ฉลองวันเกิดนางลีปัง

ไซหมึ่งเข่ง, จำต้องนั่งอยู่เป็นเพื่อนสหายที่ซ่องยายลีเสียครึ่งวันค่อนวัน ทั้ง ๆ ที่เขาเองหาได้มีแก่ใจจะสนุกสนานด้วยแม้แต่น้อยเลยไม่ มิไยที่นางลีกุยและพี่สาวของเธอจะได้เอาอกเอาใจปรนนิบัติพัดวีสักปานใด ชู้รักของนางยังคงเอาแต่นั่งซึมกระทือทื่อมะลื่อเฉยอยู่ “ก็ไฉนป่านฉะนี้ ลีปังเจ้ามิส่งข่าวมา” กระทั่งพลบค่ำนั่นแหละ ไต้อังยี้จึงได้มาถึง เขาเข้ามากระซิบรายงานข่าวแก่ตั้วกัวยิ้งว่า เวลานี้ที่บ้านนางลีปังไม่มีใครอยู่อีกแล้ว ตั้วเจ๊กับยี่เจ๊กลับไปบ้านตั้งแต่บ่าย และนี่ปังเจ๊สั่งเขามาให้บอกตั้วกัวยิ้งท่านรีบไปอย่าได้มัวชักช้าอยู่ ไซหมึ่งก็ค่อย ๆ กระซิบเจ้าเด็กรับใช้ว่า ให้ลอบนำม้าไปคอยรอเขาอยู่ที่ประตูหลังบ้าน แล้วเขาแสร้งทำนั่งคุยกระจู๋กระจี๋อยู่กับนางลีกุยอีกสักครู่จึงขอตัวออกมาเพื่อทำธุระข้างนอก แต่พอออกจากห้องได้ เขาก็รีบรุดมายังประตูหลังบ้าน กระโจนแผล็วขึ้นหลังม้า พลางสั่งความไว้ต่อไต้อังยี้ ให้บอกเอ็งฮวยจื๊อว่า เขามีธุระร้อนทางบ้านต้องกลับก่อน แล้วไซหมึ่งก็ลงเดือยควบม้าตะบึงห้อเหยียดไปสู่บ้านนางลีปัง ที่ถนนสิงโตแต่บัดนั้นทันที.

เมื่อมาถึงบ้านนางหม้ายสาวลีปัง ปรากฏว่าทั้งบ้านอยู่ในความสงบเงียบ ประตูบ้านหรือก็ปิดสนิทลงกลอนลั่นดาลแข็งแรงอยู่ ไซหมึ่งร้องเรียกหญิงชราตั้งให้มาช่วยเปิดประตูให้ ขณะนั้นเจ้าบ้านสาว, คนผัวตายไม่ถึงเดือนได้ยืนคอยเขาอยู่แล้วอย่างระรื่นยิ้มแย้มที่บันไดบ้าน นางกำลังอยู่ในชุดนอนแพรบาง ๆ เกล้ามวยผมเอาไว้แต่เพียงหลวม ๆ ดูเย้ายวนนี่กระไรอยู่ นางฉอเลาะเจ้าหนุ่มว่าเกือบไป ดีว่าท่านมาช้าไปหน่อยเดียว มิฉะนั้นคงเจอเข้ากับเง็กเล้า และเจ๊พัวแน่ ๆ เพราะพี่หญิงทั้งสองพึ่งจะได้กลับไปเมื่อครู่หยกๆ นี้เอง ว่าแต่ว่าวันนี้ทั้งวันพี่ท่านไปเที่ยวที่ไหนมา.

ไซหมึ่งก็เล่าให้นางฟังตามตรง มิได้มีที่จะปิดบังอำพลางนางแต่อย่างใด แล้วหลังจากที่นางลีปังได้แสดงความขอบคุณต่อเขาที่ได้มีน้ำใจจัดส่งของขวัญมาให้นางในวันเกิดเรียบร้อยแล้ว นางก็เชิญเขาเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งได้ตกแต่งประดับประดาไว้อย่างงดงาม รอบห้องแขวนโคมกระดาษหลากสีไว้ระย้าย้อยเป็นที่สว่างไสว ควันสีเทาหนักอึ้งลอยเลื้อยเป็นลวดลายแลละม้ายรูปสลักที่พาดพันอยู่กับกระแสลมอุ่นของคืนสารทตงชิว เป็นที่รมย์หัวใจสองหนุ่ม–สาวคราวแรกจะรักกันอยู่ไม่เบาเลย.

ลีปังทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า กระทำคำนับต่อไซหมึ่ง พลางฉะอ้อนต่อเขาว่า ทุกวันนี้นับแต่ที่นางสูญเสียสามีไป นางรู้สึกให้มีความว้าเหว่และรู้สึกว่าชีวิตของนางช่างอ้างว้างโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน ทุกวันนี้หากจะมีที่พึ่งสำหรับนางอีกสักผู้ เขาผู้นั้นก็คือท่านตั้วกัวยิ้งผู้นี้แหละ ถ้าแม้นไม่รังเกียจว่านางรูปชั่วตัวดำจนเกินแล้วก็ขอเขาได้โปรดเวทนาแก่นางด้วย จะรับไว้เป็นข้าช่วงใช้ปูที่หลับปัดที่นอนให้ หรือจะใช้สอยอย่างใดก็ตามแต่ นึกว่าเอาบุญเถิด นางนั้นมิได้คิดรังเกียจเดียดฉันท์อย่างใดเลย แม้จะต้องตกเป็นเมียคนที่เท่าไหร่ ๆ ของเขาก็ตามที เพราะถึงจะตายไปก็ยังพอจะได้ชื่อว่า ตายไปโดยมีคนที่รักกับเขาอยู่คนหนึ่ง.

นางสะอึกสะอื้นร่ำพิไรต่อชู้รักด้วยน้ำตานองแก้มเป็นที่น่าปรานีอยู่ ไซหมึ่งค่อยเชยคางหม้ายสาวแม่ลีปังให้ลุกขึ้น พลางค่อย ๆ โอบรั้งประคองร่างนางแนบไว้กับอกตัวและกล่าวปลอบสาวเจ้าให้หายกังวลใจ เขาบอกว่าการเรื่องนี้ ขอนางอย่าได้วิตกทุกข์ร้อนไปเลย เขาคำนึงถึงอยู่เสมอทุกชั่วลมหายใจเข้าออก หากรอให้ถึงเวลาอันหมดกำหนดไว้ทุกข์ของนางเสียก่อนเถิด การอันเราสองจะตกลงต่อกันประการใดนั้นค่อยมาคิดกัน? ทว่าวันนี้เป็นวันดี–เป็นมงคลวารดิถีอันต้องตรงกับวันเกิดของนาง ควรหรือที่เราจะมาโศกเศร้าให้รันทดระทมใจอยู่ต่อกัน จงมาร่วมทำใจให้เบิกบานและรื่นเริงต่อกันเถิด.

ลีปังก็ค่อยคลายหายข้อที่ข้องใจ ทั้งคู่ต่างสนทนาปราศรัยและเสพสุราอาหารอยู่ด้วยกัน ตราบเด็กรับใช้ได้ทั้งโผล่เข้ามา โดยที่ไต้อังยี้รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของ “ปังเจ๊” และเขาเชื่อว่าอีกมิช้าก็นานนี้แหละนางก็คงจะได้เป็นเจ๊ไม่คนใดก็คนหนึ่งของเขา เหมือนที่แม่หญิงคนอื่น ๆ เคยเป็นกันมา ดังนั้นได้ยังจึงถือโอกาสมาอวยพรให้นางลีปังรู้สึกซาบซึ้งและให้นึกปรานีเจ้าเด็กรับใช้ผู้นี้ยิ่งนัก จึงจัดการเลี้ยงรับรองเสียจนเป็นที่อิ่มหนำสำราญถึงขนาด แล้วนางถามว่า หากเขากลับไปถึงบ้าน ถ้าแม้นมีใครก็ตาม ถามหาท่านตั้วกัวยิ้ง เขาจะตอบว่าอย่างไร? ไต้อังก็ตอบด้วยไวปัญญาในทันใดว่า “ข้าพเจ้าจะบอกแก่เขาว่า ท่านตั้วกัวยิ้งใช้เวลาสำราญคืนนี้อยู่ที่ซ่องยายลีม้า และจะกลับบ้านต่อรุ่งเช้า” ซึ่งคำตอบของไต้อังยี้ ยังความพอใจให้เกิดแก่นางลีปังเป็นอันมาก นางได้ให้เงินรางวัลเป็นค่า “เม็ดกวยจี๊” แก่เขาถึงสองชิ้น แล้วเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ลาไป.

เมื่อไต้อังยี้กลับไปแล้ว ทั้งคู่ก็นั่งสนทนาพาทีกระกระซิกอยู่ด้วยกันสืบไป เขาทั้งคู่ฆ่าเวลาอยู่ด้วยการเล่นเต๋าและไฟต่อแต้ม กระทั่งเห็นสมควรแก่เวลาแล้ว จึงชวนกันเข้านอน และโอกาสนี้ที่นับแต่ฮวยผู้สามีหาชีวิตไม่แล้ว ยังได้มอบกรรมสิทธิ์ในตัวของสาวใช้ทั้งสองให้แก่ไซหมึ่งเข่ง เช่นเดียวกับที่เคยมอบให้แก่สามีเก่ามาแล้วทุกประการ ดังนั้นในห้องนอนของนางลีปังเมื่อขณะนั้น จึงหามีความลับอันใดที่จำเป็นต้องแอบแฝงหลบเร้นไม่ แลอันใดได้เกิดขึ้น? ที่ภายใต้ผ้าม่านกำมะหยี่สีม่วงแสด เหนือที่นอนอันอ่อนนุ่มในราตรี อันตรงกับวันเกิดนางลีปังนั้น––

ต้นฉบับภาษาอังกฤษบอกให้รู้แต่เพียงว่า :– They undressed, snuggling shoulder to shoulder on the bed, they continued for a time to drink and to play dominoes. แต่ “บุปผาในกุณฑีทอง” นี้จะบอกท่านให้กระจ่างชัดไปกว่านั้น โดยอาศัยความตามลิลิตพระลอว่า ดังนี้

เชยชมชู้ปากป้อน แสนอมฤตรสข้อน
สวาทเคล้าคลึงสม  
กรเกี้ยวกรกอดเกื้อ เนื้อแนบเนื้อโอ่เนื้อ
อ่อนเนื้อเอาใจ  
พักตราใสใหม่หม้า หน้าแนบหน้าโอ่หน้า
หนุ่มหน้าสระสม  
นมแนบนมนิ่มน้อง ท้องแนบท้องโอ่ท้อง
อ่อนท้องทรวงสมร.  

(ลิลิต พระลอ)

และในขณะที่ทั้งคู่ต่างกำลังเนื้อแนบเนื้อ,–หน้าแนบหน้า,–และท้องแนบท้องอยู่นี้เอง ลีปังได้เอ่ยถามไซหมึ่งว่า การก่อสร้างเรือนหลังใหม่ของเขาดำเนินไปถึงแค่ไหนแล้ว ชู้ชายก็ตอบว่า ยังหาทันจะได้ลงมือไม่ดอก ชั่วแต่กำหนดไว้ว่าจะเริ่มงานในเดือนหน้าเท่านั้นเอง และตามรูปงานที่กำหนดไว้ก็กะว่าจะให้ช่างเขาปรับที่บริเวณใหม่แปลงนี้ให้เป็นสวนหมด เรือนที่มีอยู่แต่เดิมก็จะให้รื้อลงให้สิ้น แล้วจะได้สร้างเก๋งขึ้นใหม่ในบริเวณนั้นให้กว้างขวางและน่าอยู่ ส่วนทางหน้าเก๋งสำราญนี้ จะก่อเป็นเนินเขาแล้วสร้างเรือนนั่งเล่นสำหรับตากอากาศขึ้นไว้.

ลีปังได้ยินเช่นนั้นก็มิได้ว่ากระไร เป็นแต่ชี้มือไปที่ผนังห้องทางปลายตีนเตียงและบอกเขาว่า ในผนังนั้น นางได้ซ่อนสินค้ามีค่าบางอย่างเอาไว้สามหีบชา มีแก่นกฤษณาหนักสี่สิบชั่ง ขี้ผึ้งชาขาวอย่างดีหนักสองร้อยชั่ง พริกไทยเม็ดหนักแปดสิบชั่ง กับปรอทอีกสองกระปุกใหญ่ ซึ่งของเหล่านี้หากเขานำไปขายแล้วก็คงจะได้ราคาดี เอาเถิดจะขายได้เท่าไรก็ตาม เงินจำนวนที่ขายได้นั้นนางขอมอบให้เป็นทุนร่วมในการสร้างบ้านหลังใหม่นี้ เพราะนางอยากจะรีบๆ เข้าไปอยู่ในบ้านกับเขาเหลือทนแล้ว นางบอกว่านางทนไม่ได้ที่จะต้องมานอนอ้างว้างอยู่โดยปราศจากเขาแต่ผู้เดียวดายอย่างเช่นทุกวันนี้.

ไซหมึ่งยินคำคนคู่พิสมัยกล่าวฉะอ้อนรำพันความเป็นที่จับใจนักเช่นนี้ ก็ให้ยิ่งทวีความปฏิพัทธ์ผูกพันในนางลีปังเป็นยิ่งนัก เขาค่อยบรรจงใช้ผ้าเช็ดหน้าของเขาซับน้ำตาจากใบหน้าของนางอย่างทนุถนอม พลางปลอบประเล้าประโลมว่า ขอให้นางอดทนไปอีกสักหน่อย พอให้พ้นกำหนดวันอันเป็นระยะไว้ทุกข์ของนางแล้วเขาจะจัดการเอง เขาเชื่อว่าเรือนหลังใหม่คงจะเสร็จได้ทันระยะนั้น ขืนให้นางไปเวลานี้เขาเองก็จนปัญญามิรู้จะหาที่แห่งใดให้นางอยู่ แต่ลีปังก็อ้างว่า จะเป็นไรไปหาที่ที่ไหนให้นางอยู่ก่อนก็ได้ เรือนเจ๊พัวก็ยังมี ทำไมจะให้นางไปอยู่ร่วมกับโง่วเจ๊คนนั้นมิได้หรือ เพราะนางก็คุ้นเคยและสนิทสนมกันดีอยู่ ถึงเง็กเล้า, ซัมเจ๊นั่นก็เถอะ ได้ชอบพออยู่กับนางเช่นกัน นางว่าหากจะมีที่ขัดขวางอยู่สักราย ก็คงเป็นตั้วเจ๊ เพราะดูสายตาของเธอมิสู้จะกินเกลียวกับนางนัก คล้าย ๆ กับว่ามีความรังเกียจรังงอนในตัวนางอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่.

เจ้าหนุ่มคนอันเป็นชู้รักก็ค้านว่าเป็นไปมิได้ดอก อันที่นางว่ามานั้นเป็นการผิดถนัด ดวงแขนั้นเป็นคนครองอัธยาศัยงาม กอปรทั้งมีความโอบอ้อมอารีเป็นที่ตั้ง เรื่องที่จะรังเกียจเดียดฉันท์นางนั้นเห็นจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหาไม่แล้วที่ไหนบรรดาเมียน้อยเมียใหญ่ทั้งหลายของเขาที่มีๆ อยู่ จะปรองดองต่อกันถึงเพียงนี้เล่า เขาขอให้นางจงมั่นใจและอย่าวิตกกังวลไปเลยสำหรับการเรื่องนี้ และเพื่อขจัดความวุ่นวายทั้งหลายอันอาจเกิดมี เขาบอกแก่นางลีปังว่า เอาเถิดสำหรับเรือนหลังใหม่ที่เขาปลูกให้นางนี้ จะได้ทำประตูให้สองทาง สำหรับนางจะได้เข้าออกมิต้องปะปนและยุ่งยากต่อเขาอื่น ทั้งนี้ เขาได้ถามนางว่า ยังจะเป็นที่พอใจของนางแล้วหรือยัง?

“โอ, พี่–” ลีปังสุดจะตื้นตันใจเป็นที่สุดแล้ว นางโผผวาเข้าซบหน้าลงกับอ้อมอกของเจ้าหนุ่ม พลางทุ่มทอดตัวอยู่ในอ้อมกอดอันรัดรึงของเขา ที่แลราวกับหงส์รุ่นสำราญไพร มิได้คิดที่จะแหนงหน่ายคลายสวาทต่อกันเลย ตราบเสียงกลองขานย่ำคำรบสี่แว่วมา ทั้งคู่จึงต่างม่อยผล็อยหลับด้วยกันไป–เขาทั้งสองได้หลับไปจนกระทั่งค่อนสายของวันใหม่จึงได้ตื่นขึ้น ทว่าถึงเขาจะได้ตื่นแล้วก็จริง แต่ทั้งคู่ก็ยังมิยอมจะลุกออกมาจากเตียง ชั้นแต่อาหารมื้อเช้าเขาก็สั่งคนใช้ให้ยกเข้าไปกินที่บนเตียงนอนนั้นเอง ครั้นกินอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ทั้งคู่ต่างก็หยอกเย้าเคล้าคลึงกันสืบต่อไปอีก หากการยังมิทันไร ไต้อังยี้ก็มายืนร้องเรียกอยู่โหวกๆ ที่ริมหน้าต่างห้องนอนเสียก่อน บอกว่ามีพ่อค้ามาแต่แคว้นใต้ห้าคน กำลังรอคอยเขาอยู่ที่บ้านเพื่อจะทำสัญญาซื้อขายสินค้ากับท่านตั้วกัวยิ้งเดี๋ยวนี้ และตั้วเจ๊ใช้ให้เขามาตามตัวเพื่อไปลงนามในสัญญา

“ว่าแต่ว่าหัวเด็ดตีนขาด เจ้าต้องไม่แพร่งพรายให้ใครรู้ได้ทีเดียวนะ ว่าเรามานอนค้างที่บ้านนี้ใช่ไหมล่ะ?” ไซหมึ่งงัวเงียๆ ตะคอกถามเป็นคำขาด.

“แน่นอน ข้าพเจ้าไม่เคยบอกใครเลยว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าบอกเขาแต่เพียงว่าท่านอยู่ที่บ้านยายลีโน้น” ไต้อังยี้รับรองอย่างมั่นคง.

“ดีแล้วถ้าเช่นนั้นละก็ ว่าแต่ว่าเรื่องอะไรถึงจะต้องมาให้เดือดร้อนแก่เราด้วย ก็อาแป๊ะฮก (Uncle Fu) ผู้จัดการร้านขายยาของเราอยู่ทั้งคน ทำไมถึงไม่ไปตามแกมาเล่า แกก็รู้เรื่องรู้ราวดีอยู่นี่นา”

ไต้อังยี้ก็บอกว่าพวกพ่อค้าเขาไม่ยอม เขาต้องการจะตกลงกับท่านตั้วกัวยิ้งโดยตรง ไซหมึ่งชักโมโหก็บ่นพึม หากนางลีปังเธอกลัวจะเสียการเสียงาน ก็เลยแนะนำให้เขากลับไปบ้านเสียก่อน เพราะดีไม่ดีนางดวงแขจะสงสัยได้ เรื่องของเรื่องก็จะยุ่งยากมากความไปเปล่า ๆ.

“ถุย อ้ายพวกพ่อค้าบ้านนอก มันคงหาตลาดขายไม่ออกแล้วซิ ถึงได้วิ่งมาหาเรา” ไซหมึ่งยังไม่หายโมโหเฝ้าบ่นพึมพำอยู่ “ดีนักรูปนี้ จะกดราคาเสียให้เข็ด แกล้งถ่วงเวลามันเล่น ดูน้ำหน้ามันซิจะว่าอย่างไร ร้านเครื่องยาในตลาดถมไป หากเราต้องการจริงละก็เรียกที่ไหนก็ได้ ขี้คร้านจะเอาเสียอีก”

ลีปังก็บอกว่า “เถอะน่า เรื่องงานเรื่องการ ท่านอย่ามัวนอนใจทำให้เสียผลไปเลย ถ้าข้าพเจ้าเป็นท่าน ข้าพเจ้าก็ต้องไป วันอันเราจะได้ร่วมสุขนั้นยังอีกถมไป นับไม่ถ้วนเหมือนกับใบหลิวที่ร่วงแล้วร่วงอีก”

แล้วอย่างอิด ๆ เอื้อน ๆ ไซหมึ่งก็ลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัว เขาแสร้งนั่งถ่วงเวลากินอาหารอยู่อย่างทองไม่รู้ร้อนจนกระทั่งอิ่มหนำสำราญดีแล้ว จึงได้ลานางลีปังมาขึ้นมากลับไปบ้าน.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ