- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
How pleasant in the spring to stroll
Along the purple street,
Drink deep at the Red Tower
To the music of lutes and flutes.
For what is the use of grieving?
Enjoy this brief today!
So long as we dare to hope
He is a fool who does not make merry!
สอง-สามวันต่อมา ก็ถึงคราวที่ฮวยจื้อฮือจะจัดการแต่งโต๊ะเลี้ยงรับรองท่านไซหมึ่งเข่งตั้วกัวยิ้งผู้นั้นบ้างเป็นการตอบแทน แลทุกวันนี้เท่าที่เป็นอยู่ จื้อฮือเอาแต่เที่ยวเตร่มิได้คิดจะทำงานทำการ และหรือกลับบ้านกลับช่องเลย เขาเที่ยวได้เพลิดเพลินเจริญใจอยู่ตามบ่อนตามซ่อง อย่างสนุกสนานทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งนี้เขามีความคิดตามประสาของเขาว่า:- “ช่างเป็นความสุขและแสนจะน่าพอใจแค่ไหน ในการที่ได้ใช้เวลาเดินเที่ยวเตร่ตากลมชมสาวเล่นแถวๆ ถนน “หินม่วง” และแล้วก็แวะไปนั่งเสพสุราฟังมโหรีเล่นที่เหลา “หอแดง” ก็จะมาโศกเศร้าหาสวรรค์วิมานเอาประโยชน์อันใดกันเล่า? รีบแสวงหาความสุขความสำราญใส่ตัวเสียในชั่ววันนี้พรุ่งนี้มีดีกว่าหรือ? แน่ใจละหรือว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน โง่สิ้นดีละ ถ้าไม่คิดหาความสุขความสำราญใส่ตัวเสีย” เช่นนี้.
และในการเลี้ยงคราวนี้ ก็ได้มีบรรดาสหายร่วมสาบานมาประชุมอยู่พร้อมเพรียงครบหน้ากันเช่นเคย อาหารหวานคาวและสุรากับแกล้มอุดมสมบูรณ์ มิได้มีขาดตกบกพร่อง นอกกว่านั้นก็มีวงมโหรีขับกล่อมเป็นการช่วยเพิ่มรสอาหารมื้อนี้ให้เอมโอชะยิ่งขึ้นอีกตลอดเวลา ซึ่งในจำนวนพวกมโหรีที่มานี้มีนักร้องสาวร่างสะคราญผู้หนึ่งร่วมมากับดรุณีแน่งน้อย นักขับพิณผู้นั้น กล่าวได้ว่าในกระบวนศิลปะฟ้อนรำและความงามอันทรงเสน่ห์ของสองโฉมแม่นางนี้ มิได้ห่างไกลกันเลยกับบรรดาสนมนาฏกำนัลในขององค์ฮ่องเต้ คราวเมื่อลงสำราญใน “สวนท้อแห่งอุทยานหลวง”
เมื่อนักร้องสาวได้ขับร้องไปสิ้นเพลงที่สองแล้ว ทั้งคู่ต่างก็วางเครื่องดนตรีลง และลุกขึ้นจับคู่เยื้องกรายทำระบำรำร่ายฉวัดเฉวียนอยู่กลางวง ซึ่งท่วงท่าอันอ่อนช้อยของเจ้านั้น มิได้ผิดเลยกับกิ่งไม้ดอกยามเมื่อต้องสายลมโชย ครั้นจบกระบวนรำลงแล้ว ทั้งคู่เจ้าก็ถลาร่อนเหยาะย่างเข้ามาโค้งคำนับให้อย่างอ่อนช้อยแก่ผู้นั่งชม ซึ่งเป็นที่โปรดปรานและสบอัธยาศัยท่านตั้วกัวยิ้ง คนอันเป็นพี่อ้ายยิ่งนัก เขาเรียกไต้อังยี้ให้มาหา และสั่งให้นำเงินไปรางวัลแก่สาวเจ้าทั้งสองนั้นคนละสามเหรียญ.
“คนสวยที่ไหนนะ แม่ผู้หญิงสองคนนี้?” ไซหมึ่งถามเจ้าภาพขึ้นอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย “เขาเก่งจริง” และไม่ทันที่จื้อฮือจะได้ตอบ เจ้ายาจกเอ็งก็ชิงพูดโพล่งออกมาเสียก่อนตามสันดานของเขาว่า “ตั้วกัวยิ้งนี่ความจำไม่ดีเลย ก็คนเล่นพิณสิบสองสายนั่นชื่อ แม่งิ่งเจี้ยว (Silver Bird) คู่ขาของจื้อฮือเขาไงล่ะ ส่วนอีกคนที่เล่นพิณปี่แป๊ นั่นก็ นางลีกุยเข่ง ที่เป็นหลานสาวของภรรยาคนที่สองของท่านนั้นเอง ใช่ใครที่ไหนกัน อะไรลืมลูกลืมหลานของตัวเองก็ได้ ตั้วเฮียนี่เป็นเอามาก ๆ กุยเข่งนี้ข้าพเจ้าได้ยินมาว่านางร้องเพลงเพราะจับใจนัก”
“โอ เด็กสาวคนนั้นเองดอกหรือนี่” ไซหมึ่งพูดขึ้นอย่างตื่นใจ “เคยเห็นหนหนึ่งแต่นั่นมันสามปีมาแล้ว เออ โตขึ้น สวยเอาการเด็กคนนี้”
แล้วไซหมึ่งก็ไต่ถามลีกุยเข่ง ถึงทุกข์สุขของพี่สาวและมารดาของนาง.
กระทั่งค่อนค่ำเมื่อกุยเข่งเข้ามารินเติมสุราในจอกให้เขา ไซหมึ่งจึงถามนางขึ้นว่า “ทำไมไม่เห็นเธอแวะไปเยี่ยมน้าสาวที่บ้านบ้างเลย?” กุยเข่งก็บอกท่านเจ้าสัวว่า อาม้าของนางไม่ค่อยสบายมาตั้งแต่ปีกลาย นางจะไปไหนมาไหนก็ไม่ใคร่สะดวก เพราะไม่มีคนเฝ้าพยาบาล ต่อบางครั้งบางคราวดอกนางถึงจะปลีกตัวไปไหนมาไหนได้ จึงมิรู้จะหาโอกาสไปเยี่ยมแม่น้าได้อย่างไร ว่าแต่ท่านตั้วกัวยิ้งเองเถอะ ทำไมหายหน้าค่าตาไป ไม่เห็นแวะบ้านนางตั้งนานแล้ว มิหนำซ้ำยังไม่ให้น้าลีเกียวมาเยี่ยมแม่เสียบ้างเลย.
ไซหมึ่งรู้ในคำพูดอันเป็นนัยของนาง ก็ตอบกุยเข่งไปในทำนองทีเล่นทีจริงว่า “ก็ถ้าเผื่อเรากับเพื่อนอีกสองคนจะแวะไปส่งเจ้าที่บ้านในคืนนี้เล่า ยังจะได้อยู่หรือ?”
ลีกุยเข่งก็เสไปเสียข้างว่า “ตั้วกัวยิ้ง ท่านอย่ามาหลอกให้ข้าพเจ้าปลื้มใจเลย มีหรือที่คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่อย่างท่านจะถ่อมกายไปเรือนข้าพเจ้า”
“อ้าว, ไม่ได้พูดเล่น ๆ นะจะบอกให้” ไซหมึ่งตกหลุมพรางแม่นางนักร้องเสียงเสน่ห์ทันที และเพื่อเป็นประกันถึงความตกลงใจของเขาที่จะไปส่งนางในคืนนี้อย่างแน่ๆ เขาได้ล้วงลงไปในแขนเสื้อและหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าไหมกับตลับขี้ผึ้งชาหอมอย่างดี ส่งให้นางไว้เสมือนของประกัน.
“ท่านจะไปเมื่อไหร่ล่ะ?” กุยเข่งถาม “ข้าพเจ้าคิดว่าควรจักได้ส่งคนของข้าพเจ้าไปบอกอาม้าให้แกรู้ตัวไว้เสียก่อน จะได้เตรียมรับรองท่านไว้ล่วงหน้าให้เป็นการเรียบร้อย”
“เดี๋ยวก็ได้ ให้ใครต่อใครเขากลับกันเสียหมด ๆ ก่อน”
และแล้วสักครู่หลังแต่ที่แขกเหรื่อลุกขึ้นจากโต๊ะพากันกลับบ้าน เห็นตะเกียงวับๆ แวมๆ เป็นแถวยืดยาวไปตามถนนแล้ว ไซหมึ่งเข่ง, ขอทานเอ็ง และเจี้ยฮีตั้วก็ลงมาขึ้นม้า ตามเกี้ยวคานหามของนางลีกุยเข่งไปสู่สำนักอันรื่นรมย์ของเธอต่อไป.
ในที่สุดทั้งหมดก็มาถึงบ้านของยายลีซัมม้า (Mother Li) กุยเข่งนั่งเกี้ยวเลยเข้าไปข้างในบ้านปล่อยทางนี้ให้เป็นหน้าที่รับรองของพี่สาว สักครู่ยายลีซัมม้า หญิงเจ้าของสำนักก็ออกมา หญิงชราผู้นี้เป็นโรคลมขัดข้ออย่างหนักจนกระทั่งหลังโกง เวลาไปไหนมาไหนต้องใช้ไม้เท้าค้ำกระเตาะกระแตะดูน่ารำคาญแทน และพอแกเห็นหน้าท่านตั้วกัวยิ้งเข้าเท่านั้น เสียงทักทายให้ลั่นไปหมด “โอ ฟ้าโปรด ลมอะไรกันนี่พ่อคุ้ณ ถึงได้พัดหอบเอาท่านน้องเขยผู้ยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้ามาถึงที่นี่ได้”
“เถอะน่า อย่าพึ่งเอะอะโมโหโทโสไปเลยอาม้า งานการมันยุ่ง ไม่รู้จะหาเวลาไหนมาเยี่ยมอาม้าได้”
แล้วหญิงชราเจ้าสำนักก็หันไปตัดพ้อเอากับสหายทั้งสองของเขาอีก ซึ่งเจ้ายาจกเอ็งก็แก้ตัวไปตามประสาว่า ระยะนี้เขาไม่มีเวลาว่างเลย พึ่งจะวันนี้นี่แหละที่ได้ไปในงานเลี้ยงของฮวยจื้อฮือ และได้พบกับกุยเข่ง แม่หลานสาวของแกเข้า เห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้มาเยี่ยมแก ก็เลยขันอาสารับพาแม่นางกุยเข่งมาส่งบ้าน ดังที่เห็นอยู่นี้แหละ “ว่าแต่ว่า ฉันนะหิวไส้แทบขาดอยู่แล้ว เร็ว ๆ เข้าเถอะ ถ้าไม่ได้ดื่มเหล้าดี ๆ สักสอง-สามจอก เห็นจะขาดใจตายแน่ๆ”
ดังนั้นทั้งหมดจึงต่างเข้ามานั่งโต๊ะร่วมวงเสพสุราอาหารอยู่ต่อกัน สักครู่แม่หญิงลีกุยเข่งก็เข้ามา นางผัดหน้าทาแป้งเสียนวลเช้ง แลดูสวยสะดุดตายิ่งกว่าหนก่อนเป็นไหน ๆ แล้วสองศรีพี่น้องเจ้าก็ร่วมกันจับระบำทำเพลง เป็นที่สำเริงสำราญแก่อาคันตุกะผู้มีเกียรติทั้งสามตามธรรมเนียม.
เสียงอันจะแจ้วเจื้อยของขลุ่ยมังกรที่ขับประสานอยู่กับเสียงทุ้มของกลองหนังแรด ดังระรุมเหมือนเร้าความปรารถนา ร่างน้อยบางระหงที่ฉวัดเฉวียนอยู่ต่อหน้า ตามลีลาของท่วงทำนอง เหมือนยิ่งยุให้ย่ามหัวใจใหญ่ นับได้ว่าชั่วขณะนี้เองที่เป็นชั่วเวลาอันมีค่าที่สุดสำหรับพวกเขา นับแต่ได้เคยใช้เวลาให้เหลวแหลกและมัวเมาด้วยกันมา สุราพร่องแล้วพร่องอีก แต่ความปรารถนาในหัวอกของไซหมึ่งยังสุมแล้วและสุมอีก.
ท่านเจ้าสัวขอร้องแม่พี่สาวนางลีกุยเข่งว่า ขอให้นางช่วยบอกกุยเข่งสักทีเถิด ว่าเขานี้ปรารถนาจักได้ยินเสียงของนางนัก ได้ยินใครต่อใครสรรเสริญเยินยอกันมาก็นักแล้ว แต่เขาเองยังหาได้มีวาสนาฟังเขาสักทีไม่ ซึ่งทั้งนี้ได้รับความสนับสนุนจากเจ้ายาจกเอ็งเป็นอย่างมาก เขาได้ช่วยกันคะยั้นคะยอขอร้องอยู่เป็นการใหญ่ “เอาเถอะ ขอให้ข้าพเจ้าได้ฟังเพลงแม่หญิงท่านสักครั้ง เพื่อว่าจะขอจดจำเนื้อร้องทำนองเพลงท่านไว้ในทรวงอกมิให้หลงเหลือ” เอ็งแปะเตี๊ยะหยอดเข้าให้อย่างหยดย้อย.
อย่างไรก็ตาม ยายลีซัมม้าและลูกสาวทั้งสองของแกต่างรู้กันอยู่เต็มอกเป็นอย่างดีว่า ไซหมึ่งเข่งปรารถนาจะใครได้ชิดเชยโฉมแม่นางกุยเข่งนี้นั่นเอง ทว่าแกล้งพูดอ้อมค้อมวกวนให้มากความ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรที่นางจะต้องสงวนทีท่าเอาไว้ก่อน เพื่อหวังผลอันยิ่งใหญ่ในเบื้องหน้า ดังนั้นสาวสวยคนถูกใจท่านเจ้าสัวจึงนั่งยิ้มเฉยอยู่ มิได้แสดงทีท่าว่าจะปฏิบัติตามที่ท่านตั้วกัวยิ้งประสงค์หรือหาไม่ จนกระทั่งพี่สาวของนางได้กล่าวเตือนเพื่อนชายของนางเหล่านั้นขึ้นในทำนองว่า กุยเข่งน้องของนางผู้นี้เธอได้รับการศึกษาและอบรมมาแล้วเป็นอย่างดี เธอมิอาจร้องเพลงอันใดให้แขกแปลกหน้าฟังได้ดอก เพียงด้วยคำขอร้องแต่หนเดียวหนหนึ่ง เพราะนั่นใช่วิสัยของกุลสตรีจะพึงกระทำ.
ไซหมึ่งก็รู้ที เขารีบวางเงินแท่งน้ำหนักห้าตำลึงลงบนโต๊ะ แล้วบอกแก่นางว่า เขาขอมอบเงินจำนวนเล็กน้อยนี้ให้แก่นางไว้สำหรับเป็นค่าชาดและฝุ่นหอม ส่วนผ้าไหมปักทองสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้านั้นเป็นอีกส่วนหนึ่งซึ่งเขาจะได้ส่งมากำนัลให้ในวันหลัง.
ลีกุยเจ๊ก็กล่าวขอบใจ และเรียกคนใช้ให้มานำเงินจำนวนนี้ไปเก็บ แล้วนางก็เริ่มต้นร้องเพลงขึ้นด้วยความพริ้งไพเราะเป็นที่จับใจผู้ฟังยิ่งนักว่า :-
สงบและสง่า | ด้วยทีท่าอันถ่อมตัว |
สู่ร่มรุกข์อันมนธ์มัว | ด้วยหมอกมีดในอุทยาน |
แม้เศร้าก็เสื่อมสูญ | สิกลับพูนเพิ่มสำราญ |
เพียงผูกคิ้วก็ยังลาน | ระทึกต่อประดาชน |
ฉันใดหยกย่อมเป็นหยก | แม้แมกหมกลับตาคน |
ฉันนั้นเพลงแม้เดียวดล | นุชอาจให้ผองเพลิน |
นี้แลคดีฝัน | กษัตริย์อันได้พันเอิญ |
พบในสุบินเชิญ | “พระเจ้าอ๋อง” ให้ต้องจินต์ |
----------------------------
Calm and splendid he descends,
Forcing his way through the murky vapours.
That dismally fill the flower-garden
His presence transforms
The chocking fumes into fragrant breezes.
The knitting of his brows
Make man tremble with freight
What value a staff of finest jade,
in dirt, in mud, in slime?
Yet one sings, and her song
Makes all her listeners shiver,
Giving them a taste of the sacred bliss
That once King Hsiang experienced in a dream,
In a dream, King Hsiang.
อันเป็นท่อนหนึ่งของเพลง “ผู้ขี่เมฆ” (The Cloud-Rider)
เมื่อทั้งเพลงก็ไพเราะ และทั้งคนร้องก็แสนสวย ทั้งในยามเจ้าขับครวญก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงอันแจ่มใสก้องกังวาน มิได้มีที่จะประหม่าและขวยเขินแต่อย่างใด กอปรด้วยท่วงท่าอิริยาบถยามเมื่อเจ้าโยกไหวขยับเขยื้อนเล่า ก็เข้ากับจังหวะเอื้อนตามทำนองเพลง ดูกลมกลืนแลประสมประสานมิได้มีที่จะน่าติ ฯลฯ บรรดาผู้ฟังอยู่ต่างก็พากันนิ่งนั่งฟังเพลงของเธออยู่ด้วยความเพลิดเพลิน
จนกระทั่งสิ้นสุดเสียงเพลงของนางลง และทั้ง ๆ สิ้นสุดลงไปนานแล้ว สิไซหมึ่งหาได้พลอยสุดสิ้นภวังค์ของความเคลิ้มฝันลงได้ไม่ ช่างเป็นความใฝ่ฝันและปรารถนาอันเร้นลับที่ยากจะพูดออก และสุดจะบอกได้ถูกต้อง เพลงบทนี้ของลีกุยเข่งได้รัดรึงอารมณ์ของท่านตั้วกัวยิ้งแห่งเช็งฮ้อไว้เสียเป็นที่สุดแล้ว ตกลงคืนนี้ไซหมึ่งเลยค้างเสียที่ซ่องยายลีม้านี้เอง ทว่าเพื่อนนอนในคืนนี้ของท่านเจ้าสัวหาใช่แม่นางน้องคนอันเขาต้องประสงค์ไม่ กลายเป็นนางคนพี่สาวแทน แต่ทั้งนี้ไซหมึ่งได้ตั้งความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ในดวงใจของเขาไว้แล้วว่า จะต้องขอชิดเชยสาวบริสุทธิ์ แม่นางลีกุยเข่งนี้ให้จงได้เป็นชายแรก.
จึงรุ่งขึ้น เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ไซหมึ่งก็สั่งให้อังยี้ไปตัดเสื้อกระโปรงอย่างดีส่งไปให้แม่นางลีกุยเข่งสี่ชุด เมื่อคิดเป็นเงินแล้วก็เป็นราคาห้าร้อยตำลึงเงิน และข่าวนี้ได้ยังความปรีดาให้บังเกิดแก่แม่หญิงลีเกียวยี่เจ๊ผู้นั้นเป็นอย่างมาก นางได้ส่งเงินมาให้นางลีม้าผู้พี่สาวเป็นจำนวนห้าสิบแท่ง เพื่อไว้สำหรับเตรียมการจัดงานมงคลแม่หลานสาวกับท่านตั้วกัวยิ้งผู้สามี
และเมื่อถึงวันงานอันเป็นมงคลพิธี ปรากฏว่าได้มีเพื่อนสนิทมิตรสหายมาอวยพรให้ท่านเจ้าสัวไซหมึ่ง กับแม่หญิงลีกุยอย่างคับคั่ง ซึ่งก็ควรจะคับคั่งอยู่ดอก เพราะเป็นงานของเศรษฐี.
เสียงเพลง ดนตรี ลีลาศ และหญิงงาม–
นี้แลคือเครื่องยังชีวิตให้ยืนนาน
ฮูราห์ ดื่มซิ–ดื่มเพื่อสุดที่รักของใครคนหนึ่ง
ผลาญเข้าไปเถิด, ใช่เงินใช่ทองของเราเมื่อไหร่
ก็ทำไมจะไม่มีใครเต็มใจดื่มให้เขาเล่า
ในเมื่อเงินทองทั้งหลายแหล่เหล่านี้ เป็นของเจ้าภาพผู้นั้น
จริง, การเว้นบริโภคของมึนเมา จัดว่าเป็นโอสถอย่างดี
แต่จะดีก็สำหรับคนไม่มีจะกินเท่านั้นดอก
ดังนั้น แม้จะด้วยเงินช่วยเพียงห้าพวงอีแปะ แต่บรรดาเพื่อนๆ ของไซหมึ่งเข่งต่างก็ได้รับความสนุกสนานอยู่ทุกถ้วนหน้า คุ้มแก่ราคาค่างวดที่เขาลงทุนมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเป็นไหน ๆ.
----------------------------