แค้นของบัวคำ

ทุกวันนี้, พัวกิมเน้ยเป็นคนโปรดของสามี และยิ่งนับวันนางก็ยิ่งนับทวีความกดขี่บีบคั้นเอากับผู้คนในบ้านยิ่งๆ ขึ้น แต่ละวันกิมเน้ยมิได้มีความสุขดั่งคนใดใครอื่นเขา ด้วยนางเฝ้าแต่ได้คิดระแวงแคลงใจ กลัวว่าใคร ๆ เขาจะติฉินนินทาตน เที่ยวได้แอบซุ่มเฝ้าลอบสังเกตฟังความเขาตามชายรั้วชายคา หรือไม่ก็เที่ยวได้เลาะฝาปีนกำแพงฟังเขาพูด.

อยู่มาวันหนึ่ง, บัวคำเกิดขัดใจขึ้นกับเจ้าชุนบ๊วยด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เลยดุด่ากันเป็นการใหญ่ ชุนบ๊วยรำคาญก็หนีลงไปห้องครัวเสียเฉย ๆ พอเข้าครัวได้ ชุนบ๊วยก็ลงมือทำอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชทันที ถีบโต๊ะทุบเก้าอี้ให้ตึงตังโครมครามไปหมดทั้งครัว ซึ่งการนี้ได้อยู่ในสายตาของแม่นางซึงเซาะง้อ, ผู้มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชางานครัวของบ้านตลอดเวลา เซาะง้อนึกขัน ก็ถามเป็นเชิงสัพยอกต้นห้องสาวของนางบัวคำว่า “แม่หนูเอ๋ย เจ้าไม่รู้จะไปทำฤทธิ์ทำเดชกับใครเขาที่ไหนได้แล้วหรือ?”

เท่านี้แหละ, ชุนบ๊วยโกรธนางเซาะง้อเสียเป็นวรรคเป็นเวร หันขวับมาตวาดเอาหญิงคนที่ชั่ว ๆ ดีๆ ก็เป็นภรรยาอันดับที่สี่ของท่านตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งเข่งว่า “ชะอวดดี หนอยยังไม่เคยมีใครกล้ามาก้าวร้าวกับเรานะจะบอกให้” เลดี้เซาะง้อ, ก็มิได้โต้ตอบว่ากระไร นางแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย

แต่ที่ไหนได้ ชุนบ๊วยกลับถือเป็นสาเหตุใหญ่ วิ่งแร่ไปฟ้องนายผู้หญิงแม่บัวคำของเจ้าที่หน้าเรือนทันที ต้นห้องคนสนิทได้ใส่ร้ายนางเซาะง้อเสียไม่มีดี โดยกล่าวหาว่า นางพูดรุกรานแม่หญิงพัวกิมเน้ยด้วยวาจาเชิงว่า โง่วเจ๊ยัดเยียดตนให้แก่ท่านตั้วกัวยิ้ง ทั้งนี้ก็เพื่อหวังประจบสมพลอ

แน่เหลือเกิน เรื่องนี้ต้องไม่สบอารมณ์แม่นางพัวกิมเน้ยเป็นแน่ๆ ทว่าเช้าวันนี้, พัวกิมเน้ยรู้สึกค่อนข้างจะอ่อนระโหยโรยแรงอยู่กว่าวันธรรมดา เพราะค่าที่นางต้องรีบตื่นแต่เช้ามืด เพื่อติดตามแม่นางคนเมียหลวงไปในงานศพเขางานหนึ่ง แต่นางร่วมขบวนไปได้หน่อยก็ขอตัวกลับบ้าน และแวะมานอนงีบหลับเอาแรงเสียที่เรือนแม่นางดวงแข ครู่ใหญ่จึงได้ตื่นขึ้น และในระหว่างทางที่กลับไปเรือนนั้นเอง นางก็ได้พบกับแม่หญิงเม่งเง็กเล้าพอดี.

“เอ๊ะ ทำไม โง่วเจ๊ดูหงอย ๆ และเงียบเหงาไปวันนี้” เม่งซัมเจ๊ถามอย่างพาซื่อ “ถ้าจะเหน็ดเหนื่อยมากละกระมัง?”

พัวกิมเน้ยก็ตอบว่านางค่อนข้างจะเหน็ดเหนื่อยอยู่สักหน่อยในวันนี้ ว่าแต่ว่าซัมเจ๊น่ะไปข้างไหนมา! เง็กเล้าก็บอกว่า นางพึ่งลุกออกมาจากครัวเดี๋ยวนี้แหละ บัวคำก็ถามสืบไปอีกว่า ซัมเจ๊ยังจะได้ยินมีใครกล่าวขวัญอันใดถึงนางบ้าง

เง็กเล้าก็บอกว่าไม่เห็นได้ยินใครพูดว่าอะไร กิมเน้ยก็มิได้พูดอะไรอีก นางพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกอันพลุ่งพล่านไว้แต่ในใจ แล้วสองเมียงามของไซหมึ่งก็ชวนกันนั่งลงสนทนาอยู่ด้วยกัน ต่างใช้เวลาว่างอยู่ด้วยการเย็บปักถักร้อย ตามประสาหญิงเงียบๆ สักครู่ใหญ่นางก็ชวนกันเล่นหมากรุก เพื่อเป็นการฆ่าเวลาไปพลาง กว่าแม่หญิงดวงแขจะกลับ ทว่าพอนางลงมือเดินหมากรุกกันไปได้ไม่กี่ตา ท่านตั้วกัวยิ้งก็เข้ามา แต่เขาก็ถึงกับต้องหยุดตะลึงอยู่กับที่ ต่อความงามอันน่าพึงพิศของสองหญิง ซึ่งแต่ละนางต่างก็งามและน่ารักกันไปคนละแบบที่นั่งเคียงคู่กันอยู่.

“เออ เจ้าทั้งสองนี้สวยจับตาอะไรเช่นนี้ ยังกับโสเภณีชั้นสูง (expensive flower girls) ก็ไม่ปาน อย่างเจ้านี้แต่ละคนๆ ราคาต้องไม่ต่ำกว่าร้อยตำลึงเงินแน่ๆ” ไซหมึ่งเข่งกล่าวชมโฉมสองภริยาขึ้นดังๆ อย่างสัพยอก.

“อุ๊ย, มากไปแล้วละพี่ท่าน อะไรนะ โสเภณี ทำไมท่านตั้วกัวยิ้งพูดเช่นนี้เล่า ถ้าจะมีใครสักคนเป็นโสเภณีในบ้านนี้ ก็ต้องไม่ใช่ที่นี่” พัวกิมเน้ยเหน็บแนมเข้าให้อย่างคมคาย.

เมื่อเห็นผัวเมียเขาหยอกเย้ากันเช่นนี้ ซัมเจ๊ คนมีอัชฌาสัยก็ลุกขึ้นแลปลีกตัวจะออกไป แต่ไซหมึ่งเข่งผลุนผลันรั้งเอาตัวนางกลับเข้ามาได้เสียก่อนทัน.

“จะไปข้างไหนเล่า? อะไรกัน พอเรามาคุยด้วยหน่อยเดียว เจ้าก็จะลุกไปเสียแล้ว ว่าแต่ว่า เจ้าทั้งสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะ”

และเมื่อบัวคำตอบว่า นางกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ ท่านตั้วกัวยิ้งก็เลยชวนเล่นด้วยกันอีกสืบไป ขณะที่บัวคำสาละวนช่วยสามีตั้งตัวหมากรุกอยู่นั้น นางก็ถามว่า ทำไมท่านถึงรีบกลับจากงานเขาเร็วนัก ไซหมึ่งบอกว่า เขาขี้เกียจไปนั่งอึดอัดที่ศาลเจ้า อีกประการก็ร้อนเหลือทนด้วย.

“อ้าว แล้วตั้วเจ๊เล่า กลับหรือยัง?” เม่งเง็กเล้าถามถึงแม่นางดวงแข สามีก็บอกว่า นางกำลังนั่งเกี้ยวตามหลังมา แล้วไซหมึ่งก็นั่งลง เขาถามว่าที่นางทั้งสองเล่นกันมานั้น ยังจะได้พนันเอาอะไรกัน บัวคำก็บอกว่า มิได้มีพนันแต่อย่างใดกันดอก เล่นกันสนุกๆ น่ะ

“ดีละ, ถ้าเช่นนั้น เจ้ามาเล่นพนันกับเราคนละกระดาน ใครแพ้ต้องเลี้ยงอิ่มหนึ่ง”

บัวคำก็บอกอีกว่า นางไม่มีเงิน สามีก็ตัดบทเสียว่า เงินสดน่ะไม่สำคัญดอก เอาปิ่นปักผมของนางนั้นแหละเป็นประกัน

กระดานแรก พัวกิมเน้ยแพ้ พอท่านเจ้าสัวตั้งกระดานใหม่จะลงมือเล่นกับนางเม่งเง็กเล้า พัวกิมเน้ยก็แกล้งลุกขึ้นชนทำให้กระดานล้ม ตัวหมากรุกหกระเนระนาดหมด เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นแล่นหนีลงไปในสวน ไซหมึ่งเข่งรู้ทีนางเมีย ก็ลุกผลุนผลันวิ่งไล่กวดตามหลังบัวคำไปติด ๆ ที่สุดก็มาทันที่โคนต้นบ๊วยซึ่งกำลังออกดอกสะพรั่งอยู่เต็มต้นและส่งกลิ่นหอมระรวย ขณะนั้นพัวกิมเน้ยกำลังยืนพิงชะง่อนหินอยู่ที่ริมขอบกระถางบัว

“นั่นแน่ มาแอบอยู่ที่นี่เอง” สามีพูดอย่างมีชัย ทั้ง ๆ กำลังหอบอยู่แฮ่ก ๆ.

พัวกิมเน้ยก็หันมาค้อนให้ “คนบ้า เขาอุตส่าห์หนีตัวมา ยังจะตามมากวนใจเขาอีก ทำไมไม่เล่นกับซัมเจ๊ต่อไปล่ะ ตามเขามาทำไม เขาอุตส่าห์ทำแพ้ให้แล้วยังไม่ดีอีกหรือ?” ว่าแล้วนางก็ซัดดอกบ๊วยใส่หน้าสามี ไซหมึ่งเข่งก้มลงหลบพลางถลันเข้ารวบเอาร่างโฉมแม่นางพัวกิมเน้ยเข้าไว้ในอ้อมอก แล้วเขาก็ค่อยผจงวางนางลงเหนือชะง่อนหินชิดขอบกระถางอ่างบัวนั้น.

หมากรุกกระดานแรกพัวกิมเน้ยแพ้ แต่แต้มเป็นเจ้ายังไม่ถึงกับจะจนตาเดินเอาเสียเลยทีเดียว ทว่ากระดานนี้ กิมเน้ยเจ้าแพ้อย่างหมดประตู นางสุดรู้สุดคิดจะหาแต้มตาเดินถูก จำต้องจนมุมอยู่แค่ชะง่อนหินริมอ่างกระถางบัว ในอุทยานอันรื่นรมย์นั้นเอง.

และแล้วในท่ามกลางความสุขอันชื่นฉ่ำภายใต้ผืนฟ้าสีครามสดใส ซึ่งละมุนละไมอยู่ด้วยกลิ่นอันหอมหวานของช่อดอกบ๊วยนี้เอง หนุ่ม-สาวทั้งคู่ที่กำลังดูดดื่มอยู่ต่อกัน พลันต้องสะดุดตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงเรียกของแม่นางเม่งเง็กเล้าที่มาตาม.

“ลุกขึ้นเถอะโง่วเจ๊ เร็ว ๆ เข้า วัวยะเจ๊กลับมาถึงบ้านแล้วล่ะ”

พัวกิมเน้ยรีบผละออกจากอกไซหมึ่ง และผลุนผลันลุกขึ้นไปเรือนใหญ่พร้อมด้วยนางเง็กเล้า.

“เจ้าขบขันอะไรกันมาหรือ?” วัวยะเจ๊ถาม ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเยี่ยงเคยมา.

“โง่วเจ๊, แกแพ้พนันหมากรุกท่านตั้วกัวยิ้งมา ข้าพเจ้าก็เลยดีใจ คิดว่าพรุ่งนี้บ้านเราคงจะมีอาหารดีๆ กินกัน ก็ตั้วเจ๊จะไม่ลองพนันกับเขาดูบ้างหรือ?” เง็กเล้าตอบ.

แลเมื่อสนทนากันอยู่อีกสักครู่แล้ว พัวกิมเน้ยก็ขอตัวกลับห้อง เพื่อรีบไปพบสามีที่ป่านฉะนี้คงตั้งตาคอยนางอยู่ นางได้สั่งให้เตรียมอ่างน้ำร้อนสำหรับอาบไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในเย็นวันนั้นสองสามีภรรยาต่างก็ร่วมกันชำระสระสนานกาย อยู่ด้วยกันเป็นที่สุขเขษมเปรมปรีดิ์ในอ่างนั้น.

และเขาทั้งคู่จะปรีดิ์เปรมแค่ไหนปานใดนั้น ต้นฉบับกล่าวว่า “ดุจมัจฉาสำราญใจยามได้น้ำ” (like two merry little fishes in the water) ซึ่งจะผิดไปนักหรือ หากจะได้นำมาอ้างไว้บ้างในที่นี้ถึงความสุขเขษมเปรมปรีดิ์ ยามเมื่อ “ลอ” แห่งเมืองสอง สรงสระสนาน ร่วมกับเพื่อนและแพงแห่งแคว้นสรวง ตามลิลิตที่ว่า :-

สรงสระสวรรค์ไปเพี้ยง สระพระนุช
เนื้อเกลี้ยง อาบโอ้ เอาใจ  
สรงสวรรค์ในสระน้อง ปลาชื่นชม
เต้นต้อง ดอกไม้ บัวบาน––  

ซึ่งก็คงจะเปรมปรีดิ์อยู่ถึงขนาดเช่นกัน.

และเพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจถึงสภาพการปกครองภายในครัวเรือนของตั้วกัวยิ้งแห่งเช็งฮ้อหลังนี้ ก็จะได้นำมาเล่าเสียในที่นี้ว่า อันวัวยะเจ๊นั้น แม้นางจะอยู่ในตำแหน่งฐานะเป็นศรีสะใภ้แห่งตระกูลไซหมึ่งก็ตามที ทว่าสุขภาพอนามัยของนางหาใคร่จะสู้สมบูรณ์นักไม่ การใดอันตรากตรำและเหน็ดเหนื่อย นางก็ผ่อนให้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของบรรดาภริยารองๆ รับช่วงไปทำแทน อาทิ, การรับรองแขกเหรื่อผู้มาเยี่ยมเยียน ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของสะใภ้เอกแห่งบ้าน แต่ดวงแขก็มอบให้เป็นภาระของแม่นางลีเกียว, ยี่เจ๊ปฏิบัติ ถึงแม้การเงินการทองอันจะจับจ่ายใช้สอยในบ้านก็ดี นางมอบให้เป็นหน้าที่ของภริยาคนที่สองนี้เช่นกัน ส่วนหน้าที่ด้านการครัว ดูแลคนใช้ข้าทาสนั้น นางมอบให้เป็นภาระปฏิบัติของแม่นางเซาะง้อ แต่โดยเฉพาะ ดังนี้.

คืนนั้น, ไซหมึ่งเข่งนอนค้างอยู่ที่เรือนนางพัวกิมเน้ยตลอดทั้งคืน แลรสสวาทอันผูกพันที่ท่านเจ้าสัวได้รับจากเมียเก่าบู๋ตั้วนี้รัดรึงใจนัก เขาได้สัญญาไว้ต่อนางว่า พรุ่งนี้เขาจะไปซื้อสร้อยไข่มุกที่ตลาดศาลเจ้ามารางวัลนาง

ครั้นรุ่งเช้า, ท่านเจ้าสัวก็สั่งนางชุนบ๊วยให้รีบไปที่ห้องครัว สั่งให้เขาทำขนมเปี๊ยะเมล็ดบัว (Lotus-Seed Tarts หรือขนมโง่วหยิ้งเปี๊ยะ) กับแกงจืดงึ่งฮื้อมาให้กิน แต่พอได้ยินตั้วกัวยิ้งใช้ให้นางไปที่ครัว ชุนบ๊วย, เจ้าก็ทำหน้าเง้ามิยอมไป กิมเน้ย, เห็นเช่นนั้น ก็อธิบายให้สามีฟังว่า ที่ครัวนั้นมีใครคนหนึ่งคอยเที่ยวได้นินทาว่าร้ายอยู่เรื่อย ๆ หาว่าการที่นางยกชุนบ๊วยให้เป็นภรรยาเขานั้น เป็นเพราะนางหวังประจบจะเอาหน้า หาได้มีความรักความเคารพในตัวท่านผู้สามีด้วยน้ำใสใจจริงไม่ และคนคนนี้ก่นแต่โพนทะนาว่าร้ายอยู่เช่นนี้มิเว้นวัน ท่านอย่าใช้ชุนบ๊วยไปเลย ใช้นางชิวเก็กนั่นแน่ะจะดีกว่า.

ไซหมึ่งก็ถามว่า ใครเล่าที่เที่ยวได้คอยนินทาว่าร้ายผู้นั้น โง่วเจ๊, คนขี้ระแวงคนก็ว่า จะมีใครเสียอีกเล่า ทั้งครัวมันนั่นแหละ.

ท่านเจ้าสัวก็เลยใช้นางชิวเก็กไปแทน แต่ว่านางคนนี้หายหัวไปเสียตั้งนมนาน ก็ไม่เห็นยกสำรับกับข้าวมาให้สักที ไซหมึ่งคอย ๆ ก็หิวและชักโมโหขึ้นมา พัวกิมเน้ย, เห็นไม่ได้การก็ใช้ชุนบ๊วยลงไปตาม “ไปดูอีเวรชิวเก็กทีรึ? มันไปเฝ้าอะไรของมันอยู่ หรือว่าไปมัวดูต้นหญ้ามันงอกเล่น”

ชุนบ๊วย นางต้นห้อง จำเป็นจำใจไปตามคำสั่งแม่นายสาว แต่ปรากฏว่าเจ้าชิวเก็กยังคอยแม่ครัวทำกับข้าวอยู่.

“อีนางตอแหล, ชุนบ๊วยด่า “โง่วเจ๊โกรธจะตายอยู่แล้ว ระวังตัวมึงให้ดีเถอะ ชาตินี้มันต้องตัดตีนทิ้งถึงจะดี มัวมานั่งตะบอยทำอะไรอยู่ล่ะ ตั้วกัวยิ้งกำลังจะเอาเรื่องมึงอยู่แน่ะ ท่านยิ่งจะรีบ ๆ ไปตลาดศาลเจ้าเสียด้วย ไป–กลับไปเรือนเดี๋ยวนี้ โง่วเจ๊ให้กูมาจิกหัวมึงไปเดี๋ยวนี้แหละ”

เซาะง้อซึ่งนั่งทนฟังอยู่ อดใจอีกต่อไปไม่ไหว นางก็เลยโพล่งขึ้นว่า

“โธ่, อีทุย (Silly Wench) มึงพูดยังกับว่าหม้อข้าวหม้อแกงมันไม่ได้ทำด้วยเหล็ก อยู่ๆ ก็จะเร่งเอาๆ ให้ได้ยังใจ มึงรู้หรือเปล่าว่า แกงจืดน่ะ มันไม่ได้เนรมิตกันขึ้นมาง่าย ๆ ต้องต้มต้องแกงเสียก่อนจึงจะสุก มึงจะมาเอามันให้ได้ดังใจที่ไหนจะได้เล่า?”

“ก็แล้วกงการอะไรของมึงล่ะ” ชุนบ๊วย, ไม่ยอมลดราวาศอกให้ “มึงนึกว่ากูอยากเข้าครัวมึงนักหรือ คอยดูกูจะไปฟ้องตั้วกัวยิ้งให้มาเล่นงานมึง” ว่าแล้ว, ชุนบ๊วยก็จิกหูกระชากเจ้าชิวเก็กถูลู่ถูกังออกไปจากห้องครัว

และด้วยความโมโหอย่างเหลือทน ค่าที่นางสาวใช้กล้ามาตีฝีปากเอ็ดอึงเอากับนาง ซึ่งชั่ว ๆ ดี ๆ ก็เมียนาย เซาะง้อก็ตะโกนด่าไล่หลังสาวใช้คนสนิทของนางบัวคำไปว่า “ดีละ กูจะรายงานท่านเจ้าสัวให้จงได้ จองหองนักอีนี่”

ชุนบ๊วย, ก็ย้อนให้อีกว่า “เชิญ, เชิญไสหัวมึงไปฟ้อง กูไม่กลัวมึง อย่ามาเที่ยวสาระแนยุแหย่ใครเขาให้ยากเลย ไม่สำเร็จหรอกคนในบ้านนี้น่ะ กูจะบอกให้” แล้วนางก็รีบพาตัวชิวเก็กไปให้พัวกิมเน้ยทันที.

เมื่อพัวกิมเน้ยเห็นสาวใช้คนโปรดมีสีหน้าท่าทางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อใครมาเช่นนั้น ก็ถามว่ามันเรื่องอะไรกัน ชุนบ๊วย, ก็บอกว่าให้ถามนางชิวเก็กดู แล้วรายงานให้โง่วเจ๊ฟังว่า เมื่อนางไปถึงนั้น ชิวเก็กยืนคอยพวกแม่ครัวทำกับข้าวอยู่ ก็กะอีสมบัติขนมเปี๊ยะโง่วหยิ้ง และแกงจืดงึ่งฮื่อแค่นี้ นังพวกนั้นมันตะบอยทำกันเสียราวกับว่าจะนึ่งขนมโก๋ และพอนางเตือนว่าให้ทำเร็ว ๆ เข้า เพราะตั้วกัวยิ้งหิว นางเซาะง้อก็ด่าว่า “อีทาส” (Slave Wench) “อีนางคนนั้นมันด่าข้าพเจ้าอย่างนี้” ชุนบ๊วยสำออยแม่นายสาว แล้วยังแถมสำทับอีกสืบไปว่า เซาะง้อได้ด่าหาว่านางเสือกทำเจ้ากี้เจ้าการอีกด้วย.

“แหม, อีพวกนี้ มันอะไรของมันนะ อยากรู้นัก มันทำราวกับว่าที่ห้องครัวน่ะ เป็นห้องที่สำหรับมันใช้เป็นที่นินทาคนหรืออย่างไรกัน?” ชุนบ๊วยทับถมแม่นางซึงเซาะง้อเข้าให้อีกเป็นการใหญ่.

พอชุนบ๊วย, รายงานเสร็จ พัวกิมเน้ยก็หันขวับเสนอสามีทันที “เห็นไหมล่ะ ว่าแล้วว่าอย่าให้ชุนบ๊วยมันไปครัว อีพวกปากอยู่ไม่สุขพวกนั้นมันหยอกอยู่เมื่อไร นี่มันก็ด่ากระทบให้อีกแล้ว มันพูดว่า ข้าพเจ้านี้สมรู้ร่วมคิดกับชุนบ๊วยทำเสน่ห์เล่ห์กล หวังผูกขาดเอาท่านไว้นอนกกนอนกอดเสียคนเดียว ไม่เอาแล้ว ข้าพเจ้าทนฟังหาได้ไม่แล้ว ใครจะทนมันไหว มันเล่นด่าเอาๆ ทุกวัน ๆ เช่นนี้”

ไซหมึ่ง, ซึ่งโมโหหิวอยู่แล้วเป็นทุน พอได้ยินเมียคนโปรดสำออยกรอกหูเข้าอีก ก็ผลุนผลันลุกโลดถลาแล่นลงไปที่ห้องครัวทันที ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมกันละ ทันเท้าลงเท้าทันมือลงมือ ซึงเซาะง้อแม่ก็บอบช้ำลงด้วยประการดังนี้.

“อีหญิงคดในข้องอในกระดูก มึงนี้ดีแต่เที่ยวใส่ร้ายคนอื่นเขา เรื่องอะไรมึงถึงต้องดุด่าว่าชุนบ๊วยมัน ก็กูใช้ให้มันเป็นคนมายกกับข้าวไปให้กู มีหรือมึงต้องไปเรียกมันว่า “อีทาส” ชะชะ–ก็แล้วน้ำหน้ามึงเล่า วิเศษนัก? ทำไมไม่ดูเงาหัวเสียบ้าง โธ่ อีนี่”

และพอท่านเจ้าสัวคล้อยหลังออกจากครัวไป อารามที่เซาะง้อเจ็บใจ นางอดเสียมิได้ที่จะระบายความน้อยเนื้อต่ำใจให้แก่เมียไล่ป้อ ซึ่งเป็นลูกมือทำกับข้าวฟัง “ดูซิ, เจ้าก็อยู่ที่นี่ตลอดเวลา เห็นหรือเปล่าว่าเราได้ไปด่าว่าอะไรนางเด็กคนนั้นมัน ดูซิว่ามันแปร๋แปร๋นเข้ามาทีแรกน่ะอย่างไร ก็แล้วทำไมมันถึงไปฟ้องเราเช่นนี้เล่า ตั้วกัวยิ้งก็ช่างกระไร ไม่ซักถามเราเสียก่อนบ้างเลย มาถึงก็ตบเอาตีเอา คอยดูนะ เราจะแก้เผ็ดอีเด็กผีคนนี้ให้จงได้ ชะ ชะ อีขี้ข้า ขอให้มันเข้ามาในครัวนี้อีกสักทีเถอะ แม่จะตอบแทนความปากบอนให้สาสมทีเดียว”

แต่ที่ไหนได้ ที่ท่านเจ้าสัวแกทำเป็นว่ากลับขึ้นเรือนนั้น แท้แล้วเขาหายังได้กลับไปไม่คงยืนหลบซุ่มอยู่ข้างประตูครัวนั่นเอง พอได้ยินเซาะง้อประณามชุนบ๊วยสาวใช้คนโปรดเข้าอีก เจ้าสัวก็ยิ่งโกรธขึ้นเป็นทับทวีคูณ กระโจนผลุงเดียวถึงตัวนางเซาะง้อ พลางตบฉาดเข้าให้ที่กกหู ตบพลางปากก็ด่าไปพลาง “นี่ทีนี้ละกูได้ยินกับหูเอง มึงด่าเขา” ไซหมึ่งเข่งก็ลงมือซ้อมแม่นายคนที่สี่ของบ้านเสียแทบกระอักเลือด แล้วเขาก็ออกไป.

ข้างตั้วเจ๊, ซึ่งกำลังนั่งม้วนผมอยู่ที่เรือนได้ยินเสียงเอะอะตึงตังที่ในครัว สงสัยก็ใช้ให้เจ้าเง็กยี้วิ่งมาดู สักครู่สาวใช้ผู้นี้ก็ขึ้นไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ตั้วเจ๊ฟัง.

“เอ, ปรกติตั้วกัวยิ้งก็ไม่เคยกินขนมเปี๊ยะเช้า ๆ เลยนี่นา แต่ถึงยังงั้นแม่ครัวก็น่าจะทำให้ทันกิน นี่อะไรมัวอืดอาดโอ้เอ้ ถึงเซาะง้อก็ไม่ควร อยู่ดีๆ ไปดุด่าเด็กคนใช้มัน” แม่หญิงดวงแขกล่าวปรารภขึ้น หลังแต่ที่ได้ฟังนางเง็กยี้เล่าจบแล้ว “ไป–เจ้าไปอีกที ไป๊–ไปบอกคนครัวให้เขารีบ ๆ ทำให้ตั้วกัวยิ้งท่าน”

ครั้นไซหมึ่งเข่งกินข้าวกินปลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็แต่งตัวโอ่อ่าออกจากบ้านไป.

ข้างนางซึงเซาะง้อเจ้ายังมิวายหายที่เจ็บใจ พอเห็นว่าสามีไม่อยู่แน่แล้ว นางก็ขึ้นไปที่เรือนแม่หญิงดวงแข และรายงานฟ้องร้องตามเรื่องราวที่เป็นมา แต่ว่าก็อีกนั่นแหละ ตลอดเวลาที่นางฟ้องร้องอะไรตั้วเจ๊อยู่นั้น พัวกิมเน้ยได้เฝ้าแอบฟังอยู่ทั้งสิ้น.

“ตั้วเจ๊, ไม่เคยคิดบ้างละหรือว่า ผู้หญิงที่บ้าผู้ชาย (Man-crazy Woman) อย่างนางกิมเน้ยคนนี้ มันคิดผูกมัดคุณผู้ชายไว้เป็นของมันคนเดียวก็เป็นได้ ก็สารพัดที่มันจะยุแหย่ท่านตั้วกัวยิ้งเวลาลับหลังเรา จริงๆ ไม่มีใครเขาว่าดอก การจะนอนค้างอ้างแรมชั่วคืนหนึ่งคราวหนึ่ง แต่นี่มันไม่ยังงั้นน่ะซิตั้วเจ๊ ผู้หญิงคนนี้มันขาดผู้ชายนอนกอดแม้แต่ชั่วคืนก็ไม่ได้ จริงๆ นา ลงคนมันรูปนี้ละก็เชื่อข้าพเจ้าเถิด สารพัดมันก็ทำได้ ก็ไม่เช่นนั้น มันจะคิดฆ่าผัวเก่ามันได้ลงคอหรือแม่นาย คิดดูซิ ดูลูกนัยน์ตาของมันเสียบ้าง เหมือน ๆ เราไหม ไม่มีเสียละที่มันจะมองเราอย่างคนธรรมดาเขามอง ๆ กัน แต่กับผู้ชายละไม่ได้ นางคนนี้มองตาเป็นมันทีเดียว”

ซึ่งแต่ละคำพูดที่เซาะง้อกล่าว แสนจะเจ็บแสบเข้าไปในทรวงอกของบัวคำเป็นยิ่งนัก นางสู้สะกดอดกลั้นฟังอยู่สืบไป วัวยะเจ๊ก็ตอบนางเซาะง้อแต่เรียบๆ ว่า “เฉย ๆ ไว้เถอะเจ้า เรื่องของเรื่องใช่จะถึงกับคอขาดบาดตายเมื่อไร ถ้าเจ้ารีบ ๆ ทำกับข้าวให้ตั้วกัวยิ้งแกเสียเร็ว ๆ เมื่อเช้า เรื่องก็คงไม่มีเรื่อง ทำไมจะต้องมามีเหตุทะเลาะวิวาทกันให้มันใหญ่โตเสียเวลาไปเปล่าๆ” เซาะง้อก็ออกตัวว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมิใช่สาเหตุแต่นาง อย่างไรก็ตาม ตั้วเจ๊อย่าด่วนไปหลงเชื่อคำยุยงนางพัวกิมเน้ยได้เป็นอันขาด อย่างไรเสียกิมเน้ยก็ต้องหาว่านางมาแอบนินทาว่าร้ายลับหลัง “จริงๆ นะ ตั้งแต่มันเอาท่านตั้วกัวยิ้งไว้ในกำมือได้ ดูนางนี่ออกจะกำแหงเป็นการไปเสียแล้ว” แม่นายคนที่สี่ของไซหมึ่ง กล่าวโจมตีพัวกิมเน้ยอยู่ต่อเลดี้วัวยะ ก็พอดีเง็กยี้ร้องบอกมาว่า “โง่วเจ๊ อยู่ข้างนอกห้องนี่เอง”

ขาดคำ พัวกิมเน้ยก็ถลันพรวดเข้ามาในห้อง นางจ้องหน้าซึงเซาะง้ออย่างประสงค์ร้าย และเปิดฉากการด่าทอขึ้นทันที.

“เอาละ, มึงว่ากูวางยาพิษฆ่าผัวเก่า ก็แล้วทำไม ทีแรกมึงไม่ห้ามท่านตั้วกัวยิ้งมิให้รับกูเข้ามาไว้ในบ้านเล่า มึงมีเหตุผลอย่างไรที่ว่า กูกักกันผัวไว้นอนกกแต่ลำพัง หรือว่ากูไม่ปล่อยมาให้มึงได้ชื่นอกชื่นใจบ้าง ชะช้า มึงอย่าลืมเสียนะว่า ชุนบ๊วยมิใช่สมบัติของกู ถ้ามึงไม่พอใจ ไม่อยากให้มันไปรับใช้กู มึงก็เรียกตัวกลับมาเสียซิ กลับมารับใช้ตั้วเจ๊แกอย่างแต่ก่อน ไม่ใช่เรื่องอะไรของกูที่จะต้องมาเดือดร้อนด้วย หรือมึงอยากทะเลาะกับชุนบ๊วยมันก็เชิญ มึงคิดเสียให้ดีนะ ทุกวันนี้กฎหมายเขาอนุญาตให้หญิงหม้ายมีโอกาสแต่งงานได้อีก เอาซี กูจะไปจากบ้านนี้ไปเสียให้พ้นหูพ้นตามึง ให้สมใจมึง ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลย ตั้วกัวยิ้งกลับมากูจะขอหนังสือหย่า แล้วกูจะไป”

“อ๊ะ–อ๊ะ, เรื่องอะไรกัน เจ้าสองคนนี้ เราไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดด้วยเลย อยู่ๆ เจ้าก็มาทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องอะไร” วัวยะเจ๊ คนอันเป็นภริยาเอกปรามภริยารองทั้งสองฉันผู้ใหญ่ นางเตือนว่า ถ้าหญิงทั้งสองจักได้สงบปากสงบคอกันลงเสียได้ทั้งคู่แล้ว เรื่องของเรื่องก็จะไม่บังเกิด ความสงบสุขก็จะพึงมี แต่เซาะง้อมิยอมฟังเสียง นางตะโกนด่าท้าท้ายอยู่เอ็ดอึง “ตั้วเจ๊ไม่ได้ยินหรือใครจะทนได้ ปากมันยังกะอะไรดี ต่อให้มันไม่มีลิ้น มันก็ใช้นัยน์ตากลอกกลิ้งแทนได้ ผู้หญิงอย่างนี้ถ้าขืนปล่อยให้มันอยู่ที่บ้านนี้สืบไป อีกหน่อยเถอะเรา ๆ ทุกคนนี่แหละ เว้นแต่ตั้วเจ๊สักคนละกระมัง คงจะต้องถูกนางคนนี้เฉดหัวออกไปจากบ้านหมด ไม่เชื่อก็ดูไป”

เลดี้วัวยะฟัง ๆ ดูเห็นทีท่าจะไปกันใหญ่โต เพราะเซาะง้อร่ำจะกระโจนเข้าบีบคอบัวคำให้จงได้ นางเห็นท่าไม่ได้การ จึงใช้ให้เง็กยี้รั้งเอาตัวเซาะง้อออกไปเสียจากห้อง เมื่อสิ้นคนทะเลาะแล้ว พัวกิมเน้ยก็กลับเรือน นางปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกเสียสิ้นเชิง แกล้งลบฝุ่นและเช็ดลิ้นจี่ออกเสียจนเกลี้ยง ทำให้วงหน้างามที่เคยงามผุดผ่องกลับซีดสลดดูเผือดผิวสิ้นแล้วซึ่งความสวย นางทุ่มทอดตัวอยู่บนเตียงนอนด้วยอาการอึดอัดและน้ำตานองไปทั้งหน้า พลางสะอึกสะอื้นพิลาปร่ำอยู่ไปมา ตราบกระทั่งเย็น ได้เวลาชายผู้เป็นสามีกลับ “อุแม่เอ๋ย ใครหนอทำให้เมียรักพี่มีอันเป็นไปเช่นนี้?” ไซหมึ่งเข่งปราดเข้าซักถามภรรยาคนโปรดของเขาทันที.

พัวกิมเน้ยเล่าพลางสะอื้นพลาง ในที่สุดนางก็บอกว่านางต้องการหนังสือหย่าเพื่อที่นางจะได้ไปเสียจากบ้านนี้ให้พ้นหูพ้นตานางซึงเซาะง้อ นางสำออยสามีว่า “พี่ท่านคิดดูซิว่า เมื่อข้าพเจ้าตัดสินใจมาอยู่กับท่านนั้น ยังจะได้เคยคิดหวังปองทรัพย์สมบัติของท่านอยู่บ้างหรือ น้อยหนึ่งข้าพเจ้าก็มิได้เคยคิด แต่ว่าเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าถูกเขารุมกันกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงใจดำอำมหิต ฆ่าได้ลงคอแม้กระทั่งผัว เขาด่าใส่หน้าข้าพเจ้ามาเช่นนี้ พี่ท่านจะไม่ให้ข้าพเจ้าเจ็บใจหรือ ต่อนี้ไปถ้าจะให้ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่อีก ก็ขออย่าได้จัดส่งใครมารับใช้ข้าพเจ้าเลย จะมีใครไว้ใช้ไว้สอยกับเขาบ้างก็ไม่ได้ ถูกเขาด่าเขาว่าตลอดเวลา สู้อย่ามีเสียเลยจะดีกว่า”

ไซหมึ่งเข่งได้ฟังเมียยอดรักพ้อเช่นนี้ ก็ให้ทวีความโกรธเป็นอันมาก เขาผลุนผลันออกจากเรือนแม่นางพัวกิมเน้ยไปด้วยอารมณ์อันคลุ้มคลั่ง ประหนึ่งลมบ้าหมูที่ปั่นป่วน เขาเรียกเอาตัวนางซึงเซาะง้อมาตบตีเสียเป็นการใหญ่ มือหนึ่งจิกหัวมือหนึ่งก็เฆี่ยนเอาๆ ด้วยเรียวไผ่ จนกระทั่งเลดี้วัวยะทนดูไม่ได้ต้องลุกออกมาห้าม นั่นแหละไซหมึ่งถึงได้เพลามือ เขาสำทับคาดโทษสี่เจ๊ไว้เป็นอย่างหนักก่อนจะจากไป.

แล้วท่านตั้วกัวยิ้ง ก็กลับมาเรือนแม่นางเมียรักรับขวัญและปลอบประโลมใจเจ้าด้วยสร้อยไข่มุกตามที่สัญญาไว้ นับแต่นั้นมา นางพัวกิมเน้ยก็สำนึกได้แล้วว่า “ตัวนางนี่แลหนอ คือหญิงอันเป็นยอดพิศวาสของสามี” จึงการใดนางต้องประสงค์สิ่งใดนางพึงปรารถนา เพียงแต่จะได้บอกให้สามีทราบเท่านั้น การนั้นสิ่งนั้นก็พลันสำเร็จสมอารมณ์ปองของนางทุกประการ.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ