- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
บัวคำทำเสน่ห์
“หลวงจีนหนึ่ง, นางชีหนึ่ง, เต้าหยินหนึ่ง, หมอเสน่ห์หนึ่ง, หมอตำแยหนึ่ง, แม่สื่อแม่ชักอีกหนึ่ง บุคคลหกจำพวกนี้ มิบังควรที่สามีผู้ใดพึงปล่อยให้ภริยาซ่องเสพคบหา ด้วยมิดีแล”
(พังเพยจีน)
นับแต่คดีชู้สาวของพัวกิมเน้ยสิ้นสุดลง และได้รับโทษทัณฑ์ตามที่เล่ามาแล้ว นางก็เฝ้าครุ่นคิดอยู่แต่การอันจะตอบแทนแก้แค้นศัตรูของนางให้จงได้ แม้วันงานแซยิดของท่านตั้วกัวยิ้งผู้สามีก็เถอะ ภริยาคนโปรดของไซหมึ่งนางนี้ หาได้ออกมาร่วมสนุกสนานกับเขาด้วยดังเช่นเคยไป นางเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องของนาง และเมื่อลีเกียวยี่เจ๊ได้พานางกุยเข่ง หลานสาวคนสวยที่สามีได้เคยร่วมชิดเชยประเดิมสวาทมาเยี่ยมคำนับ พัวกิมเน้ยก็มิปรารถนาออกมารับรอง ด้วยซ้ำนางสั่งชุนบ๊วยให้ปิดประตูเรือนประชดใส่หน้าอาคันตุกะทั้งสองเสียอีกด้วย ซึ่งประพฤติการของโง่วเจ๊ครั้งนี้ยังความละอายและเจ็บใจให้แก่สองน้าหลานผู้มาจากซ่องโสเภณีสกุลลีเป็นอย่างมาก.
ครั้นเวลาล่วงเลยมาได้หลายวัน ไซหมึ่ง, ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่บ้านเขามิได้คลาคลาดไปจากโง่วเจ๊ คนอันเป็นเมียถูกใจผู้นี้เลยนั้น เกิดรำลึกนึกถึงโฉมนางลีกุยขึ้นมา แลทั้ง ๆ ที่กิมเน้ยจะได้หว่านล้อมอยู่นานัปการ เกี่ยวกับการอันที่ถูกที่ควรในเรื่องความประพฤติเสเพลของเขา และหรือจะได้ใช้วาทศิลป์หว่านล้อมออดอ้อนเอาด้วยชั้นเชิงเสน่หาเพื่อรัดรึงใจเขาสักเท่าใดก็ตามที ไซหมึ่งก็อุตส่าห์ปลีกเวลาเลี่ยงมาหานางลีกุยที่สำนักจนได้ในวันหนึ่ง ข้างแม่นางคนสวยดาราประจำซ่องแซ่ลีคนนี้ก็ไม่หยอก พอเห็นหน้าตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเดินเข้าประตูเรือนมาเท่านั้น เจ้าก็ลุกหนีไปห้องเสียฉิบ มิไยที่ไซหมึ่งจะอ้อนวอนอย่างไร นางลีกุยก็มิได้ฟังเสียง เอาแต่นอนคว่ำหน้าซบสะอึกสะอื้นอยู่ในห้อง มิยอมลงมารับรองเขาดั่งเช่นเคย.
ไซหมึ่งนั่งคอยนางลีกุยเข่งอยู่ในห้องรับแขกสักครู่ ยายลีพั้วแกก็เดินสักกะเท้าหง่อม ๆ ของแกเข้ามา.
“อ้าว, ท่านตั้วกัวยิ้งดอกหรือ ไงหายหน้าค่าตาไปเสียหลายวันละหมู่นี้?”
ท่านผู้มีเกียรติแห่งตำบลคนที่เป็นทั้งน้องเขยแลลูกเขยของแกก็ตอบว่า เขามัวติดธุระเรื่องงานเรื่องการที่คั่งค้างสืบทอดมาแต่วันงานแซยิดของเขา หญิงเจ้าของสำนักก็ถามต่อไปว่า อย่างไรเสียก็คงไม่ใช่เรื่องอันเกี่ยวกับการที่นางลีกุยลูกสาวของแกไปเยี่ยมใช่ไหม? ไซหมึ่งก็รับว่าใช่ “ว่าแต่ว่า เธอหายหน้าหายตาไปไหนเสียล่ะ?”
ยายลีก็บอกว่า นังหนูของแกนั้นอย่างไรพิกล ตั้งแต่ไปบ้านท่านตั้วกัวยิ้งกลับมาแล้ว ดูซึมเซาเหงาหงอยอย่างไรพิกลอยู่ ข้าวปลาก็ไม่กิน เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องวันทั้งวัน ปลอบก็แล้วขู่ก็แล้วไม่ได้ความ ลูกเขยก็ว่าไม่เป็นไร เขาจะขึ้นไปดูอาการของนางเอง แล้วเขาก็ขออนุญาตหญิงเจ้าของสำนักขึ้นไปห้องแม่นางลีกุย.
เมื่อท่านตั้วกัวยิ้งได้เห็นสภาพของลีกุยนั้น นางกำลังอยู่ในอาการของคนทุกข์หนัก ผมเผ้าสยายหลุดลุ่ย แลหน้าตาก็หม่นหมอง สิซ้ำนอนคว่ำหน้านิ่งมิไหวติงอยู่กับเตียงนอน.
ไซหมึ่งทรุดตัวลงช้อนร่างแม่นางลีกุยเข่งขึ้นแนบถนอมไว้กับอก พลางปลอบประเล้าประโลมนางอยู่ด้วยคำวอน “บอกเราเถิด ใครทำอะไรให้เจ้าเจ็บใจมา” คนสวยเจ้าก็แสร้งเฉย อ้ำอึ้งอยู่ มิเอ่ยปากว่าประการใด ในที่สุดนางก็ร่ำไห้ออกมาเป็นการใหญ่ และพิรี้พิไรต่อเขาว่า “ท่านตั้วกัวยิ้งยังจะมาอาลัยไยดีเอาอะไรกับข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้านั้นเป็นได้ก็แต่นางโสเภณี หาเหมือนแม่หญิงพัวกิมเน้ย โง่วเจ๊, คนนั้นของท่านไม่ แต่ว่าทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงโสเภณี ผู้หญิงหากินในการบำเรอชายนี้แหละ ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้ายังได้ทำประโยชน์ให้แก่โลกไว้ไม่น้อยเลย ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความปรารถนามาแต่อย่างเดียว คือขอให้ได้กระทืบหัวอีนางเมียคนที่ห้าของท่านคนนี้ให้ได้สักครั้งหนึ่ง ตั้วกัวยิ้งท่านยังจะจำได้อยู่หรือไม่เล่า วันที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมคำนับท่านเมื่องานวันแซยิดนั้น ข้าพเจ้าได้รับความอับอายขายหน้าเพียงใดจากแม่นายคนนั้นของท่าน ข้าพเจ้ามิได้ไปเยี่ยมท่านในฐานะของแขกแปลกหน้า แต่ไปเพราะว่านับเนื่องเป็นสังคญาติกัน แม่นางตั้วเจ๊เสียอีกยังดีแสนดีต่อข้าพเจ้า ให้ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หนำซ้ำยังสั่งให้ข้าพเจ้าแวะไปเยี่ยมเยียนอีกในโอกาสหน้า แต่ตรงข้ามนางพัวกิมเน้ยคนนั้นได้กระทำต่อข้าพเจ้าอย่างสิ้นดี ข้าพเจ้านี้มาตรว่าเป็นสตรีประจำซ่องก็ยังมีสมบัติผู้ดีกับเขาอยู่ แต่โง่วเจ๊ของท่านนั้นช่างหามิได้เอาเสียเลย มีดีมาอย่างไรหรือ? พูดแล้วเจ็บใจนัก ที่มันทำต่อข้าพเจ้าและแม่น้าในวันนั้น มันทำเช่นไรหรือ? มันใช้ให้อีสาวใช้ของมันมาปิดประตูใส่หน้าข้าพเจ้ามิให้เข้าเรือนของมัน นี่ละหรือมารยาทของภรรยาคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่เขาประพฤติกัน” ลีกุย, ลอยหน้าด่าฝากพัวกิมเน้ยไปกับคนผู้ผัวอยู่ฉอด ๆ ไซหมึ่งมิรู้ที่จะทำฉันใดดี ก็ได้แต่ปลอบโยนไปตามเรื่อง เขาแก้แทนเมียคนโปรดว่า “อย่าไปถือสาหาความกับโง่วเจ๊ผู้นั้นเลย เพราะวันนั้นนางเองก็ไม่สบายใจอยู่ แต่ว่าทีหน้าทีหลังขึ้นประพฤติลวนลามกับเจ้าเช่นนี้อีกแล้ว เราจะเฆี่ยนเสียให้หลังลาย” และมิทันที่ไซหมึ่งจะพูดจบ ลีกุยก็เผยอตัวขึ้นปิดปากเอาไว้–และว่า
“อย่าคุยโตไปนักเลย มีหรือตั้วกัวยิ้งท่านจะทำได้ลงคอ”
“ฮะ, ได้หรือไม่ได้ ก็คอยดูไป–” ไซหมึ่งพูดพลางหัวเราะเสียงกร้าวทีเอาจริงอยู่ “เจ้าดูไปก็แล้วกันว่าเราปกครองบรรดาเมียของเราอย่างไร ใครไหนมันปากกล้า–ก็แส้ม้านั่น จะเก็บมันไว้ทำไม ยี่สิบที–สามสิบที ขี้คร้านจะเรียบเป็นผ้าพับไว้ หรือหนักหนาเกินการไปก็กร้อนหัวเสียเลยหมดเรื่อง––”
“โอ–ท่าน อย่าพลอยให้ข้าพเจ้าต้องขนหัวลุกไปด้วยเลย น้ำหน้าอย่างท่านนะหรือ จะไปได้กี่น้ำ เก่งแต่ปากเสียแหละมาก จริงไหมล่ะ เพราะถือเสียว่าข้าพเจ้าไม่ได้ไปรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง เอาละ ถ้าตั้วกัวยิ้งท่านยังจะเก่งจริงเหมือนปากว่า ลองช่วยตัดผมนางพัวกิมเน้ยมาให้ข้าพเจ้าดูสักหน่อยซิ ยังจะเก่งจริงแค่ไหน แล้วข้าพเจ้าจึงจะเชื่อถือท่าน”
“เอาเถิด เจ้าคอยดูไปก็แล้วกัน”
คืนนี้ไซหมึ่งเข่งค้างกับนางลีกุย ที่ซ่องยายลีพั้วแห่งนี้.
รุ่งเช้า, ขณะที่เจ้าสัวไซหมึ่งกำลังแต่งเนื้อแต่งตัวจะกลับบ้าน ลีกุยก็เตือนว่า อย่าลืมเรื่องที่เขารับปากกับนางไว้ และสำทับสืบไปอีกว่า หากเขาทำไม่ได้อย่างปากว่า ก็ขออย่าได้มาให้นางเห็นหน้าอีกต่อไปเลย หากขืนหน้าด้านมา นางจะว่าให้สาใจ ไซหมึ่งก็มิได้ว่ากระไร.
แลเมื่อตั้วกัวยิ้ง, ไซหมึ่งเข่งมาถึงบ้านแล้ว เขาก็เรียกพัวกิมเน้ยให้มาหา บังคับเอาด้วยวาจาดุดันว่า ให้นางปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก แล้วมานั่งคุกเข่าลงต่อหน้าเขา
โง่วเจ๊, ซึ่งมิรู้หนเหนือหนใต้ก็ตื่นตระหนกอยู่ เอ๊ะ นี่เรื่องอะไรกัน อยู่ๆ ก็มาเกณฑ์ให้นางนั่งคุกเข่าสารภาพผิด เรื่องนั่งคุกเข่านั้นนางพอจะทำได้ แต่เรื่องจะให้เปลือยร่างด้วยอีกนี่ซิ นางหนักอกหนักใจอยู่ แลขณะที่นางมัวอ้ำอึ้ง ๆ อยู่นั่นเอง ไซหมึ่งก็ยิ่งสำทับกราดเกรี้ยวหนักขึ้นไปอีก “ว่าไง แก้ผ้าออกให้หมด แล้วคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้” แล้วเขาก็ร้องตะโกนบอกให้ชุนบ๊วย หยิบแส่ม้ามาให้ แต่ชุนบ๊วยแกล้งทำเอาหูทวนลมเสีย ไซหมึ่งร้องสั่งแล้วสั่งเล่า อดรนทนไม่ได้ต้นห้องสาวจึงย่องมาดู แต่พอโผล่ประตูห้องเห็นโง่วเจ๊ของเจ้ากำลังนั่งคุกเข่าฟูมฟายน้ำหูน้ำตาอยู่ที่ข้างเตียง ตะกุ้งตะเกียงหกล้มระเนระนาดอยู่ ชุนบ๊วยก็ตกใจร้องว่า เอ๊ะ เรื่องอะไรกันอีกนี่!
“ชุนบ๊วย เอ๋ย ช่วยด้วย ตั้วกัวยิ้งจะเฆี่ยนเราอีกแล้ว” พัวกิมเน้ยร้องวิงวอนให้สาวใช้ช่วยอย่างน่าเวทนา ไซหมึ่งก็ตัดบทว่า “เจ้าอย่ามายุ่งกับเขาเลย ชุนบ๊วยเอ๋ย ใช่การอันใดของเจ้า ว่าแต่ว่าไปเอาแส้ม้ามาให้เร็ว ๆ เข้า เราจะสั่งสอนแม่นายเจ้าเสียที”
ข้างสาวใช้หน้ามล, ต้นห้องนางพัวกิมเน้ยทนดูไม่ไหว จึงเถียงไซหมึ่งว่า “อะไร ไม่ละอายใจเสียบ้างเลย โง่วเจ๊แกได้ไปทำอะไรผิดให้ท่านหรือ ถึงได้จะมาตีเอาเฆี่ยนเอา โดนคนยุเข้าหน่อยก็หลงเชื่อ ช่างไม่มีความคิดของตนเองเสียบ้างเลย นานไปใครจะเคารพนับถือท่าน ข้าพเจ้าผู้หนึ่งล่ะ ที่มีขอจะนับถือเชื่อฟังท่านสืบไป” ว่าแล้วชุนบ๊วยก็ผลุนผลันออกมาเสีย.
ตั้วกัวยิ้งได้ยินภรรยาเล็ก ๆ ว่ากระทบกระเทียบเปรียบเปรยเช่นนั้น ก็กระดากและขวยเขินแก่ใจอยู่ จึงหันมาพูดด้วยพัวกิมเน้ยแต่โดยดี “เอาละโทษทัณฑ์ของเจ้าเราจะไม่เอา แต่ว่าเราจะขอของรักของเจ้าสักสิ่ง ยังจะให้เราได้หรือไม่?” เมียเก่าของบู๋ตั้วก็ว่า “จะเป็นไรไป ทั้งเนื้อตัวแลร่างกายนี้ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านสิ้น ปรารถนาสิ่งใดก็บอกเถิด ข้าพเจ้าจักให้” สามีก็ว่า เขาหาปรารถนาของอื่นใดไม่ นอกจากขอเส้นผมของนางสักปอยเดียวเพื่อจะเอาไปทำช้องผม.
ภรรยาก็ว่าเท่านั้นดอกหรือ? จะเป็นไรไปเล่า ว่าแต่อย่าเอาไปทำอย่างอื่นก็แล้วกัน แล้วพัวกิมเน้ยก็คลี่มวยผมของนางออกให้สามีตัดตามความประสงค์ เมื่อได้ขมวดปอยผมของภรรยาแล้ว ไซหมึ่งก็ห่อพกไว้เป็นอย่างดี และพัวกิมเน้ยนั่งสนทนาต่อสามีสืบไปถึงความอันที่นางสามิภักดิ์ต่อเขาถึงขนาด โดยยืนยันให้เขาได้เข้าใจและเห็นใจถึงสิ่งอันนางปฏิบัติต่อเขามา นางบอกว่า การอันเขาจะไปชอบอกชอบใจแลหรือรักใครหญิงคนใดคนหนึ่งนั้น นางหาปรารถนาจะนำพาไม่ ขออย่างเดียวอย่าได้มาเกรี้ยวกราดเอาแก่นางต่อไปเลย.
แล้ววันต่อมาไซหมึ่งก็มาที่ซ่องนางโลมสำนักยายลีม้าอีก เขาเอาสิ่งอันพึงประสงค์ของนางลีกุยมามอบให้ และบอกแก่เธอว่า “เห็นหรือยังเล่าว่าเรายังจะจริงอยู่แค่ไหน?”
“ที่เราเอามาให้เจ้าได้นี้ มิได้เป็นการหลอกลวงแต่อย่างใด เพียงแต่เราบอกว่าเราต้องการจะเอาผมมาทำช้องนางก็ให้แต่โดยดี เห็นไหมเล่าว่าเราทำได้อย่างคำพูดที่เราพูดไว้” หลานสาวแม่นางลีเกียวก็ชมเชยไซหมึ่งอยู่มิขาดปาก แล้วนางก็วานให้พี่สาวช่วยรับรองท่านตั้วกัวยิ้งแทนชั่วครู่ นางเองขอตัวขึ้นไปที่ห้องจัดการยัดผมของพัวกิมเน้ยลงในรองเท้าเพื่อสวมทับ ทั้งนี้ก็เพื่อเหตุที่ว่า “ปรารถนาของนางนั้น ขอให้ได้กระทืบหัวนางเมียคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่งนี้สักทีให้จงได้” แลบัดนี้การก็เป็นที่สมปรารถนาของนางแล้ว.
แลนับแต่วันเอาผมของพัวกิมเน้ยมาให้ลีกุยแล้วไซหมึ่งก็มิได้กลับไปบ้านอีกเลย คงกินอยู่หลับนอนที่สำนักยายลีนี้ตลอดมา ข้างทางบ้านใหญ่ของเขานั้นเล่า พัวกิมเน้ยก็ล้มเจ็บลง สาเหตุก็เนื่องมาแต่ไข้ใจ เมื่อกินไม่ได้นอนไม่หลับหนักเข้า ๆ นางก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยลงเป็นธรรมดา ซึ่งทั้งนี้ทำให้เลดี้วัวยะผู้ตั้วเจ๊ ห่วงใยอยู่เป็นอันมาก นางได้ใช้ให้คนไปตามตัวยายเล้าพัวจื้อ (Mother Liu) หมอประจำบ้านมาตรวจดูอาการของพัวกิมเน้ย ยายเล้า, ตรวจดูอาการของโง่วเจ๊แล้ว ก็มอบยาดำไว้ให้กินวันละสองเม็ด แล้วกำชับให้นางหมั่นกินต้มจืด หรือซุปเพื่อบำรุงร่างกายเอาไว้อย่าให้ขาดได้ และประการที่ดีนั้นแกแนะนำว่า ควรจะเชิญสามีผู้เฒ่าของแกมาผูกดวงและทำนายโชคชาตาราศีเสียสักครั้ง เพื่อจะได้รู้ว่าเคราะห์นางยังจะดีหรือร้ายประการใด.
“เอ๊ะ, สามีของอาม้าเป็นหมอดูด้วยหรือนี่?” พัวกิมเน้ยชักสนใจขึ้นมา.
“อ้าว, ทำไม นี่แม่หญิงมิเคยรู้ดอกหรือว่า หมอดูแก่ๆ ตาบอด ที่เดินตีกลองตุ้ง ๆ ตามถนน เที่ยวรับจ้างเขาดูเคราะห์ดูโศกคนนั้นน่ะ คือสามีของข้าพเจ้าล่ะ” แล้วยายเล้าพั้วก็อธิบายถึงสรรพคุณสามีผู้นี้ของแกให้โง่วเจ๊ของไซหมึ่งเข่งฟังอยู่เป็นที่ฟุ้งซ่าน แกเล่าว่าสามีของแกนั้นมีความสามารถในการดูฤกษ์บนและล่าง สามารถทำการเข้าทรงปลุกเสกและเรียกวิญญาณก็ได้ มีความชำนาญในการรักษาโรคโดยวิธีบ่งเข็ม และประการที่สำคัญคือ เป็นหมอเสน่ห์อย่างเยี่ยมยอด.
และเมื่อได้ยินถึงคำว่าหมอเสน่ห์ขึ้นมา กิมเน้ยก็ถามว่า เสน่ห์ ๆ ที่ว่านั้นทำกันอย่างไร? ยายเล้าก็ว่า การทำเสน่ห์อาถรรพ์นั้น ก็เพื่อผูกมัดหัวใจคนที่เกลียดชังเราให้หวนกลับมารักมาชอบเราอีกน่ะซิ แกยกตัวอย่างให้ฟังเป็นต้นว่า พ่อแม่เกลียดชังลูกคนไหน หรือพี่ๆ ไม่ถูกกับน้องคนใด สามีเบื่อหน่ายในตัวภรรยา ฯลฯ เหล่านี้ เมื่อผู้ที่ถูกเกลียดชังประสงค์จะให้ผู้นั้นมีความรักแลหลงใหลในตัวอีก ก็มาหาสามีของแกให้ทำเสน่ห์ให้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เผาเครื่องเสน่ห์อาถรรพ์ที่ปลุกเสกเสร็จแล้วให้เป็นขี้เถ้าเอาไปละลายน้ำให้ผู้ที่เราปักใจกินเท่านั้นเอง อย่างช้าภายในสามวันก็เห็นผล ทุกสิ่งทุกอย่างจะคงคืนดีดังเช่นเดิม และยิ่งกว่านั้นแกว่า ใช่สามีของแกจะชำนาญแต่ในการเพียงเท่านี้ก็หาไม่ แม้แต่เรือกสวนไร่นา และหรือกิจการทั้งหลาย ผู้ใดประสบความเดือดร้อนไม่ได้รับผล มาหาแกให้ช่วยล้างเคราะห์ล้างซวยให้ แกก็ทำได้ ผู้ใดก็ตามเมื่อได้รับการทำพิธีจากสามีของแกแล้ว นาที่เคยแห้งแล้งก็จะผลิรวงแตกช่ออุดมสมบูรณ์ การค้าที่เคยฝืดเคืองก็จะกลับกระเตื้องเฟื่องฟูขึ้น จึงเพราะความที่สามีแกเก่งเช่นนี้แหละ ชาวบ้านเขาจึงเรียกแกว่า “เล้าแซป๊กเจี่ย”
โง่วเจ๊ได้ฟังยายเจ้าสาธยายสรรพคุณของสามีแก ก็ชักรู้สึกเลื่อมใส กุลีกุจอยกขนมนมเนยน้ำร้อนน้ำชาออกมาเลี้ยงรับรองยายหมอชราผู้นี้จนอิ่มแปล้ แถมเงินให้อีกหลายเหรียญตอนขากลับ นางบอกยายหมอว่า “สามเหรียญนี้เป็นค่าป่วยการ ส่วนอีกห้าเหรียญนั้นเป็นค่ายาเสน่ห์ที่จะทำมาให้ อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้เวลาอาหารเช้าให้พาสามีของยายมาหาฉันสักหน่อย ต้องเอามาให้ได้นะอาพั้วแล้วอย่าลืมเสียล่ะ” พัวกิมเน้ยสั่งแล้วสั่งอีก แล้วยายเล้าพั้วก็ลากลับไป.
เช้าวันรุ่งขึ้น เล้าพัวจื้อ, ก็พาหมอดูตาบอดผู้สามีของแกมาหาแม่นางพัวกิมเน้ยตามที่สั่ง เมื่อสนทนาไต่ถามถึงสมมติฐานอาการโรคเรียบร้อยแล้ว แกก็ขอทราบวันเดือนปีเกิดของบัวคำ แล้วแกก็จดลงในกระดานชนวน บวกลบคูณหารอะไรต่ออะไรของแกไปตามเรื่อง พลางก็ว่าคาถาหมุบๆ หมับ ๆ เรื่อยไป สักครู่แกก็เงยหน้าขึ้นบอกแก่นางโง่วเจ๊ว่า “ระยะนี้ดวงดาวอันเกี่ยวแก่ชีวิตวิวาห์ของแม่นางท่านมิสู้จะแจ่มใสนัก พึงได้เร่งระมัดระวังปากคอ อย่าบังควรไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครเขาเข้าได้เป็นอันขาด” แล้วพัวกิมเน้ยก็ขอร้องเล้าก๋งก๋งผู้นี้สืบไปว่า ขอให้ทำเสน่ห์เรียกผัวกลับคืนมาให้นางทีเถอะ เธอว่า อันปรารถนาทุกวันนี้ของนางนั้นก็คือ หนึ่งขอให้พ้นคนนินทา กับสองขอให้สามีกลับมาคงคืนดี แลผูกสมัครรักใคร่ในตัวนางดังเช่นเดิม.
เล้าแชป๊กเจีย, ผู้ตาพิการก็บอกแก่นางว่า การเรื่องนี้ใช่หนักหนาอันใดนัก พอจะปฏิบัติให้นางได้อยู่แล้ว แล้วก็บอกให้บัวคำไปตัดเอาเปลือกหลิวมา แกะเป็นรูปชายและหญิงอย่างละรูป ลงวันเดือนปีเกิดของแต่ละฝ่ายไว้ที่รูปนั้น แล้วพันด้วยด้ายแดงเจ็ดเส้นเสียเจ็ดรอบ เอาผ้าป่านดิบสีแดงห่อรูปทั้งสองห่อนี้ไว้ แล้วนำไปแขวน ณ ที่ที่อยู่ในสายตาของสามีเวลาเข้านอน กับให้หาก้านโกฐจุฬาลัมพาปิดไว้ที่ตรงหัวใจของรูปผู้ชาย ตรึงมือด้วยเข็ม และแตะกาวไว้ที่เท้า กับอีกประการหนึ่งก็ให้นางหาแผ่นปรอทแดงมาลงอักขระนำไปซุกไว้ใต้หมอนของไซหมึ่ง เมื่อทำได้ถูกถ้วนตามพิธีการดังนี้แล้ว ก็ให้เอามาเผาไฟจนเป็นขี้เถ้า ละลายใส่ในน้ำชาชงให้สามีกินเท่านี้แล ชั่วในระยะสามวันสามีของแม่นางก็จะกลับคืนคงในความรัก และผูกพันต่อแม่นางท่านดั่งแต่เก่าก่อน.
ครั้นเมื่อโง่วเจ๊ซักไซ้สืบไปถึงความหมายของการที่ต้องกระทำดังกล่าว หมอเล้า, คนตาแชแม๋ ก็อธิบายว่า ที่ต้องใช้ป่านดิบแดงห่อรูปแขวนไว้ล่อตานั้นก็เพื่อเอาเคล็ดว่า สามีจะได้หลงเสน่ห์อยู่ตำตาตลอดกาล มิมีวันจะคิดแหนงหน่าย ดุจต้องเสน่ห์อันเลอโฉมของนางไซซี (Hsi Shih) ส่วนที่ให้ปักก้านโกฐจุฬาลัมพาตรงหัวใจนั้น ก็เพื่อให้ฝังจิตฝังใจอยู่ในตัวของภรรยามิรู้เสื่อมคลาย แลที่ใช้เข็มตรึงมือนั้นก็เพื่อเป็นอาถรรพ์ว่า สืบไปเขาจะมิอาจใช้มือขึ้นตบตีกระทำร้ายเอากับแม่นางได้ สำหรับกาวที่ให้แตะไว้ตรงฝ่าเท้าของรูปตุ๊กตานั้น ก็เพื่อไม่ให้เขาคิดออกไปทำเจ้าชู้กับสตรีใดอื่นที่ไหนอีกนอกเสียจากนาง แล้วแกก็จบลงด้วยการคุยโอ่ถึงสรรพคุณของยาเสน่ห์อาถรรพ์ขนานนี้ว่า “เชื่อก๋งเถิด แม่นางเอย ยาเสน่ห์ขนานนี้ ขลังนักแล”
พัวกิมเน้ยดีใจมาก นางให้รางวัลเงินแก่เล้าแชป๊กเจียอย่างจุใจ พร้อมทั้งแถมปิ่นปักผมให้อีกสองอัน รุ่งเช้ายายเจ้าหัวก็เอาของเสน่ห์เครื่องเคล็ดเครื่องรางมาให้นาง ดังนั้น ภรรยาคนที่ห้าของท่านตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งเข่งคนนี้ก็พร้อมแล้วที่จะทำเสน่ห์แก่สามี และแล้วในวันต่อมาผลก็ปรากฏว่า การได้เป็นไปตามคำทำนายของหมอเจ้าผู้เฒ่าคนนั้นทุกประการ เพราะต้นฉบับในพากย์อังกฤษเขียนไว้ว่า “Two days later Gold Lotus and Hsi Men were on the best of terms and enjoying themselves like little fishes in the water.” ก็คงกลเดียวกับปลากระดี่ยามได้น้ำ ร่ารานและคึกคะนองธาร––นั้นเอง.
ท่านผู้อ่านที่เคารพ, เชื่อหรือยังเล่า–หลวงจีนหนึ่ง, นางชีหนึ่ง, เต้าหยินหนึ่ง, หมอเสน่ห์หนึ่ง, หมอตำแยหนึ่ง, แลแม่สื่อแม่ชักอีกหนึ่ง บุคคลทั้งหกจำพวกนี้ มิควรที่สามีคนใดจักพึงปล่อยให้ภริยาตนคบค้าด้วย เพราะมิดีแล–ดังนี้.
----------------------------