- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
อรุณรุ่ง เรื่อราง น้ำค้างหยาด
บุปผชาติ บานสล้าง ในกลางหน
หนาวลมหนาว เร้าใจ ใครจักทน
นฤมล ยามผัวร้าง ไปห่างกาย
สงสารหมอน หมอนเอ๋ย เคยนอนคู่
สงสารชู้ ชูเชิด มาเริดหาย
สงสารเตียง เตียงว่าง ร้างชู้ชาย
สงสารกาย กายสาว ขาดเคล้า เอยฯ
นับเป็นเวลาได้ปักษ์หนึ่งแล้ว แต่ไซหมึ่งได้พักค้างชิดเชยอยู่กับนางลีกุย ณ สำนักนางโลมของยายลีซัมม้านี้ และก็มิได้กลับไปบ้านเลยตลอดเวลามา มิไยที่เลดี้วัวยะจะได้ส่งคนมาตามแล้วตามอีก ข้างยายลีแม่เล้านั่นก็สำคัญไม่หยอก แกแกล้งเอาเสื้อผ้าของคนผู้เขยขวัญแอบซุกซ่อนเสียเรื่อย ๆ จนแล้วจนรอดไซหมึ่งก็เลยมิได้กลับบ้าน ดูประหนึ่งว่า คนอันเป็นสามีผู้นี้ได้ทอดทิ้งภริยางามของเขาไว้ทางบ้าน โดยมิได้เหลียวแลเอาใจใส่ถึงห้านาง เรื่องเช่นนี้สำหรับภรรยาคนอื่นใดเขาก็พอจะอดทนกันไปได้ แต่ภรรยาคนที่ห้า แม่นางพัวกิมเน้ยนี้นางทนไม่ไหว อึดอัดและกลัดกลุ้มจนเป็นเหตุให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็จะให้นางกินได้และนอนหลับอย่างไรไหว จะว่าถึงอายุอานามแล้ว สามสิบปีสำหรับกิมเน้ยนี้ใช่ว่าแก่เกินงาม และก็ใช่ว่าอ่อนทรามเสียจนเกินชม จึงวันแล้วก็วันเล่า นางได้เฝ้าแต่ตั้งตาคอยคนผู้ผัวจะคืนมา ทว่าเขาก็ไม่กลับมาสักที.
ทุกเช้า พัวกิมเน้ยจะแต่งตัวเสียเฉิดเฉย เฝ้าชะแง้คอยแลแต่ต้นทางอันไซหมึ่งจะเดินมา ทว่าจนเย็นแล้วก็มิเห็นแม้แต่เงาของเขาเลย กิมเน้ยเจ้าก็จะระทดระทวยกลับห้อง ถาโถมทุ่มทอดทิ้งตัวลงกับเตียงนอน นางเฝ้าแต่ได้ฟูมฟายอยู่มิเว้นวัน และยิ่งมาเห็นหมอน, มุ้ง, และม่านเข้าอีก นางก็ยิ่งให้หงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นเป็นทับทวีคูณ ต่อให้ดึกดื่นค่อนคืนสักปานใด หากบัวคำนอนไม่หลับ เจ้าก็จะใช้เวลาไปเดินเล่นกลับไปกลับมาอยู่ในสวน เที่ยวได้ละเมอเพ้อพกไปตามประสาคนกังวลสวาทอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าและพรรณบุปผชาตินานาชนิดประดามี ชมกอนั้นดูกอนี้ ฯลฯ ของนางไปตามเรื่อง แลหาไม่ยามคืนไหนแสงจันทร์ส่องกระจ่าง บัวคำเจ้าก็จะแวะไปเฝ้าชมอยู่กับดอกบัวบานในกลางสระ นานเท่านาน เป็นนิจมา.
ครั้งนั้น ในคฤหาสน์หลังนี้ ยังมีเด็กหนุ่มคนรับใช้หน้าตาคมคายผู้หนึ่งชื่อ คิมท้ง เพื่อนเป็นเด็กรับใช้ติดมากับแม่หญิงเม่งเง็กเล้า แต่เดิมที่คิมท้งนี้มีอายุได้ ๑๖ ปี เป็นเด็กอัธยาศัยดีความประพฤติเรียบร้อย มีความขยันขันแข็งในกิจการงาน ตั้วกัวยิ้งสงสารก็เลยจ้างไว้ให้เป็นคนเฝ้าสวน และอนุญาตให้อาศัยอยู่ที่เรือนน้อยริมประตูสวน ปกติเวลาแม่นางเง็กเล้า กับแม่หญิงพัวกิมเน้ยลงเล่นอุทยาน นางทั้งสองก็ได้อาศัยไหว้วานเด็กหนุ่มผู้นี้คอยรับช่วงใช้สอยและหรือให้เฝ้าต้นทางคอยข่าวเจ้าเวลาไซหมึ่งกลับ เขาได้รับความเมตตาปรานีจากสองแม่นางนี้อยู่เป็นอันมาก และที่มากเป็นพิเศษก็จากแม่นางโง่วเจ๊ เพราะนางมักจะเรียกเขาไปหาที่เรือน ให้รางวัลสุราอาหารอยู่เป็นประจำ จึงในโอกาสที่นางตกอยู่ในอารมณ์อันว้าเหว่เช่นนี้ นางก็ให้รู้สึกกระสันถึงเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นยิ่งนัก นางปรารถนาจักได้เขาไว้เป็นเพื่อนนอนร่วมชิดเชยตราบเช้ากระทั่งเย็นก็ว่าได้.
วันเวลาล่วงไป, บัดนี้ถึงฤดูเดือนที่คำรบเจ็ดของศักราชจีนเข้าแล้ว วันอันเป็นวาระคล้ายวันเกิดของท่านไซหมึ่ง ก็เวียนมาถึงอีกรอบหนึ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่แม่นางโง่ววัวยะ จะต้องใช้ความพยายามรั้งตัวคนผู้สามีให้ออกมาจากโรงยาฝิ่นและซ่องโสเภณีให้จงได้ ดังนั้นนางจึงใช้ให้เจ้าไต้อังยี้ไปตามเขาที่ซ่องยายลีอีกครั้งหนึ่ง และตรงนี้ไต้อังได้รับจดหมายฝากของแม่หญิงบัวคำไปให้ตั้วกัวยิ้งด้วยฉบับหนึ่ง บัวคำได้กระซิบเป็นความลับว่า ให้เขาหาทางส่งจดหมายนี้ให้ถึงมือท่านเจ้าสัวให้จงได้ และนางยังได้กำชับอีกว่า ให้ช่วยอ้อนวอนคุณผู้ชายกลับบ้านกลับช่องเสียที.
เมื่อไซหมึ่งเห็นหน้าไต้อังเข้า เขาก็ให้รู้สึกแปลกใจนัก เพราะมิอาจรู้ได้ว่าทางบ้านจะเกิดการร้ายหรือดีขึ้นอย่างใด แลขณะนั้นท่านตั้วกัวยิ้งกำลังเสพสุราอยู่เป็นที่สำราญกับแม่นางลีกุยเข่ง แวดล้อมอยู่ด้วยบรรดาเพื่อนร่วมน้ำมิตรที่นัยว่าฆ่ากันไม่ตาย ขายกันไม่ขาด พรักพร้อมหน้า.
“เจ้ามาทำไม? เกิดเรื่องอะไรหรือ?” ไซหมึ่งถามขึ้นอย่างประหลาดใจ.
ไต้อังก็ตอบว่ามิได้มีอะไรเกิดขึ้นดอก.
“อ้าว, แล้วเจ้ายังจะได้เอาเสื้อผ้าของเลดี้กุยเข่งมาให้ด้วยหรือเปล่าล่ะ?” ไต้อังก็บอกว่าเขาได้เอามาให้แล้ว พลางล้วงถุงย่ามหยิบเสื้อกาวน์ไหมสีกุหลาบอ่อนออกส่งให้ท่านเจ้าสัว พร้อมด้วยกระโปรงผ่าข้างอีกตัวหนึ่ง กุยเข่งเห็นดังนั้นก็ดีใจนัก นางเรียกเจ้าเด็กไต้อังผู้นี้ลงไปที่ห้องครัว และจัดหาเหล้าหากับแกล้มมาเลี้ยงดูเขาจนเป็นที่อิ่มหนำสำราญดี เสร็จแล้วเด็กคนใช้ก็ขึ้นไปลาท่านตั้วกัวยิ้งกลับ แลขณะที่เขาก้มตัวลงกล่าวลานั่นเอง เขาได้แอบกระซิบบอกท่านเจ้าสัวว่า “โง่วเจ๊, ได้ฝากจดหมายมาถึงฉบับหนึ่ง และสั่งมาอีกว่าให้ท่านตั้วกัวยิ้งรีบกลับบ้านเร็ว ๆ หน่อย” แต่ก่อนที่ไต้อังจะทันส่งจดหมายให้ไซหมึ่ง แม่หญิงกุยเข่ง ซึ่งจับตาดูอยู่ก็เห็นเข้า นางจึงรีบกระชากเอาจดหมายนั้นไปเสียก่อน.
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ นี่ต้องเป็นจดหมายรักของอีนางคนสวยคนใดคนหนึ่ง” กุยเข่งนึกแต่ในใจ ยิ่งเมื่อได้เห็นลายมือในจดหมายนั้นเข้า นางก็ยื่นจดหมายส่งให้จกสิกเหนียนอ่าน แลสำทับให้เขาอ่านดังๆ ทั้งนี้เพราะนางมิสามารถอ่านข้อความอันลึกซึ้งในจดหมายนี้ออกได้นั่นเอง.
สิกเหนียนรีบแก้ม้วนจดหมายออกดู พลางอ่านขึ้นดัง ๆ ให้ได้ยินกันทั่ว แลข้อความในจดหมายนี้ พัวกิมเน้ย, ได้นำมาแต่โศลกบทหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “บุปผาที่ยับเยินเพราะลมพายุ” (Flowers broken by the storm).
โอ้คืนวัน ฝันใฝ่ ให้รำลึก
เฝ้าแต่นึก ถึง “เขา” เศร้าเหลือแสน
เจ็บอกช้ำ ล้ำใคร ในดินแดน
โศรกข้าแม้น แม่นละม้าย “เขา” ตายไป
สุดฝืนชนม์ ทนเศร้า ดั่งเขาได้
อกข้าไซร้ เจียนจะหัก ลงตักษัย
ยิ่งเห็นหมอน หมอนเปล่า ขาด “เขา” ไป
ทั้งโคมไฟ แห้งขอด น้ำมันจาง
โอ้, แสงจันทร์ ดั้นเมฆ มาหลัวๆ
เหมือนยุให้ ใจมัว มืดหม่นหมาง
นี่เนื้อเคราะห์ จำเพาะเข็ญ เป็นเพราะปาง-
ก่อนเคยสร้าง สมสั่ง ไว้อย่างไร
โอ้, ราตรี นี้หนอ ข้าหนาวนัก
หนาวทั้งลม หนาวทั้งรัก แทบตักษัย
ข้าจะฝืน คืนชีพรอด ตลอดไป
คืนนี้ได้ หรือไม่นั้น หวั่นจริง เอยฯ
กราบมาที่อกผัว
พัวกิมเน้ย
แม่หญิงลีกุยทนนั่งฟังจดหมายฉบับนี้อยู่จนจบ นางให้รู้สึกร้าวรานใจมาก จึงผลุนผลันลุกขึ้นจากโต๊ะกลับไปห้องของนางเสีย พลางก็ทุ่มทอดตัวลงกับเตียงนอนคว่ำหน้าซบสะอึกสะอื้นอยู่กับหมอน จนกระทั่งหลับไปไม่รู้ตัว ไซหมึ่ง, เห็นแม่นางคนสวยโกรธและกระฟัดกระเฟียดเช่นนี้ก็โมโหเดือดผลุดลุกขึ้นเตะไต้อังยี้ คนช่างยุ่งเสียสองที แล้วก็ไล่ตะเพิดส่งให้กลับบ้านไป เขากระชากจดหมายมาขยี้เสียยับไปกับมือแล้วก็ใช้ให้คนขึ้นไปตามแม่นางลีกุยนี้ถึงสองหนสามหน แต่เธอมิปรารถนาจะลงมา อดรนทนไม่ได้ ไซหมึ่งก็เลยต้องขึ้นไปปลอบเธอด้วยตัวเอง.
แหละแล้ว ท่านตั้วกัวยิ้งก็คงพักหลับนอนอยู่กับนางลีกุยเข่ง ณ ซ่องยายลีแห่งนี้สืบไป.
ขณะเดียวกันนี้, ไต้อังก็เดินหน้าม่อยกลับมาบ้าน รายงานเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ให้ตั้วเจ๊ฟัง เขาบอกว่าท่านตั้วกัวยิ้งสั่งเป็นเด็ดขาดไม่ให้ใครไปตามอีก ถ้าไปจะกลับมาพังบ้านให้หมด แม่นางวัวยะก็ว่า “ชั่งดีเหลือเกินนะ ถ้าจะเป็นเอามาก ๆ” แล้วนางก็หันไปปรารภกับสองหญิง แม่นางเง็กเล้า และพัวกิมเน้ย ซึ่งนั่งสนทนาอยู่ด้วยนั้นว่า “เราจะทำอย่างไรดีเล่าเช่นนี้?”
เง็กเล้าก็ว่าที่ท่านตั้วกัวยิ้งเตะต่อยไต้อังนั้นน่ะไม่สำคัญดอก เพราะเขาคงจะต่อยเตะตามที่เคยๆ มา ว่าแต่ว่า เรื่องอะไรถึงได้มาพาลโกรธพวกเราทางบ้านด้วยเล่า? พัวกิมเน้ยก็สนับสนุนสืบไปอีกว่า นี่แหละไหมล่ะ โต ๆ ด้วยกันแล้วน่าจะรู้อยู่แก่ใจดี ก็มีอย่างหรือที่อีผู้หญิงโสเภณีพวกนี้ มันเคยรักใครจริงๆ บ้าง มันจะชายหางตาให้ก็เฉพาะแต่ผู้ชายที่มีเงินเท่านั้น ไม่เช่นนั้นสุภาษิตเขาไม่อ้างไว้ดอกว่า “ต่อให้ขนทองไปให้เต็มลำเรือ ก็ไม่มีวันเบื่อสำหรับผู้หญิงพวกนี้”
แลคำใดที่หลุดออกจากปาก คำนั้นก็รั่วไหลไปเข้าหูแม่นางลีเกียวยี่เจ๊ คนอันเป็นน้าของนางลีกุยเข่งจนหมดสิ้น นางให้รู้สึกเคียดแค้นและนึกผูกพยาบาทนางพัวกิมเน้ยอยู่แต่ในใจตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา.
ด้วยความระทมใจที่ไม่เห็นผัวรักกลับคืนมา กิมเน้ยจึงขอตัวกลับห้อง นับวันเวลาที่นางโง่วเจ๊ต้องตกอยู่ในห้วงของความตรมตรอมใจเช่นนี้ตลอดมา วันคืนที่คล้อยเคลื่อนเสมือนหนึ่งนานนับด้วยจำนวนปี แต่ละนาที ๆ ที่ล่วงผ่านพ้นไปเนิ่นนานนับด้วยจำนวนกัปและกัลป์ ซึ่งควรจะน่าเห็นใจนางอยู่มิใช่หรือ? จึงในวันหนึ่งเมื่อพัวกิมเน้ย, แน่ใจแล้วว่า อย่างไรเสียวันนี้สามีก็คงมิกลับอีกแน่ๆ พอเห็นได้เวลาเข้าไต้เข้าไฟดีแล้ว นางก็รีบไล่ให้สองเจ้าสาวใช้ไปนอนเสีย ส่วนตัวของนางเองนั้นทำไถลลงไปเดินเล่นที่ในสวน แลอันที่เป็นจุดประสงค์ของนางนั้นก็คือ เจ้าหนุ่มคิมท้ง, เด็กเฝ้าสวนคนรูปงามนั้นเอง กิมเน้ยได้แอบไปเรียกเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้อย่างเงียบๆ มาจากเรือนพักของเขา และเมื่อได้ขัดกลอนประตูหน้าต่างบ้านเรียบร้อยแล้ว กิมเน้ยก็ยกสุราอาหารออกมาตั้งเทียบ เชิญชวนให้เขาร่วมกินและดื่มอยู่เป็นที่สุขสำราญใจ คะเนว่าคิมท้ง หนุ่มอ่อน ชักจะมึนเมาได้ขนาดแล้ว กิมเน้ยก็ปลดเปลื้องเข็มขัดของนางออก และในทันใดนั้น สภาพอันแรกเกิดของโฉมแม่นางกิมเน้ย ก็ปรากฏอยู่เปลือยเปล่าต่อหน้าต่อตาของเจ้าหนุ่มคนเฝ้าสวน
เมื่อสาวเจ้าเชิญชวน มีหรือหนุ่มเจ้าจะนิ่งดูดาย ดังนั้นคิมท้ง, คนอันติดสอยห้อยตามแม่หญิงเง็กเล้ามาจึง––
-–โอบอุ้มจุมพิตสนิทถนอม
งามละม่อมละมุนจิตพิสมัย
ร่วมภิรมย์สมสองทำนองใน
แผ่นดินไหวจนกระทั่งหลังอานนท์
ในนทีตีคลื่นเสียงครื้นครึก
ลั่นพิลึกโลกาโกลาหล
หีบดนตรีปี่พาทย์ระนาดกล
ไม่มีคนไขก็ดังเสียงวังเวง
อัศจรรย์ลั่นดังระฆังฆ้อง
เสียงกึกก้องเก่งก่างโหง่งหง่างเหง่ง
ปืนประจำกำปั่นก็ลั่นเอง
เสียงครื้นเครงครึกโครมโพยมยน
สุนีบาตฟาดเสียงเปรี้ยงเปรี้ยงเปรื่อง
กระดอนกระเดื่องดินฟ้าเป็นห่าฝน
(สุนทรภู่ ในพระอภัยมณี)
ซึ่งห่าฝนจะหนักหนาสักปานใดนั้นมิรู้ได้ หากแต่ว่านับแต่นั้นมาพัวกิมเน้ยก็ค่อยคลายกลัดกลุ้มกังวลใจลงได้บ้าง นางได้ร่วมลักลอบกระทำชู้กับเจ้าหนุ่มผู้นี้ทุก ๆ ราตรีสืบมา ซึ่งการอันจะเป็นที่พออกพอใจแค่ไหนอย่างใดนั้นยากจักรู้ คงรู้แต่ว่าคิมท้ง, เพื่อนได้รับรัดเกล้าทองหนึ่งอัน, ปิ่นเงินปักผมสามปิ่น และถุงบุหงาไหมอีกหนึ่งถุง ไว้เป็นของขวัญต่างหน้าแม่นางโง่วเจ๊ของเขา และทั้งหมดที่นางกิมเน้ยกระทำไปนี้ นางหาได้คิดเลยไปถึงไม่ว่า เจ้าเด็กหนุ่ม, คนเฝ้าสวนนี้จักกำเริบและนำไปอวดโอ้ขี้ปดในยามใดยามหนึ่งที่เขาเกิดมึนเมากับเพื่อนๆ ฝูง ๆ ขึ้นมา และการก็เป็นไปดั่งที่นางคาดไม่ถึงนี้จนได้ เพราะในวันหนึ่งต่อมาข่าวนี้ได้กระพือแพร่ไปเข้าหูแม่หญิงเซาะง้อ กับแม่นางลีเกียวจนได้ หญิงทั้งสองมีใจเชื่ออยู่มาก่อนแล้วว่า นางพัวกิมเน้ยนี้หาได้สุจริตใจต่อไซหมึ่งผู้สามีไม่เป็นแน่แท้ ดังนั้นทั้งสองนางจึงพากันไปเล่าถึงมูลเหตุที่ได้รับมาเกี่ยวกับหญิงเป็นศัตรูของนางนี้ให้ตั้วเจ๊ฟัง แต่แม่นางวัวยะเจ๊หาพลอยปลงใจเชื่อไปด้วยไม่ มิหนำซ้ำนางยังกลับปรามสองหญิงนี้เสียอีกว่า อย่าได้ไปสนใจแลใส่ใจในตัวโง่วเจ๊คนนั้นให้มากเกินแก่การไปนักเลย และแล้วนางก็มิได้คิดจะเอาเรื่องเอาราวแต่อย่างใด.
อยู่มาคืนวันหนึ่ง, บัวคำลืมขัดกลอนประตูเรือน เจ้าชิวเก็ก, ตื่นขึ้นมากลางดึก ก็เลยเห็นเหตุการณ์เข้า พอดีเป็นขณะเข้าด้ายเข้าเข็ม ตอนแม่นางโง่วเจ๊กำลังอยู่ในอ้อมกอดอันรัดรึงของเจ้าหนุ่มคิมท้ง จึงรุ่งเช้าสาวใช้ปากสว่างนี้ก็นำความไปเล่าสู่เจ้าเง็กยี้คนใช้ของตั้วเจ๊ฟัง เง็กยี้รับฟังแล้วก็คาบข่าวนี้ไปเล่าต่อแก่แม่หญิงเซาะง้อ พอเซาะง้อรู้เรื่องเข้าเท่านั้นก็ปราดไปหาแม่หญิงลีเกียวทันที แล้วทีนี้ทั้งสองนางต่างก็กระวีกระวาดพากันไปหาแม่นางดวงแขอีกเป็นคำรบสอง.
“คราวนี้เรามีสาวใช้ของมันเองเป็นพยานแน่ๆ เอาเถอะถึงตั้วเจ๊ไม่บอกตั้วกัวยิ้ง พวกเราก็จะบอกเขาเอง จะปล่อยให้เขาหลงเลี้ยงอีนังแมงป่องเช่นนี้ไว้ในบ้านไม่ได้เป็นอันขาด”
เลดี้วัวยะ, ก็เตือนสติหญิงทั้งสองว่า อย่าได้ด่วนทำอะไรให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจไซหมึ่งเลยระยะนี้ เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดของเขา.
และในที่สุด ก่อนหน้าถึงวันทำบุญแซยิดสองวัน ไซหมึ่งเข่งก็กลับมาบ้าน พอมาถึงเขาก็ได้รับรายงานคดีชู้สาวของเมียรักคนที่ห้าจากลีเกียวและเซาะง้อทันที แลพอรู้เรื่องเข้าเท่านั้น ตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งก็ให้รู้สึกเจ็บเสียวสะเทือนใจเป็นล้นพ้น จึงมิใยว่ากิจงานใดจะคั่งค้างรอคอยการสั่งงานจากเขาอยู่ เขาสู้ละไว้มิได้คิดจะนำพา ตะโกนเรียกหาตัวเจ้าหนุ่มคิมท้งให้มาพบทันที.
เมื่อพัวกิมเน้ยแว่วข่าวสามีโกรธ นางให้รู้สึกตระหนกอกสั่นเป็นอันมาก รีบเรียกหาตัวเจ้าหนุ่มผู้ชู้เชยมาที่เรือนโดยเร็ว นางขอร้องมิให้คิมท้งให้การอย่างใดสิ้นในเรื่องนี้ และนางยังได้รีบทวงของที่ระลึกซึ่งนางให้ไว้แก่เขาคืนอีกด้วย ทว่าด้วยอารามตกอกตกใจจนสติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บัวคำลืมนึกไปถึงถุงบุหงาแพรอีกถุงหนึ่ง.
ดังนั้นเมื่อคิมท้งถูกนำตัวไปพบท่านเจ้าสัว เขาจึงมิยอมให้การอันใดสิ้น และเมื่อไซหมึ่งสั่งให้ค้นตามตัวและในมวยผมของเขา ก็มิได้พานพบสิ่งของอันหนึ่งอันใด กระทั่งเปลื้องผ้าเจ้าหนุ่มผู้นี้ออกจนหมดสิ้นแล้วนั่นแหละ ไซหมึ่งจึงได้เห็นถุงบุหงาไหมอันที่เขาจำได้เป็นมั่นเหมาะว่าเป็นของพัว, ผู้เมียรักผูกเอวเจ้าหนุ่มอยู่ เขารู้สึกสะอึกขึ้นในหัวอกทันที “ฮา–ว่าแล้ว เจ้าได้ถุงนี้มาแต่ไหน?”
และด้วยความที่ไม่ทันคิด คิมท้งก็อึกอัก ๆ อยู่ต่อเป็นครู่ เขาจึงละล่ำละลักตอบว่า เขาเก็บได้ที่ในสวน ตั้วกัวยิ้งก็ยิ่งโกรธขึ้นอีกเป็นทับเท่าทวีคูณ กัดฟันอยู่กรอด ๆ เขาเร่งสั่งให้คนใช้จับตัวเด็กเฝ้าสวนผู้นี้คว่ำลงโบยหลังเสียจนแตกเป็นริ้วรอย เลือดไหลโทรมไปหมดทั้งร่าง เท่านั้นยังไม่พอ เขาสั่งไล่ป้อให้จัดการกร้อนผมเจ้าเด็กหนุ่มผู้บังอาจคนนี้ออกเสียอีกสองปอย ตามประเพณีขี้ข้าซึ่งถูกนายจ้างขับไล่ แล้วให้ไสหัวออกไปเสียจากบ้านแต่ ณ เพลาวันนั้น.
เสียงเรียวไผ่ที่คิมท้งต้องโบย สลับอยู่ด้วยเสียงโอดโอยที่ฟังแล้วเสียวสยองเข้าในหัวอกพัวกิมเน้ย บัดนี้นางให้รู้สึกหนาวสะท้านแลระย่อไปหมดทุกขุมขน ปิ้มประหนึ่งว่าถูกจับอัดอยู่ในกระบอกน้ำแข็งก็ปานกัน
เมื่อตั้วกัวยิ้งเสร็จจากการชำระเจ้าหนุ่มคิมท้งแล้ว เขาก็รีบปราดมาที่เรือนนางพัวกิมเน้ยทันที พอนางเห็นสีหน้าท่าทางของสามีเจ้า ที่หนาวๆ ร้อน ๆ อยู่ก่อนหน้าแล้วก็เลยพาลจะเป็นไข้เสียให้ได้ในบัดนั้น แต่ถึงกระนี้ก็ตาม กิมเน้ยสู้สะกดอกสะกดใจ ระงับสติอารมณ์แลสำรวมใจไว้เป็นอันดี พอสามีเข้าห้องเจ้าก็ตรงเข้าช่วยถอดเสื้อเปลื้องผ้าและปรนนิบัติให้เขาเยี่ยงปกติที่เคยมา แต่ทันใดนั้นเอง ไซหมึ่งได้ตบหน้านางเข้าให้ฉาดหนึ่ง พลางก็ส่งเสียงเรียกเจ้าชุนบ๊วยอยู่ขรม เขาสั่งให้สาวใช้ไปปิดประตูหน้าต่างเสียให้สิ้น และสั่งห้ามเป็นคำขาดมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดขึ้นมาบนบ้านนี้.
ครั้นแล้วท่านเจ้าสัว ซึ่งขณะนี้ดูทีท่าหน้าตาน่ากลัวอยู่ ก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พลางขยับแส้ม้าอยู่ในมือขวับๆ เขาบังคับพัวกิมเน้ยให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกให้หมด แล้วก็สั่งให้นางคุกเข่าลงตรงหน้า บัวคำเจ้าก็คุกเข่าลงนั่ง ค้อมหัวอยู่เบื้องหน้าไซหมึ่งผู้สามีโดยมิได้มีการขัดขืนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด.
“ว่าอย่างไร ฮึ, นังคนสารเลว เจ้าได้กระทำผิดอันใดไว้ สารภาพออกมาเสียให้หมด” ไซหมึ่งขู่เข็ญภรรยาด้วยวาจาอันฉุนเฉียว.
“อ้ายชายชู้ของเจ้ามันสารภาพแก่เราหมดสิ้นแล้ว เจ้าจะแก้ตัวอย่างไรก็ว่ามา แต่อย่าได้ปฏิเสธเราเสียให้ยากเลย นี่แสดงว่าเจ้าคงลอบทำชู้กันเสมอมาเป็นนิจอย่างแน่ๆ ตลอดเวลาที่เราไม่ได้อยู่บ้านนี้ ช่างงามหน้าเหลือเกิน ที่เจ้าทำต่อเราครั้งนี้”
“โอ, ตายจริง นี่มันเรื่องอะไรกัน อยู่ ๆ ตั้วกัวยิ้งท่านก็มาหาเรื่องต่อข้าพเจ้า โปรดเถิด อย่าเพ่อด่วนวู่วามเอาชีวิตข้าพเจ้าเสียก่อนเลย เป็นความสัตย์ข้าพเจ้านี้มิเคยได้กระทำอันใดผิดและนอกใจท่านเลยตลอดเวลามา กลางวันข้าพเจ้าก็สนทนาหางานเย็บปักถักร้อยทำอยู่กับเม่งซัมเจ๊ มิได้ไปไหน กลางคืนเล่าข้าพเจ้าก็เข้านอนอยู่แต่ในห้อง ก็แล้วเช่นนี้ท่านยังจะเห็นว่าข้าพเจ้าได้ไปทำผิดไว้ที่ไหนอีกหรือ หากตั้วกัวยิ้งท่านไม่เชื่อคำข้าพเจ้าแล้ว ถามชุนบ๊วยดูก็ยังได้” แล้วพัวกิมเน้ยก็ตะโกนเรียกสาวใช้คนต้นห้องให้มาช่วยให้การเป็นพยานให้นาง.
แต่ไซหมึ่งเข่งมิได้ฟังเสียง เขาตวาดเอ็ดอึงขึ้นด้วยความที่โมโห “หนอย ก็เราได้รับรายงานมาว่า เจ้าได้ให้รัดเกล้าทองไปอันหนึ่งกับปิ่นผมอีกสามอันแก่เจ้าคิมท้งนั่น แล้วเจ้ายังจะมาปฏิเสธเราได้อย่างไร”
พัวกิมเน้ยก็ใส่ไห้อยู่เป็นการใหญ่ พลางออดอ้อนอยู่ด้วยคำวอนอันน่าจะเห็นใจว่า “ตายแล้ว–อีพวกนั้นหาเรื่องให้ข้าพเจ้าอีกแล้ว แน่นัก, เรื่องนี้ต้องออกจากปากอีเวรพวกนั้น ก็มันอิจฉาข้าพเจ้าอยู่นี่นา มันหาว่าตั้วกัวยิ้งท่านนั้นโปรดปรานข้าพเจ้า โธ่เอ๊ย ก็ทำไมถึงไม่มีใครมาลากลิ้นอีพวกนี้ให้มันตายโหงตายห่าไปเสียรู้แล้วรู้รอดทีนะ ดูซิ ของที่พี่ท่านว่าข้าพเจ้าได้เที่ยวได้ให้ใครต่อใครนั้นก็อยู่นี่ รัดเกล้าทอง นี่ปิ่นเงินดูเอาซิ ถ้าหากว่ามีอันใดขาดตกบกพร่องไปแต่สักอย่าง ถึงค่อยเอาโทษต่อข้าพเจ้า แล้วทีหน้าทีหลังตั้วกัวยิ้งท่านก็มิพักเชื่อคำพูดของข้าพเจ้าอีกสืบไป ดูเอาเสีย แล้วพิจารณาเถิดว่า เมียของท่านคนนี้ยังจะชั่วช้าจริงหรือหาไม่ และถ้าอ้ายเด็กบ้านั่นมันให้การนอกเหนือไปอีกแล้วละก็ มันต้องใส่ร้ายข้าพเจ้าทั้งเพ––”
“เอาละ, ดีแล้ว อะไรๆ ก็อยู่พร้อม ว่าแต่นี่–” แล้วไซหมึ่งก็ควักถุงบุหงาออกมาวางไว้ตรงหน้า “นี่เจ้าจำได้ไหมของของใคร? ก็แล้วทำไมถึงไปห้อยอยู่ที่เอวของเจ้าคิมท้งมันได้ ยังจะปฏิเสธไปถึงไหนอีกเล่า -” และแล้วด้วยความที่แค้นเหลือจะอดกลั้นได้ ไซหมึ่งก็เลยหวดหลังแม่นางโง่วเจ๊เสียด้วยแส้ม้า จนนางบิดตัวอยู่เร่า ๆ.
“โอย, ตายแล้วท่านตั้วกัวยิ้ง” กิมเน้ยหวีดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด “ละชีวิตอีขี้ข้าคนนี้ไว้พอให้มันได้อธิบายความแก่ท่านบ้างเถิด ถุงนี้ข้าพเจ้าทำหล่นหายเมื่อวันก่อนตอนลอดซุ้มต้นบุหลันเข้าไปนั่งเล่นกับแม่นางเง็กเล้า ข้าพเจ้าหาเท่าไร ๆ ก็ไม่พบ แล้วจะให้ข้าพเจ้าคิดไปถึงได้อย่างใดว่า เจ้าเด็กบ้าคนนั้นมันจะเก็บเอาไป ข้าพเจ้าไม่เคยเลยที่จะหยิบยื่นอะไรให้เจ้าคิมท้งมัน ไม่เคยเลยจริงๆ เป็นความสัตย์ให้ไปสาบานที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้” พัวกิมเน้ยแก้ตัวกับสามีอยู่เป็นพัลวัน.
ไซหมึ่งก็ดูๆ ชักจะหายโกรธเอา ค่าที่น้ำหนักคำให้การของโง่วเจ๊ต้องตรงกับคำให้การของเด็กเฝ้าสวน และที่ประจักษ์อยู่ต่อตาก็คือ ร่างอันผุดผ่องของหญิงที่ตนเคยนอนกกนอนกอดนั่งเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าด้วยหน้าตาอันหม่นหมอง อุแม่เอ๋ย เจ้าช่างงามมิผิดอะไรกันเลยกับช่อบุปผาที่หลุดหล่นลงกลั้วดิน ยิ่งพิศก็ยิ่งเคลิ้ม ค่าที่กิมเน้ยเจ้าช่างสวยจับใจอะไรเช่นนี้ และเป็นขณะทั้ง ๆ ที่เจ้าเองก็กำลังได้รับทุกขเวทนาอยู่ ยิ่งไซหมึ่งได้เห็นน้ำตาของภรรยาเข้าอีก ใจคอก็เลยชักอ่อน และอาศัยที่ทุนเดิมของความปรานีมีอยู่ต่อโง่วเจ๊เจ้านี้ถึงเก้าส่วนในสิบส่วน ไซหมึ่งก็เลยหายโมโห มิหนำซ้ำกลับยิ่งจะพาใจให้เพิ่มพูนอยู่ด้วยความเสน่หาในตัวแม่นางพัวนี้อีกเป็นทบเท่าทวีคูณ.
แล้วตั้วกัวยิ้งก็เรียกหาตัวเจ้าชุนบ๊วยให้มาพบ เขาโอบอุ้มเจ้าสาวน้อยขึ้นนั่งบนตัก พลางไต่ถามเนื้อความที่เป็นมา ต้นห้องสาวคนโปรดของโง่วเจ๊ก็ให้การว่า ไม่น่าที่เขาจะมาสงสัยแม่นายที่ห้าคนนี้เลย เพราะพูดก็พูดเถอะ อันตัวแม่นางโง่วเจ๊กับเจ้านั้น ว่าไปแล้วก็เสมือนแก้มกับริมฝีปากที่อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา เจ้ามิเคยเลยที่จักได้ไปไหนห่างไกลแม่นางกิมเน้ย ซึ่งหากเป็นดังคำกล่าวหา ก็น่าที่เจ้าจะต้องได้รู้ได้เห็นบ้างเป็นแน่ แล้วชุนบ๊วยก็เหน็บแนมเอาด้วยคำพูดอันคมคายว่า “เรื่องนี้ต้องเกิดจากความผูกพันพยาบาทของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมิน่าเลยที่ท่านตั้วกัวยิ้งจะงมงายปล่อยให้เขาสนตะพายจูงจมูกได้ถึงเพียงนี้”
ชักจะเห็นจริงขึ้นมาแล้วซี ตามที่สาวน้อยเจ้าให้เหตุผลมา ถ้าเราคงจะโดนปั่นหัวเข้าให้แล้วก็เป็นได้ ท่านตั้วกัวยิ้งรำพึงแก่ตัวพลางสะบัดแส้ม้าทิ้ง สั่งให้กิมเน้ยนุ่งผ้านุ่งผ่อนเสียให้เรียบร้อย แล้วเขาก็เรียกเจ้าชิวเก็กให้ยกโต๊ะสุราอาหารออกมากินกัน และเพื่อเป็นการขอโทษหวังประจบเอาใจสามี โง่วเจ๊ก็ก้มลงรินเหล้ายื่นให้ไซหมึ่งเป็นจอกแรก ซึ่งเมื่อรูปการเป็นเช่นนี้ ตั้วกัวยิ้งก็ยกโทษให้แก่เธออย่างสิ้นเชิง เขากำชับว่าทีหน้าทีหลังขออย่าให้นางประพฤติการใดที่น่าบัดสีดังที่มีข่าวเช่นนี้อีก เขาจะไม่ยอมยกโทษให้ต่อไปอีกเป็นอันขาด.
ภรรยาก็กล่าวรับรองด้วยวาจาเป็นมั่นเหมาะว่า นางจะอยู่ในโอวาทของเขาทุกอย่างทุกประการ และแล้วนางก็กระทำคำนับอย่างนอบน้อมต่อสามีจนครบสี่ครั้งตามธรรมเนียม จึงเป็นอันว่า “คดีชู้สาวเรื่องนี้ก็พับไป”
----------------------------