำยังส่งคนใช้ให้ออกมาไล่เขาเพื่อให้ไป ๆ เสียให้พ้นบ้านอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คุมก็ต้องพาไล่เห่งไปตามยถากรรม แต่ก็ยังดีที่เขาอุตส่าห์ช่วยพานักโทษผู้นี้ให้ได้ไปร่ำลาพ่อตาของเขาก่อน ซึ่งที่บ้านพ่อตานี้เอง ไล่เห่งได้รับเงินจากเขาเป็นจำนวนหนึ่งตำลึงกับข้าวสารอีกถังหนึ่งพอเป็นเสบียงกรังติดตัว

แล้วไล่เห่ง–สามีผู้เคราะห์ร้ายของนางเน้ยเข่งก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าไปสู่เมืองชีจิว ภายใต้ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ เหนือเส้นทางหลวงอันทุรกันดารสืบไป

แลในระยะเวลาเดียวกันกับที่ไล่เห่งผู้สามีกำลังเดินทางรอนแรมไปสู่เมืองชีจิวในฐานะนักโทษเนรเทศนี้เอง นางเน้ยเข่งผู้ภรรยาก็เฝ้าแต่ตั้งตาคอยวันเป็นอิสระของสามีอยู่ด้วยความกระวนกระวาย แต่จนแล้วจนรอด นางก็ไม่มีโอกาสจะได้รับทราบข่าวคราวและวี่แววของเขาเลย ทั้งนี้เพราะไซหมึ่งเข่งได้สั่งกวดขันบรรดาข้าทาสชายหญิงมิให้ผู้ใดแพร่งพรายถึงโทษทัณฑ์ของไล่เห่งให้นางรู้เป็นอันขาด หากผู้ใดใครขืนทำสู่รู้ เขาจะเอาโทษโบยแก่ผู้นั้นยี่สิบที เมื่อเป็นดังนี้ กลีบบัวจึงมิอาจล่วงรู้ถึงข่าวร้ายของสามีได้แต่อย่างใด นางเฝ้าแต่ได้ตั้งตาคอยและคอยอยู่ด้วยความหวังอันเลือนลางตลอดมา

การเป็นอยู่เช่นนี้หลายเพลา ตราบกระทั่งวันหนึ่งนางได้กระเส็นกระสายข่าวร้ายของสามีแว่วมาเข้าหู แต่ทว่าช่างเป็นข่าวที่เคลือบคลุมเสียเหลือเกินว่า ความจริงสามีของนางนั้นได้ออกจากคุกมาหลายวันแล้ว ด้วยซ้ำเขายังได้แวะมาหานางเพื่อจะขอเสื้อผ้าไปไว้ใส่ตามทางอีกด้วย ทั้งนี้เพราะเขาได้ถูกเนรเทศเสียแล้ว แต่นางก็ไม่รู้ว่าที่เขาถูกเนรเทศนั้นอยู่แห่งหนตำบลไหน นางตระหนกตกใจในข่าวนี้เป็นอย่างมาก จึงเที่ยวได้ถามไปตามบรรดาเพื่อน ๆ คนใช้ทั้งหลาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอกความจริงแก่นางได้

กระทั่งวันหนึ่ง นางได้เจอะไต้อังและถามเขาขึ้นถึงเรื่องนี้ เจ้าเด็กรับใช้หนุ่มคนสนิทของตั้วกัวยิ้งผู้นี้ก็บอกว่า “เถอะข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านรู้ แล้วเขาก็ลดเสียงลงพูดกับนางแต่เบา ๆ ว่า “ไล่เห่งสามีของท่านนั้นได้ถูกเนรเทศไปหลายวันแล้ว แต่ว่าอย่าได้ไปบอกตั้วกัวยิ้งเป็นอันขาดเทียวนะ ว่าข้าพเจ้าเป็นคนบอกเรื่องนี้แก่ท่าน”

เมื่อเน้ยเข่งได้รับข่าวการยืนยันมั่นคงเช่นนี้แล้ว นางก็สุดแสนจะทุกข์โทมนัสใจเป็นยิ่งนัก มิได้เป็นอันกินอันนอน นางขังตัวเองอยู่แต่ในห้องและเฝ้าร้องห่มร้องไห้ตลอดวันทั้งวัน

“สงสารนักผัวเอ๋ย!” นางเน้ยเข่งก่นแต่พิลาปร่ำรำพันถึงสามี “ท่านทำผิดเป็นอุกฤษฎโทษสถานหนักอันใดหรือ ตั้วกัวยิ้งจึงคุมแค้นและเอาแก่โทษท่านถึงปานนี้ คนอะไรไม่มีความสัตย์! โธ่ นี่หรือผลตอบแทนที่ท่านได้อุตสาหะวิริยะในหน้าที่การงานต่อเขามาด้วยดี ควรหรือที่ท่านจะต้องมาได้รับทุกข์ทรมานถึงปานนี้ เสื้อผ้าแม้สักชิ้นจะพันกายท่านก็มิได้มีติดตัวไป หนทางใกล้หรือไกลแค่ไหนท่านต้องถูกเนรเทศไป เมียก็มิได้รู้ถูกเขาต้มยำเสียป่นปี้จนไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เมียจะมีชีวิตอยู่สืบไปอีกทำไมกัน!”

เน้ยเข่งคร่ำครวญถึงไล่เห่งผู้สามีอยู่ด้วยความทุกข์โทมนัสแสนสาหัสปิ้มว่าดวงใจของนางจะแหลกสลายลง นางสุดรู้สุดคิดจะทำฉันใดได้อีกแล้ว หัวจิตหัวใจน้อย ๆ ของนางพลุ่งพล่านและสับสนปั่นป่วน คิดแล้วคิดเล่านางก็ให้พะวักพะวนอลหม่านใจ มิเป็นอันจะคงคุมสติได้ เมียนักโทษเนรเทศคนอาภัพก็เลยตัดสินใจผูกคอตายเสียกับขื่อประตูเรือน!

หากเคราะห์ดีที่ชาตาชีวิตเน้ยเข่งเจ้ายังไม่ถึงฆาตในหนนี้ บังเอิญให้นางอิตังเช็งภรรยาของไล่เจ้าเข้ามาเห็นเสียก่อนทันท่วงที นางก็เลยเอะอะโวยวายขึ้นและเรียกเพื่อนคนใช้ให้มาช่วยกันแก้ไขเยียวยาป้องกันชีวิตนางเน้ยเข่งไว้ได้

แต่ทั้งนี้ใช่ว่าหญิงอาภัพผู้นี้จะคลายโศกเศร้าลงก็หาไม่ มิไยใครจะปลอบโยนนางแต่อย่างใด แม้ที่สุดไซหมึ่งเข่งตั้วกัวยิ้งเองจะปลอบนาง นางก็มิได้คิดจะเชื่อฟัง ด้วยซ้ำนางกลับตัดพ้อต่อว่าเอาอย่างสาดเสียเทเสีย จนกระทั่งเขาไม่อาจเข้าหน้านางติด ไซหมึ่งมิรู้ที่จะปลอบอกปลอบใจนางได้อย่างไร ก็ได้แต่ส่งเจ้าขลุ่ยหยกให้มาอยู่เป็นเพื่อน เพื่อช่วยอ้อนวอนประเล้าประโลมเอาใจนาง แต่เน้ยเข่งก็คงยืนยันแต่จะขอตายไปเสียจากโลกนี้ให้จงได้อยู่ท่าเดียว

หนักเข้าไซหมึ่งก็ลองส่งนางพัวกิมเน้ยให้มาช่วยบ้าง แต่ก็คงเป็นเช่นเดียวกันอีก เน้ยเข่งมิยอมแตะแม้แต่ถ้วยยา โง่วเจ๊ก็ได้แต่พาเอาความผิดหวังกลับไปรายงานท่านสามี ทว่าเป็นรายงานที่สามีฟังแล้วแสลงใจนัก

“อีนังคนนี้มันรักผัวของมันเป็นบ้าเป็นหลัง มันไม่ยอมแตะอะไรทั้งนั้น แม้แต่ยามันก็ไม่ยอมกิน ฮึ ยังจะบ้าหลงงมมันอยู่ได้” นี่บัวคำรายงานแก่สามีเช่นนี้

ซึ่งเมื่อไซหมึ่งเข่งได้ฟังแล้วก็หัวเราะราวกับว่าแสนจะขบขันเสียเต็มประดา เพราะเขาไม่เชื่อว่าจิตใจผู้หญิงคนนี้จะภักดีและซื่อสัตย์จริงจังต่อใคร ก็มีอย่างที่ไหน ทั้ง ๆ ที่นางมีสามีอยู่เป็นตัวเป็นตนคนแรกนั้น ไฉนเน้ยเข่งยังอาจลอบกระทำสมัครรักใคร่ได้เสียกับไล่เห่งได้ ก็ทุกวันนี้ระหว่างเขากับไล่เห่งนั้น ใครเล่ายังจะมีภาษีกว่า เขามิใช่หรือ? แล้วเรื่องอะไรเล่าที่เน้ยเข่งเจ้าจึงจะจ่อจิตจ่อใจต่อสามีฐานะแค่คนใช้ผู้นั้น

“เอาละ สมมุติว่าถ้านางเน้ยเข่งจะมีที่ทุกข์โทมนัสใจจริง เรื่องนี้น่าจะต้องมีมูลมาจากกรณีอื่น เช่นว่าคนใช้คนใดคนหนึ่งไปบอกเรื่องไล่เห่งถูกเนรเทศแก่นางขึ้น นางจึงน้อยอกน้อยใจขึ้นมา เชื่อเถอะ ดีละ ใครก็ตามที่บังอาจฝ่าฝืนคำสั่งเรา แอบบอกเรื่องนี้แก่นาง เราจะเอาตัวมาลงโทษให้จงได้ ทำเช่นนี้เหมือนท้าทายคำสั่งเรา” ตั้วกัวยิ้งพูดแก่ภรรยาคนที่ห้าอย่างฉุนเฉียว

แล้วเขาก็สั่งเรียกประชุมคนใช้ทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้านทันที

“ใครเป็นคนไปบอกเมียอ้ายไล่เห่งว่าผัวมันถูกเนรเทศ รับออกมาเสียโดยดี” ท่านพ่อบ้านตั้งคำถามอย่างเกรี้ยวกราดเอากับพวกคนใช้ เขากวาดตามองไปทั่วหน้าประหนึ่งจะค้นหาตัวผู้ผิดให้จงได้

ทันใดนั้นเอง คนใช้ผู้หนึ่งในจำนวนนั้นก็ก้าวออกมาจากกลุ่มและคุกเข่าลงตรงหน้าท่านเจ้าสัว เขาบอกว่าเมื่อวันก่อนเขาได้เห็นไต้อังยืนซุบซิบ ๆ อะไรกันอยู่ไม่ทราบกับนางเน้ยเข่งที่หน้าห้อง

“อ้าว ยังงั้นดอกรึ?” แล้วไซหมึ่งเข่งก็เรียกหาตัวเด็กรับใช้ปากบอนผู้นั้นอยู่เป็นพัลวัน “ไหนอ้ายไต้อัง มันหายหัวไปข้างไหน?”

แต่ไต้อังหายหน้าค่าตาไปข้างไหนนั้นไม่มีใครรู้ ด้วยที่จริงแล้วเขาหาได้หายตัวไปข้างไหนไม่ หากแต่พอรู้ข่าวว่า ท่านพ่อบ้านจะเอาเรื่องคนบอกข่าวแก่นางเน้ยเข่ง เขาก็ร้อนตัว จึงรีบไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากโง่วเจ๊นางบัวคำทันที ซึ่งนางก็ยินดีรับอนุเคราะห์ช่วยเหลือให้เขาอย่างเต็มใจ

ดังนั้น เมื่อหลังแต่ไซหมึ่งเข่งได้เรียกหาตัวได้ยังอยู่พักใหญ่ ก็ไม่มีใครได้พานพบตัวเจ้าเด็กน้อยผู้นี้เลย ท่านเจ้าสัวก็ยิ่งทวีความเกรี้ยวกราดใหญ่ เขาตัดสินใจออกค้นหาตัวไต้อังเพื่อจะเอามาลงโทษด้วยตนเองให้จงได้ ไซหมึ่งเข่งฉวยแส้หนังติดมือได้ ก็เดินตัวปลิวออกจากห้องโถง เข้าบ้านโน้นออกเรือนนี้ จนกระทั่งมาถึงเรือนนางพัวกิมเน้ยก็ถามว่า “เจ้าไต้อังมาที่นี่บ้างหรือเปล่า?”

นางบัวคำก็แสร้งทำเป็นนั่งหูทวนลมเฉยอยู่ ปล่อยให้สามีเที่ยวพลุ่งพล่านค้นหาตัวเจ้าเด็กคนปากบอนผู้นี้เอาตามสบาย ในที่สุด ไซหมึ่งก็เจอะเข้าจนได้ ขณะนั้นไต้อังยี้ยืนซุ่มเนื้อตัวสั่นเทาเป็นลูกนกอยู่หลังประตูห้องนอนของนางโง่วเจ๊

แต่พอสามีเงื้อแส้หนังขึ้นหวังจะหวดเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ให้จำหนับ พัวกิมเน้ยก็ถลันเข้าจับไว้เสียก่อนทันท่วงที นางกระชากแส้มาจากมือสามีแล้วก็ขว้างไปไว้เสียบนเตียงนอน

“ท่านน่าจะละอายแก่ใจตัวเองบ้าง มีอย่างที่ไหนอยู่ๆ จะมาลงโทษแก่เด็กมัน” บัวคำกล่าวบริภาษสามีอย่างขุ่นขึ้ง พลางถลึงตามองหน้าไซหมึ่งเชิงตำหนิ

นางกล่าวสืบไปว่า เป็นความผิดของไต้อั่งมันหรือ ในการที่สามีนางกลีบบัวต้องถูกจับกุมคราวนี้ แล้วนางก็จ้องตาสามีแทบไม่กะพริบ ไซหมึ่งโกรธมาก เขามองหน้าภรรยาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ตาขุ่นโปนราวกับจะถลนออกมานอกเบ้า แต่เขาก็มิอาจหาคำตอบอย่างหนึ่งอย่างใดได้

บัวคำจึงหันไปพูดกับไต้อังยี้อย่างปรานีว่า “ไปได้แล้วเจ้าหนู ทีหน้าทีหลังละก็ระวังตัวไว้ อย่าเที่ยวได้ไปยุ่มย่ามกับเรื่องของชาวบ้านเขา แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าเดือดร้อนเรื่องใดมาหาเราเถิด ถ้าช่วยได้เราจะช่วย” ไซหมึ่งจนปัญญา มิอาจหาทางเอาโทษแก่ไต้อังได้ ก็เดินก้มหน้างุดออกจากห้องนางพัวกิมเน้ยไป

แต่บัวคำพิจารณาเห็นแล้วว่า อย่างไรเสียสามีก็มิอาจตัดใจได้ขาดจากเมียสาวเจ้าไล่เห่งผู้นี้ นางจึงคิดหาวิธีที่จะดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นการเสร็จสิ้นเด็ดขาดลงไป จึงวันหนึ่งนางได้โอกาสเหมาะ ก็แวะไปหานางสี่เจ๊ที่เรือนและป้ายร้ายว่า ทุกวันนี้นางเน้ยเข่งเที่ยวได้ไปนินทากับใครต่อใครว่า การที่ไล่เห่งสามีของนางต้องถูกท่านตั้วกัวยิ้งฟ้องร้องจนถูกเนรเทศคราวนี้ เพราะตั้วกัวยิ้งโกรธในการที่สามีของนางมาทำเจ้าชู้เกาะแกะกับนางสี่เจ๊ ทั้งนางเน้ยเข่งยังเที่ยวได้โพนทะนาต่อไปอีกว่า ถ้าไม่จริงแล้วไฉนสี่เจ๊ท่านจึงจะต้องถูกกักขังอยู่เช่นนี้เล่า เมียเจ้าไล่เห่งถือว่าสาเหตุทั้งหลายแหล่มีมูลมาแต่ท่านทั้งสิ้น นางได้ปรักปรำด่าว่าสี่เจ๊ท่านต่าง ๆ นานา

ครั้นแล้วบัวคำก็แร่มาหานางกลีบบัวที่เรือนบ้าง และใส่ไฟรายนี้เข้าอีกเชิงว่า ทุกวันนี้สี่เจ๊นางซึงเซาะง้อเที่ยวได้เอาความไปเล่ากะชาวบ้านต่าง ๆ นานาว่า เหตุที่ไล่เห่งสามีของนางต้องถูกเนรเทศคราวนี้ ก็เพราะความไม่ดีของนาง เที่ยวได้ลอบคบชู้สู่ชาย และเพื่อหวังจะปัดไล่เห่งไปเสียให้พ้นทาง นางจึงยุไซหมึ่งให้หาทางเอาผิดแก่สามี แลบัวคำบอกนางเน้ยเข่งสืบไปว่า นางเซาะง้อยังได้ว่านางเสียๆ หายๆ อีกเป็นอันมาก เป็นต้นว่าการที่นางโศกเศร้าอยู่ทุกวันนี้ แท้จริงแล้วเป็นมารยาของนางดอก ใจจริงนั้นแสนจะดีใจ แล้วโง่วเจ๊ก็กลับเรือน

ด้วยเหตุฉะนี้เอง ความกินแหนงแคลงใจระหว่างนางเซาะง้อและเน้ยเข่งจึงเกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างรอโอกาสที่จะเผชิญหน้าและประคารมกันให้สาใจ ซึ่งเป็นโอกาสเดียวกับที่บัวคำคนต้นไฟ ได้เฝ้ารอคอยชั่วโมงของจุดระเบิด ที่หญิงอันเจ็บใจต่อกันทั้งสองจะได้ลงมือขึ้นอยู่ด้วยความกระหยิ่มใจ

วันนั้นเป็นวันที่สิบแปดเดือนสี่ เป็นวันฉลองวันเกิดนางลีเกียวยี่เจ๊ เย็นนั้นไซหมึ่งเข่งไม่อยู่บ้าน บรรดาแขกเหรื่อและเจ้าภาพต่างนั่งสนทนาปราศรัยกันอยู่ที่ห้องรับแขกทางเรือนใหญ่หลังบ้าน กลีบบัวไม่ได้ไปร่วมงานด้วย นางปลีกตัวขึ้นมานอนเสียตั้งแต่ครึ่งค่อนวัน มิไยใครจะเรียกหานางให้เป็นจ้าละหวั่น นางก็ไม่ยอมไป ครั้งสุดท้ายผู้ที่มาตามนางคือสี่เจ๊ซึงเซาะง้อคนคู่อาฆาต!

พอมาถึงห้องนางเน้ยเข่ง สี่เจ๊ก็ส่งเสียงฉอด ๆ มาแต่ไกลว่า “ดีจริงนะแม่เจ้าประคุณ บุญหนักศักดิ์ใหญ่เหลือเกิน ถึงกะต้องให้เรามาเชิญจนถึงห้อง!”

แต่เน้ยเข่งก็คงเฉย นางนอนซุกศีรษะแนบอยู่กับหมอนทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย

ซึงเซาะง้อยิ่งขุ่นใจนัก และด้วยอารมณ์ชังมีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมในอก ภรรยาคนที่สี่ของท่านพ่อบ้านก็สำทับเอาด้วยคารมกล้า “นี่เจ้าคงจะยังไม่วายคร่ำครวญถึงผัวอยู่ละซี ก็เจ้ามันไม่ดีเองนี่นะ จะไปโทษใครเล่า ถ้าเจ้าซื่อตรงต่อผัวเหมือนเมียที่ดีทั้งหลายเขาประพฤติกัน เรื่องอะไรไล่เห่งมันจะต้องถูกเนรเทศเล่า เรื่องของเรื่องเพราะตัวเจ้านั่นแหละเองเป็นต้นเหตุ ฮึ ถ้าเราเป็นเจ้าน่ะรึ ป่านนี้ไม่ขอมีชีวิตอยู่ทนดูหน้าชาวบ้านเขาได้หรอก!”

คำนางสี่เจ๊ช่างบาดหัวใจอะไรเช่นนี้ เน้ยเข่งกระโดดผลุงลงจากเตียง เจ้าอดรนทนสงบอารมณ์ต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ละคำพูดของนางซึงเซาะง้อแทงใจดำเผงเหมือนที่เลดี้บัวคำบอกทุกประการ

“ช่างเถิด ถึงใครจะด่าจะว่าหาว่าเราเป็นต้นเหตุให้ตัวถูกเนรเทศก็ตามที แต่ว่าทำไมสี่เจ๊ท่านจึงพลอยโดนตั้วกัวยิ้งเฆี่ยนตีและกักขังด้วยอีกเล่า!” เมียไล่เห่งย้อนเอาแม่นายคนที่สี่ของบ้านเข้าให้บ้าง

“หนอย อีคนชาติชั่ว–อีหญิงสันดานทราม มึงเทียวที่เป็นคนเชิญชวนให้ท่าแก่ตั้วกัวยิ้งผัวกูขึ้นก่อน คดีชู้สาวเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น มึงนี่แหละเป็นต้นเหตุ สมควรแล้วละที่มึงจะต้องถูกเขาด่าเขาว่า ชะ ชะ อีนังทาสโสเภณี!” เซาะง้อด่า

“เออ ดี กูมันนังทาสโสเภณี แต่มึงมันนางโสเภณีของอ้ายทาส จริงหรือไม่จริงล่ะ ที่มึงลอบคบชู้กับไล่เห่งผัวกู? กูเป็นนางบำเรอท่านเจ้าบ้าน มิดีกว่าการที่มึงเป็นนางบำเรอของขี้ข้าในบ้านดอกหรือ?” เน้ยเข่งย้อนให้อย่างไม่ไว้หน้า

แล้วในทันทีนั้นเอง ซึงเซาะง้อก็มิยอมฟังเสียงอะไรอีก ปราดเข้าตบตีนางกลีบบัวอยู่เป็นพัลวัน ก็ใครเล่าจะยอมใคร สงครามระหว่าง “ทาสภรรยา” และ“นางทาสบำเรอ” ของตั้วกัวยิ้ง จึงบังเกิดขึ้นอย่างชุลมุนวุ่นวาย จนกระทั่งตั้วเจ๊ดวงแขต้องลุกออกมาห้าม และยุติการวิวาทครั้งนี้ลง

“ช่างไม่มีมรรยาทลูกผู้หญิงเสียบ้างเลย เจ้าทั้งสองคนนี้ มีอย่างที่ไหน เชิญแขกเชิญเหรื่อเขามาออกเต็มบ้านเต็มช่อง สิตัวเจ้าบ้านกลับมาพาลทะเลาะเบาะแว้งกันเองให้เอ็ดอึงไม่อายแขก นี่ถ้าเราร้องเรียนให้ตั้วกัวยิ้งรู้ เจ้าจะได้รับผลกันอย่างไรฮึ?”

นางซึงเซาะง้อสำนึกในศักดิ์ศรีและฐานะของนางได้ ก็รีบลนลานผละไป เลดี้วัวยะจึงหันไปบอกนางกลีบบัวให้ไปล้างหน้าแต่งตัว แล้วตามนางไปที่ห้องอาหารเดี๋ยวนี้ ซึ่งเมียเจ้าไล่เห่งก็มิได้ขัดขืนแต่อย่างใด

แต่นางเน้ยเข่งแต่งเนื้อแต่งตัวหวีผมผัดหน้านวลใยติดตามดวงแข ตั้วเจ๊ไปยังเรือนได้สักครู่แล้ว นางก็ปลีกตัวกลับก่อน แลด้วยความขุ่นข้องใจในอารมณ์ นางร้าวรานอยู่แต่ความทุกข์ระทม เมียไล่เห่งก็ก่นแต่โศกเศร้าคร่ำครวญอยู่เหนือที่นอนอันอ้างว้าง สองแก้มนางโชกชุ่มด้วยหยาดน้ำตา ใบหน้าซีดสลดหมองคล้ำ นอกจากเสียงกระซิกๆ ที่เน้ยเข่งร่ำไห้ด้วยความอาลัยถึงสามีผู้อาภัพแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องน้อยตกอยู่ในความเงียบเชียบชวนหดหู่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก บรรยากาศเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนที่กลัดและแทรกซึมเข้าไปถึงขั้วหัวใจ สมองของนางเน้ยเข่งเวลานี้เต็มไปด้วยความสับสนและป่วนปั่น นางเฝ้าคิดทบไปทวนมาอยู่ด้วยความว้าวุ่นที่มิรู้จะตัดสินใจอย่างไรถูก

จึงในที่สุด ชั่วต้นค่ำของคืนที่ทั้งคฤหาสน์กระจ่างแจ้งด้วยแสงไฟ และก้องกังวานอยู่ด้วยเสียงระริกสำรวลของแขกเหรื่อชายหญิง ภายใต้บรรยากาศอันอบอวลและฟุ้งฟ่องอยู่ด้วยกลิ่นอาหารอันโอชะและสุราอันเลิศรส ณ ทางส่วนหนึ่งอันเป็นบริเวณเงียบสงบของคฤหาสน์แห่งไซหมึ่งเข่ง ภายในเรือนน้อยทางละแวกอันเป็นที่พำนักของเหล่าข้าทาสชายหญิง เน้ยเข่งผู้น่าสงสาร ซึ่งขณะนี้เสมือนตกอยู่ในลักษณาการของคนอันต้องมนต์ถูกสะกดจิต ได้ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงซึ่งชุ่มโชกอยู่ด้วยหยดน้ำตา และประดุจมีภูตพรายมากระซิบนาง เน้ยเข่งค่อยแก้ผ้าพันเท้าอันเล็กกระจ้อยร่อยของนางออก แลทบกระสันพันเข้าเป็นห่วงจนกระชับแน่นแล้ว นางก็แขวนคอตายอยู่ ณ ภายในห้องน้อยของนางนั้นเอง!

เมื่อมีคนไปพบนางเน้ยเข่งอีกหนหนึ่งนั้น ปรากฏว่านางได้สิ้นใจไปนานแล้ว–นางตายอย่างสนิท ชีวิตมื้อนี้ของนางได้จบลงอย่างจงใจ เพื่อหวังจักชดใช้เป็นการเปลื้องบาปต่อสามีคนที่นางเคยได้ทิ้งทอดเขาอย่างไม่แยแสเยี่ยงประเพณีที่ดีของบรรพชนชาวจีนแต่ดั้งเดิม

แลเมื่อไซหมึ่งเข่งทราบข่าวนี้เข้า เขาก็เพียงแต่จะได้รำพึงกับตนเองเบาๆ พร้อมกับยักไหล่อย่างไม่มีความหมายว่า “เด็กโง่เอ๋ย เราไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้เลย ชาตินี้เจ้าเกิดมาช่างเป็นคนโชคร้ายเสียนี่กระไร”

และนี่เป็นชัยชนะอีกครั้งหนึ่งของเลดี้พัวกิมเน้ย นายสาวคนที่ห้าของบ้าน!

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ