หม้ายสาวกำสรวล

จะกล่าวถึง นางพิมพิลาไลย

นอนเดียวเปลี่ยวใจอยู่ในหอ

คอยทัพตรับฟังยังรั้งรอ

ไม่แจ้งข้อเนื้อความประการใด

รำลึกดึกดื่นทุกคืนคอย

แต่ละห้อยหาหลับสนิทไม่

นอนวันฝันเห็นให้เป็นไป

หลงใหลพูดเพ้อดังผีลง

อยู่อยู่แล้วก็จู่ออกนอกห้อง

หัวเราะร้องร่าเร่อละเมอหลง

เผอิญเข็ญเป็นไข้ไม่คืนคง

แต่ทรุดทรุดแล้วก็ทรงเสมอมา.

(ขุนช้าง–ขุนแผน)

ฉันใด, นางพิมพิลาไลย ฉันนั้น นางฮวยลีปังนางได้นอนเดียวเปลี่ยวใจอยู่ในหอที่ถนนสิงโตมาตั้งสองวันแล้ว ข่าวคราวของไซหมึ่งก็เงียบไป ครั้นส่งยายผั้งไปดูลาดเลาทางบ้านของเขาเล่า ก็ปรากฏว่าที่บ้านท่านตั้วกัวยิ้งเวลานี้เงียบเชียบ และประตูบ้านก็ปิดลั่นดาลอยู่ ทั้งหาเห็นผู้คนเข้าออกดังเช่นเดิมไม่ นางก็ให้นึกสงสัยและกลุ่มกังวลใจอยู่ครามครัน นางคอยอยู่ต่อมากระทั่งถึงวันยี่สิบสี่ค่ำ อันเป็นวันที่จะต้องมอบของขวัญวันวิวาห์ตามสัญญาที่นางและเขาได้ตกลงกันไว้ ลีปังก็ใช้ให้หญิงชราคนเก่านำกระจกเงาบานนั้นไปมอบให้ไซหมึ่งที่บ้าน ซึ่งอาม้าผั้งแกก็คงต้องมายืนจดๆ จ้องๆ คอยอยู่หน้าประตูบ้านดังเดิมอีก เพราะไม่เห็นหน้าค่าตาใครสักคนที่จะโผล่หัวออกมา กระทั่งแกเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินจูงม้าออกมาจากภายใน แกจำได้ว่าเป็นเด็กรับใช้คนเดียวกับที่ชื่อ ไต้อังยี้ ซึ่งไซหมึ่งเคยใช้สอยไหว้วานไปที่บ้านนางลีปังบ่อยๆ แกก็ร้องเรียก เด็กหนุ่มได้ยินเสียงยายแก่มาร้องเรียกก็เดินออกมาดู จำได้ว่าเป็นยายผั้งที่อยู่บ้านแม่นางลีปังจึงยิ้มให้ และถามแกว่ามีธุระอะไรหรือ? หญิงชราก็บอกว่า นางลีปังใช้ให้แกนำกระจกของขวัญมาให้ไซหมึ่งเข่ง กับอีกเรื่องก็คือว่า ปังเจ๊อยากจะพบตั้วกัวยิ้งสักหน่อย มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือบ้านช่องถึงได้เงียบเชียบเช่นนี้ ไต้อังก็บอกว่า หมู่นี้นายของเขามีธุระมากจนไม่มีเวลาว่าง เอาเถอะ เขาจะเป็นคนเอากระจกนี้ไปให้ตั้วกัวยิ้งเอง แต่ต้องคอยให้เขาให้น้ำให้หญ้าม้าเสียก่อน สั่งให้แกคอยอยู่หน้าบ้านนี่เดี๋ยวเขาจะออกมาบอก.

ไต้อังหายเข้าไปในบ้านสักพักใหญ่ก็กลับออกมาบอกยายผั้งว่า นายผู้ชายของเขาสั่งฝากความขอบใจเป็นอย่างมากไปยังปังเจ๊ และสั่งว่าให้นางคอยอีกสักสอง-สามวันเถิด ท่านจะไปหาที่บ้าน.

แต่สอง-สามวันที่ท่านตั้วกัวยิ้งผู้มีเกียรติ สั่งความมายังนางลีปังนั้น บัดนี้ได้ล่วงเลยมาเป็นสอง-สามสัปดาห์ และจนจะร่วมเดือนเข้าแล้ว นี่ก็ตกเข้าต้นสัปดาห์ที่สามของเดือนที่หก ตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่งก็ยังมิเยือนมา ดังนั้น ลีปังจึงเฝ้าแต่ “รำลึกดึกดื่นทุกคืนคอย แต่ละห้อยหาหลับสนิทไม่ นอนวันฝันเห็นเป็นไป––” ตลอดมา.

ความในต้นฉบับพากย์อังกฤษว่าไว้ดังนี้ :–

Listlessly she strokes her brows;

The thought of adorning herself distresses her.

Gloom weighs upon her jasper bosom.

She sighs and bears her misery alone.

ซึ่งจะเรื่องอะไรเสียอีกเล่า สำหรับหญิงสาวยามขาดคู่เคียงร่วมชิดเชย นอกไปจากมี “หน้าตาเซื่องซึมนั่งที่ไหนก็ตาลอย มิได้คิดจะแต่งเนื้อแต่งตัว เฝ้าแต่ถอนหายใจฮึดฮัด เหมือนมีอะไรสักอย่างอึดอัด ๆ อยู่ในทรวงอก–”

อยู่มาเพลาคืนหนึ่ง นางฝันไปว่า ไซหมึ่งมาหาและได้ร่วมอภิรมย์ชิดเชยต่อกันเป็นที่ปราโมทย์หัวใจอยู่ และในฝันนั้นนางให้แสนจะชุ่มฉ่ำกมลมาโนชญ์เป็นยิ่งนัก แต่พอนางตื่นจากความฝันขึ้นมาแล้ว หาปรากฏว่าได้มีอยู่แม้แต่เงาของยอดชู้ไซหมึ่งไม่ นางก็เสียใจสะอึกสะอื้นร่ำไห้จนเป็นลมหน้ามืดล้มพับไปกับเตียง ทำเอายายผั้งตกอกตกใจใหญ่ แกคิดว่าคุณผู้หญิงของแกถ้าจะมีอันเป็นเสียอีกคนแล้วเป็นแน่.

“อาม้าปิดประตูเรือนดีแล้วหรือ ท่านตั้วกัวยิ้งพึ่งจะออกไปเมื่อครู่นี้เอง?” นางเพ้อถามยายผั้งอย่างป้ำๆ เป๋อ ๆ.

“โธ่, ทูนหัว ไม่มีใครเขาได้มาหาดอก แม่นายฝันไปต่างหาก” แล้วหญิงชราก็เฝ้าปลอบโยนต่างๆ นานา ทว่านับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา หม้ายสาวสวยลีปังได้ล้มเจ็บไม่สบายลง และอาการของนางก็มี “แต่ทรุดทรุดแล้วก็ทรงเสมอมา––” ยายผั้งอดเวทนานายสาวที่แกฟูมฟักมาไม่ไหว ก็ไปตามหมอมาดูอาการนาง.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ