รักแท้ที่ต้องอดทน

เมื่อไซหมึ่งกลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็อาบน้ำอาบท่าแต่งเนื้อแต่งตัวไปที่ร้านเครื่องยา เจรจาต่อรองในการตกลงทำสัญญาซื้อขายเครื่องสมุนไพรกับพ่อค้าต่างแดนเหล่านั้น จนเป็นที่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วก็กลับบ้าน เขาแวะมาที่เรือนของนางบัวคำก่อน เมื่อนางเห็นหน้าเขาก็ถามขึ้นเป็นคำแรกว่า เขาหายหน้าค่าตาไปไหนมาเมื่อวานนี้วันทั้งวัน สามีก็ตอบว่า ไปเที่ยวเดินดูประทีปดวงโคมกับเพื่อน ๆ เขา ต่อจากนั้นก็ไปนั่งคุยอยู่ที่บ้านยายลีม้า คุยไปคุยมาเห็นว่าดึกดื่นค่อนคืนแล้ว จะกลับบ้านกลับช่องหรือก็ลำบาก จึงเลยนอนค้างเสียที่ห้องนางลีกุย บัวคำก็ประชดให้ว่าวิญญาณท่านน่ะซีค้าง ตัวของท่านแท้ๆ นั้นไปที่อื่น นางสำทับว่า เขาอย่าริอ่านปิดบังนางเลย เพราะนางรู้หมดแล้ว ไต้อังยี้มันเป็นคนบอก ไซหมึ่งได้ยินเช่นนั้นก็เลยจำต้องรับสารภาพ เขาเล่าให้บัวคำฟังถึงเรื่องที่นางลีปังขอจะเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านด้วย ซึ่งเขาคิดไม่ตก มิรู้ว่าควรจะทำฉันใดดี บัวคำก็บอกว่าจะเป็นไรไป ที่ลีปังหล่อนต้องการจะเข้ามาอยู่ก็มาซี นางไม่ขัดข้องดอก แต่ว่าคนทุกวันนี้เชื่อใจกันยาก บอกเสียก่อนว่า อย่ามาระรานนางเข้าก็แล้วกัน บุราณเขาย่อมว่า วิถี, คงคา, ศาลา, นารี สี่สิ่งนี้เป็นของสาธารณะ นางไม่หวงไม่ห้ามดอก แต่ว่าทางที่ดีควรฟังเสียงวัวยะเนี้ยดูเสียก่อน เธอจะว่าอย่างไร?

สามีก็บอกว่า เรื่องอื่นเรื่องไกลนั้นไม่สำคัญเท่าใดดอก ที่วิตกร้อนใจของเขาทุกวันนี้ ก็ตรงข้อที่ว่าลีปังยังอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้ผัวเก่า และเมื่อได้พูดเล่นเจรจาอยู่ต่อกันชั่วครู่แล้ว ไซหมึ่งเข่งก็เรียกหาพนักงานขายยาให้มาพบ เขาสั่งให้พนักงานผู้นี้ไปจัดการบอกขายเครื่องสมุนไพรที่ภรรยาของฮวยมอบให้เขามา ซึ่งปรากฏว่าทำราคาได้ถึงสามร้อยตำลึง แต่เงินสามร้อยตำลึงนี้ นางลีปังขอเอาไว้ใช้เพียงร้อยแปดสิบตำลึงเท่านั้นเอง นอกนั้นมอบให้เป็นทุนรอนในการสร้างบ้านใหม่ทั้งสิ้น.

เมื่อได้ทุนรอนในการจะดำเนินงานสร้างบ้านเพียงพอแล้ว ไซหมึ่งก็กำหนดเอาวันแปดค่ำเดือนยี่ที่จะถึงนี้เป็นวันเริ่มงาน เพราะถือว่าเป็นวันมงคล และเขาได้มอบงานปลูกสร้างบ้านใหม่คราวนี้ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของกวงแก ไล่จิว (Steward Lai Chao) คนใช้อันวางใจสนิทของเขา กับพัวสี่ เลขานุการส่วนตัว (Pen Se, Private secretary) ที่เขาจ้างไว้ รวมสองคนด้วยกัน.

อนึ่ง พัวสี่ คนรับหน้าที่ปี้จื้อ (Secretary) ของไซหมึ่งเข่งนี้ เดิมทีเขาเกิดในสกุลขี้ครอกของทาสในบ้านขันทีใหญ่แห่งราชสำนักผู้หนึ่ง หากได้กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ขึ้น จึงได้ถูกอัปเปหิออกจากบ้านท่านขันทีผู้นั้นมา แต่ว่าสี่เป็นคนอุตสาหะพากเพียรและขยันขันแข็งในกิจการงาน จึงมินานนักเขาก็หางานทำได้ในบ้านของท่านคหบดีผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในตำบลนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละเขาเกิดไปลอบลักได้เสียขึ้นกับเมียน้อยนางหนึ่งของท่านเจ้าบ้านเข้า ก็เลยต้องอพยพร่อนเร่เซซานออกมาอีก คราวนี้เขาหันเข้าหาอาชีพทางเป็นนายหน้ารับซื้อเสื้อผ้าเก่าๆ ของชาวบ้าน ในที่สุดก็ได้มารู้จักมักคุ้นกับท่านเจ้าของร้านเครื่องยาผู้นี้ขึ้น อาศัยที่เขาเป็นคนคล่องแคล่วใช้ไหนใช้ได้ เข้าไหนเข้าได้ ไซหมึ่งจึงมักจะว่าจ้างเขาไปเป็นคนตวงคนชั่งเครื่องสมุนไพรที่ร้านอยู่เนืองๆ กอปรทั้งเขามีฝีมือในทางดีดพิณน้ำเต้าและเป่าขลุ่ยผิวไพเราะจับใจอยู่ ไซหมึ่งเกิดถูกใจ และนึกชอบอัธยาศัยขึ้นมา ก็เลยตกลงว่าจ้างเขาไว้เป็นที่กุนซือ สำหรับใช้ปรึกษากิจการงานสืบมา.

และตามโครงการสร้างบ้านของเขานั้น เขาได้กำหนดงบประมาณไว้ครั้งแรกนี้ห้าร้อยตำลึง กะว่าเป็นค่าอิฐ ค่าปูน ค่าเสา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการก่อสร้าง ส่วนรูปงานนั้นที่แรกให้รื้อเรือนเก่า ๆ บรรดามีในเนื้อที่ของจื้อฮือลงให้หมด แล้วจัดการปรับถมที่ลงให้เสมอกันกับพื้นที่ในบริเวณบ้านเดิมของเขา เสร็จแล้วให้คนถมดินทำเป็นเนินสูง ปลูกเก๋งคร่อมไว้สำหรับตากอากาศรับลม ส่วนทางด้านหน้านั้นจะปลูกเรือนหลังใหม่ตามที่กำหนดไว้ อยู่อีกเดือนกว่าภรรยาของจื้อฮือก็ส่งคนมาเชิญเขาให้ไปที่บ้านอีก นางเตือนเขาถึงเรื่องที่จะให้นางเข้าไปอยู่ในบ้าน และปรึกษาถึงการอันจะจัดงานเผาป้ายวิญญาณของสามี นางบอกว่านางอยากจะปฏิบัติเสียให้เสร็จๆ สิ้น ๆ ไป เพื่อจะได้จัดการบอกขายบ้านหลังนี้เสียที นางพูดพลางร้องไห้พลางดูเป็นที่น่าเวทนาอยู่ นางยืนยันความปรารถนาเป็นที่มั่นคงนักว่า แม้ชั่วคืนเดียวที่นางได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา ถึงจะตายก็พอใจแล้ว เขาอย่าได้ทอดทิ้งนางให้ว้าเหว่อยู่แต่เดียวดายแสนจะทรมานใจเช่นนี้เลย เพราะแต่ละวัน ๆ ดูชั่งนานแสนนานราวกับเวลานับเป็นปี ๆ นี่ก็ยังอีกตั้งเดือนกว่าจะหมดเขตไว้ทุกข์ ใครจะทนไหว “พี่ท่านโปรดได้เห็นใจข้าพเจ้าเถิด” นางออดฉะอ้อนต่อสู้ชายของนางอย่างน่าสงสาร.

แต่ไซหมึ่งเข่งก็มิรู้ที่จะตกลงใจฉันใดอีก เขากลับมาขอความเห็นจากบัวคำเช่นเคย ซึ่งนางก็ยืนยันว่านางไม่ขัดข้อง ถ้าเมียจื้อฮือสมัครใจจะมาอยู่กับนางจริงๆ นางก็ยินดีจะมอบห้องให้สองห้อง แต่ว่าสิทธิ์ขาดในบ้านมิได้อยู่ที่นางเป็นเรื่องของตั้วเจ๊ ซึ่งเขาควรจะได้ไปหารือกับนางเอาเอง นางบอกเขาว่า อันตัวของนางนั้น เปรียบเสมือนลำธารสายเล็ก ย่อมไม่สะดวกต่อการขึ้นล่องของบรรดาเรือแพนาวาน้อยใหญ่ทั้งหลาย ไม่เหมือนกับแม่น้ำลำคลองสายกว้าง ๆ อันกิจบ้านการเรือนเช่นนี้ย่อมเป็นหน้าที่ของภรรยาใหญ่ผู้นั้น หาใช่ธุระของนางไม่ เขาจงไปปรึกษาหารือต่อนางเถิด.

ไซหมึ่งก็บากหน้ามาขอความเห็นจากนางดวงแข ตามคำพัวกิมเน้ยแนะนำ ซึ่งภริยาคนนี้ก็ให้ความคิดเห็นไปข้างที่ว่า “ยังมิเป็นการบังควรอยู่ เพราะว่าประการที่หนึ่ง ภรรยาของฮวยยังอยู่ในระยะไว้ทุกข์ให้สามีที่ตาย สอง เขาเองรึก็เป็นคนรับซื้อที่ดินของผัวเก่านางเอาไว้ แลข้อสาม เขาเองชื่อว่าเป็นผู้เก็บรักษาสมบัติของหญิงหม้ายผู้นี้อยู่ จึงหากทำอะไรผลุนผลันลงไปในระยะนี้ เพื่อนบ้านจะสงสัยแคลงใจได้ และจะเป็นที่ครหานินทาว่า พอเพื่อนตายก็เอาเมียเพื่อนมาเป็นเมียตัวเสียฉิบ แต่ว่าอะไรไม่สำคัญเท่าพี่น้องของผัวเก่านางจะเอาเรื่องเอาราวขึ้น เรื่องนี้ซิจะทำให้ยุ่งกันใหญ่ และก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ เพราะสำมะหาแต่กะพี่กะน้องเขายังทำกันได้ลงคอ ก็แล้วท่านเป็นคนอื่นมีหรือที่พวกแซ่ฮวยจะละมือให้ ไซหมึ่งฟังตั้วเจ๊ให้ความเห็นแล้วก็มิได้พูดว่ากระไร เป็นแต่กลับไปขอคำแนะนำจากเมียคนที่ห้าใหม่ว่า “เขาจะไปออกตัวแก่นางฮวยลีปังอย่างไรดี จึงจะมิให้บัวช้ำน้ำขุ่น”

พัวกิมเน้ยคนไวปัญญาก็ว่า การเพียงเท่านี้ง่ายนิดเดียว ชั่วแต่เขากลับไปบอกแก่นางลีปังว่า ได้ปรึกษากับเธอแล้ว หากมิรู้ที่จะหาเรือนว่างที่ไหนให้นางอยู่ได้ เพราะเต็มหมดทุกหลัง ขอให้นางอดใจรอไปอีกสักหน่อยก่อนก็แล้วกัน ขณะนี้เรือนหลังใหม่ที่ก่อสร้างอยู่ก็จะแล้วเสร็จลงอยู่รอมร่อ ชั่วแต่คอยให้เขาลงสีทาเชลแล็กตกแต่งให้สวยงามอีกหน่อยเท่านั้นเอง ขอให้นางมั่นใจเถิดว่า เรือนหลังที่จะเสร็จในวันสองวันนี้ไม่หนีไปไหนดอก จะเอาไว้ให้นางอยู่แน่ ๆ สองคนกับเธอ อยู่กันให้สบายทีเดียวสองคน เราพูดไปทำไมมี บอกนางซิว่าต่อไปนี้ถ้าผิดจาก “เนื้อสด” ท่านก็จะกินแต่ผักดิบ มิขอกินอาหารอื่นใดต่อไปละ เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง.

ไซหมึ่งก็ร้อง “วิเศษเลย เอาละเราจะรีบไปบอกนางตามนี้” แล้วเขาก็กลับไปบอกข้อขัดข้องตามที่พัวกิมเน้ยสอนไว้แก่นางฮวยลีปังทุกประการ ตั้งแต่วันนั้นมาหม้ายสาวของจื้อฮือก็เฝ้าแต่คอยวันอันเรือนหอหลังใหม่จะแล้วเสร็จ นางรออยู่ด้วยความหวังอันเลือนลาง เฝ้าแต่รับฟังคำผัดวันประกันพรุ่งเมื่อนั่นเมื่อนี่จากไซหมึ่งตลอดมา จนกระทั่งเดือนห้าเยือนกำหนดใกล้เข้ามาแล้วทุกขณะ ทว่าบ้านใหม่ก็ยังไม่เสร็จลงได้ ก็พอดีถึงวันอันตรงกับสารทเล้งชิว (Dragon Boat Festival)

ณ วันอันเป็นเทศกาลไหว้พญานาคผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในเกษียรมหาสมุทรนี้ ประเพณีได้กำหนดเอาวันห้าค่ำเดือนห้าเป็นวันงาน ดังนั้นจะได้เห็นแต่ละอาคารบ้านเรือนล้วนประดับธงทิวอยู่ไสว ก็เมื่อผู้คนชาวบ้านเขาต่างก็พากันชุ่นชื่นฉ่ำหัวใจอยู่ทุกผู้ทุกคน ต่างออกเดินเที่ยวเดินเตร่กันเป็นหมู่เป็นคู่เช่นนี้ จะมิให้ลีปังหล่อนว้าเหว่ขึ้นมาบ้างหรือไร ดังนั้น นางจึงใช้ให้คนไปตามพ่อชู้ชายมาพบในวันนี้อีก ซึ่งนอกจากจะได้มาร่วมสนุกครึกครื้นต่อกันแล้ว นางก็อยากจะปรึกษาหารือถึงการอันจะทำบุญส่งกุศลเผาป้ายวิญญาณแก่ฮวยผู้ตายนั้นด้วย เพราะวันสิ้นทุกข์จะตกอยู่ในวันสิบห้าค่ำถัดจากวันนี้ไปอีกชั่วสิบวันเท่านั้นเอง เมื่อไซหมึ่งมาหาและได้พบปะสนทนาต่อกันเป็นที่ตกลงแล้ว เขาก็รับปากไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เอาเถิดเขาจะรีบ ๆ ดำเนินการ เพื่อรับเอานางเข้าไปอยู่ในบ้านเป็นสามี–ภรรยากันอย่างออกหน้าออกตาโดยเร็ว “ว่าแต่ว่าในวันทำพิธีกงเต๊กให้ฮวยนั้น พี่น้องของเขายังจะมาร่วมพิธีด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้?” ไซหมึ่งถามนางลีปังอย่างไม่สู้ไว้ใจ เขากลัวว่าพี่น้องของสามีเก่านางจะมาเล่นงานเข้าให้ ลีปังก็บอกตามตรงว่า “เชิญนั้นนางต้องเชิญเป็นธรรมดา เพราะเป็นญาติพี่น้องกัน แต่เขาจะมาหรือไม่มานั้น ไม่ทราบได้.”

ครั้น ณ วันสิบห้าค่ำเดือนห้า ขณะที่ทางบ้านฮวยจื้อฮือผู้ตาย กำลังระงมอยู่ด้วยเสียงสวดอภิธรรมบังสุกุลในการศพ ทางนี้ไซหมึ่งเข่งก็กำลังสำราญสนุกสนานอยู่กับเพื่อน ๆ ในงานวันเกิดของเอ็งฮวยจื๊อ.

อนึ่งทราบเสียด้วยว่า นับแต่ฮวยจื้อฮือสิ้นชีวิตไปแล้ว ไซหมึ่งได้ยอมรับเอาพัวสี่ ผู้เป็นเลขานุการส่วนตัวของเขาเข้ามาเป็นสมาชิกแทน ดังนั้นจำนวนเพื่อนร่วมสาบานคณะนี้ จึงมีครบจำนวนสมาชิกตามเดิม.

แลในงานรื่นเริงฉลองวันคล้ายวันเกิดของเอ็งคราวนี้ เขาได้ลงทุนจัดเลี้ยงเป็นการหรูหราซู่ซ่าอยู่ มีนักร้องหนุ่ม ๆ มาบรรเลงถึงสองคน เป็นน้องนางหงึ่งปวย (Silver Cup) คนหนึ่ง และเป็นพี่นางไอ้เฮียงเสียหนึ่ง รวมเป็นสองคนด้วยกัน ตลอดเวลาไซหมึ่งตั้วเฮียใหญ่ได้มานั่งร่วมเป็นประธานอยู่ จนกระทั่งเย็น ไต้อังยี้จึงได้มาส่งข่าวให้ทราบว่า นางลีปังเชิญ เขาสบตาเด็กคนใช้ที่รับรู้ แต่แสร้งงำความกระโตกกระตากไว้ ด้วยเกรงจะแพร่งพรายเอิกเกริกไป ทว่าการทั้งนี้หาได้รอดพ้นไปจากความสังเกตของเอ็งฮวยจื๊อไม่ จึงพอไต้อังยี้คล้อยหลังออกไปจากตั้วเฮียแล้ว เอ็งก็ย่องตามออกไปติดๆ เขารั้งชายเสื้อเด็กน้อยไว้พลางตะคอกว่า ให้บอกเขามาเสียตามตรงว่า เมื่อตะกี้นี้ไปกระซิบกระซาบอะไรกับตั้วกัวยิ้ง บอกมาเสียดี ๆ มิฉะนั้นจะเจ็บตัว เขาจะบิดหูให้ขาดเดี๋ยวนี้ แล้วเขายังกราดเกรี้ยวอีกสืบไปว่า “มีอย่างที่ไหน ทำยังกะว่า ปีหนึ่ง ๆ น่ะเรามีวันเกิดอยู่ร้อยวันพันวัน ก็ทำไมจะปล่อยให้เราได้สนุกสนานรื่นเริงกับเพื่อนฝูงเต็มที่ในวันนี้สักครั้งไม่ได้เทียวหรือ? ใครเป็นคนใช้ให้เจ้ามาตาม นายผู้หญิงคนไหนของเจ้า หรือว่าอีนังผู้หญิงโสเภณีบ้านเลขที่สิบแปดนั่น?” เอ็งตวาดอยู่เอ็ดอึง.

ไต้อังก็ละล่ำละลัก บอกว่า “เปล่า–เปล่าอาแป๊ะ ไม่มีใครใช้ข้าพเจ้าดอก ข้าพเจ้าเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ไปเตือนท่านตามธรรมเนียม”

เอ็งก็คาดคั้นไปว่า “ดีแล้วอย่าให้เรารู้ก็แล้วไป ถ้ารู้ขึ้นเมื่อไหร่ละก็ เราจะเล่นงานเจ้าให้เจ็บ” แล้วเอ็งก็สั่งอาหารมาเลี้ยงดูไต้อังเป็นที่อิ่มหนำสำราญ.

สักครู่ไซหมึ่งเข่งก็ลงมา และเรียกไต้อังมากระซิบถามว่า พี่น้องของนางลีปังมาที่บ้านบ้างหรือเปล่า เจ้าเด็กคนสนิทก็รายงานว่า มีแต่พี่ใหญ่ของฮวยกับภรรยาของเขาเท่านั้นเอง แต่ว่านี่เขากลับกันไปหมดแล้วเห็นปังเจ๊ให้เสื้อผ้าไปสองชุดกับเงินอีกสิบแท่ง ดูท่าทางพี่สะใภ้ดีอกดีใจใหญ่ เห็นคำนับแล้วคำนับเล่า.

เขาถามต่อไปอีกว่า ยังได้ยินใครพูดถึงเรื่องแต่งงานแต่งการอีกบ้างหรือเปล่าที่บ้านนั้น ไต้อังก็บอกว่าไม่ได้ยินใครพูดถึง ได้ยินแต่พูดว่า เมื่อใดปังเจ๊ขึ้นบ้านใหม่พวกเขาจะไปร่วมในพิธีด้วย ตั้วกัวยิ้งก็ค่อยโล่งใจ เขาซักเด็กคนใช้สืบไปถึงพิธีกงเต๊กที่ได้ทำในวันนี้ ซึ่งไต้อังก็เล่าว่าเขาไม่เห็นมีอะไร นอกจากถึงเวลาก็จุดธูป จุดเทียนเผากระดาษเงิน กระดาษทอง แลป้ายเกซิ้น เสร็จแล้วพระที่วัดป้ออึงยี่ท่านก็กลับ.

“เอาละ ดีแล้ว, ถ้าเช่นนั้นเราจะไปเดี๋ยวนี้ เจ้าไปเอาม้ามาให้เรา” ไซหมึ่งสั่ง

และพอไต้อังวิ่งจะไปจูงม้าที่สนามหญ้ามาให้นายของเขาเท่านั้น เอ็งฮวยจื๊อก็โผล่พรวดเข้ามาทันที หลังแต่ที่ได้แอบซุ่มฟังไซหมึ่งพูดกับไต้อังจบแล้ว ได้กล่าวเป็นเชิงสัพยอกตั้วเฮียว่า “แหม เรื่องของเฮียสนุกดีแท้ๆ แต่ว่าทำไมถึงไม่แพร่งพรายให้เพื่อนฝูงรู้บ้างเล่า” แล้วเขาก็ตะโกนเรียกเพื่อน ๆ ให้ลงมา ไซหมึ่งก็ห้ามว่าไม่ดีจะเอะอะอึกทึกไปเปล่า ๆ “อย่าทำเป็นคนบัดซบไปหน่อยเลยน่า เอ็งก็” แล้วเขาก็พยายามยับยั้งมิให้เอ็งทำปากสว่างสืบไป.

แต่บัดนี้เรื่องที่ไซหมึ่งจะไปบ้านนางลีปังนั้น ไม่เป็นความลับอะไรอีกแล้ว เอ็งลากเอาตัวท่านตั้วเฮียกลับขึ้นไปข้างบน แล้วป่าวร้องสมัครพรรคพวกมากันพร้อมหน้า เขาตะโกนบอกเพื่อนให้ลั่นไปหมดทั้งห้องว่า บัดนี้คนอันเป็นพี่ใหญ่ของเราจะได้เมียใหม่เป็นคนที่หกอีกแล้ว ขอให้พวกเราได้รับรู้ไว้เสียทั่วกันด้วย แต่ว่ามีที่พิรุธอยู่อย่างคราวนี้ ตรงที่ว่าเขาช่างปิดข่าวเสียเงียบเชียบไปเลย ซึ่งที่ถูกน่าจะบอกเพื่อนฝูงให้รู้กันบ้าง จริงไหมเพื่อน? เผื่อชอบมาพากลพี่ชายของฮวยจะขัดขวางกันท่าขึ้นมา พวกเราก็จะได้คิดอ่านช่วยเหลือกันไปตามเพลง ดูรึ พี่ใหญ่ของเราทำคล้ายกับว่าเขามิเคยรู้จิตใจพวกเรามาก่อน ก็พวกเราทุกคนนี้พร้อมอยู่เสมอมิใช่หรือ ที่จะยอมมุดน้ำลุยไฟไปด้วยทุกหนทุกแห่งที่ ๆ พี่ใหญ่ของเราไป ทำไมจะต้องมาปิดบังพวกเราด้วยเล่า?

มีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนสวนขึ้นมาว่า “งั้นเอาเสียให้เจ็บ ไปบอกนางหงึงปวย กับนางกุยเสียเลย อย่างไรเสียพวกเราจะได้มีเจ้ามือเลี้ยงโต๊ะเป็นการใหญ่แล้วคราวนี้ หรือพวกเราจะเอาอย่างไรกัน?” ก็พอดีไซหมึ่งตัดบทขึ้นมาอย่างครึ้ม ๆ ใจว่า “เอาตกลง เลี้ยงก็เลี้ยง–รับรู้กันเสียทั่ว ๆ นะ ว่าบัดนี้เราได้รับรองนางฮวยลีปังเป็นภรรยาของเราแล้ว” ทันใดนั้นก็มีเสียงเฮอย่างดีใจขึ้นพร้อมกันจากพวกเพื่อน ๆ “ยังไงล่ะก็คราวนี้ต้องหานางมโหรีงาม ๆ สักสี่–ห้าคน นะเฮียนะ” เจี้ยโหวกเหวกขึ้นมาบ้าง พี่อ้ายของพรรคก็ว่า “ไม่ต้องวิตกไปถึงเรื่องนี้ดอก อย่างไรเสียก็ต้องจัดกันให้มโหฬารสมใจเพื่อนแน่นอน”

แต่จกสิกเหนียนค่อนข้างจะเป็นคนใจร้อนอยู่สักหน่อย จึงขัดขึ้นมาว่า “ก็ทำไมพวกเราจะต้องมัวไปคอยเวลาดื่มกันเมื่อนั่นเมื่อนี่เล่า เอากันเสียเดี๋ยวนี้เป็นไร?” พอสิ้นเสียงจก ก็ปรากฏว่าพวกเพื่อน ๆ ของท่านตั้วกัวยิ้งต่างเฮโลกันเข้ามาคุกเข่าอออยู่แล้วทันทีรอบข้าง เอ็งในฐานะสหายอาวุโสรองเป็นคนส่งออกสุรา เจี้ยเป็นคนใน และเขาก็รินเสียจนล้นจอกอย่างจุใจท่านเจ้าสัว ส่วนจกสิกเหนียนนั้น คอยช่วยเสิร์ฟกับแกล้มอยู่ข้าง ๆ พวกดนตรีก็ทำเพลงโดยมีนักร้องหนุ่มสำอางสองคนเป็นผู้ขับคลอตาม ซึ่งเป็นที่ครื้นเครงสนุกสนานถึงขนาดอยู่ สักครู่ไซหมึ่งก็หาทางปลีกตัวออกจากพวกเพื่อน ๆ เพื่อรีบไปหานางลีปังตามที่นางนัดหมายมา.

แลยามนั้นหม้ายสาวลีปังได้ออกทุกข์แล้ว จึงผิวพรรณนางก็ผุดผาดโสภาน่าพิศอยู่ ทั้งหน้าตาหรือก็แจ่มใส เมื่อเห็นไซหมึ่งมานางก็ดีใจมาก รีบเชื้อเชิญเขาเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งบัดนี้ได้ถอดเครื่องทุกข์ออกหมดแล้ว และประดับประดาเสียใหม่ดูเป็นที่หมดจดงดงามอยู่ ประทีปโคมไฟเล่าก็จุดตามไว้สว่างไสวแลแจ่มกระจ่างตา เสมือนหนึ่งว่านางได้ปฏิเสธความโศกเศร้าแล้วอย่างสิ้นเชิง ไซหมึ่งได้ถามนางขึ้นว่า พี่ของฮวยพูดว่ากระไรเกี่ยวกับตัวเขาบ้าง ลีปังก็ตอบต้องตรงกับที่ไต้อังได้รายงานต่อเขาทุกถ้อยกะทงความ แล้วหนุ่มสาวทั้งสองก็หยอกเอินและเสพสุราอาหารอยู่ต่อกันเป็นที่บันเทิงใจ.

เสียงกระซิบฉะอ้อนของลีปัง แว่วสลับมากับเสียงถอนหายใจอันรุ่มร้อนด้วยอารมณ์ปรารถนาของนางว่า “พี่–พี่ช่วยรีบๆ พาข้าพเจ้าเข้าไปอยู่บ้านกับพี่ท่านเร็ว ๆ เถิด! อย่าทอดทิ้งข้าพเจ้าไว้แต่เดียวดายเช่นนี้เลย ข้าพเจ้าทนไม่ไหวแล้วที่จะต้องอยู่ในสภาพอันหงอยเหงาและว้าเหว่ดั่งเช่นทุกวันนี้.”

แลยามนี้รสสวาทหม้ายสาวประทับใจเจ้าหนุ่มเป็นยิ่งนัก เขารับปากแก่เธออย่างมั่นคงว่า “ต่อ ณ วันสี่ค่ำ เดือนหน้านี้แหละ เขาจะแต่งเกี้ยวมารับนางไปอยู่บ้าน!”

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ