หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค

Sometimes the daring whisper of the spring breeze

May gently ripple the surface of a stagnant pool.

ครั้งนั้น ยังมีนายแพทย์ผู้หนึ่งรับทำการรักษาโรคอยู่ในตำบลเช็งฮ้อนี้ เขาเรียนสำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์มาจาก “วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์” ของแคว้น เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์เลื่องลืออยู่ ผู้คนในละแวกบ้านนี้เรียกเขาจนติดปากว่า “หมอเตกกัง” (Doctor Bamboo Hill) หากชื่อจริง ๆ ของเขานั้นชื่อ นายแพทย์กาง (Doctor Kiang) เขาเป็นคนอายุปูนสามสิบ รูปร่างล่ำสันทะมัดทะแมง และค่อนข้างประณีตพิถีพิถันในการแต่งเนื้อแต่งตัวอยู่.

เมื่อเขาได้รับแจ้งจากยายผั้งม้า ให้มาดูอาการของนางลีปังแล้ว ก็รีบมุ่งตรงมายังบ้านของคนไข้ ขณะนั้น ลีปังนอนซมลุกไม่ขึ้น ยายผั้งจึงบอกให้คุณหมอเข้าไปดูอาการที่ในห้อง เมื่อหลังจากที่เขาได้ตรวจอาการโรคของนางอยู่ครู่ใหญ่แล้ว เขาก็ให้คำวินิจฉัยโรคของนางว่า เนื่องมาแต่เลือดลมเดินไม่สะดวก ไปคั่งอยู่ในลำไส้จนท่วมกระเพาะอาหาร ทำให้เส้นประสาทมึนชาและสมองมึนงงไป จึงทำให้เกิดอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว, เมื่อผสมกับความคิดมากของคนเจ็บ ที่กังวลอะไรต่ออะไรอยู่ เลยพลอยทำให้ใจคอหงุดหงิดและจิตใจไม่ปกติ บางครั้งจะทำให้สติเลื่อนลอยและมึนซึม โดยเฉพาะเวลากลางวันจะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียใจ และกระสับกระส่าย จะนอนไม่หลับในเวลากลางคืน เขาบอกว่ามีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาให้หายขาดได้ในระยะนี้ คือต้องกินยาระงับเส้นประสาท เพราะอาการค่อนข้างจะแปล้เต็มที่แล้ว เขาย้ำว่าขอให้เชื่อความสามารถของเขาเถิด เขาจะรักษาให้หายอย่างแน่ๆ คนเจ็บก็ยินยอมและรับจะปฏิบัติตามที่นายแพทย์สั่งทุกประการ.

แล้วหมอเตกกังก็รับเงินค่าเปิดกระเป๋าจากนางลีปังไปเป็นมูลค่าห้าสลึงตามธรรมเนียม เขาบอกให้ยายผั้งตามไปเอายาที่ร้าน และนับแต่เย็นวันนั้นเป็นต้นมา เมื่อลีปังกินยาตามที่นายแพทย์กางปรุงให้แล้ว นางก็หายวันหายคืน เริ่มกินได้และนอนหลับขึ้นมาเป็นลำดับ มิช้าก็อ้วนท้วนเปล่งปลั่งและผิวพรรณสดชื่น หน้าตาก็ผ่องใส มีเลือดฝาดสมบูรณ์ดังเช่นเดิม นางก็ให้นึกถึงบุญคุณของหมอเตกกังเป็นอันมาก จึงกำหนดจะแต่งโต๊ะเลี้ยงอาหารเขาขึ้นสักครั้งหนึ่งที่บ้านของนางเป็นการสมนาคุณคุณหมอ ซึ่งข่าวนี้ยังความปราโมทย์ให้แก่พ่อหมอกางเป็นยิ่งนัก เขารีบรับเชิญโดยทันที มิได้มีขัดข้องแต่อย่างใด.

การเลี้ยงดำเนินไปอย่างไม่มีที่ติ ทั้งในเรื่องรสชาติของอาหาร และหรือมรรยาทในการรับรองของเจ้าบ้าน ภายในห้องที่ตั้งโต๊ะเลี้ยงนั้นเล่าก็อบร่ำไว้หอมรื่นภิรมย์ใจ ซึ่งมิพักกล่าวถึงละว่าคุณหมอแกจะป่วนปั่นหัวใจเสียนักแล้ว และในขณะที่กำลังนั่งกินเลี้ยงอยู่ดี ๆ นั้นเอง หมอกางก็แปลกใจค่าที่เห็นสาวใช้ผู้หนึ่งได้นำเงินสามตำลึงมามอบให้เขา มิหนำซ้ำนางเจ้าบ้านเองยังอุตส่าห์รินเหล้าใส่จอกหยก ยื่นส่งให้ต่อมือเขาเสียอีก นางได้กล่าวว่า ด้วยความระลึกถึงบุญคุณที่คุณหมอได้ช่วยชูชุบชีวิตนางให้คงคืนฟื้นขึ้นมาจากโรคภัยไข้เจ็บ นางหามีสิ่งล้ำค่าอันใดจะตอบแทนให้เขาไม่ นอกจากน้ำใจ แม้สุราจอกนี้จะจืดชืดไม่มีรส แต่ก็ขอได้ระลึกเถิดว่าเสมือนรินออกมาจากหัวใจของนาง เปี่ยมแปลอยู่ด้วยความรู้สึกระลึกถึงคุณท่านมิวายเลย.

คุณหมอก็ให้ตะกุกตะกักเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ เขาตอบนางว่า โปรดอย่าคิดอะไรให้มากมายไปเลย ที่เขาเยียวยาแม่นางก็ด้วยอาศัยความรู้เล็ก ๆ น้อยๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาดอก ใช่ว่าจะวิเศษแต่ไหนก็หาไม่ พูดพรางตาก็กวาดชำเลืองพลางที่ถุงเงิน และถามนางว่า “ก็และเงินจำนวนนี้ข้าพเจ้ายังจะสมควรได้อยู่อีกหรือ?––” ลีปังก็ย้ำว่า “ควรที่คุณหมอท่านจะรับไว้เป็นค่าสมนาคุณ นึกเสียว่าเป็นของตอบแทนต่างไมตรีของนาง” หมอเตกกังทำอิด ๆ เอื้อน ๆ ทีมิเต็มใจแล้วก็ตกลงรับเงินจำนวนนี้ไว้แต่โดยดี และก็ให้นึกกระหยิ่มหัวใจอยู่ เมื่อได้นั่งจิบสุราอยู่ต่อไปอีกถึงสามจอกแล้ว พ่อหมอก็ชักจะใจกล้าขึ้นมาบ้าง เขาลอบชำเลืองดูความโสภาน่ารักจากเรือนร่างของนางลีปังอยู่ด้วยความระทึกใจ.

“ยังจะเป็นการน่าเกลียดหรือไม่มิทราบได้ หากข้าพเจ้าจะถามถึงอายุของแม่หญิงท่าน?” หมอกางเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามอายุอานามของนางอย่างเกรงใจ ซึ่งนางก็ตอบคุณหมอแต่ตามตรงมิได้กระดากกระเดื่องว่า “ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นโล้เป็นพายมาได้ยี่สิบสี่ปีเข้าปีนี้แล้ว” หมอกางก็พูดทันควันว่า “แม่นางท่านยังสาว และกระชุ่มกระชวยอยู่ ยังมีโอกาสถมไปที่จะหาความสุขใส่ตัว ก็ไฉนแม่หญิงท่านถึงได้กลายเป็นคนใจลอยหงุดหงิด ๆ เช่นนี้เล่า?” ลีปังก็หัวเราะอย่างอายเหนียม และบอกแก่เขาว่า “ข้าพเจ้าบอกคุณหมอตามตรง คือนับแต่ข้าพเจ้าต้องสูญเสียสามีไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่สบายใจกับเขาเลย ว้าเหว่อย่างไรพิกล ท่านคิดไหมเล่าว่า ความเปล่าเปลี่ยวหัวใจที่รุมรึงอยู่รอบ ๆ ตัวนี้ บางครั้งก็อาจทำให้เป็นโรคใจลอยได้ และเจ็บป่วยได้ป่วยในที่สุด”

“ขอให้ข้าพเจ้าถามอีกสักครั้งเถิด สามีแม่หญิงท่านเสียเมื่อไหร่?”

“เขาเสียเมื่อเดือนสิบเอ็ดปีกลายนี้เอง เป็นโรคปอดบวมตาย และตั้งแต่เขาเสียชีวิตมา บัดนี้ก็จะครบแปดเดือนแล้ว” เล่าแล้วนางก็ถอนใจ.

“ก็ก่อนหน้าที่เขาจะตาย แม่นางไม่เคยให้หมอคนใดมาตรวจดูอาการของเขาบ้างดอกหรือ?”

ลีปังก็บอกว่า นางเคยได้ตามหมอฮกจากถนนใหญ่คนนั้นให้มาดูอาการหนหนึ่ง ทว่าหนเดียวเท่านั้นเอง พอนางเอ่ยชื่อ “หมอฮก” กางก็สวนขึ้นว่า “อ๋อ, หมออีกคนที่เขาเรียก ๆ กันว่า ‘ปากผี’ คนนั้นเอง เขาอยู่ในบ้านขันทีแซ่เล่าใช่ไหมล่ะ?” ก็มันมีภูมิรู้กะเขาเสียเมื่อไรเล่า หมอกลางบ้านเราดี ๆ นี่เอง เคยได้เข้าโรงโรงเรียนแพทย์กะเขาหรือก็เปล่า แล้วจะวินิจฉัยโรคสามีแม่หญิงท่านได้ถูกต้องอย่างไรกัน ไม่ควรที่ท่านจะไปปรึกษาเขาเลย.”

เจ้าบ้านสาวก็ว่า นางมิเคยได้รู้จักมักคุ้นกับเขามาก่อน หากเพื่อนบ้านแนะนำให้ก็ไปตามมา แต่ว่าตั้งแต่สามีนางเสียชีวิตแล้ว นางก็หาเคยได้รักษากับหมออีกคนนี้อีกไม่.

ดอกเตอร์กางก็ล้วงถามลึกซึ้งสืบไปอีกว่า นางมีลูกชายหรือลูกสาวบ้างหรือเปล่า? นางก็บอกว่าไม่มีเลยสักคนเดียว ไม่ว่าลูกสาวลูกชาย เตกกังก็ถอนหายใจอย่างสงสารและเวทนานาง “น่าสงสารนะ น่าสงสารเหลือเกิน มิน่าเล่า เพราะแม่หญิงท่านต้องครองวัยสาวอยู่เดียวดายเช่นนี้เอง ถึงได้ทำให้ใจคอเลื่อนลอยเสมือนคนไม่มีชีวิตชีวา ก็ท่านมิเคยคิดที่จะหาคู่ครองใหม่กับเขาอีกบ้างดอกหรือ” นางก็บอกความจริงว่า เคยและก็กำลังจะตกลงอยู่แล้วรอมร่อ แต่ไหงการถึงกลับมาเปลี่ยนแปลงไปเสียได้ก็ไม่รู้

“ก็เขาผู้นั้นเป็นใครมิทราบ?”

“ก็ตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่งคนที่เป็นเจ้าของร้านขายยาร้านใหญ่ ใกล้ที่ว่าการผู้นั้นอย่างไรเล่า?”

“ฮะ ฮ่า! เขาผู้นั้นเองดอกหรือนี่ ก็แต่ว่าเนี่ยเบี้ยได้คิดทบทวนดีแล้วหรือในการเรื่องนี้ ในฐานะที่เป็นหมอประจำครอบครัวของเขา ข้าพเจ้าพอจะรู้จักและคุ้นเคยกับเขาอยู่ ถูกละที่ว่าเขาเป็นเจ้าหนี้ของคนเกือบทั้งตำบลนี้ และก็มีอิทธิพลเหนือใครต่อใครอยู่ พูดไปทำไมมี แม้แต่งานราชการในตำบลนี้ เขาก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ ในบ้านของเขานั้นที่ไม่นับข้าทาสชายหญิงอันเกลื่อนกล่นมากหน้าหลายตาแล้ว เขามีภรรยาอยู่ในบ้านถึงห้าหรือหกคน และถ้าหากว่าภรรยาคนหนึ่งคนใดเกิดเป็นที่ไม่พอใจเขาขึ้นมา เขาก็จะลงอาชญาทัณฑ์เอาด้วยไม้เรียวอย่างไม่ปรานีปราศรัย หรือมิฉะนั้นก็ขายส่งเข้าซ่องโสเภณีไปเสียเลย ตั้วกัวยิ้งคนนี้แหละที่เป็นหัวโจกของพวกนักเลงหัวไม้ในเช็งฮ้อนี้ เขาเที่ยวได้ประพฤติเสเพลลอบคบชู้สู่สาวลูกเขาเมียเขาอยู่เป็นอัตรา จนใคร ๆ เขาก็รู้กันทั่วทั้งตำบล ขืนท่านแต่งงานอยู่กินไปกับผู้ชายคนนี้ละก็เชื่อเถิด เท่ากับว่าท่านตกเข้าไปอยู่ในอุ้งตีนเสือแล้วก็ว่าได้ แล้วท่านจะช้ำใจภายหลัง อะไรไม่ร้ายเท่าเรื่องที่พึ่งเกิดต่อเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เกี่ยวด้วยลูกเขยลูกสาวเขานั่นแหละ ก็แม่หญิงท่านยังรู้หรือเปล่าเล่าว่า เดี๋ยวนี้ลูกสาวของเขากับสามีของนางนั้นได้มาอาศัยหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน? เรื่องนี้เองที่ทำให้เขาต้องหยุดชะงักการปลูกสร้างบ้านใหม่เสียกลางคัน เวลานี้ทางเมืองหลวงก็ส่งหมายแจ้งระบุโทษเนรเทศบรรดาวงศาคณาญาติของเขามาให้ทางการของตำบลนี้รู้แล้ว ใครจะรู้ไปได้เล่าว่าเขาจะถูกเกาะกุมตัวเมื่อไหร่? ก็ถ้าเป็นไปอย่างว่า บรรดาเมีย ๆ เขาล่ะจะทำอย่างไร? พูดแล้วก็สงสาร-”

พอทราบเรื่อง ลีปังก็ถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงตะไล นางคิดไปถึงจำนวนเงินเป็นก่ายเป็นกองที่ได้ฝากเขาไว้ และบัดนี้นางก็ได้รู้แล้วว่า เพราะเหตุผลกลใดที่ทำให้ไซหมึ่งถึงหายหน้าค่าตาไป นึกไปนึกมานางก็อยากจะแต่งงานเสียกับคุณหมอคนอัธยาศัยนุ่มนวลผู้นี้เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ครั้นจะเอ่ยปากบอกความในใจแก่ผู้ชายเขาก่อนก็ใช่ที่ เกลือกเตกกังไม่เล่นด้วย ดีมิดีรังแต่จะเสียศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงไป นางจึงแย้ม ๆ ว่า เท่าที่คุณหมอช่วยกรุณาเล่าข้อเท็จจริงให้ฟังมานี้ ก็รู้สึกเป็นบุญคุณเหลือเกินแล้ว แต่จะเป็นพระคุณยิ่งขึ้นไปอีก หากเขาจะได้ช่วยแนะนำเพื่อนฝูงคนใดใครสักคนที่เห็นว่าเป็นคนดีมีอัธยาศัยน่าคบหาสมาคม พอจะรับเป็นผู้คุ้มครองและให้ความสุขตามประสาผัว ๆ เมียๆ แก่นาง.

หมอเตกกังก็บอกว่า เขาเต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับใช้นางในการเรื่องนี้ หากติดขัดอยู่ก็ตรงที่ว่าเขามิทราบลักษณะและชนิดของคู่ครองตามที่นางมีความประสงค์ เพราะมิเคยทราบจิตใจของนาง หม้ายสาวคนพลาดรักก็บอกว่า คู่ครองที่นางต้องประสงค์นั้น ลักษณะหน้าตาหาสำคัญไม่ดอก ดูที่เขามีอัธยาศัยใจคอคล้ายคลึงคุณหมอก็เป็นที่พอใจแล้ว.

พอได้ยินข้างฝ่ายผู้หญิงทอดสะพานน้ำผึ้งมาให้เดินเช่นนี้ หมอกางก็กระหยิ่มใจยิ้มว่าอกจะระเบิดเสียให้ได้เพราะความดีใจ เขาลุกขึ้นกระโดดจนตัวลอยแล้วก็ฟุบลงไปคุกเข่ากล่าวสารภาพรักต่อนางลีปังอย่างเปิดอกว่า “โอ เนี่ยเนี้ย ขอบอกท่านตามตรงว่าข้าพเจ้าต้องทนว้าเหว่ทรมานมาหลายปีนักแล้ว ไร้ทั้งลูกร้างทั้งเมีย ครองชีวิตกะเขามาอย่างโดดเดี่ยวตลอดเวลา เมื่อนางมีเมตตาถึงปานนี้ ข้าพเจ้าก็ยินดีและพร้อมที่จะรับใช้ให้ความคุ้มครองแก่แม่หญิงท่านสืบไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

ฮวยลีปังยิ้มระรื่นพลางพยุงร่างนายแพทย์ให้ลุกขึ้น และพูดแก่เขาว่า เมื่อไหน ๆ เราก็จะจริงจังต่อกันแล้ว ประการแรกที่อยากจะทราบก็คือว่า อายุของท่านเท่าใดเวลานี้? และท่านต้องตกพุ่มหม้ายมาแล้วกี่ปี? และที่ยิ่งกว่านั้นก็ขอให้ท่านรีบจัดการหาเฒ่าแก่มาสู่ขอเตรียมสินสอดทองหมั้นขันหมากมาตามธรรมเนียม.

คุณหมอพอได้ยินผู้หญิงเขารวบรัดตัดความถึงแค่นี้ ก็ยิ่งดีใจใหญ่กระโดดจนตัวลอยอีก พลางก็จาระไนชีวประวัติของเขาให้ “เจ้าสาววันหน้า” ฟังว่า เวลานี้เขาน่ะพึ่งจะมีอายุได้ยี่สิบเก้าปีเท่านั้นเอง ยังหนุ่มแน่นและแข็งแรงอยู่ ส่วนที่ต้องตกพุ่มหม้ายเพราะภรรยาเก่าตายจากไปนั้น นับได้ปีกว่า ๆ แล้ว ทุกวันนี้เขามีแต่ความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ ก็เมื่อนางได้ยอมเสียสละถึงแค่นี้แล้ว จะมาเกี่ยงงอนเรื่องสินสอดทองหมั้นอยู่ทำไม ถึงนางจะเรียกเขา เขาก็ไม่มีให้!

เมื่อเป็นเช่นนี้ ลีปังก็เลยตัดบทเสียเพื่อให้เรื่องลุล่วงไปรู้แล้วรู้รอด นางบอกแก่เขาว่า เอาละเป็นอันไม่ต้องการแล้ว ขันหมากขุนพลู เอาเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนางจะจัดการเอง เฒ่าแก่นางก็จะให้ยายผั้ง แม่นมของนางนี้แหละเป็น สินสอดนางก็จะออกให้แทน หน้าที่ของเขาอย่างเดียวก็คือ พอถึงวันมงคลให้ขนของเข้ามาอยู่ในบ้านของนางเสียเป็นการสิ้นเรื่อง ขอให้คอยฟังกำหนดวันก็แล้วกัน นางจะไปหาโหรให้ดูวันฤกษ์งามยามดีก่อน.

ครั้งนี้ เตกกังดีใจเป็นอย่างที่สุด เขาโขกหน้าผากลงกับพื้นห้องให้นางเห็น เพื่อเป็นการยืนยันถึงความภักดีอย่างแท้จริงของเขา พลางสรรเสริญเยินยอนางอยู่มิขาดปาก “วาสนาของข้าพเจ้าแล้ว ที่จะได้มีความสุขเหมือนเขาอื่นบ้าง บุญคุณท่านครั้งนี้ล้นหัวล้นเกล้านัก อย่าว่าท่านจะเป็นแต่ภรรยาของข้าพเจ้าเลยด้วยซ้ำ ท่านเป็นเสมือนมารดาบังเกิดเกล้าข้าพเจ้าเสียอีก”

แล้วอีกมิกี่วันต่อมา หญิงชราผั้งก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เฒ่าแก่เป็นคนมาสู่ขอนางฮวยลีปัง ซึ่งเป็นนายสาวของแกเองให้แก่หมอเตกกัง ครั้น ณ วันฤกษ์งามยามดี ดิถีที่สิบแปดแห่งเดือนที่หก กาง, เจ้าบ่าวอนาถา ก็โยกย้ายนิวาสสถานจากกระท่อมอันซอมซ่อดั้งเดิมของเขาเข้ามาพำนักอยู่กับนางฮวยลีปัง ที่บ้านถนนสิงโตสืบมา.

แล้วอีกสามวันต่อมา นางลีปังก็มอบเงินให้แก่สามีใหม่ของนาง ๓๐๐ ตำลึง เพื่อเป็นทุนรอนในการเปิดร้านขายยาขึ้นที่บ้าน ยิ่งกว่านั้นนางยังได้ซื้อม้าให้เป็นพาหนะแก่เขาอีกตัวหนึ่ง เพื่อสำหรับเขาจะได้ใช้เวลาไปตรวจและเยี่ยมคนไข้ แทนที่จะต้องย่ำฝุ่นตลบดังแต่ก่อน นับว่าหมอกางได้เลื่อนฐานะความเป็นอยู่ของเขาขึ้นโดยปริยาย ทั้งนี้เพราะเขาได้เมียดีมีฐานะมั่งคั่ง สมดั่งความตามต้นฉบับเดิมที่ยกอ้างไว้แต่เบื้องต้นว่า,

Sometimes the daring whisper of the spring breeze

May gently ripple the surface of a stagnant pool.

ซึ่งแปลความตามพากย์ไทยไว้ดังนี้: -

ลมอ่อนโชยเฉื่อย หากพัดกระชั้น บางครั้งอาจบันดาลให้น้ำนิ่งในสระไหวกระเพื่อมได้

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ