ความลับที่เปิดเผย

Willow leaves, streamers of emerald green,

Swing to and fro.

Like crimson dots of ink

The fruit gleams from the crown of the pomegranate tree.

The wind, softty soughing,

Fans us with balmy coolness.

There is merry tippling in every nest;

Today is the Festival of the Dragon Boat.

----------------------------

เห็นใบหลิว พลิ้วผ่าน ร่านลมพัด

โบกสะบัด ช่อชอุ่ม พุ่มพวงผล

ทั้งดอกดวง พวงทับทิม จิ้มลิ้มยล

รื่นลมบน โบยผ่าน ซ่านฤดี

เสียงจู๋จี๋ ซี้ซิก ระริกรื่น

ปักษาชื่น ชิดชม สมปักษี

ทุกทั่วหน้า อ่าโอ่ งามโสภี

ด้วยดิถี “นาคนาวา” เวียนมาเอย.

วันนั้นประชาชนชาวตำบลเช็งฮ้อคึกคักและกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเคยมา แต่ละคนต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสแลสีหน้าระรื่นอยู่ทุกทั่วกัน ถูกแล้ว–วันนั้นเป็นวันที่ห้าของเดือนห้า อันตรงกับวาระที่นับเป็นวันเทศกาลสารทเล้งชิวประจำปีของชนจีน นั่นก็คือ “วันงานรื่นเริงนาคนาวา” (Festival of the Dragon Boat), บ้านช่องและร้านรวงต่างตบแต่งประดับประดาอยู่ด้วยธงทิวงามไสว ในน่านน้ำลำคลองก็มีการเล่นแข่งเรือแข่งแพกันเป็นที่สนุกสนาน แลในวันอันเป็นเทศกาลนี้ ท่านไซหมึ่ง ตั้วกัวยิ้งผู้ทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่ ก็แต่งตัวโอ่อ่ามาเดินกรุยกรายเที่ยวเตร่เป็นที่สุขเขษมสำราญใจอยู่กับประดาผู้คนชาวบ้านอื่น ๆ เขาเช่นกัน.

หลังจากที่ได้เดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมร้านรวงต่าง ๆ อยู่ครู่ใหญ่แล้ว เจ้าสัวหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปกระทำสักการะที่ในอารามเบญจคีรี (Temple of the Five Holy Mountains) แห่งนั้น เสร็จแล้วก็มุ่งหน้าจะกลับบ้าน แต่ก็อีกน่ะแหละ ท่านตั้วกัวยิ้งอดไม่ได้เสียเช่นกันที่จะแวะร้านน้ำชาของยายเห่ง แลคำแรกที่เขาเอ่ยปากถามหญิงชราเมื่อขณะเหยียบย่างเข้าร้านของแกก็คือว่า นางพัวกิมเน้ยผู้ยอดเสน่หาของเขานั้นอยู่บ้านหรือหาไม่?

“มารดาของนางกำลังมาเยี่ยมและสนทนาด้วยกันอยู่ ป้าเกรงไปว่านางคงจะยังไม่ว่าง” หญิงชราบอก “แต่เอาเถอะ ป้าจะไปดูให้” แล้วแกก็ลุกไปที่เรือนของนางบัวคำทันที.

เมื่อยายเห่งมาถึงบ้านของหม้ายสาวแม่บัวคำนั้น ปรากฏว่านางกำลังนั่งเสพสุราสนทนาอยู่กับแม่เฒ่าพัว ผู้มารดาของนาง แต่พอเหลือบมาเห็นหญิงชราคนอันเป็นแม่สื่อเอกเข้า นางก็กระวีกระวาดออกมาเชื้อเชิญยายเฒ่าให้เข้าร่วมวงสนทนาด้วยความดีอกดีใจ “แหม ยายมาพอดีทีเดียว เชิญทางนี้ซิ มาดื่มเหล้ากับข้าพเจ้า–ให้แก่ทายาทในอนาคตอันใกล้ของยายอย่างไรเล่า!”

“โอ๊ะ-โอ๊ะ, แม่คุณ แม่ทูนหัว อย่ามาดื่มให้ยายเลย ยายแก่แล้ว ถ้าดื่มให้แก่แม่หลานสาวเองละก็ว่าไม่ถูก ยังสาวยังแส้อยู่” ยายเห่งย้อนให้หญิงสาวอย่างสัพยอก ทำให้สองหญิงแม่ลูกพากันชอบอกชอบใจใหญ่ แล้วนางพัวกิมเน้ยก็กระเซ้าหญิงเฒ่าสืบไปอีกอย่างคะนองปากว่า “ช่ออ่อนน่ะติดลูกยากนะยายจ๋า ทว่าช่อแก่ละก็ง่าย”

“ชะช้า––” ยายเห่งขึ้นเสียงอย่างอารมณ์สนุก พลางหันไปพยักพเยิดกับนางพัวม้า มารดาของหญิงสาวเป็นเชิงต่อว่า.

“ฟังซิ–แม่เฒ่า ฟังลูกสาวปากกล้าของท่านเสียบ้าง ล้อเลียนคนแก่คนเฒ่าเล่นก็ได้ไม่รู้จักบาปจักกรรม ระวังให้ดีเถอะแม่คุณ วันหนึ่งหรอก จะเห็นว่าดอกไม้แก่ ๆ เหี่ยว ๆ นี่น่ะยังพอจะทำประโยชน์ให้ได้.”

ซึ่งแม่เฒ่าพัวแกก็ตอบว่า “อีหนูมันปากกล้าเช่นนี้มานานแล้ว ลิ้นลมมันเหลือละ แม่เฒ่าอย่าไปถือสาหาความกะมันเลย.”

“ตรงข้าม ลิ้นลมคมคายนะไม่ว่า แม่ลูกสาวท่านนี้น่ะ เห็นตัวเล็ก ๆ ยังงี้เถอะใครจะรู้ได้ วันหนึ่งข้างหน้าอาจเป็นคุณหญิงคุณนายขึ้นมาก็ได้นะแม่เฒ่า” ยายเห่งแกพูดอย่างชื่นชม.

“ก็ไม่เห็นมีใครอีกแล้วละแม่เฒ่าท่าน ลำพังฉันนะไม่มีปัญญาดอก เห็นก็แต่ท่านนี่แหละที่จะอนุเคราะห์ช่วยเหลือได้ ใคร ๆ เขาก็สรรเสริญแม่เฒ่ากันแต่ไปทั้งนั้นว่า เป็นแม่สื่อเอกผู้ชำนาญการ!”

แล้วหญิงชราสองกับหญิงสาวหนึ่งก็ถ้อยทีถ้อยสนทนาอยู่ต่อกันเป็นที่สบอัธยาศัย เมื่อยายเห่งดื่มสุราไปได้ไม่กี่จอกก็ชักจะมึนหน้าขึ้นมา เลยขอตัวลากลับไปบ้านก่อน อ้างว่าจะไปดูแลร้านเพราะไม่มีคนเฝ้า แต่ว่าแกไม่ลืมพยักพเยิดบุ้ยใบ้ให้นางเมียบู๋ตั้วรู้ว่า บัดนี้ “ไซหมึ่งพ่อชู้ชายได้มาคอยอยู่นานแล้ว.”

พัวกิมเน้ยรู้เช่นนั้น นางก็รีบคะยั้นคะยอเสือกไสให้มารดารีบกลับ ๆ เสียโดยเร็ว แล้วนางก็จัดห้องจัดหับดูแลที่ทางให้เป็นที่เรียบร้อยสะอาดตา เพื่อคอยท่าเจ้าหนุ่มคนอันเป็นคู่พิศวาส และประการที่นางจะหลงลืมเสียมิได้ก็คือ เฝ้าพิถีพิถันประพรมน้ำอบน้ำปรุงเสียหอมฟุ้งไปทั่วสรรพางค์กาย.

อันว่านางพัวกิมเน้ยนี้ ที่นับแต่คนผู้สามีถึงแก่กรรมแลเผาเสร็จสิ้นไปแล้วนั้น ทุกวันนี้นางมิได้มีความโศกเศร้าอย่างใดเลย โต๊ะบูชาเซ่นป้ายหรือนางก็เขี่ยไปไว้เสียทางมุมห้องข้างหนึ่ง ซ้ำแถมเอากระดาษขาวปิดทับไว้เสียอีกด้วย อาหารเครื่องเซ่นประจำนั้นเป็นอันไม่ต้องพูดถึงกัน นางปล่อยปละละเลยอย่างสิ้นเชิงทีเดียว ก็จะให้นางมามัวเอาใจใส่เซ่นสรวงสังเวยอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละวัน ๆ นางเอาใจใส่อยู่แต่ประการเดียว คือการประทินโฉมชโลมร่างมิสร่างซา นางเฝ้าคอยแต่เวลาจะพะนอชื่นชูกับไซหมึ่ง และไม่เคยเลยที่สองหนุ่มสาวจะเว้นการมาร่วมพิสมัยต่อกันสักเพลาตลอดมา แต่ว่าหมู่นี้เจ้าหนุ่มหายหน้าค่าตาไป ดังนั้นพอนางได้ข่าวว่าชู้รักมา บัวคำก็เตรียมปั้นสีหน้าไว้รับรองเป็นทีขึงขังเอาการอยู่.

“ฮะฮะ วันนี้โผล่หัวมาได้นะพ่อตัวดี จะว่าอย่างไรเล่าเจ้าคนสันดานผู้ร้ายใจโลเล หายหน้าค่าตาเข้ากลีบเมฆไปเลยทีเดียว มีหรือปล่อยให้เราตั้งหน้าตั้งตาคอยเสียเป็นวักเป็นเวร หรือว่าเดี๋ยวนี้สมใจแล้ว ไม่ต้องมาเอาอกเอาใจมันก็ได้ ปล่อยหัวมันไว้นี่แหละอีนังทาสซื่อคนนี้น่ะ ฮึ ผู้ชายนะผู้ชาย ทำอย่างนี้ก็ทำได้ หรือว่าไปมีดีที่ไหนใหม่แล้วก็บอกมา?”

“โธ่, ทูนหัว พี่ติดธุระจริงๆ อีพักนี้ ซึ่งจะมีเวลาว่างงานว่างการกับเขาก็วันนี้นี่แหละ เลยแวะไปหาซื้อของขวัญที่ร้านในงานวัดเบญจคีรีนั่นมาฝากเจ้า” แล้วไซหมึ่งก็หันไปเรียกเจ้าไต้อังยี่ให้เปิดกระเป๋าถือ หยิบเอาเครื่องประดับสำหรับสตรีที่เขาซื้อมาฝากนางส่งให้ ของขวัญเหล่านั้นมีทั้งเพชรและไข่มุก มีทั้งเครื่องประดับลงยาและเครื่องถมกระจุ๋มกระจิ๋ม พร้อมทั้งผ้าตัดเสื้อตัดกระโปรงอีกมากมายหลายชิ้น และก็มิพักต้องกล่าวกันสืบไปให้เยิ่นเย้อ เพราะนิสัยพรรค์อย่างนี้เป็นคุณสมบัติดั้งเดิมมาแต่ไหนแต่ไรของพวกผู้หญิงเขา เรื่องที่สตรีจะไม่พอใจของกำนัลเป็นไม่มี ด้วยซ้ำยิ่งเป็นของจำพวกเครื่องเพชร เครื่องพลอย และผ้าตัดเสื้อตัดกระโปรงอีกด้วยแล้ว บัวคำก็ยิ่งแสนจะปลื้มอกปลื้มใจใหญ่ ที่โกรธก็หาย ที่หน่ายก็สิ้น นางยิ้มแย้มแจ่มใสและต้อนรับขับสู้อย่างปีติตื้นตันใจ นางสั่งให้เหน่งยี้รีบมาจัดตั้งโต๊ะและยกสุราอาหารออกมาให้นางโดยเร็ว.

“โอ อย่า–อย่าลำบากเลยน้อง” ไซหมึ่งรีบร้องห้าม “สั่งให้ป้าเห่งไปจัดการมาให้เราเรียบร้อยแล้ว วันนี้ตั้งใจจะมาสนุกสนานกับเจ้าให้เต็มที่สักวัน อย่าวุ่นวายไปเลย มานี่มา–มานั่งใกล้ ๆ พี่ดีกว่า.”

“ก็ไม่เห็นจะวุ่นวายอะไรนี่พี่ ของที่บ้านเรามี ฉันเตรียมไว้พร้อมแล้ว พอดีวันนี้แม่แกมาเยี่ยม ก็เลยช่วยตระเตรียมเอาไว้ให้ กินไปพลางก่อนก็ได้ มัวคอยยายแกเห็นจะอีกนาน” กล่าวแล้วเจ้าก็ซุกหัวเคล้าเคลียอยู่กับซอกแก้มของเจ้าหนุ่ม พลางเสียดขาอ่อนอยู่ต่อกันเป็นพัลวัน.

ขณะเดียวกันนั้นเองที่ตลาด ยายเห่งคนอาสาเข้มแข็ง ก็เดินกระเดียดกระจาดเที่ยวจ่ายเที่ยวซื้อกับข้าวกับปลาเพื่อจะเอามาต้มมาแกงปรนนิบัติสองคู่หนุ่ม-สาววุ่นวายอยู่ ประจวบกับฤดูนี้เป็นฤดูฝนเดือนห้า ดังนั้นยายเห่งแกจึงไปติดฝนเข้ากลางทาง เนื้อตัวเปียกปอนขมุกขมอมไปหมด.

แกยืนหลบฝนอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งฝนซาแล้วจึงกลับได้ แกกระเดียดกระจาดพลางตลบผ้าแดงคลุมหัววิ่งโทงๆ ตากฝนมา กว่าจะถึงบ้านก็เล่นเอาหอบเสียแทบใจขาด.

พอย่างเข้าบ้านเท่านั้นเอง แกก็ร้องประชดติดหมัดขึ้นมาทันที.

“ฮี ดีจริงนะพ่อคุณแม่คุณ แสนสบายดีเหลือเกิน” แกระเบิดโมโหออกมาอย่างฉุนเฉียว “ดูอีแก่เสียบ้าง ตากฝนเสียจนแทบว่าจะหนาวตายอยู่แล้ว คนหนุ่มคนสาวนอนกอดกันสบาย ไม่ยอมดอก อย่างไรก็ตาม ท่านตั้วกัวยิ้งต้องซื้อเสื้อผ้ามาใช้ให้ป้าในคราวนี้!”

“บ๊ะ ป้านี่ชักจะเป็นเอามาก ๆ เสียแล้วแฮะ”

ไม่มากไม่มายอะไรละ ยังไงๆ ท่านก็ต้องซื้อผ้าดำมาให้ป้าพับหนึ่ง.

“เอาเถอะยาย ฉันจะซื้อใช้ให้เอง” บัวคำตัดบทขึ้น “เอ้า–เอาเหล้านี่แน่ะแก้หนาวเสียจอกหนึ่งก่อน.”

ยายเห่งรับจอกสุราจากนางพัวกิมเน้ยมาดื่มรวดเดียวสามจอกซ้อน ๆ พอชักร้อนท้องดี แล้วแกก็ลุกลงไปจัดหุงหาอาหารที่ห้องครัวชั้นล่าง เมื่อต้มแกงเสร็จแล้วก็รีบยกมาประเคนให้สองคู่หนุ่ม-สาวกินกัน ข้างพ่อหนุ่มแม่สาวนี่ก็มิได้ฟังเสียง เฝ้าแต่ดื่มด่ำกันอยู่ในรสสวาทมิได้วางมือ ต่างเคล้าเคลียกระซี้กระซิกอยู่ต่อกันตลอดเวลา ยามจะนั่งก็กระแซะกันแทบว่าตักหญิงจะเกยอยู่บนตักชาย กินข้าวก็ต้องกินจานเดียวกัน ดื่มเหล้าก็ต้องดื่มร่วมจอกเดียวกัน ดูเป็นที่แสนสุขารมณ์ยิ่งนัก.

พอดีไซหมึ่งเหลือบไปเห็นพิณปี่แป๊ (Pi Pa) ที่ข้างฝาเข้า ก็เลยขอร้องให้นางอันเป็นคู่ชิดเชยช่วยดีดพิณทำเพลงไพเราะให้ฟัง.

บัวคำก็ถ่อมตัวโดยอ้างว่า นางมิสู้สันทัดนัก เท่าที่หัดก็หัดมาแต่พอเล่นได้เล็กน้อย ด้วยซ้ำนางก็ทิ้งมาเสียนานแล้วเกรงว่าจะฟั่นเฝือ เดี๋ยวดีไม่ดีพี่ท่านจะหัวเราะเยาะเอา.

ไซหมึ่งก็ว่ามิเป็นไร ขอให้เป็นเพลงจากพิณที่นางเล่นก็แล้วกัน แล้วเขาก็หยิบพิณปี่แป๊ส่งให้แก่นาง.

เมื่อรับพิณมาจากเจ้าหนุ่มแล้ว นางก็จัดการขึ้นสายเทียบเสียงและลองมือจนเป็นที่ประสานเสียงกลมกลืนดีแล้ว บัวคำก็วางพิณลงเหนือเข่า พลางกรายนิ้วที่งามเรียวดุจลำของต้นหอม ซึ่งอวบอูมผ่องผิวเสมือนแกะไว้ด้วยแท่งหยกกรีดกรายอยู่ไปมาเหนือสายพิณ เสียงกังวานอันจะเจื้อยแจ้วของเพลงที่นางขับฟังแล้วระรื่นหูเสียนี่กระไร.–

เจ้าสยาย คลายคลี่ เกศีสิ้น

เส้นไหมนิล ปล่อยเปลือย ลงปลายไหล่

ไม่ปักปิ่น เกล้าขมวด กวดจุไร

โฉมทรามวัย เอื้อนอรรถ วัจนีย์.–

แม่หนูเอ๋ย เหมยเชี้ยง มานี่หน่อย

หยิบเสื้อผ้า เพริดพร้อย ให้เราถี”

แล้วแต่งร่าง สะอางเอี่ยม เทียมเทพี

โฉม “ไซซี” สาวสวรรค์ ไม่บันเบา

นางเยื้องยาตร์ นาดกราย ภิปรายเอ่ย

วานช่วยเผย ม่านมู่ลี่ ทางที่เข้า

จุดกำยาน หอมรื่น ชื่นให้เรา

จะอบเหย้า ย่ำราตรี คืนนี้เอย.”

----------------------------

“Bareheaded, in sweet disorder,

Her blue-black hair caught loosely

With a slanting arrow of bright gold,

She cries: ‘Come, my littte Mei Hsiang,

Bring me a robe from the clothspress!’

And then. Like a second Hsi Shih, lovely and innocent,

She steps forth from her chamber, saying:

Roll up the mat before the door,

Burn sticks of fine incense for the night’.”

ซึ่งสุดแสนที่จะจับใจเจ้าหนุ่มเป็นยิ่งนัก เขาสุดที่จะสะกดกลั้นความกดดันอันพลุ่งพล่านอยู่ด้วยความสบอารมณ์ในกระแสสำเนียงขับของนางได้ ก็โผผวาเข้ารัดเอาเรือนร่างของโฉมนางเมียคนสวยของบู๋ตั้วเข้าไว้แนบอก พลางก้มลงจุมพิตริมปากนางอย่างดูดดื่ม.

“กระบวนเที่ยวหัวหกก้นขวิดมา ก็นับว่าพี่นี้เหลือแล้ว แต่–เอ้อ บอกจริงๆ ว่ายังไม่เคยได้ยินหญิงคนใดเล่นดนตรีได้ไพเราะจับใจเหมือนน้องท่านวันนี้เลย.”

“จะเกินความจริงไปละกระมังท่าน” บัวคำชม้ายตาแลค้านคำยอดชู้อย่างยวนยี “วันนี้ท่านรักข้าพเจ้า ท่านก็ชมเชย แต่พอวันหน้าท่านชังน้ำหน้าข้าพเจ้า ก็ขี้คร้านท่านจะติเตียน.”

“เชื่อเถิดน้อง หัวเด็ดตีนขาดพี่ก็ไม่มีวันจะลืมน้อง” เจ้าหนุ่มพูดด้วยสีหน้าขึงขังพลางก้มลงประทับจูบที่พวงแก้มอันเปล่งปลั่งของนางอย่างทะนุถนอม แลกล่าวย้ำวาจาเป็นที่มั่นเหมาะว่า “เขามิได้คิดจะลืมนางเลยเป็นความสัตย์จริง”

ทั้งคู่ต่างพรอดพร่ำรำพันความพิศวาสอยู่ด้วยกันอย่างดื่มด่ำ เพลิงเสน่หาโหมกระพืออยู่ในทรวงอกของหนุ่ม-สาวทั้งคู่ ปิ้มว่าจะมอดไหม้เป็นจุลมหาจุล ไซหมึ่งค่อย ๆ ก้มลงบรรจงถอดรองเท้าคู่งามอันกะทัดรัดของนางออก กรอกเหล้าใส่ลง แล้วก็ยกขึ้นจรดปากพลางดื่มด้วยความที่สุดแสนจะภักดีในนวลนางดูเป็นที่ลึกซึ้งนัก เมื่อลุกขึ้นมาจัดการปิดประตูหน้าต่างจนเป็นที่มิดชิดแล้ว หนุ่มสาวทั้งสองก็เข้าร่วมหลับนอนกระทำสมัครสังวาสอยู่ต่อกันเป็นที่สนิทเสน่หา–ต่างปล่อยกายและใจให้ล่องลอยไปตามอารมณ์ปรารถนาอันเร้นลับ ดูช่างไม่ผิดอะไรกับหงส์รุ่นในฤดูสวาทที่จับคู่เคล้าคลึงกัน ณ ท่ามกลางสระอโนดาต แลหรือดุจปลาน้อยที่ล่อไล่รัดรึงกันอยู่เป็นพัลวันในกระแสธารอันชุ่มฉ่ำ สาวเจ้าได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมในชั้นเชิงที่จัดว่าหนึ่งไม่มีสอง เจ้าหนุ่มเล่าก็แสดงให้เห็นประจักษ์อย่างชัดแจ้งว่าเขาก็ชายชาญคนหนึ่งเหมือนกันในเล่ห์แห่งกามกรีฑา ทั้งคู่ต่างมิได้มีที่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

ผู้หญิง เจ้าก็เชื่อดีในศรีเสน่ห์

ผู้ชาย ก็ทระนงว่าเลิศเล่ห์ชำนาญเชิง”

ต่างฝ่ายต่างพึงพอใจในกันและกัน และร่วมสนิทนิทรารมณ์อยู่จนย่ำพลบที่ในห้องนอนนั้นแล.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ