สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ

แลนางฮวยลีปัง เมื่อหลังจากสามีตายไปแล้วมิทันจะถึงเดือน ยังอยู่ในกำหนดระยะไว้ทุกข์ นางก็ได้รับบัตรเชิญจากพัวกิมเน้ย ให้ไปในงานกินเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของเธอที่บ้าน ในวันเก้าค่ำเดือนอ้ายที่จะถึงนี้.

จริงอยู่ เมื่อพูดถึงหน้าที่ภรรยา ลีปังมิบังควรจะไปไหนมาไหนนอกบ้านในระยะห้าสิบสัปดาห์นี้ เธอควรแต่จะอยู่กับบ้านทำการบวงสรวงสังเวยและเซ่นไหว้ป้ายวิญญาณผัว แต่ว่าระหว่างจื้อฮือ สามีซึ่งตายเป็นผีจากไปแล้ว กับไซหมึ่ง ชายชู้คนเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่ ลีปังเฝ้าครุ่นกังวลถึงก็แต่ผู้กล่าวนามทีหลังนี้ดอก.

ถึงแม้วันเกิดนางพัวกิมเน้ยจักใช่สลักสำคัญต่อนางนัก หากการอันจะได้ไปเห็นหน้าชู้รักสามีของคนเจ้าของงานวันเกิดนี้สิสำคัญอยู่.

ดังนั้น ณ วันเก้าค่ำ เดือนอ้าย นางฮวยลีปังภายในเครื่องทุกข์ผ้าป่านดิบสีขาวสะอาด คลุมหน้าไว้ด้วยผ้าลินินขาวตามมรรยาทของหญิงหม้าย ก็นั่งเกี้ยวมุ่งมายังบ้านงานแม่นางพัวกิมเน้ยทันที เมื่อนางก้าวลงมาจากเกี้ยวนั้น จากแต่ทีท่าอาการข้างภายนอก ก็ดูว่าลีปังเธอเคร่งครัดในขนบธรรมเนียมดีอยู่ ทว่ามองให้ซึ้งและพิจารณาให้ดีเถิด ข้างภายในเสื้อคลุมไว้ทุกข์นั้น ลีปังนุ่งกระโปรงแพรสีฟ้าปักด้วยไหมทอง หนำซ้ำนางยังคาดผมไว้ด้วยรัดเกล้าไข่มุกทั้งชุดอีก! อย่างไรก็ตาม เมื่อหม้ายสาวจื้อฮือกระทำคำนับนางดวงแข ผู้เมียใหญ่ของท่านตั้วกัวยิ้ง ถ้วนสี่ครั้งตามธรรมเนียมแล้ว นางก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบรรดาเมียน้อยรอง ๆ ตามอาวุโสของท่านเจ้าบ้าน แล้วนางก็สั่งให้เทียนฮกกับยายผั้ง ช่วยกันยกเข่งของขวัญวันเกิดเข้ามาให้แม่นางพัวกิมเน้ย.

อนึ่ง, ท่านผู้อ่านควรจะได้ทราบไว้เสียด้วยว่า นับแต่วาระที่ฮวยจื้อฮือล้มเจ็บลง เทียนฮี้ หนึ่งในจำนวนสองของคนใช้ผู้ชาย ซึ่งเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงแต่เดิมมา ได้ถือโอกาสตอนที่ฮวยเจ็บลุกไม่ขึ้นนี้ ขโมยเงินหลบหนีออกจากบ้านไป ดังนั้นทุกวันนี้ ลีปังจึงคงเหลือคนใช้ผู้ชายไว้ใช้สอยอยู่เพียงคนเดียว คือ เทียนฮก.

ได้นั่งสังสรรค์สนทนาอยู่ต่อกันชั่วขณะแล้ว การก็ปรากฏว่า หม้ายสาวจากสกุลฮวยผู้นี้ สามารถเข้าวงกันได้เป็นอย่างดีกับบรรดาเมีย ๆ ทั้งสี่ของไซหมึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนางพัวกิมเน้ยนั้น ลีปังถึงแก่เรียก “เจ๊” (Sister) ทุกคำไป และเมื่อบรรดาหญิงเจ้าบ้านเหล่านั้นรู้ว่า นางฮวยลีปังผู้นี้เป็นคน “คอแข็ง” หนึ่ง การสนทนาก็ดูยิ่งจะออกรสมากขึ้น สุรายิ่งเพิ่ม เสียงคุยยิ่งดัง ในที่สุดก็ค่ำลงโดยไม่รู้ตัว บรรดาเมีย ๆ ของไซหมึ่งก็เลยขอร้องให้นางอยู่ค้างคืนเสียกับนางพัวกิมเน้ยที่เรือนสวนในคืนนี้ และปรากฏว่าในงานวันเกิดของภรรยาคนที่ห้าคราวนี้ ไซหมึ่งเข่งหาได้อยู่ร่วมในงานกับเขาด้วยไม่ เขาออกไปกินเหล้าเสียกับเพื่อน ๆ ที่วัดเง็กอ้วงเบี้ยตลอดวัน พึ่งจะได้กลับบ้านเอาเมื่อค่อนคืนนี้เอง.

แลในงานวันเกิดคราวนี้ พัวกิมเน้ยได้พิถีพิถันแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่ประณีตบรรจงอยู่ นางปักมวยไว้ด้วยปิ่นซิ่วอันที่ไซหมึ่งเข่งมอบให้เป็นของขวัญ และด้วยปิ่นทองอันนี้เองที่เมื่อใครเห็นใครก็ชม นางดวงแขเห็นเข้าก็เลยออกปากชมอยู่เช่นกัน นางฮวยลีปังได้ยินเข้าก็บอกว่า ปิ่นเช่นนี้นางพอจะมีอยู่ เอาเถิดแล้วจะนำมามอบให้เป็นของขวัญแก่เจ๊ท่านให้จงได้ แล้วลีปังก็ใช้ให้ยายผั้งกลับไปบ้าน ให้ไปเอาปิ่นที่ต้องการมาให้นาง.

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหญิงชราแม่นมผั้งได้นำของอันนายสาวต้องการมาได้เรียบร้อยแล้ว ลีปังก็นำไปแจกจ่ายแก่บรรดาภรรยาทั้งสี่ของไซหมึ่งคนละคู่ตามที่รับปากเอาไว้แต่วันวาน ซึ่งด้วยความเป็นคนใจคอกว้างขวางของนางลีปังนี้แหละ เป็นเสมือนนิมิตดีที่ก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ และผูกพันมิตรภาพให้แน่นแฟ้นมั่นคงขึ้นแก่บรรดาแม่หญิงเจ้าบ้านเหล่านั้นตาม ๆ กัน ต่างก็ใคร่จะได้มีโอกาสสมนาคุณตอบแทนนางสักครั้ง จึงได้ไต่ถามนางขึ้นว่า ต่อเมื่อใดโอกาสอันเป็นวันคล้ายวันเกิดของนางจะมาถึงบ้าง? ฮวยลีปังก็บอกว่า วันสิบห้าค่ำเดือนอ้ายที่จะถึงนี้แหละ เป็นวันคล้ายวันเกิดของนาง บรรดาแม่หญิงสกุลไซหมึ่งเหล่านั้นก็พากันดีใจ เพราะว่าวันนั้นเป็นวันตรงกับสารทตงชิว (Lantern Festival) พวกนางจึงรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะขอไปในงานวันเกิดครั้งนี้ของลีปังให้จงได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะบ้านของนางฮวยลีปังอยู่ใกล้กับบริเวณตลาดดวงโคม อันเป็นสถานที่ที่จัดงานวันสารทประจำปี.

แล้วเย็นวันนั้นเอง ลีปังก็นั่งเกี้ยวกลับบ้านด้วยหัวใจอันเปี่ยมแปล้และเอิบอาบอยู่ด้วยความหฤหรรษ์ในอันที่จะได้ก้าวเข้าไปอยู่ร่วมนิวาสสถานกับบรรดาแม่หญิงเหล่านั้น นางหลับตามองเห็นความหวังอยู่แล้วรำไร จากการได้ไปเยือนบ้านเพื่อนเก่าของสามีครั้งนี้ ลีปังสังเกตเห็นว่า ขณะนี้ตรงเนื้อที่ที่ว่างระหว่างเรือนนางพัวกิมเน้ย กับเขตติดต่อได้มีการลงรากเสาก่อสร้างเรือนหลังใหม่แล้ว และกำแพงที่กั้นระหว่างสองอาณาเขตอันเป็นบ้านเก่าของนางนั้น บัดนี้ก็ได้รับการรื้อถอนลงสิ้น นางได้ยินบัวคำบอกว่า ท่านตั้วกัวยิ้งได้เรียกช่างมาดูให้ลงมือก่อสร้างอยู่แล้ว กำหนดจะแล้วเสร็จในเดือนยี่ ส่วนบริเวณที่สวนภายในเขตบ้านไซหมึ่งแต่เดิมมาก็ขยายออกไปถึงเนื้อที่เก่าของนาง ตามแผนก่อสร้างนั้น บัวคำเล่าว่า ท่านตั้วกัวยิ้งจะให้ก่อเป็นเนินเขาขึ้นทางด้านหน้า และจะสร้างเก๋งสำหรับรับลมขึ้นบนเนินนี้ ส่วนเนื้อที่ทางด้านหลังนั้นจะปลูกเรือนขึ้นอีกหลังหนึ่ง และแล้ว “พัวเจ๊” ก็สรุปคำบอกเล่าของนางลงด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจต่อลีปังว่า “ทั้งหมดนี้ ตั้วกัวยิ้งทำไว้ให้กับเรา” ซึ่งในเวลาเดียวกัน ลีปังก็กระหยิ่มอยู่ในสีหน้าอย่างสงบโดยนึกว่าอย่างไรเสีย ทั้งหมดนี้ต้องเป็นของเรา–ไซหมึ่งทำไว้ให้เราเช่นกัน.

ครั้นวันอันเป็นเทศกาลสารทตงชิว สิบห้าค่ำเดือนอ้าย อันต้องตรงกับวาระคล้ายวันเกิดของนางลีปัง ไซหมึ่งเข่งในนามของตั้วเจ๊ แม่นางโง้ววัวยะ ได้จัดส่งเหล้าองุ่นอย่างดีเหยือกหนึ่ง อาหารอีกหลายอย่างรวมทั้งเส้นหมี่อายุวัฒนะ ผลไม้นานาชนิด กับเสื้อคลุมไหมปักลายด้วยดิ้นทองอีกชุดหนึ่งไปให้เป็นของขวัญแก่นางลีปัง ซึ่งก็ได้ตอบรับขอบใจไปยังบรรดาภรรยาทั้งห้าของท่านตั้วกัวยิ้ง พร้อมทั้งส่งบัตรเชิญกินเลี้ยงเนื่องในวาระนี้มาอีกด้วย แต่บัตรเชิญรายที่เป็นของไซหมึ่งนั้น ลีปังได้สลักหลังกำชับไปว่าให้เขาค่อยมาต่อพลบค่ำ เมื่อถึงเวลาบ่ายบรรดาเมียใหญ่เมียน้อยของท่านตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่ง ที่เว้นเสียแต่นางซึงเซาะง้อซึ่งรับหน้าที่เฝ้าบ้านแล้ว ต่างนางต่างก็กระวีกระวาดขึ้นเกี้ยวคานหามรุดไปยังเรือนของนางลีปังทันที.

อันบ้านใหม่ที่ถนนสิงโตซึ่งฮวยจื้อฮือซื้อไว้ก่อนตายหลังนี้ ว่าที่จริงก็กว้างขวางโอ่โถงอยู่ เจ้าของเดิมสร้างไว้ใหญ่โตเป็นเรือนยกพื้นสองชั้น มีห้องกว้างสี่ห้องลึกสามห้อง จากหลังบ้านจะมองเห็นอุทยานอันเป็นอาณาบริเวณของเจ้าเชื้อพระวงศ์ฮ่องเต้คนใดคนหนึ่ง ทางด้านหน้าเมื่อมองไปจากเฉลียงบ้านก็จะเห็นบริเวณตลาดดวงโคมได้ถนัดถนี่.

แลห้องที่แม่นางลีปังจัดไว้รับรองบรรดาสุภาพสตรีผู้มีเกียรติจากสกุลไซหมึ่งนั้น เป็นห้องกว้างอยู่ชั้นบน นางได้จัดประดับประดาและตกแต่งไว้งดงาม กอปรด้วยฉากเขียนเป็นรูปทัศนียภาพอันร่มรื่นของทิวเขาแลลำเนาไพร ซึ่งดูแล้วก็น่าเพลินใจอยู่ ตามริมชายคาบ้านก็แขวนโคมระย้าหลากสีไว้เป็นระยะๆ เพลาต้องลมรำเพยพัดก็แกว่งกวัดอยู่ไหว ๆ ซึ่งก็น่าทัศนาอยู่เช่นกัน เมื่อแขกและเจ้าภาพได้สนทนาวิสาสะกันอยู่ชั่วครู่ที่ห้องชั้นล่าง พร้อมหน้าพร้อมตากันดีแล้ว หม้ายสาวผู้เจ้าภาพก็เชื้อเชิญบรรดาเมียๆ ทั้งหมดของท่านไซหมึ่งให้ขึ้นไปยังห้องชั้นบนที่ได้จัดไว้รับรอง เสียงกระจับปี่สีซอก็แว่วกังวานขึ้นในฉับพลัน สาวรุ่นสะคราญร่างสองนางก็ออกมาร่ายรำและขับร้องเป็นที่ขับกล่อมให้เพลิดเพลินใจ แต่จุดใหญ่อันเป็นที่ตั้งแห่งความปรารถนาของบรรดาพวกผู้หญิงที่มานั้น แต่ละนางต่างหวังที่จะได้ชมงานนักขัตฤกษ์สารทตงชิวที่ชาวบ้านจัดขึ้นให้จุใจ ดังนั้นทั้งห้านางต่างก็ออกมายืนออพยักพเยิดดูงานกันอยู่อย่างชื่นชมที่ระเบียงนอกห้องนั้นเอง.

ตลาดดวงโคม, ขณะนั้นคลาคล่ำอยู่ด้วยฝูงชนที่หลั่งไหลมาจากแต่ทิศานุทิศ เต็มไปหมดทั้งตามถนนหนทางแลในร้านรวงบ้านช่อง แต่ละผู้แต่ละคนที่มาในงานต่างก็ตกแต่งประดับประดากันด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลากสีสดสะสวยไปทั้งนั้น ทั่วบริเวณก็สะพรึบสะพรั่งพร้อมอยู่ด้วยโคมกระดาษตามประทีปไว้ภายในดูสว่างไสว ต่างก็แข่งขันกันในเชิงประกวดประชันประดิดประดอยประดาโคมเป็นรูปลักษณะที่ต่าง ๆ บ้างแขวนไว้ชายคา บ้างห้อยไว้ยอดเสา บ้างเล่าก็เดินถือกวัดแกว่งเล่น ดูวับๆ แวมๆ ไปตามถนนเหมือนประกายพร่างของพวงไข่มุก ขบวนแห่ที่ตกแต่งกันต่าง ๆ นานาก็ล้วนแต่น่าดู สารพัดพันธุ์บุปผชาติบรรดามีในวันนี้ย่อมจักหาดูได้ในตลาดเช็งฮ้อ ตั้งต้นแต่ดอกบัวไปจนดอกแก้ว ที่เป็นรูปสิงสาราสัตว์ก็มาก มีทั้งอูฐ มีทั้งลิงและสิงโต ตรงข้างประตูเมืองโดยเฉพาะทำเป็นรูปช้างเผือกจังก้าแบกทองอยู่เต็มหลัง แลข้างรูป “หัวโต” เล่าก็ล้วนน่าขบขัน มีทั้งหลวงจีนแก่คร่ำคร่าที่ท่าสมถะแต่ทำกลอกหูกลอกตาล่อกแล่ก นั่นยมบาลนั่งเอ้เตอยู่ข้าง ๆ หญิงงามเมือง หน้าขาวว่อกปากแดงแจ๊ด รูปถัดไปเป็นเล่าจื๊อนั่งเคร่งเครียดปั้นยาลูกกลอนอายุวัฒนะไปตามเรื่อง ที่หน้าตาหน้าเกลียดขี่คางคกทองสามขานั้น คือเล่าจ้อ คนตลบตะแลงสิ้นดี ฯลฯ สารพัดมี ณ ที่นั้น กล่าวได้ว่าทุกชีวิตในตำบลเช็งฮ้อล้วนเต็มไปด้วยความคึกคักและมีชีวิตชีวาอย่างเต็มที่! ใครจะอวดร่ำอวดรวยอวดดีอวดเด่นก็มาอวดกันในวันนี้ จะเป็นนักศึกษาหนุ่มน้อย หรือว่าเป็นนักอภิปรัชญาศิษย์ขงจื้อ แม่บ้านท่านขุนน้ำขุนนางคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ต่างก็แต่งกายภูมิฐานเดินกันให้โก้หร่านไปหมด ซึ่งช่างสนุกสนานและครึกครื้นเสียนี่กระไร เช็งฮ้อในวันอันกล่าวถึงนี้ มิได้มีผิดอะไรกันเลยกับเมืองจีน ณ วันอันรุ่งเรืองยิ่งแต่ ณ สมัยพระเจ้าตั้งฮ้วง (Shen Hung) นั้น.

แล ณ ยามที่เช็งฮ้อทั้งตำบลตกอยู่ภายใต้บรรยากาศอันสนุกสนานกระปรี้กระเปร่าของประเพณีโบราณพื้นบ้านนี้เอง แม่หญิงทั้งห้าผู้เฉิดโฉมต่างก็พากันหฤหรรษ์และเริงรื่นไปตามกัน นางพากันยืนชมทัศนียภาพอันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาที่แลหลากหลามละลานตาของฝูงชนซึ่งเบียดเสียดเยียดยัดอยู่แน่นถนน บ้างก็อ่อนหวานละมุนละม่อมและบ้างก็กระโชกโฮกฮาก ทั้งห้านางยืนดูอยู่สักครู่ นางดวงแข, นางลีเกียว, และลีปัง ก็ถอยตัวกลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารข้างในห้องอันจัดไว้รับรอง คงเหลือที่ยืนอวดร่างอวดโฉมอยู่เหนือเฉลียงบ้านแต่เพียงสองนางคือ แม่หญิงซัมเจ๊กับนางบัวคำ และเด็กสาวนักดนตรีอีกสองคนนั้น ทั้งสี่สาวต่างพากันอ้อยอิ่งอยู่ต่อภาพอันน่าดู ที่ช่างแปลกหูและแปลกตาต่อนาง และบัวคำนั้นปกติวิสัยนางเป็นหญิงร่านจริตมีอัธยาศัยชอบโอ้อวด จึงยามจะยืนเจ้าก็มิได้ยืนอยู่เฉย ๆ ถลกแขนเสื้อขึ้นไปจนเห็นลำแขนอันอวบอัดขาวผ่อง และนิ้วกลมกลึงประดุจหน่อหอม ซึ่งนางประดับแหวนทองพราวไว้ทั้งหกวง ยิ่งกว่านั้นนางยังกระเบื้อกระแหย่งชะเง้อชะโงกออกไปดูเสียจนน่าเกลียด มิหนำซ้ำนางยังแสร้งทำวี๊ดว้ายกระตู้วู้สัพยอกเอากับผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ในถนนข้างล่างอีก ดีไม่ดียังคายเปลือกเม็ดกวยจี๊ใส่หัวเขาให้ก็มี ปากนางมิได้มีที่จะหุบนิ่งอยู่ได้ หูตาหรือก็สอดส่าย แสร้งใส่หัวเราะเสียงใส ท้าทายสายตาผู้คนเบื้องล่างอย่างไม่หวั่นเกรง ดังนั้นจะประหลาดอันใดเล่า ที่ว่าเพียงชั่วครู่เดียวซึ่งนางบัวคำยืนสำแดงโฉม ณ ที่นั้น บรรดาผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่อยู่เบื้องล่างก็พากันหยุดชะงัก และต่างก็แหงนชะเง้อเฝ้าชมโฉมบัวคำเจ้าจนแน่นขนัด จนทำให้การจราจรตรงบริเวณนั้นคับคั่งชน แลต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา.

“ถ้าคงจะเป็นพวกนางห้ามในฮาเร็มของเจ้าเชื้อพระวงศ์องค์ใดองค์หนึ่งละกระมัง?” ใครคนหนึ่งเดาสวดขึ้นมาลอย ๆ จากกลุ่มคนข้างล่าง.

“มีหวังคงเป็นพวกนางบำเรอของเจ้าชายองค์ที่อยู่วังถัดไปนี้แน่ๆ” เสียงอีกผู้หนึ่งรับสมอ้างขึ้นมา.

“ไม่แน่นาเพื่อน” อีกคนร้องขัดอย่างเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง “อาจเป็นนางคนสวย ๆ จากสำนักใดสำนักหนึ่งที่ท่านเจ้าสัวเขาเชิญมาเป็นแขกในงานวันนี้ก็ได้”

“เฮ้ย ผิดทั้งเพแหละเพื่อน อั้วจะบอกให้รู้ว่าพวกนี้เป็นใคร!” เสียงเจ้าหนุ่มคนที่สี่ที่รู้ดีขัดคอขึ้นอย่างรำคาญ ๆ “อย่าว่าแต่จะอยู่ในฮาเร็มของท่านไทจือไหนเลย ประตูฮาเร็มของไทจือนางพวกนี้ก็ไม่เคยเห็น ถ้าจะอยู่ในฮาเร็มของไซหมึ่งเข่ง ตั้วกัวยิ้ง ล่ะว่าไม่ถูก ก็ลื้อไม่รู้จักดอกหรือ ไซหมึ่งเข่งคนที่เป็นเจ้าของร้านขายเครื่องยาหน้าตลาดใหญ่ใกล้ที่ทำการฯ นั่นอย่างไรเล่า ใคร ๆ ก็รู้จักเขาออกทั่วบ้านทั่วเมือง แม่ผู้หญิงคนนุ่งกระโปรงแพรชีฟองสีทองขลิบริมเขียวนั่นเราไม่รู้จัก ทว่าคนใส่เสื้อคอปกแดงพื้นเหลืองนั้นเราพอจะรู้จักอยู่ ก็เมียบู๋ตั้วคนขายขนมเปี๊ยะที่ถูกไซหมึ่งเตะเสียตายนั่นอย่างไรเล่า อั้วว่าลื้อคงนึกออกแล้วละซี ถึงเรื่องบัดสีที่เกิดขึ้นจากร้านน้ำชายายเห่งพั้วคนนั้น? นั่นแหละที่ต่อมาบู๋ซ้งได้ติดตามมาจะเอาเรื่อง แต่เกิดเข้าใจผิดอะไรขึ้นไม่รู้ได้ บู๋ซ้งเลยดันไปฆ่าลีกั่วท้วนตายเข้าเสียก่อน เขาก็เลยถูกจับและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดน นี่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องเลยว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”

ได้ยินเข้าเช่นนี้ บัวคำก็ชักจะระคายหูขึ้นมา พอดีเสียงตั้วเจ๊เรียกให้เข้าข้างในได้ที่แล้ว นางก็ลุกเข้าไปพร้อมกับซัมเจ๊เง็กเล้า ต่างก็เข้านั่งโต๊ะอาหารและสนทนาอยู่ต่อกันเป็นที่เพลิดเพลินจนกระทั่งบ่าย วัวยะเจ๊ก็ขอตัวกลับก่อนพร้อมกับนางลีเกียว คงเหลือแต่บัวคำกับนางเม่งเง็กเล้าอยู่ เพราะนางประสงค์จะดูการตกแต่งประทีปโคมไฟต่อภายค่ำ.

จะกล่าวฝ่ายไซหมึ่งเข่ง ปรากฏว่าเขาก็ออกเที่ยวทั้งวันเหมือนกันในวันนั้น เขาไปกับเอ็งฮวยจื๊อ และเจี้ยฮีตั้ว เที่ยวได้เดินดูการตกแต่งดวงโคมตามร้านตามตลาดและดูผู้คนกับเขาพักใหญ่แล้วจึงกลับ ขามาสหายทั้งสามก็เจอเข้ากับซึงเทียนฮวย และจกสิกเหนียนที่กลางทาง พอเห็นหน้าซึงและจกก็รุมกันต่อว่า “ตั้วเฮีย” เสียเป็นการใหญ่ ในเรื่องที่ว่าจะมาเที่ยวก็ไม่บอกด้วย แล้วต่างก็ถกเถียงกันถึงว่าจะไปใช้เวลาหาความสำราญในครึ่งวันนี้กันที่ไหนดี เถียงกันไปเถียงกันมา ก็ยุติกันได้ว่า ไปนอนซ่องยายลีซัมม้า เป็นดีที่สุด ไซหมึ่งซึ่งความตั้งใจมีอยู่ก็ชั่วแต่จะขอปลีกตัวในเพลาเย็น มาหาแม่นางลีปังตามนัด ก็เลือกเอาข้างตกลงคล้อยตามและร่วมทางไปกับเขาเหล่านั้นด้วย.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ