- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
เพื่อนเก่า–เมียรัก
ช้างสาร หกศอกไชร้ เสียงา
งูเห่า กลายเป็นปลา อย่าต้อง
ข้าเก่า เกิดแต่ตา ตนปู่ ก็ดี
เมียรัก อยู่ร่วมห้อง อย่าไว้วางใจ
(โลกนิติ คำโคลง)
บ่ายวันหนึ่ง, ไซหมึ่งเข่งละล่ำละลักมาบอกข่าวแก่แม่นางดวงแขที่เรือนว่า “ฮวยจื้อฮือคนเพื่อนบ้านนั้น ได้ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปเสียแล้ว” และเขาได้เล่ารายละเอียดของเรื่องให้นางฟังว่า เมื่อตอนเช้าของวันนี้ ขณะที่เขากับฮวยจื้อฮือ และเพื่อน ๆ อีกสองคนกำลังนั่งเสพสุราสนทนาอยู่ด้วยกันอย่างเพลิดเพลินที่ซ่องของยายแต้นั้น อยู่ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่สองคนโผล่พรวดเข้ามาจับเอาตัวจื้อฮือไป ทั้งมิแจ้งข้อหาอันใดให้ทราบด้วย เขากับเพื่อนที่เหลือตกใจกันใหญ่ ก็เลยต่างแยกย้ายหนีเอาตัวรอดกันไปคนละทิศละทาง โดยเฉพาะเขาเองนั้นได้หนีไปหลบอยู่ที่เรือนนางลีกุย นอนฟังข่าวอยู่ที่ซ่องยายลีม้านี้เสียครึ่งวัน ถึงได้ข่าวพอเป็นที่โล่งใจมาว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของฮวย มิได้มีส่วนพาดพิงถึงเขาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด เป็นคดีฟ้องร้องขอแบ่งมรดกของลุงระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ แซ่ฮวย ที่นัยว่าจื้อฮือเป็นคนเก็บรักษามรดกนี้แล้วไม่จัดการแบ่ง พี่น้องที่เหลือก็เลยยื่นฟ้องไปทางเมืองไคฟอง ศาลทางโน้นเห็นว่าคดีมีมูล ก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ทางเช็งฮ้อจับตัวฮวยขังไว้เสียก่อนระหว่างรอการไต่สวนพิจารณาคดี จึงเมื่อเขาได้รู้เรื่องเช่นนี้แล้ว ก็ออกจากบ้านยายลีม้ากลับมาบ้าน.
เมื่อสามีเล่าจบ วัวยะเจ๊ก็พูดว่า นั่นแหละจะเป็นเรื่องของใครก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องมาแต่เขาและเพื่อน ๆ มัวแต่เที่ยวสำมะเลเทเมากันนั้นเอง หนนี้เขารอดตัวได้ก็จริงอยู่ แต่หนหน้าเขาอาจจะต้องเจอดีเข้าสักทีหนึ่งเป็นแน่ ๆ กินเหล้าเมาขึ้นมาไม่รู้ตัว เกิดไปทะเลาะวิวาทกับใคร ๆ เขาขึ้น เรื่องของเรื่องก็ต้องถึงคุกถึงตะราง นางว่าอย่าให้นางพูดเลย นางรู้นิสัยของเขาดี เวลาอยู่บ้านต่อหน้าต่อตานางเขาก็ทำเป็นเรื่องและสงบเสงี่ยม แต่ที่ไหนได้พอลับหลังโดนแม่พวกแก้มแดงปากแดงฉอเลาะป้อยอเข้าให้หน่อย เขาก็ขี้คร้านจะเตลิดเปิดเปิงไปอีก อย่าได้หวังเลยว่าคำพูดที่นางพูด ๆ ไว้ต่อเขานั้นจะเป็นผล ดูช่างไม่จดไม่จำเอาเสียเลย แต่กับคำออเซาะของผู้หญิงพวกนั้นละก็ ตั้วกัวยิ้งท่านจดจำไว้แม่นยำนัก ราวกับจดลงไว้ในแผ่นทองก็ว่าได้.
ไซหมึ่ง, นั่งฟังนางดวงแขเทศนาเล่นงานอยู่พักใหญ่จนกระทั่งจบแล้ว เขาก็หัวเราะอย่างชอบใจ แลพูดอย่างอวดดีว่า “วิสัยเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ก็ต้องเป็นให้ได้รอบตัวซิน้อง” ดวงแขได้ยินเช่นนั้นก็ประชดให้ว่า “ก็ดีแต่คุยเขื่องในบ้านนะซี”
พอดีไต้อังยี้นำสาวใช้จากบ้านฮวยกอเข้ามาหา และเมื่อไซหมึ่งถามว่านางมีธุระอันใดกับเขาหรือ? สาวใช้ผู้นั้นก็ว่า “ปังเจ๊ให้มาเชิญเขาไปที่บ้านหน่อย นางอยากจะขอความช่วยเหลือบางสิ่งบางอย่างจากเขา” ไซหมึ่งก็แสร้งทำอิดเอื้อน ทีว่าไม่เต็มใจ แต่แล้วสักชั่วอึดใจ เขาก็ลุกขึ้นและทำท่าว่าจะออกไปจากห้อง ดวงแขเห็นเช่นนั้นก็ว่า “ระวังให้ดี ทีหน้าทีหลังถึงคราวท่านบ้างละก็ คงไม่มีใครเขามาช่วยให้คำปรึกษาดอก” ไซหมึ่งก็หันมาว่า จะให้เขาทำอย่างไร? สนิทชิดเชื้อกันถึงปานนี้ จะให้เขาปฏิเสธได้หรือ? ทำเช่นนั้นก็ผิดวิสัยเพื่อนบ้านที่ดีไป พูดแล้วเขาก็มิยอมฟังเสียง รีบออกจากห้องนางเมียหลวงไปทันที.
เมื่อไซหมึ่งมาถึงบ้าน นางลีปังก็รีบออกมารับรอง นางถลาเข้ามาฟุบอยู่แทบเท้าของเขา ทั้ง ๆ ที่หน้านองอยู่ด้วยน้ำตา และเสื้อผ้าก็ยู่ยี่ยับเยินเป็นที่น่าสงสารเวทนานัก นางสะอึกสะอื้นและรำพันขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างน่าเห็นใจ นางบอกว่า นางสุดรู้สุดคิดจะหาทางแก้ไขสามีนางอย่างใดได้ เพราะในฐานะลูกผู้หญิงที่ถูกมัดมือมัดตีนเหมือนกับปูก้ามกุดเช่นนี้ นางมิได้มีอะไรดีไปกว่าสาวใช้คนใดคนหนึ่ง จะให้นางเอาสติปัญญาที่ไหนไปวิ่งเต้นติดต่อกับใครต่อใครได้ เห็นอยู่ก็แต่ท่านตั้วกัวยิ้งนี่แหละที่จะเป็นที่พึ่ง นางเล่าว่า นางคิดถึงเรื่องของสามีขึ้นมาทีไร กลุ้มใจแทบจะเป็นบ้า ทั้งสงสารและสมน้ำหน้า ที่สมน้ำหน้านั้น เพราะว่าเขาจะได้รู้รสชาติคุกตะรางกะเขาเสียบ้าง ส่วนที่สงสารนั้นก็เพราะคิดถึงอุปการะคุณของท่านฮวยก๋ง ซึ่งได้มีพระคุณต่อนางมาเป็นอย่างมาก เหตุนี้นี่เองที่ทำให้นางมิอาจละเลยเพิกเฉยเสียได้ ในที่สุดนางก็อ้อนวอนชู้รักให้เห็นแก่พระคุณของท่านก๋งก๋งที่มีต่อนาง แลช่วยหาทางช่วยเหลือช่วยให้พ้นคดีนี้สักหนเถิด นึกว่าเอาบุญ ไซหมึ่งก็ปลอบว่า อย่าคิดอะไรให้กลุ้มอกกลุ้มใจมากไปเลย การเรื่องนี้หาหนักหนาอันใดไม่ ขอให้นางเล่าต้นสายปลายเหตุมาให้เขาฟังก่อนเถอะ จะได้คิดอ่านหาช่องทางแก้ไขถูก.
ลีปังก็เล่าประวัติความเป็นมาภายในครอบครัวให้ไซหมึ่งเข่งฟังว่า สามีของนางนั้นมีพี่น้องอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่คน ฮวยเป็นน้องคนที่สองและเป็นหลานคนที่ลุงรัก ส่วนพี่และน้องคนอื่น ๆ อีกสามคนนั้นท่านลุงไม่ชอบหน้า เฆี่ยนตีดุด่าอยู่เสมอ ๆ พวกนั้นก็เลยไม่กล้าจะเข้าหน้าท่านลุง และก่อนหน้าที่ลุงจะถึงแก่กรรมนั้นหาได้มอบหมายทรัพย์มรดกให้แก่หลานคนใดไม่ คงมอบให้ต่อนางโดยเฉพาะ ด้วยเกรงไปว่าหลานของท่านจะรักษาสมบัติไว้ไม่อยู่ ดังนั้นเมื่อฮวยก๋งสิ้นชีวิตลง ทรัพย์สินส่วนที่จะต้องแบ่งกันระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ก็มีอยู่ชั่วแต่สินค้าที่ตกค้างอยู่ภายในบ้าน กับบรรดาเครื่องเรือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งสิ่งของเหล่านี้หรือก็ล้วนแต่อยู่ในความดูแลของนางอีก ดังนั้นการอันจะแบ่งสรรมรดกนี้ จึงยังมิทันได้กระทำลงไปให้เสร็จสิ้น นางเองก็ได้เตือนสามีอยู่เสมอ ๆ ว่าให้เขารีบจัดการแบ่งมรดกเหล่านี้เสียที จะได้เป็นการรู้แล้วรู้รอดไป แต่สวยก็ไม่คิดจะเอาธุระด้วย คงเพิกเฉยและผัดวันประกันพรุ่งเรื่อยมา กระทั่งเกิดเป็นคดีขึ้นดังที่ท่านตั้วกัวยิ้งเห็นอยู่นี้แหละ
ไซหมึ่งนั่งนิ่งฟังแม่นางลีปังเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่ฮวยต้องคดีจบแล้ว เขาก็บอกว่า เรื่องนี้เรื่องเล็กเป็นเพียงคดีแพ่ง หาหนักหนาอันใดไม่ ขออย่าให้นางวิตกทุกข์ร้อนไปเลย เขาปลอบนางให้ทำใจเย็น ๆ เอาไว้ และรับปากว่าเขาเองจะรับเป็นธุระให้ ลีปังก็บอกเขาว่าเสียเงินทองเท่าไรก็ไม่ว่า สำหรับการอันที่ท่านตั้วกัวยิ้งจะจับจ่ายวิ่งเต้นในคราวนี้ นางยอมทั้งสิ้นขอให้แจ้งมา อย่าได้เกรงใจเลย.
สามีนางดวงแขก็ว่า เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้จะต้องเสียเงินเสียทองสักเท่าไหร่กัน ทำใจให้สบายและอยู่เฉย ๆ เถิด เขาจะดำเนินการให้เอง แล้วเขาก็ลำดับความสัมพันธ์ของบุคคลสำคัญๆ อันที่จะเป็นผู้คลี่คลายคดีนี้ให้นางฟังว่า.
“การอันจะตัดสินชี้ขาดคดีความเรื่องนี้อยู่ที่บุคคลสองคน คือ นายพลเอี่ยง (Marshal Yang) เจ้าเมืองไคฟอง (Prefect of Kaifong fu) หนึ่ง กับอัครมหาเสนาบดี ฉั่วจิ้ง (Chancellor Tsai) อีกหนึ่ง สำหรับเอี่ยงนั้นเป็นญาติกับเขา และคุ้นเคยเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันกับฉั่ว และทั้งเอี่ยงกับฉั่วนี้ ต่างก็มีอำนาจราชศักดิ์อยู่ด้วยกันทั้งคู่ในวงราชการแผ่นดินและในราชสำนัก สามารถที่จะเพ็ดทูลอย่างใด ๆ ก็ได้ต่อโอรสแห่งสวรรค์พระองค์นั้น การอันที่เราจะหาทางคลี่คลายคดีฮวยจื้อฮือนี้ ก็อยู่ที่ว่าเรายังจะใจป้ำพอแค่ไหนในอันจะเดินเหินให้ถึงตัวท่านลอร์ดฉั่วผู้นั้น ข้อนี้แหละหากจะมีที่สิ้นเปลืองมากอยู่ก็ตรงรายของฉั่วนี้ ส่วนนายพลเอียงซึ่งเป็นญาติของเขานั้น มิสำคัญอันใดนัก จะมากน้อยเท่าใดก็ได้”
นางลีปังลุกขึ้นหายเข้าไปในเรือน สักครู่ก็ใช้ให้สาวใช้ขนเอาเงินแท่งออกมามอบให้ไซหมึ่งหกสิบแท่ง ซึ่งคิดแล้วเป็นน้ำหนักสามพันตำลึง นางบอกว่าเงินทั้งหมดนี้ นางมอบให้เขาไว้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ สามีแม่นางดวงแขเห็นเช่นนั้นก็บอกว่ามากเกินต้องการไปแล้ว สักครึ่งจำนวนนี้ก็พอถมไป ภรรยาคนต้องคดียักยอกมรดกท่านขันทีฮวยก็บอกว่า อย่าเป็นห่วงไปเลย ท่านตั้วกัวยิ้งใช้ๆ เข้าไปเถอะ จะใช้อะไรก็ใช้ เหลือหรือไม่เหลือก็มิเป็นไร ถือเสียว่าเป็นเงินของท่านก็แล้วกัน นางบอกว่าสมบัติที่นางซ่อนเอาไว้ยังมีอีกเยอะต่อเยอะนัก ทั้งเสื้อยศ หมวกยศ เครื่องประดับ และเงินทองรูปพรรณอีกมากมาย แลนางได้กล่าวสืบไปว่า “เขายังจะเต็มใจอยู่หรือหาไม่? หากนางจะขอฝากทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ที่เขา เพื่อช่วยดูแลรักษาให้นางด้วย”
ไซหมึ่งเข่งก็ถามดักคอนางว่า แล้วถ้าเผื่อฮวยจื้อฮือกลับมาไม่เห็นข้าวของของเขาอยู่ครบถ้วนตามจำนวนเล่า นางจะทำอย่างไร?
นางลีปังก็บอกว่า มีต้องพักวิตกไปถึงดอกการข้อนี้ เพราะฮวยไม่เคยรู้ ทั้งนางก็ไม่เคยบอก เป็นสมบัติที่ท่านฮวยก๋ง เจาะจงมอบหมายให้ไว้แก่นางแต่ผู้เดียวโดยเฉพาะ.
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ คนอันแอบครองความรักจากเมียเพื่อน แล้วมิหนำซ้ำยังจะได้ครองสมบัติมหาศาลอีกคนนี้ก็ให้นึกดีใจอยู่ แต่สู้ทำเสมือนไม่ไยดี เขาบอกแก่นางอย่างเรียบ ๆ ไม่กระตือรือร้นว่า เอาเถอะ แล้วเขาจะกลับไปบอกให้คนใช้ที่บ้านมารับของเหล่านี้ในภายหลัง.
แล้วไซหมึ่งก็กลับไปปรึกษาถึงการเรื่องนี้กับแม่นางดวงแขที่บ้าน เลดี้วัวยะได้แนะนำแก่เขาว่า เวลาจะให้คนใช้ไปเอาเงินที่บ้านฮวยกอนั้น ให้เอาเข่งไปใส่ ทำทีว่าขนอาหารจะดีกว่า ส่วนของอื่นๆ นั้นไว้ค่อยขนกลางคืน จะได้ไม่เป็นการประเจิดประเจ้อและไม่เป็นที่สงสัยของเพื่อนบ้าน.
สามีก็เห็นด้วยตามที่ดวงแขได้แนะนำ เขาได้ปฏิบัติการไปตามที่ภรรยาหลวงผู้นี้ชี้แจงทุกประการ แลบรรดาสมบัติมีค่าทั้งสิ้นก็ได้เก็บงำไว้เป็นที่มิดชิดเรียบร้อยในเรือนของนางดวงแข จะมีผู้รู้เห็นอยู่ก็เพียงเขาตั้วเจ๊, โง่วเจ๊, และนางชุนบ๊วย กับแม่หญิงลีปัง และสาวใช้คู่ใจทั้งสองของนาง ข้าทาสบริการคนอื่น ๆ หาได้มีแต่ผู้ใดสักคนจะล่วงรู้ไม่.
รุ่งขึ้นวันถัดมา ไซหมึ่งเข่งก็ใช้ให้ตัง ผู้เขยขวัญ กับไล่ป้อ (Lai Pao) คนใช้อันวางใจสนิทของเขานำจดหมายไปส่งให้เอี่ยงและฉั่ว ยังเมืองหลวง การก็เป็นอันว่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองต่างเข้าใจในเหตุการณ์เป็นอันดี.
จึงเมื่อถึงวันกำหนดนัดตัดสินคดีความเรื่องนี้ ขณะที่บรรดาผู้ต้องหามากหน้าหลายตา นับด้วยจำนวนพันต่างพากันนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าบังลังก์ศาล เพื่อรอรับฟังคำพิพากษาคดีความของตน ๆ ฮวยจื้อฮือก็ได้รับการซักถามจากศาลว่า “ทรัพย์สินอันเป็นสมบัติของลุงเขาเท่าที่เหลืออยู่เมื่อเขาถึงแก่กรรมไปแล้วนั้น มีจำนวนเท่าใด?”
ฮวยซึ่งระหว่างที่รับการจองจำอยู่ได้รับข่าวแจ้งจากไซหมึ่ง เพื่อนร่วมสาบานแล้วเป็นอย่างดี ว่ารูปการของคดีจะมาอย่างไรไปอย่างไร ก็ได้ให้การอย่างฉาดฉานว่า “ทรัพย์สมบัติของลุงเขาที่เหลือก็มีที่ดินสามแปลง อยู่ในเมืองสองแปลง และนอกเมืองแปลงหนึ่ง นอกนั้นก็มีเครื่องเรือนและสินค้าตกค้างเหลืออยู่ในบ้านอีกบ้างไม่กี่มากน้อย ซึ่งสิ่งของเหล่านี้เขาก็ได้จัดการขายไปเสียบ้างแล้ว เพื่อเอาเงินมาทำศพลุง”
ดังนั้นศาลจึงได้สรุปผลชี้ขาดการพิจารณาคดีนี้ลงว่า เป็นการยากต่อศาลที่จะสืบสวนหาข้อเท็จจริงอันเกี่ยวแก่สินทรัพย์มรดกรายนี้ได้ว่ามีมากน้อยเพียงใด เพราะเหตุการณ์เช่นนี้มีปรากฏอยู่บ่อย ๆ ที่ว่า ผู้มีหน้าที่คุ้มครองรักษาทรัพย์สมบัติย่อมจักอาจจับจ่ายใช้สอยสมบัติเหล่านั้นไปได้ง่ายๆ เหมือนดั่งที่เขาได้มันมาไว้ในครอบครองอย่างสะดวกและง่ายดายเช่นกัน ดังนั้นศาลจึงชี้ขาดว่าการอันจะแบ่งสรรมรดกจำนวนนี้ต่อโจทย์ทั้งสามเพื่อให้เป็นการถูกต้องและยุติธรรมแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของผู้ว่าการตำบลเช็งฮ้อจัดดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินทั้งสามแปลงของฮวยก๋งขันทีใหญ่ผู้นี้สืบไป เมื่อได้เงินเท่าใดให้นำมาแบ่งเฉลี่ยมอบแก่โจทย์ทั้งสามคนละเท่า ๆ กัน
เมื่อโจทย์ทั้งสามได้ฟังคำตัดสินพิพากษาของศาลเช่นนี้ ต่างก็ไม่พอใจพากันโขกหน้าผากลงกับพื้นศาลเป็นการประท้วงคำตัดสินอยู่เป็นการใหญ่ ทั้งนี้เพราะเขามั่นใจว่าพวกเขาควรจะได้รับส่วนแบ่งในกองมรดกมากกว่านี้ และยิ่งกว่านั้นพวกเขายังขอร้องให้ศาลสั่งขังจื้อฮือต่อไปอีก จนกว่าจะหาเงินมาชดใช้พวกเขาได้ครบถ้วนตามจำนวนมรดกที่เขาจับจ่ายใช้สอยไป แต่ศาลไม่ยอมฟังเสียงพวกเขา มิหนำซ้ำกลับพาลโกรธเอาเสียอีกและหาว่า “ทำไมพวกเขาไม่ยื่นฟ้องมาเสียแต่เนิ่น ๆ ตอนที่ลุงของพวกเขาได้ถึงแก่กรรมไปใหม่ ๆ มายื่นฟ้องร้องเอาอะไรจนป่านนี้ คดีเกินอายุความแล้ว จะให้ศาลตัดสินได้อย่างไร”
จึงด้วยประการเช่นนี้เอง สามีนางลีปังก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากที่คุมขัง และมิได้รับโทษทัณฑ์แต่ประการใด.
แลเมื่อเลดี้ฮวยลีปังได้รับข่าวแจ้งว่า สามีกำลังจะกลับมาถึงบ้าน นางก็รีบส่งคนไปเชิญชู้รักคนอันเป็นเพื่อนร่วมสาบานของสามีให้มาพบ นางบอกแก่เขาว่า นางอยากจะให้เขาจัดการซื้อที่ดินของฮวยแปลงนี้ไว้เป็นกรรมสิทธิ์ก่อน แต่ที่คนอื่นจะมาซื้อไปเสียก่อน ไซหมึ่งก็ขอเวลาเพื่อไปปรึกษาหารือต่อวัวยะเจ๊ก่อน ครั้นนางดวงแขได้รับคำบอกเล่าจากสามีแล้ว นางก็เห็นว่าควรจะยับยั้งการซื้อที่แปลงนี้ไว้ก่อน เพราะเกรงว่าหากทำอะไรฮวบฮาบลงไป จะเป็นที่สงสัยและทำให้ฮวยจื้อฮือเกิดระแวงแคลงใจขึ้นได้ ดังนั้น ไซหมึ่งเข่งจึงรีรอต่อการที่จะตกลงซื้อที่ดินของฮวยแปลงนี้ไว้เสียชั่วคราว.
แล้วอีกไม่กี่วันต่อมา ฮวยจื้อฮือก็กลับมาถึงเช็งฮ้อ ทางบ้านเมืองก็เริ่มดำเนินการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นส่วนสมบัติของท่านลอร์ดขันทีฮวยทันที สำหรับที่ดินในเมืองแปลงแรกนั้น อาศัยที่ตั้งอยู่ในบริเวณถนนหลวง ดังนั้นทางการจึงรับซื้อไว้ด้วยราคาเงินเจ็ดร้อยตำลึง ส่วนอีกแปลงหนึ่งนั้น ยังหามีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้ามาทาบทามขอซื้อไม่ ทั้งนี้เพราะที่ดินแปลงนี้อยู่ติดกับที่ดินของท่านตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่ง แต่แปลงที่อยู่นอกตัวเมืองนั้น จิว นายด่านแม่น้ำ (River Prefect Chow) เป็นผู้รับซื้อไว้ได้ในราคาเจ็ดร้อยห้าสิบตำลึงเงิน ดังนี้จึงเป็นอันว่ายังเหลืออยู่ก็แต่เฉพาะที่แปลงอันเป็นนิวาสนสถานของจื้อฮือแห่งเดียว ที่ยังไม่มีใครซื้อ ทั้งนี้ทางการได้ตีราคาไว้เพียงห้าร้อยสี่สิบตำลึงเงินเท่านั้นเอง และก็มิไยที่ฮวยจะได้ขอร้องแล้วขอร้องเล่าให้ไซหมึ่ง ผู้ที่ร่วมสาบานของเขาเป็นคนซื้อ แต่ไซหมึ่งก็ทำอิดเอื้อนเฉยอยู่.
จนกระทั่งท่านตีกุ้ยแกรบเร้าหนักเข้า เพราะอยากจะจัดการเสียให้เสร็จๆ ไป นางลีปังก็สั่งยายผั้งมาให้บอกไซหมึ่งชู้รักของนางว่า “ถึงเวลาที่เขาจะจัดการตกลงซื้อที่รายนี้ได้แล้ว โดยให้เอาเงินที่นางมอบให้ไว้นั่นแหละซื้อ” เมื่อไซหมึ่งได้รับแจ้งแล้ว เขาก็รีบตกลงขอซื้อที่ดินของท่านฮวยก๋งแปลงนี้ทันที.
เมื่อการขายทอดตลาดบรรดาอสังหาริมทรัพย์ของขันทีฮวยสิ้นสุด ลงแล้ว ผู้ว่าการตำบลก็เรียกตัวโจทย์ทั้งสามมาพบ และเฉลี่ยส่วนแบ่งเงินกองมรดกซึ่งได้จากการขายทอดตลาดที่ดินทั้งสามแห่งให้แก่โจทย์ทั้งสามเท่า ๆ กัน การก็เป็นอันเรียบร้อยและสุดสิ้นลงด้วยดี แต่บัดนี้ ฮวยจื้อฮือ, สหายคนใจป้ำและกระเป๋าหนักคนหนึ่งในจำนวนสหายของไซหมึ่งทั้งสิบ ได้อยู่ในฐานะ “บุคคลผู้ล้มละลาย” แล้วทุกประการ.
เมื่อฮวยตกอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัวเช่นนี้เข้า เขาก็ให้รู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจมาก เขาเคยเรียกภรรยามาถามถึงเรื่องเงินที่นางได้มอบให้ไซหมึ่งไปเมื่อคราววิ่งเต้นเกี่ยวกับคดีของเขา เพราะเขาเชื่อว่าอย่างไรเสียเงินตั้งสามพันตำลึงคงไม่ถึงกับหมดเกลี้ยงแน่ๆ เขาบอกแก่นางลีปังให้ช่วยไปถามไซหมึ่งและขอคืนมาบ้าง เพื่อเขาทั้งสองจะได้ไปหาซื้อบ้านที่ใดที่หนึ่งอาศัยพักพิงสืบไป แต่ภรรยากลับทำหูทวนลมเสีย และมิหนำซ้ำกลับเกรี้ยวกราดเอาต่อเขาเข้าอีก นางด่าว่าเขาต่าง ๆ นานา กุ๊ยบ้างละ สิ้นคิดบ้างละ หน้าไม่อายบ้างละ ฯลฯ สุดแล้วแต่นางจะหยิบยกขึ้นมาว่า นางประชดให้เขาได้สำนึกถึงเหตุการณ์ที่แล้ว ๆ มาแต่หนหลัง ครั้งที่เขาได้เอาแต่เที่ยวเสเพลอยู่กับหญิงโสเภณี ไม่เอาใจใส่บ้านช่องครัวเรือน นางบอกว่าเรื่องนี้โทษใครเขาไม่ได้ดอก นอกจากตัวของเขา แล้วในทางตรงกันข้าม ลีปังกลับยกยอบุญคุณท่านไซหมึ่งตั้วกัวยิ้งผู้นั้นเสียใหญ่โต ที่ได้ช่วยเหลือวิ่งเต้นแก้คดีให้เขาจนหลุดออกมาเป็นไทแก่ตัวได้ โดยที่มิเห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเลย มิไยฝนจะตก ฟ้าจะร้อง แดดจะกล้า พายุจะจัด ตั้วกัวยิ้งอุตส่าห์ส่งคนของตัวออกเที่ยวได้วิ่งเต้นหาคนโน้นคนนี้ บรรดาที่รู้จัก ๆ เพื่อช่วยเหลือเขา “ก็เมื่อเช่นนี้มีอย่างหรือ?” นางย้ำอย่างหนักแน่นว่า “ที่พอท่านเป็นอิสระเข้า ท่านก็ชักจะลืมตัวอีกแล้ว ทำเป็นคนไม่มีน้ำอดน้ำทนไปได้ ด้วยซ้ำยังจะมาพลอยให้ข้าพเจ้าต้องขายหน้าเขาไปด้วย โดยการเที่ยวได้ไปขอเงินคืนจากเขา” แล้วนางพูดไปถึงว่า สมบัติเงินแค่นี้ที่เขาคิดว่าช่างมากเสียเหลือเกินนั้นจะไม่รู้จักหมดจักสิ้นเทียวหรือ นางกล่าวว่า คนอย่างเสนาบดีแซ่ฉั่ว และท่านนายทหารผู้ใหญ่เอี่ยงนั้นคงไม่คิดช่วยเหลือใครง่ายๆ ดอก ในเมื่อเงินทองไม่จุใจเขา ที่จื้อฮือหลุดพ้นข้อต้องหาในคดีนี้มาได้นั้น นับว่าบุญเหลือแล้ว ทางที่ถูกควรจะได้จัดงานเลี้ยงเป็นการสมนาคุณท่านไซหมึ่งเข่งผู้นั้นเสียสักครั้ง เพื่อสนองน้ำใจงามของเขาที่มีต่อเรา.
สามีแม่นางลีปังก็มิได้ว่ากระไร เขาจนแก่ปัญญาสุดรู้ สุดคิด จะหาเหตุผลอันใดมาตอบโต้กับภรรยา จึงได้แต่นิ่งเงียบงันอยู่.
และในวันรุ่งขึ้นถัดมานั้นเอง ไซหมึ่งก็ได้รับของขวัญจากสามีนางลีปัง และได้รับเชิญให้ไปร่วมกินอาหารค่ำเพื่อการขอบใจที่บ้านของเขา โดยที่ฮวยได้ตั้งใจไว้ว่า หากเพื่อนร่วมสาบานผู้นั้นมาตามเชิญ เขาจะได้ถือโอกาสถามถึงเรื่องเงินที่เหลือ และในฐานะเพื่อนฝูงกันเขาก็ใคร่จะขอยืมเงินไซหมึ่งเป็นการเพิ่มเติมด้วยอีกสักสองร้อยตำลึงพอวิ่งเต้นหาซื้อบ้านที่ไหนที่ใดได้สักหลัง แต่การในใจอันฮวยจื้อฮือดำริไว้นี้หาทันได้สำเร็จลุล่วงไม่ เพราะเขาเกิดนำไปปรึกษากับนางลีปังภรรยาของเขาเข้า ดังนั้น นางลีปัง “เมียรัก” ของฮวย จึงรีบส่งยายผั้งให้ไปแจ้งตื้นลึกหนาบางต่อไซหมึ่ง “เพื่อนเก่า” ของสามีโดยเร็วว่า อย่ามากินเลี้ยงร่วมกับสามีในค่ำนี้เป็นอันขาด ส่งแต่เงินชำร่วยมาสำหรับการจัดเลี้ยงตามธรรมเนียมก็พอ และถ้าหากสามีของนางซักถามถึงเรื่องเงินหกสิบแท่งที่นางมอบให้ในการวิ่งเต้นช่วยเหลือคดีคราวนั้นละก็ ให้บอกว่าได้ใช้จ่ายไปหมดแล้วในการนั้น ยายผั้งก็ไปแจ้งต่อไซหมึ่งตามที่นายสาวสั่งทุกประการ ดังนั้นจนแล้วจนรอด ฮวยจื้อฮือก็มิได้มีโอกาสพบกับไซหมึ่งเข่ง ตั้วกัวยิ้ง สักที ไปถามทีไรก็ได้รับแจ้งมาแต่ว่า “ยังไม่กลับๆ!” ทั้งนี้ เพราะไซหมึ่งได้แอบไปซ่อนซุกนอนอยู่เสียตามซ่องตามเหลาต่าง ๆ เป็นประจำ จึงเมื่อผิดหวังพลาดหวังหลายหนหนักเข้า ฮวยก็ทวีความกลัดกลุ้มมากขึ้น ๆ และพาลล้มเจ็บไม่สบายลง.
ท่านผู้อ่าน เห็นหรือยังเล่า ยามใดภรรยาคิดเอาใจออกห่างจากสามีแล้ว ยามนั้นยากนักที่บุรุษจักล่วงรู้ความลี้ลับในใจของนางได้ ต่อให้บุรุษนั้นแม้ยิ่งยงสักปานใด เขาคงจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก คำพังเพยกล่าวว่า ชื่อว่าสตรีนั้น ท่านให้ปฏิบัติภารกิจได้ก็แต่กิจบ้านการเรือนเท่านั้นดอก โอกาสใดปล่อยให้สตรีเข้ามายุ่งเกี่ยวในกิจธุระนอกบ้านแล้ว โอกาสนั้นความหายนะอันไม่มีวันสิ้นสุดจักมาถึง.
และเรื่องนี้เราจะโทษฮวยจื้อฮือแต่ผู้เดียวได้อยู่หรือ? ก็ภรรยาที่สามีตีราคานางไว้แล้วเสมอด้วยเพชรน้ำงามบริสุทธิ์เช่นนี้ ยังมีควรอีกหรือต่อการที่สามีจะไว้วางใจ?
ในที่สุด ฮวยจื้อฮือก็ได้รับความอนุเคราะห์จากเพื่อนที่ชอบพอกันผู้หนึ่งให้ยืมเงินสองร้อยห้าสิบตำลึงไปซื้อบ้านอยู่ที่ถนนสิงโต ทว่าเขาอยู่ได้ต่อมาอีกไม่กี่วันนัก หลานชายคนโปรดของท่านขันทีฮวยผู้นี้ก็ล้มเจ็บลงด้วยโรคเส้นประสาท ทั้งนี้ก็เนื่องมาแต่ความทุกข์ระทมตรมตรอมใจของเขานั่นเอง และมิไยอาการของเขาจะทรุดหนักเพียบแปล้ลงเพียงใด ฮวยก็มิได้คิดที่จะเรียกหามดหมอมารักษาพยาบาล ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะเขารู้ดีว่าการเงินของเขาอยู่ในฐานะฝืดเคืองแค่ไหน ทุกวันนี้เขาเป็นฮวยผู้ล้มละลาย มิใช่ฮวยกอคนมั่งคั่งดังแต่ก่อน ดังนั้นเขาจึงสู้ทนทรมานสังขารไปชั่ววันหนึ่งๆ เพื่อรอวันตาย และแล้วในที่สุดวาระสุดท้ายของเขาก็มาถึงเข้าจริงๆ เขาตายเมื่ออายุยี่สิบสี่ ซึ่งนับว่าเป็นการตายที่ไม่สมแก่วัยอยู่ แต่ก็น่าจะควรอยู่ดอกสำหรับชีวิตของคนๆ หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในโลกกับเขามาอย่างไร้สาระ เช่น ฮวยจื้อฮือ ผู้นี้.
----------------------------