ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย

มิไยเหตุการณ์อันแสนจะบัดสีบัดเถลิงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จะเป็นที่เลื่องลือกระฉ่อนทั่วทั้งถนนหินม่วงก็ตามที แต่นางผู้หญิงใจร้ายและผู้ชายหน้าด้านทั้งคู่ หาได้คิดจะนำพาต่อคำอันคนเขาครหาสักน้อยไม่ ตื่นเช้าแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ แม่สาวก็ฉุยฉาย พ่อชายก็กรุ้มกริ่ม ทั้งคู่ต่างกระหยิ่มยิ้มย่องมาสู่ห้องของยายเห่ง เพื่อร่วมกอปรกรรมอันอุจาดลามกเป็นนิจนิรันดร์มา และถ้าหากจะมีความมุ่งหวังอันใดบ้างสักอย่าง ที่ทั้งคู่มีความปรารถนายิ่งนักในเวลานี้ สิ่งนั้นก็คือ–ความตายของบู๋ตั้ว.

ฝ่ายว่าคนอันเป็นพี่ชายของบู๋ซ้ง นับแต่ที่พลาดท่าเสียทางโดนเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งถีบเอายอดอกล้มคว่ำคะมาหงายลงมาจากเล่าเต๊งร้านยายเห่งแต่วันนั้นแล้ว เขาก็มีอันไม่สบายล้มเจ็บลง ให้เจ็บเสียวขัดยอกในทรวงอกและหายใจไม่ออก จะขยับเขยื้อนเนื้อตัวแต่ละทีก็ให้เจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย นอนซมอยู่แต่ในห้องด้วยมิอาจกระดิกกระเดี้ยเดินเหินไปไหนกับเขาได้ ห้าวันเข้านี่แล้วที่บู๋ตั้วต้องนอนแบ่บมีอันไม่สบายมา และก็เป็นห้าวันอย่างว่าที่พัวกิมเน้ยมีแต่ความสดชื่นชุ่มฉ่ำเป็นล้นพ้น ก็จะไม่ให้นางชุ่มฉ่ำหวานชื่นอย่างไรได้ ในเมื่อตื่นเช้าเจ้าก็ไปพบกับชายชู้ชื่นชูชิดเชยกันอยู่วันทั้งวัน ซึ่งบัวคำย่อมจักต้องเบิกบานหัวใจเป็นธรรมดา ส่วนเจ้าผัวบู๋ตั้วน่ะหรือ น้อยหนึ่งนางก็มิได้ปรารถนาจะเหลือบมอง มึงจะเจ็บอย่างไรก็ชั่ง มึงจะกินอะไรของมึงก็เชิญ ซุปรึ? น้ำรึ? นางมิเคยได้ให้แตะต้องเข้าปากคนเจ็บเลยแม้แต่หยด ก็ลงคนเจ็บคนใดโดนเข้ารูปนี้ เรื่องที่จะคิดอยู่หายใจต่อไปกับเขาในโลกนี้ เห็นทีจะยากอยู่ แล้วด้วยซ้ำใช่ว่า เออ เมื่อนางไม่ดูแลเสียคนหนึ่งแล้ว บู๋ตั้วจะได้ตายไปเสียเร็ว ๆ ก็หาไม่ นางกลัวไปว่าถึงนางไม่ดูแลคนหนึ่งแล้ว เรื่องที่ผัวจะตายนะต้องตายแน่ แต่ว่าจะช้าไป เอาให้ตายเร็ว ๆ เข้าอีก วันนี้พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี นางก็กำชับหนูเหง่งลูกสาวของบู๋ตั้วไว้เป็นคำขาดว่า มิให้เจ้ากล้ำกรายมาใกล้คนเจ็บเป็นอันขาด “อย่าทีเดียว อย่าเสือกเข้าไปพูดจากับพ่อมึงนะจะบอกให้ ถ้ารู้ละแม่จะสับเนื้อเสียให้ละเอียด คอยดูไป.”

เมื่อหนูเหง่งยี้ได้รับการคาดโทษสถานหนักไว้จากนางแม่เลี้ยงใจร้ายของเจ้าถึงเช่นนี้แล้ว เจ้าก็มิรู้ที่จะทำประการใด ข้างพ่อรึก็นอนตาปริบๆ ไม่มีใครหยอดข้าวหยอดน้ำเป็นลมพับแล้วพับอีก ไหนจะหิวโหย ไหนจะปวดร้าว เหง่งเจ้าก็ได้แต่สะอื้นน้ำตาตกอก มิรู้ที่จะช่วยพ่อได้อย่างใดดี.

วันหนึ่ง บู๋ตั้วเรียกภรรยาเข้าไปหา ก่อนหน้าที่นางเมียจะลอยหน้าออกจากบ้านไปเล่นชู้เช่นเคย “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าแอบไปคบชู้กับอ้ายเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งนั่นทุกวัน และทั้ง ๆ ที่จับได้คาหนังคาเขา เจ้าก็ยังใช้ให้อ้ายชู้ของเจ้าทำร้ายเอาอีกจนบอบช้ำ เอาละ สำหรับตัวเรานี้ไม่มีความหมาย จะอยู่หรือจะตายก็เท่ากันเวลานี้ เพราะเจ้าทรมานข้าเหลือทนแล้ว ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ดอก จำเริญ ๆ เถิด คนอย่างข้าตายไปแล้วก็แล้วไป แต่ว่าเจ้าอย่าลืมเสียว่าข้ายังมีน้องชายอยู่อีกคน ระวังตัวของเจ้ากับอ้ายชู้นั่นไว้ให้จงดี เขากลับมาเมื่อไหร่–เมื่อนั้นแหละเจ้าเอ๋ย ข้าเปิดโอกาสให้ตัดสินใจเลือกเอา จะพยาบาลรักษาข้า หรือว่าจะทอดทิ้งทรมานข้าก็ตามใจ ถ้าเจ้าพยาบาลข้า เรื่องอะไรทั้งหมดข้าก็จะไม่บอกให้อ้ายน้องชายมันรู้ แต่ถ้าเจ้าทรมานข้าอยู่เช่นนี้ เจ้าระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน บู๋ซ้งน้องชายข้าคนนั้นเพื่อนเป็นคนนิสัยใจคออย่างใดเจ้าก็น่าจะรู้อยู่.”

บัวคำมิได้ว่ากระไร เป็นแต่รีบกระวีกระวาดไปหายายเห่งเพื่อขอคำปรึกษาทันที พอดีท่านเจ้าสัวคนกินติดมานั่งป๋อรอคอยยอดชู้อยู่ที่ร้านนานแล้ว พอเขาได้ยินชื่อบู๋ซ้งคนอันพิชิตเสือเข้าเท่านั้นเอง ไซหมึ่งเข่งก็ให้มีอันรู้สึกหวาดหวั่นเสียวสยองขึ้นมาทันที เนื้อตัวหนาวสั่นให้ตะครั่นตะครอไปทุกขุมขน ราวกับถูกใครเอาน้ำแข็งมานาบให้หนาวชา.

“ฉิบหายละซีทีนี้” ชายชู้ผู้เตะผัวเขาเจียนตายหันไปหานางบัวคำ.

“เออ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีละทีนี้ พี่ก็ลืมสนิทถึงคนๆ นี้ แต่นึกอีกที ถึงอย่างไรพี่ก็ทิ้งเจ้าไม่ได้ พี่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในเมื่อไม่มีเจ้า–พี่ทนไม่ไหว พี่เลิกกับเจ้าไม่ได้จริงๆ ป้าจ๋าช่วยฉันคิดหาทางออกบ้างซิ ป้าไม่มีทางจะช่วยฉันบ้างเลยเจียวหรือ?”

“ดูเอาซี–อะไรกันนี่” ยายเห่งหันไปดุเจ้าหนุ่มด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม.

“อย่าลืมว่าท่านน่ะเปรียบเหมือนนายเรือมีหน้าที่จะต้องควบคุมเรือ มาด่วนย่อหย่อนท้อแท้เสียแต่ต้นมือเช่นนี้จะใช้การได้ที่ไหน ป้าเองสิชั่วเป็นเพียงลูกเรือ คอยฟังคำสั่งนายยังไม่เคยคิดจะย่อย่น ว่าแต่ว่าใครเล่าจะรับไปจัดการ หากป้าจะแนะวิธีให้.”

“โอ เป็นพระคุณเหลือเกินป้า ฉันนะมันอย่างว่า ไม่มีสติปัญญาจะคิดอ่านอย่างใดกะเขาดอกการเรื่องนี้ ป้ามีความคิดอะไรดีๆ ก็ขยายกันมา.”

“อ้ายความคิดดี ๆ นะพอมีมั่งดอก แต่ป้ายังสงสัยอยู่อย่างก็ตรงที่ว่า ถามจริงๆ เถอะ ท่านเจ้าสัวยังคิดรักใคร่แม่หญิงพัวกิมเน้ยนี่จริงจังหรือเปล่า? หรือว่ารักเล่นชั่วครู่ชั่วยาม ว่ากันมาให้ป้ารู้เรื่องเสียก่อน จะรักกันก็แต่งงานแต่งการให้เป็นที่ออกหน้าออกตาปรากฏแก่ชาวบ้านเขาสืบไป.”

“เอ๊ะ ทำไมป้าถึงพูดเช่นนี้เล่า” ไซหมึ่งเข่งถาม.

“เดี๋ยวฟังก่อนไม่มีอะไรดอก ที่ป้าถามหมายความว่าอย่างนี้ ถ้าท่านคิดจะรักกันเพียงครู่มือครู่ยาม เราก็จะได้ไม่ต้องคิดการอะไรให้มาก เอาแต่เพียงว่า ท่านเลิกไปมาหาสู่แม่หญิงบัวคำเสีย แล้วข้างแม่หญิงก็ก้มหน้าก้มตารักษาพยาบาลสามีของนางสืบไป พยายามหาทางตกปากรับคำจากบู๋ตั้วเสียให้เป็นที่มั่นเหมาะว่า จะไม่ฟ้องเรื่องราวเหล่านี้กับบู๋ซ้ง แล้วเราต่างก็อยู่กันเงียบ ๆ เฉย ๆ คอยจนกว่าเมื่อไหร่เจ้าน้องชายบู๋ตั้วมันจะต้องไปราชการอีก ท่านเจ้าสัวก็ค่อยกลับมาติดต่อกับนางใหม่ เรื่องก็ไม่เห็นจะยากง่ายอันใด แต่ถ้าท่านไม่ต้องการอย่างนี้ โดยคิดจะจริงจังออกหน้าออกตากัน เราก็ต้องรีบจัดการมิทางหนึ่งก็ทางใดลงไปให้เด็ดขาด จะมามัวรีรออยู่ไม่ได้ ซึ่งวิธีจะจัดการเรื่องนี้ป้าก็พอมีทางอยู่ แต่บอกจริงๆ ว่าป้าเองก็ไม่อยากจะแนะนำนัก.”

“ก็ดีนะซีป้า บอกมาเถอะ ฉันสองคนนี่คิดอะไรไม่ถูกหมดแล้วบอกจริง ๆ นึกว่าเวทนาลูกนกลูกกาก็แล้วกัน ยังไงๆ ก็ขอให้ฉันได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเถิด.”

“เอาเถอะป้าจะแนะให้ ไม่มีอะไรมากมายนัก แต่ว่าเป็นของหายาก นอกจากที่ร้านขายเครื่องยาของท่านแล้ว จะไปหาที่อื่นก็ออกจะลำบากอยู่สักหน่อย คืออย่างนี้ ฟังป้าให้ดีนะ เวลานี้ บู๋ตั้วกำลังเจ็บแลนอนแบ่บกระดิกกระเดี้ยไปไหนมาไหนไม่ไหวอยู่ อย่างดีก็ชั่วแต่รอวันตาย เรามาช่วยให้มันตายไปเสียเร็ว ๆ ก็แล้วกัน ที่ร้านของท่านน่ะมีสารหนูขายอยู่บ้างมิใช่หรือ? นั่นล่ะ เอามาให้นางพัวกิมเน้ยแกไว้ ไม่ต้องมากนิดหน่อยก็พอ เวลาจะลงมือจัดการก็บดสารหนูนี้ผสมเข้ากับยาแก้โรคช้ำในให้บู๋ตั้วกิน สารหนูจะเข้าไปกัดลำไส้เอง ไม่ช้าดอก ปัญหายุ่งยากทั้งหลายก็จะหมดสิ้นไป ทีนี้เราก็ไม่ต้องมานั่งกลัวอ้ายบู๋ซ้งมันอีก มันจะมาทำอะไรเราได้ ถึงท่านจะแต่งงานแต่งการอยู่กินกันให้ออกหน้าออกตาก็ยังได้ เพราะมีสุภาษิตเก่า ๆ เขาว่าเอาไว้.–

แต่งงานครั้งแรก เพื่อความกตัญญู (ต่อพ่อแม่), แต่-

แต่งงานครั้งที่สองนี้ เพื่อความรัก (ตัวเราเอง).

แล้วลองคิดดูซิว่า เจ้าน้องผัวมันจะมีสิทธิอะไรมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของท่านได้ นอกจากเงียบไม่มีปากมีเสียงไปเท่านั้นเอง เราก็เพียงแต่จะคอยให้พ้นกำหนดระยะไว้ทุกข์เสียหน่อย พอครบกำหนดสักปีหรือปีครึ่ง ทีนี้ท่านจะเอาอย่างไรก็เอากันเข้าไปเถิด จะอยู่กันให้ค้ำฟ้าก็ไม่มีใครเขาว่า จริงหรือไม่จริงเล่าอย่างที่ว่า หรือท่านจะคิดเห็นเป็นอย่างไร?”

“เอาอย่างป้าว่ามานี่แหละ วิเศษเลย ฉันเองก็คิดได้ เขามีคำปรัมปราว่าไว้ว่า ‘ถ้ารักจะหาความสุขใส่ตัวเองให้เต็มที่ละก็ อย่าไปพักกังวลถึงชีวิตของผู้อื่น’ เอาละเราเอาของเราอย่างที่ตกลงนี่ก็แล้วกัน.”

“ถ้าเมื่อตกลงจะเอากันจริง ๆ ละก็ รีบลงมือเสียเลย รักจะบั่นต้นก็ต้องจัดการโค่นรากแก้ว รีบทึ้งถอนเสียถึงจะถูก พืชพันธุ์มันจะได้ไม่สืบสานว่านเครือขึ้นได้ต่อไปอีก ทีนี้เป็นหน้าที่ของท่านตั้วกัวยิ้งละ รีบหน่อยรีบไปเอาสารหนูมาให้ป้า จะได้แนะวิธีให้แม่หญิงบัวคำแกไปทำ ฮ่ะ ฮ่ะ อย่างไรก็อย่าลืมรางวี่รางวัลให้คนแก่บ้างเน้อ.”

“เถอะป้า อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องเงินทองนิดหน่อยเลยน่า”

ไซหมึ่งหายไปสักพักใหญ่ ก็เอาสารหนูมาให้ยายเห่งห่อหนึ่ง ยายปีศาจเฒ่าก็แนะนำวิธีใช้แก่นางบัวคำ โดยกำหนดแนวทางให้ว่า คราวหน้าถ้าเผื่อสามีนางร้องขอยากินละก็ ให้บัวคำจงรับปากและเอาอกเอาใจเขาให้จงดี พอเวลาจะให้ยาก็เอาสารหนูนี้ละลายใส่ให้กิน คะเนดูพอยาหยดแรกตกถึงท้องแล้วก็รีบกรอกตามเข้าไปอีก สารหนูเมื่อตกถึงกระเพาะก็จะทำพิษขึ้น คนเจ็บจะร้องลั่น ตอนนี้ต้องระวังให้ดี อย่าให้ชาวบ้านได้ยินเสียงเป็นที่ผิดสังเกต โดยรีบโปะผ้าผวยคลุมหัวลงไป พยายามเหน็บชายผ้าไว้ให้แน่น เพราะเดี๋ยวคนเจ็บจะดิ้นทุรนทุรายทำให้ผ้าหลุดเสียก่อน เสียงก็จะลอดออกมาได้ อาการขั้นต่อไป คนเจ็บจะมีเลือดออกไม่หยุดทางจมูกและปาก จะกัดฟันและบิดตัวกระสับกระส่ายเพราะความปวดร้าว คอยดูจนเห็นสงบนิ่งไม่ติงกายแล้ว ก็จัดการหาผ้าอุ่นมาเช็ดเลือดที่เกรอะกรังเสียให้แห้ง บอกสัปเหร่อให้มาเอาใส่โลงหามไปเผาเสียก็หมดเรื่อง ไม่เห็นมีตรงไหนที่จะน่าวิตก.

“ดีน่ะดีแน่ตามที่ยายบอก แต่ฉันไม่มีกำลังพอน่ะซี จะทำอย่างไรดีเล่า?” บัวคำพูดแก่ยายเห่ง แกก็ว่าไม่เป็นไร พอนางทำสำเร็จแล้วให้เคาะฝาห้องบอก แกจะไปช่วยจัดการเอง.

เมื่อสั่งเสียนัดหมายเป็นที่เรียบร้อยแก่การแล้ว ไซหมึ่งเข่งก็กลับบ้าน บอกว่าตีห้าเช้าพรุ่งนี้จะมาใหม่. บัวคำก็กลับมาห้องของนางพร้อมด้วยยาพิษที่จะประหัตประหารเอาชีวิตผัวของนาง ดูเอาเถิดหญิงใจร้าย เพียงด้วยความร่านในอารมณ์ นางก็หมายมั่นปั้นมือที่จะเอาชีวิตสามีเสียให้จงได้.

พอมาถึงบ้าน บัวคำก็รีบกระวีกระวาดขึ้นไปดูอาการผัว ซึ่งขณะนั้นอาการเพียบเต็มที่ ลมหายใจอ่อนระรวยแทบจะสิ้นแล้วก็ว่าได้ นัยน์ตาคนเจ็บเลื่อนลอยส่อให้เห็นมรณะสัญญาณอย่างชัดแจ้ง พัวกิมเน้ยแสร้งทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง ทำสำออยบีบน้ำตาร้องไห้กระซิกๆ อยู่.

“ร้องทำไม- -?” บู๋ตั้วถาม เพราะไม่รู้ว่าเมียมาอีท่าไหน หญิงแพศยาผู้นี้ก็ยิ่งทำเป็นคร่ำครวญฟูมฟายน้ำตาอยู่พรากๆ “พี่–บัวคำผิดไปแล้ว เพราะหลงเชื่ออ้ายไซหมึ่งมัน ใครจะไปทันคิดว่ามันจะเตะพี่ได้ อ้ายมนุษย์ใจร้าย เอาเถอะฉันจะหายาให้พี่กินจนหาย ฉันตั้งใจจะบอกหลายวันแล้ว แต่ไม่กล้า กลัวว่าพี่ไม่ไว้ใจฉัน เดี๋ยวก็จะไม่ยอมกินยา.”

“โถ เชื่อซิน้อง–ไม่เชื่อบัวคำแล้วพี่จะไปเชื่อใคร.” บู๋ตั้วทนใจแข็งไม่ไหวพอเห็นน้ำตาเมียเข้า “เอาเถิด เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป พี่จะไม่เก็บเอามารื้อฟื้นขึ้นอีกให้มากเรื่อง เจ้าช่วยหายามาให้พี่กินหายเจ็บหายป่วยเสียทีก็แล้วกัน รีบๆ เข้าพี่จะแย่อยู่แล้ว เรื่องทั้งหมดไม่ต้องกลัวพี่ไม่บอกบู๋ซ้งดอก.”

นางพัวกิมเน้ยก็ทำทีเป็นหยิบเอาอีแปะไปสองเหรียญเพื่อซื้อยา สักครู่ก็กลับ “นี่พี่ ยากินแก้ช้ำใน” นางส่งห่อยาให้ดู “แต่ต้องกินเวลาเที่ยงคืน กินแล้วนอนเฉย ๆ ห่มผ้าไว้ สักครู่พอเหงื่อออกก็หาย อย่างช้าพรุ่งนี้ก็สบายดีดังเดิม.”

“เออ แต่ว่าต้องรบกวนเจ้าอีกละ ช่วยนั่งคอยชงยาให้พี่ด้วยซิ.”

“ไม่ต้องเป็นห่วงดอก ฉันจะคอยเฝ้าพี่เอง.”

ครั้นได้เวลาถึงเที่ยงคืนตามที่ยายเห่งแกแนะนำมา บัวคำก็จุดตะเกียงลงไปในครัวเพื่อต้มน้ำร้อนไว้คอยท่า จัดการเอาผ้ามาชุบน้ำร้อนเตรียมไว้เรียบร้อย เฝ้าคอยฟังกำหนดเวลาอยู่ พอเสียงกลองย่ำบอกเวลาดังได้ยินมาเป็นครั้งที่สาม บัวคำก็ขึ้นไปบนห้องของสามี จัดการละลายสารหนูที่เตรียมเอาไว้พร้อมสรรพแล้วนั้น และยกเอาอ่างน้ำร้อนมาตั้งคอยจังหวะอยู่.

“พี่ พี่ ไหนละยา” บัวคำเขย่าร่างสามี ถามหายา.

“อยู่ใต้เสื่อนั่น ล้วงเอาซิ ตรงใกล้หมอนนั่นแหละ–เร็วเข้า รีบละลายๆ ให้กินที.”

บัวคำเทยาลงในสารหนู คนเคล้าให้เข้ากันจนทั่วด้วยปิ่นปักผมของนาง แล้วก็ประคองศีรษะบู๋ตั้วไว้มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งจับจอกยากรอกเข้าปากให้สามี.

พอยาตกท้องบู๋ตั้วก็สำลัก “เอ๊ะ ทำไมมันคลื่นไส้ยังงี้เล่า?”

“เถอะน่าพี่ รสชาติไม่สำคัญดอก ขอให้มันหายก็แล้วกัน.” บัวคำตอแหล พอบู๋ตั้วอ้าปากออกอีกครั้ง บัวคำก็กรอกพรวดเดียวเกลี้ยงจอกเลย เสร็จแล้วนางก็ปล่อยหัวสามีลงไว้เหนือหมอนอย่างเก่า ขยับตัวออกมาห่างเตียงผัว.

“โอย โอย ทำไมมันเป็นยังงี้เล่า ร้อนในจะแย่แล้ว บัวคำ–บัวคำ พี่ทนไม่ไหว” บู๋ตั้วร้องทุรนทุราย แต่ตอนนี้นางเมียคนใจร้ายได้ถอยออกมายืนอยู่ทางปลายตีนเตียงเสียแล้ว นางรีบคลี่ผ้าผวยออกห่มคลุมร่างสามีจนมิดชิด เสียงบู๋ตั้วดิ้นอึกอัก ๆ อยู่ในโปงเพราะหายใจไม่ออก “โอ๊ย บัวคำ พี่หายใจไม่ออก––หายใจไม่ออก” แต่นางเมียกลับเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนตอบว่า “ไม่ได้ ต้องทนหน่อยพี่ หมอเขาสั่งให้ทำเช่นนี้ ต้องรอให้เหงื่อออกเสียก่อน” แต่บู๋ตั้วก็ยังคงดิ้นขลุกขลัก ๆ ไม่ยอมหยุดนิ่ง บัวคำเกรงไปว่าผัวจะดิ้นหลุดออกมาได้ เลยกระโดดขึ้นไปคร่อมอยู่บนอกเสียเลย สักประเดี๋ยวก็มีเสียงกรนดังครอก ๆ ออกมาสองครอก บอกวาระสุดท้ายของเขา––บู๋ตั้ว ชายผู้อาภัพ! แล้วเขาก็แน่นิ่งมิได้ไหวติงอีกต่อไป.

เมื่อนางพัวกิมเน้ยเลิกผ้าคลุมโปงสามีออกดู นางก็ประจักษ์ได้ทันทีว่าแผนการของนางสุดสิ้นลงแล้ว บู๋ตั้วตายสนิท ฟันขบริมฝีปากแน่น โลหิตไหลพรั่งพรูไม่หยุดหย่อนทั้งหู, ตา, จมูก และปาก บัวคำก็เกิดเสียวสยองขึ้นในหัวใจ นางระรัวกำปั้นลงไปที่ผนังห้อง บอกให้ยายเห่งรู้เรื่องตามสัญญาณ ซึ่งก็ทันใจเหมือนกัน เพราะชั่วครู่นั้นเองยายเห่งก็งกๆ เงิ่น ๆ มาถึง นางรีบลงไปเปิดประตูรับแกเข้ามา.

“เรียบร้อย?” หญิงชรากระซิบถามแต่เบาๆ

“จ้ะ เรียบร้อย” หญิงสาวตอบอย่างแหบโหย “ฉันยกศพคนเดียวไม่ไหว.”

“ไม่เป็นไร ไว้เป็นพนักงานยายเอง” ปีศาจในร่างหญิงชรารับรอง แล้วแกก็จัดการถลกแขนเสื้อขึ้นเป็นที่ทะมัดทะแมง รินน้ำร้อนใส่ถังเอาผ้าแช่ลง แล้วก็หิ้วถังน้ำขึ้นไปที่ห้องศพ จัดการเช็ดเลือดให้จนดูสะอาดหมดจด ถอดเสื้อผ้าชุดเก่าของคนตายออก สองคนช่วยกันหามร่องแร่ง ๆ ลงมาวางไว้บนบานประตูเก่า ๆ ที่ห้องชั้นล่าง ตบแต่งศพตามประเพณี หวีผมหวีเผ้าใส่หมวกนุ่งกางเกงและใส่เสื้อให้จนเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็เอาผ้าป่านดิบคลุมหน้าไว้ เสร็จแล้วก็ขึ้นไปช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูห้องชั้นบนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วยายเห่งก็กลับร้าน ปล่อยให้หญิงหลายผัวคนนี้ทำฟุบหน้า สะอึกสะอื้นคร่ำครวญอยู่ข้างๆ ศพไปตามเรื่องตามราวของประเพณี เท่าที่เป็นขนบแบบแผน อันหญิงผู้ภริยาที่ดีจะพึงปฏิบัติต่อสามีผู้หาชีวิตไม่แล้วต่อไป.

ท่านผู้อ่านที่เคารพ, มีประเพณีสำหรับแม่หม้ายเกี่ยวแก่การร้องร่ำคร่ำครวญหน้าศพนี้อยู่สามประการ คือ.– ประการแรก เป็นการร้องร่ำคร่ำครวญพิไรรำพันอย่างละห้อยโหยหวน ซึ่งเรียกว่า “โศกปริเทวนาการ” (ความเศร้าร้องร่ำรำพัน–Lamenting) ประการที่สอง เอาแต่ร้องไห้ ไม่มีการครวญคร่ำรำพันให้หนวกหูชาวบ้าน อย่างนี้เรียกว่า “โศกกำสรวล” (ความเศร้าและร้องไห้–Wet mourning) ส่วนประการที่สามนั้น ไม่มีทั้งการร้องไห้และการร้องร่ำรำพันความอย่างใดสิ้น เป็นแต่เศร้าโศกเฉยๆ ซึ่งจะโศกหรือไม่ โศกเท็จจริงอย่างใดก็มิรู้ได้ ประการนี้เรียกว่า “โศกกำสรด” (ความสลดอย่างแห้งแล้ง–Dry Mourning)

นางพัวกิมเน้ยโศกเศร้าในการตายของสามีครั้งนี้ ก็ด้วยลักษณะอันเป็นประการที่สามดังกล่าว.

ลุตีห้าของเพลาเช้าวันรุ่งขึ้น ไซหมึ่งรีบมาฟังข่าวทันที เมื่อรู้เรื่องรู้ราวเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็มอบเงินให้ยายเห่งไปหาซื้อโลงมาใส่ศพบู๋ตั้วเสียให้เรียบร้อย รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการทำศพนี้ด้วยจนครบครัน แต่ประการที่สำคัญก็คือ “ช่วยตามบัวคำมาหาฉันด้วยนะป้า.”

“ว่าอย่างไรท่าน บู๋ตั้วก็ตายไปแล้ว ทีนี้ถึงเรื่องของเราละ ท่านยังมีทางที่จะป้องกันเราให้พ้นเงื้อมมือกฎหมายอยู่ได้หรือไม่เล่า?” บัวคำถามขึ้นเป็นคำแรกเมื่อพบหน้าชู้.

“โฮ่ย เฉยเสียเถอะเจ้า อย่าเป็นห่วงเลย การเรื่องนี้ไว้ธุระเราเอง” ไซหมึ่งรับรองเป็นที่แข็งแรง.

“แล้วท่านต้องจริงจังกับข้าพเจ้าแน่นอนนะ” บัวคำคาดคั้นเข้ามาอีก ก็พุทโธ่เอ๋ย นางจะต้องมาคาดคั้นหาอะไรแล้วในเมื่อเรื่องล่วงเลยมาถึงจนป่านนี้ จริงหรือไม่จริง จังหรือไม่จัง ชาวบ้านเขาก็รู้เขาก็ลือกันทั่วหัวท้ายถนนแล้วนั่นละ “โธ่ ถามได้ ถ้าไม่จริงจังต่อเจ้าแล้ว เราจะไปจริงจังต่อใครเล่า เอาละสบถลงทุนกันไว้ทีหนึ่งก่อน จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ถ้าเผื่อเราไม่ซื่อตรงต่อเจ้าแล้ว ขอให้เรามีอันเป็นอย่างบู๋ตั้วนี่แล้วกัน.”

ทั้งหนุ่มทั้งสาวยังมีต่อมีรองอะไรกันอยู่ กะเง้ากะงอดตามธรรมเนียมต่อไปอีก พอดียายเห่งขัดคอขึ้นมาเสียก่อนว่า “นี่พ่อคุณแม่คุณ อย่าพึ่งทะเลาะกันเลยย่ะ ยังมีเรื่องต้องคิดอ่านรออยู่อีกมากต่อมากนัก อย่าลืมว่าวันนี้ก่อนจะเอาศพไปเผา เราต้องให้เขามาชันสูตรศพคนตายเสียก่อนตามระเบียบ อย่าลืมถ้าไปโดนเอาปลัดตำบลฮั้วห่อเก้า (District intendent, Hu Kiu) มาตรวจพบเข้าจะแย่ เพราะอาการตายของศพปรากฏอยู่ ยายเคยรู้มาว่าปลัดตำบลคนนี้ออกจะตงฉินอยู่นะจะบอกให้ อย่างไรละก็ท่านเจ้าสัวรีบไปจัดการเสียก่อนให้แน่นอนกันลงไป ดีไม่ดีเข้าห้องขังตาม ๆ กันละแย่.”

“เอาละ เรื่องนี้ไว้ภาระฉันเองป้า ฉันจะไปหาฮั้วห่อเก้าคนนี้เอง เชื่อว่าเขาคงต้องรับฟังฉันบ้างหรือไง?”

ยายเห่งก็ว่า “ตามใจท่านซิ จะไปก็รีบๆ เข้า อย่ามัวทำเป็นนิ่งนอนใจอยู่ ขืนช้าเดี๋ยวจะไม่ทันการ.”

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ