- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
ตั้วเจ๊เป็นข่าว
รุ่งขึ้นเช้า ผู้ที่มาเยือนห้องนางพัวกิมเน้ยเป็นคนแรกก็คือ ซัมเจ๊ เสียงนางถามเจ้าชุนบ๊วยลั่นเรือนว่า โง่วเจ๊ตื่นแล้วยัง? สาวใช้คนรูปสวยก็ตอบว่า “ตื่นแล้ว และกำลังแต่งผมอยู่ เชิญซัมเจ๊ข้างในซิ!”
เม่งเง็กเล้าจึงเข้าไปหานางบัวคำที่ในห้อง ขณะนั้นนางกำลังนั่งม้วนผมจับลอนอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง.
“นี่โง่วเจ๊ ข้าพเจ้ามีข่าวดีจะมาบอกท่าน ท่านรู้หรือยังเล่า?” นางเง็กเล้าพูดเสียแทบจะหายใจหายคอไม่ทัน.
“ข่าวอะไร ใหญ่โตสำคัญแค่ไหนนักเที่ยวหรือ? ข้าพเจ้ายังมิได้ยินเลย มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเล่า?”
ซัมเจ๊ก็ว่า ให้นางคิดดูเอาเองก็แล้วกัน แล้วก็เล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไซหมึ่งผู้สามีกับตั้วเจ๊ เมื่อคืนวานนี้ให้บัวคำฟัง
เมื่อพัวกิมเน้ยได้ฟังเง็กเจ้าเล่าจบลงแล้ว นางก็ร้องขึ้นอย่างฉุนเฉียวว่า “ชะ ชะ อีนางมารยา” นางให้ความเห็นว่า ถ้านางดวงแขคิดจะสวดมนต์อธิษฐานไหว้พระจันทร์ไหว้ดาวจริงๆ แล้ว ทำไมจะทำเงียบ ๆ ที่ในเรือนของนางมิได้หรือ จำเป็นอย่างไรถึงจะต้องเสือกสะเออะร่อนลงไปทำถึงกลางทุ่งกลางลานเช่นนั้น นางว่าทั้งนี้ชะรอยตั้วเจ๊คงจะได้มีแผนการของนางแน่ อย่างน้อยที่วัวยะเนี้ยกระทำเช่นนี้ เมื่อไซหมึ่งมาพบเข้า เขาก็คงจะนึกแปลกใจและคาดการไปข้างว่า นางดวงแขนแสนจะจงรักภักดีต่อเขา แล้วทีนี้ก็จะได้เป็นความรักทุ่มเทจากพวกเราๆ ไปยังนางตั้วเจ๊ คนเจ้ามารยาผู้นั้น “เชื่อไหมละ แล้วเรามาคอยดูไป” บัวคำจาระไนฉอด ๆ ให้เง็กเล้าฟัง นางว่าดีแล้วพวกเรามาลองดีกับตั้วเจ๊คนนี้ดูบ้าง โดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ชั่วแต่ทำเฉย ๆ ขลุกอยู่แต่ในห้องของพวกเราเองเท่านั้นก็พอ ปล่อยให้ตั้วกัวยิ้งแกพร่ำเพ้ออยู่กับวัวยะเนี้ยคนเดียวจนกว่าจะเอือมระอาเอง เท่านี้–เราก็จะชนะถมไป.
แต่ซัมเจ๊คนเล็งข้างการดี ค้านขึ้นว่า นางยังไม่เห็นด้วยก่อนที่บัวคำพูดมา และจะหาตั้วเจ๊เป็นหญิงเจ้ามารยาก็ยังไม่ถูกแท้ เง็กเล้าบอกว่า ปกติวัวยะเนี้ยเป็นคนอัธยาศัยงาม จะวางเนื้อวางตัวกับพวกเราๆ ก็เป็นกันเอง และมีความเที่ยงธรรมอยู่ในใจตลอดมา จริงอยู่ถึงนางออกจะเป็นคนปากร้าย ทว่าก็น้ำใจดี ยังไม่เคยเห็นตั้วเจ๊เอาเรื่องเอาราวรุนแรงกับใครเลยเป็นความสัตย์ ซัมเจ๊ว่าอย่างนี้แล้วนางก็ชวนพัวกิมเน้ยให้ไปเยี่ยมนางฮวยลีปังด้วยกัน นางออกความเห็นว่าเราอย่าพึ่งด่วนเอะอะกันไปก่อน ลองคิดปริศนาหาทางทำอาหารเลี้ยงฉลองนางดวงแขกันดีกว่า เนื่องในวาระที่นางคืนดีกับตั้วกัวยิ้ง ซัมเจ๊แนะนำสืบไปว่า ให้พวกเรามาเฉลี่ยเงินคนละตำลึงครึ่ง แต่ว่าปังเจ๊นั้นต้องเอาให้มากหน่อยเป็นสองเท่า เพราะนางร่ำรวยกว่าพวกเรา เมื่อเลี้ยงอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว เราถึงค่อยลงไปเล่นหิมะในสวน เรามาสนุกกันให้เต็มที่เสียวันหนึ่งเถอะโง่วเจ๊จะดีกว่า ดื่มสุรานิดหน่อยแล้วก็เล่นอะไรสนุกสนานกันเล็ก ๆ น้อย ๆ โอ วิเศษแน่ๆ!
พัวกิมเน้ยก็ตกลงเห็นดีตาม “แต่ว่าอย่างไรก็ดี หวังว่าวันนี้ตั้วกัวยิ้งคงไม่คิดมีแผนการจะจัดงานอันใดอื่นขึ้นมาเสียก่อนนะ”
เง็กเล้าก็ว่า เชื่อเถิดวันนี้ตั้วกัวยิ้งไปไหนไม่ไหวดอก หิมะลงหนักออกเช่นนี้ แล้วด้วยซ้ำยิ่งพึ่งจะคืนดีกับตั้วเจ๊ใหม่ ๆ เมื่อครู่ที่นางผ่านมาก็ยังไม่เห็นตื่นกันเลย เห็นมีแต่นังเง็กเซียวตักน้ำอาบเข้าไปให้.
บัวคำรีบแต่งเนื้อแต่งตัว ออกจากห้องตรงไปยังเรือนนางลีปังพร้อมด้วยซัมเจ๊ แต่ว่าขณะนั้นลีปังยังหลับอยู่.
พอเห็นหน้าสองนายสาวต่างเรือนย่างเข้าห้องมา เจ้าซิ่วซุนก็ร้องขานบอกให้นายสาวของตนทราบว่า “ซัมเจ๊กับโง่วเจ๊มาหา” แต่ว่ามิทันขาดเสียงเจ้าสาวใช้ทั้งสองนางต่างเข้าไปถึงเตียงนอนลั่กเจ๊เสียแล้ว.
“ตื่นเถิด ลั่กเจ๊ ลุกขึ้นเร็วๆ เข้า ขืนนอนเป็นงูเลื้อยอยู่ถึงป่านนี้ละก็พอดีแย่กัน!”
แลปกติบัวคำเป็นคนขี้สนุก นางแกล้งสอดมือล้วงเข้าไปในโปงผ้าห่มของลั่กเจ๊เล่น พอดีไปเจอเอาขวดลูกกลมเงินสำหรับใส่น้ำหอมของนางเข้า บัวคำก็ล้วงออกมาดู พลางร้องเอะอะขึ้นอย่างขบขันและหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลว่า “อุ๊ยตายแล้ว! ลั่กเจ๊ออกลูกเป็นขวดลูกกลม ดูซิ!” แล้วโง่วเจ๊ก็เลยกระตุกผ้าห่มเพื่อนสาวออก ที่ไหนได้ลีปังเจ๊นอนตัวล่อนจ้อนอล่องฉ่องเต็มที่เลย.
แล้วในที่สุดลั่กเจ๊ก็ลุกขึ้นแต่งเนื้อแต่งตัวออกมารับรองเพื่อนสาวทั้งสอง เสียงซัมเจ๊ดุบัวคำว่า ไม่เอาน่าอย่าเพิ่งตลกคะนองไป เรามาพูดธุระการงานกับลูกเจ๊แกเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวก่อน แล้วนางก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นในครัวเรือนให้ภรรยาคนใหม่ของตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่งฟัง.
ซัมเจ๊สรุปลงในที่สุดของเรื่องว่า “วันนี้พวกเราจะจัดให้มีการเลี้ยงรื่นเริงกันขึ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำหรับน้องท่านพวกเราจะข้อบังคับเรี่ยไรเป็นสองเท่า เพราะถือว่าท่านนี้แลเป็นตัวการ หากไม่มีน้องท่านเข้ามาขัดจังหวะตั้วกัวยิ้งเสียแล้ว ที่ไหนเขาจะปล่อยปละละเลยทอดทิ้งนางลีกุยให้คบชู้สู่ชายได้ โทษอยู่ที่น้องท่านจึงจะถูกจริงไหมล่ะ?” แล้วทั้งสามนางต่างก็หัวเราะกันขึ้นอย่างสนุกสนาน.
ปังเจ๊ก็มิได้ขัดข้องแต่ประการใด นางร้องเรียกสาวใช้ให้ไปหยิบเงินมาให้ ซึ่งเมื่อบัวคำสั่งดูแล้ว ปรากฏว่าเกินสามตำลึงไปเสียอีก.
แล้วซัมเจ๊ก็หันไปบอกนางพัวกิมเน้ยว่า “คอยเราอยู่ก่อนนะ เราจะกลับไปเรือนสักประเดี๋ยวก่อน จะไปเรี่ยไรเงินที่นางลีเกียว กับเซาะง้อ” ซ้ำยังกำชับเป็นมั่นเหมาะสืบไปอีกว่า อย่าให้บัวคำไปไหนก่อนจงได้ ขอให้รอนางอยู่ที่นี่พร้อมกับปังเจ๊ เดี๋ยวนางจะกลับมา แล้วเม่งเง็กเล้าก็ลงเรือนไป.
บัวคำนั่งคอยนางเม่งเง็กเล้าอยู่ที่เรือนนางฮวยลีปังประมาณชั่วโมงกว่า จนกระทั่งเจ้าบ้านแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ ซัมเจ๊ถึงได้กลับมา.
นางบอกว่า ลำบากพิลึกกว่าจะเจรจาหว่านล้อมขอเรี่ยไรจากเจ๊สองคนนั้นได้ ยิ่งเซาะง้อละไม่ได้ความเอาเลย บ่นอุบอยู่ท่าเดียว ชาตินี้ผู้หญิงอย่างสี่เจ๊ทีเห็นจะหาตัวยาก ไม่คิดเอาเพื่อนเอาฝูง คิดแต่จะปลีกตัวออกหมู่เสียเรื่อย กว่าจะได้ปิ่นเงินของนางมาน่ะหรือ ต้องพูดแล้วพูดอีกเกือบปากจะหักถึงได้มา ลองชั่งดูทีซิว่าที่เฟื้องกี่สลึงกัน แล้วเง็กเล้าก็ส่งปิ่นของนางเซาะง้อให้บัวคำชั่.ง
โง่วเจ๊รับมาซึ่งเสร็จแล้ว ก็ตีหน้าเบ้บอกว่า “ไม่ถึงตำลึง”
“แล้วไหนของเจ๊เล่า?” นางถามต่อ
ซัมเจ๊ก็ว่า นางยี่เจ๊นี่ก็เหมือนกัน กว่าจะควักออกได้ปฏิเสธอยู่นั่นแล้ว แปลกนะนางลีเกียวคนนี้ทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่คุมบัญชีใช้จ่ายทั้งบ้าน แต่ไหงไม่ยักมีเงินเหมือนเขา ท่าคงจะไม่มีทางได้พิเศษอะไรเลย นึกๆ ก็น่าสงสาร เราพูดหว่านล้อมอยู่ตั้งนาน นางคงจะอดรนทนไม่ได้ เพราะเห็นเราทำท่าโกรธเอา เลยควักเงินส่งมาให้ชิ้นหนึ่ง หนักเท่าไรก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน ชั่งดูแล้วนางก็ส่งเงินชิ้นนั้นให้บัวคำ.
ซึ่งผลก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากปิ่นของนางเซาะง้ออีก บัวคำส่ายหน้าและบอกว่าหมดหวัง เรื่องของเรื่องเรามันต้องควักกระเป๋ากันเองในที่สุด.
แล้วทั้งสามนางต่างก็รวบรวมเงินเท่าที่เรี่ยไรได้มา คิดเบ็ดเสร็จแล้วเป็นเงินสามตำลึงกว่า มอบให้แก่ไต้อังไปซื้อสุราอาหารที่ตลาด.
และเที่ยงของวันนั้นเอง ไซหมึ่งเข่งก็ได้ลงมาร่วมวงเลี้ยงฉลองตั้วเจ๊อยู่กับบรรดาภรรยาทั้งหลายด้วย เขาสั่งให้เปิดเหล้าองุ่น “มะลิหอม” อย่างดีที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินมาเลี้ยงกัน ทั้งหมดต่างมาประชุมพร้อมเพรียงกันอยู่ครบหน้าที่ห้องรับแขกทางหลังบ้าน ซึ่งวันนี้ได้จัดตบแต่งประดับประดาอย่างหรูหรา มีเตาอุ่นเตาผิงพร้อม และในโอกาสนี้ ตั้งกิมกี่และภรรยาก็ได้มาร่วมด้วย นับเป็นนิมิตอันดีอีกครั้งหนึ่งที่ครอบครัวของตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งเข่ง ได้มาร่วมประชุมสมัครสมานสามัคคีกันอยู่พร้อมหน้า หลังแต่ที่ได้มีการระหองระแหงคลางแคลงใจซึ่งกันและกันมาช้านาน นางดวงแขรู้สึกหน้าตาแช่มชื่นและกระปรี้กระเปร่ากว่าเคย นางพูดเล่นเจรจาหยอกล้ออยู่กับบรรดาภรรยาอื่น ๆ อย่างเป็นกันเองและสนิทสนมยิ่ง อนึ่งตลอดเวลาที่ครอบครัวของไซหมึ่งรื่นเริงกันอยู่นี้ มโหรีวงประจำบ้านซึ่งเล่นโดยแม่สาวใช้ทั้งห้าก็ได้รับบัญชาจากท่านพ่อบ้านให้มาบรรเลงขับกล่อมแสดงฝีมือ เพลงแรกที่เล่นคือเพลง “เจ้าช่อทับทิม” ซึ่งทั้งนี้ก็เนื่องมาแต่การคะยั้นคะยอของนางพัวกิมเน้ยที่เกิดนึกสนุกขึ้นมา นางรู้ว่าเพลงเจ้าช่อทับทิมนี้มีความหมายถึงความมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองชนิดแผ่พืชแพร่พันธุ์นั่นเอง ไซหมึ่งเข่งพอจะรู้เท่าทันความมุ่งหมายอันเป็นนัยพาดพิงของบัวคำอยู่ จึงอดนึกขำไม่ได้ ก็เลยแกล้งพูดสัพยอกนางโง่วเจ๊ขึ้นว่า
“เจ้าเองนั่นแหละ ขืนใครเด็ดไปชมก็รังแต่จะได้ดมดอกไม้เหี่ยว”
แลขณะที่ครอบครัวของเศรษฐีใหญ่แห่งเช็งฮ้อร่วมวงรื่นเริงสนุกสนานกันอยู่ภายในห้องรับแขกอันแสนจะอบอุ่นสบายนี้เอง ทางนอกห้องจะได้เห็นฝอยหิมะพร่างพรมอยู่เป็นฟูฝอย ซึ่งเป็นทัศนียภาพอันงดงามที่หาดูได้ยาก ไม่ผิดอะไรเลยกับกลีบดอกสิ้วที่หลุดขั้วร่อนแฉลบเล่นลมแลระริกริ้ว! บรรดาพวกผู้หญิงทั้งหลายต่างก็ชวนกันออกไปกระโดดโลดเต้นเป็นที่สนุกสนานอยู่กลางลานหิมะที่ข้างนอกห้อง สักครู่นางดวงแขก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร ใช้ให้เง็กเซียวไปยกกาน้ำชามาให้ แล้วนางก็ออกไปกลางลานกับเขาบ้าง พลางกอบเอาหิมะขึ้นมาเต็มกำใส่ลงไปในกาน้ำชา แล้วนางก็จัดการปรุง “ชาเย็น” แจกแก่บรรดาหญิงทั้งหลายเหล่านั้นจนทั่วหน้า
ทันใดนั้นเอง เด็กรับใช้ก็เข้ามาแจ้งแก่ท่านตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งว่า ลีเม้ง ครูดนตรีมาหา ไซหมึ่งก็ว่า “เออ พอดีทีเดียว” แล้วใช้ให้เด็กรับใช้ผู้นั้นไปเชิญครูดนตรีหนุ่มมาหาเขาที่ห้อง
เมื่อลีเม้งมาถึง ไซหมึ่งก็ถามว่า ไปไหนมา ครูดนตรีก็บอกว่า เขากลับจากไปสอนดนตรีให้พวกเด็ก ๆ ลูกหลานท่านขันทีแซ่ลีที่บ้าน พอดีผ่านมาทางนี้นึกได้ว่ามีเครื่องดนตรีอยู่อีกบางชิ้นที่เสียงยังไม่เข้ากันดี ก็เลยถือโอกาสแวะมาเพื่อจะได้ลองตรวจสอบดูเสียหน่อย จะได้ไม่เสียเวลา.
ไซหมึ่งก็ว่า วิเศษเหลือเกิน ไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองเล่นดนตรีให้ฟังกันสักเพลงทีหรือ? แต่ว่าดื่มอะไรแก้คอแห้งเสียสักนิดก่อนถ้าจะดี แล้วเขาก็หันไปสั่งเด็กรับใช้ให้รินชาร้อนมาให้ลีเม้งจอกหนึ่ง เมื่อพี่ชายนางลีกุยซดน้ำร้อนน้ำชาคล่องคอดีแล้ว เขาก็ลงมือลองเทียบเสียงขิมดู เมื่อเห็นว่าเสียงประสานกลมกลืนได้ที่ดีแล้ว ลีเม้งก็เริ่มขับเพลงคลอตามดนตรีไปจนจบ รู้สึกว่าท่านตั้วกัวยิ้งมีความพอใจมากถึงแก่เรียกให้ลีเม้งขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ ๆ เขาใช้เจ้าเง็กเซียวให้รินเหล้าองุ่นอย่างดีใส่จอกเงินมารางวัลนักร้องเสียงทองผู้นี้ถึงสามจอกเต็ม ๆ ซึ่งทำให้ลีเม้งรู้สึกซาบซึ้งในอัธยาศัยไมตรีของท่านเจ้าบ้านเป็นอย่างยิ่ง เขาก้มลงคุกเข่าดื่มเหล้าทั้งสามจอกนั้นต่อหน้าไซหมึ่งเข่ง ถัดจากนั้นท่านเจ้าบ้านก็จัดหาอาหารมาเลี้ยงรับรองจนลีเม้งอิ่มหนำสำราญดี แล้วตั้วกัวยิ้งก็แอบกระซิบเล่าความอันที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนางลีกุยให้เม้งฟังจนหมดสิ้น.
พี่ชายนางลีกุยก็บอกว่า เขาพึ่งรู้เรื่องจากตั้วกัวยิ้งเดี๋ยวนี้เองเป็นความสัตย์ ทั้งนี้เพราะว่าเขาไม่ได้ไปบ้านมารดาเสียนาน แต่เขามั่นใจว่า อย่างไรเสียเรื่องนี้ต้องเป็นความผิดของมารดาเขาอย่างแน่ๆ เขาขอร้องไซหมึ่งว่า อย่าพึ่งวู่วามโกรธขึ้งนางน้องสาวของเขาเลย เอาเถอะเขาจะไปพูดให้เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงจะเรียบร้อยลงด้วยดี.
ไซหมึ่งเข่งได้ฟังดังนั้นก็มิได้คัดค้านแต่อย่างใด แต่นั่งเล่นเจรจากันอยู่กระทั่งค่ำ ลีเม้งจึงได้ลากลับ ตั้วกัวยิ้งก็แอบกระซิบสั่งไปอีกว่า “อย่าได้ไปบอกนางลีกุยเทียวนา ว่าเจ้ามาหาเราที่นี่ในวันนี้!”
ซึ่งลีเม้งต้องเข้าใจดีว่า ที่ตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งสั่งเช่นนี้ เขาควรจะต้องปฏิบัติเช่นไร ซึ่งทางที่ถูกก็คือ เขาต้องปฏิบัติในทางตรงกันข้ามกับที่ไซหมึ่งสั่งนั่นเอง!
รุ่งขึ้น ขณะที่ตั้วกัวยิ้งท่านพ่อบ้านกำลังกินอาหารเช้าอยู่กับนางดวงแข เด็กรับใช้ก็เข้ามาบอกว่า เอ็งฮวยจื๊อกับเจี้ยฮีตั้วมาหา ไซหมึ่งได้ยินว่าสหายมาเยี่ยมก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารออกมารับรองทันที.
“ให้เขานั่งรอก่อนก็ได้นี่นา” ตั้วเจ๊ท้วงสามีขึ้นด้วยเสียงขุ่น ๆ.
“กะอีสมบัติเพื่อนกุ๊ย ๆ พรรค์นี้ก็ต้องกุลีกุจอยังกะเป็นเจ้าเป็นนาย มันจะมาเรื่องอะไรของมัน นอกจากจะมาชวนท่านออกไปเที่ยวนอกบ้าน ดูซิหิมะตกพรำออกเช่นนี้ ขืนพี่ท่านจะออกนอกบ้านอีกละก็พิกลเต็มทีแล้ว วันนี้ก็เป็นวันแซยิดของเม่งเง็กเล้าเสียด้วย”
สามีก็ว่า “ชั่งเถอะ ให้เด็กยกจานขนมกับถ้วยน้ำชาไปให้พี่ที่ห้องรับแขกด้วยก็แล้วกัน พี่จะออกไปกินที่นั่น” ทั้งนี้เพราะเขาคิดว่าอย่างไรเสีย เพื่อนทั้งสองคงจะมีข่าวดีจากซ่องยายลีมาบอกเป็นแน่ ๆ ซึ่งก็ถูกอย่างที่ไซหมึ่งคาดคะเนเอาไว้ไม่มีผิด เพราะเจ้าเพื่อนทั้งสองนี้ได้รับการตกรางวัลมาเป็นมูลค่า “ห่านอบหนึ่งตัว” จากนางลีกุยเข่ง เพื่อให้ช่วยมาขอลุกะโทษต่อท่านตั้วกัวยิ้ง สำหรับความผิดพลาดประการที่แล้ว ๆ มาของนาง.
เพื่อนทั้งสองได้บอกแก้ไซหมึ่งว่า พวกเขาได้ตัดพ้อต่อว่านางเป็นการใหญ่ ได้เตือนให้นางสำนึกถึงบุญคุณและผลประโยชน์อันเป็นรายได้มากมาย ที่พี่ท่านเคยได้อุปการะเกื้อกูลครอบครัวของนางมา และได้บอกแก่นางว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เป็นเรื่องร้ายที่ไม่น่าให้อภัยเลย เพราะไม่มีเหตุผลที่ไหนซึ่งหญิงเมื่อชายคนรักไม่มาหาจะต้องริอ่านสนทนาเกี้ยวพาราสีกับชายแปลกหน้า เขาทั้งสองพูดแก้ไซหมึ่งสืบไปว่า พวกเขาได้บอกแก่นางว่า ที่นางปฏิบัติไปเช่นนี้เป็นการผิด และรู้สึกว่าคำตักเตือนที่พวกเขาพูดเตือนนางนั้นได้ผล เพราะนางร้องไห้ร้องห่มเสียอกเสียใจมาก ถึงกะคุกเข่างอนง้อขอให้พวกเขาช่วยมากราบไหว้วิงวอนท่านตั้วกัวยิ้งให้ยกโทษแก่นางด้วย แล้วเขาก็บอกว่า “วันนี้ นางลีกุยให้พวกข้าพเจ้ามาเชิญพี่ท่านไปดื่มน้ำชาที่บ้าน ข้าพเจ้าคิดว่าท่านไม่ควรจะปฏิเสธ”
พี่ใหญ่ร่วมสาบานก็บอกว่า “ดีแล้ว ที่นางสำนึกตัวได้ แต่เราได้ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ขอย่างเข้าซ่องนี้สืบไปอีกเป็นอันขาด”
“โธ่ ตั้วเฮียก็ พวกข้าพเจ้ารู้ดอกน่ะว่าท่านยังไม่หายโมโห แต่อย่าลืมนึกถึงใจของนางบ้าง เวลาที่พี่ท่านทำโหดร้ายทารุณแก่นางเป็นการไม่ยุติธรรมเลย และเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่น่าจะตำหนิติเตียนนาง เรื่องของเรื่องเป็นเพราะเจ้าหนุ่มเต็ง พ่อค้าแพรชาวใต้คนนั้นต่างหาก ซึ่งที่แท้แล้วเขาก็เป็นเพื่อนชายของพี่สาวนาง หาใช่คู่รักคู่ใครอะไรกับนางไม่ หากบังเอิญคืนนั้นเขาจะจัดงานเลี้ยงรับรองเพื่อนซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของเรือสินค้าที่รับบรรทุกของมา จึงมอบเงินมอบทองให้อาม้าลีไปซื้อหาสุราอาหารมาจัดเตรียมไว้ พอดีพี่ท่านไปถึง มารดานางลีกุยเกรงใจแขกหน้าใหม่ กลัวจะเสียน้ำใจก็เลยให้ลูกสาวนั่งคุยอยู่เป็นเพื่อนตามมรรยาท แกแสนที่จะเกรงใจพี่ท่านเพราะได้มีอุปการคุณต่อแกอย่างมาก แกก็เลยงก ๆ เงิ่น ๆ รีบออกมา รับหน้าที่ท่านไว้ก่อน อ้ายครั้นจะบอกท่านตามตรงก็เกรงใจไม่กล้า เรื่องของเรื่องก็พอดีท่านออกไปพบเห็นเข้า ซึ่งที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตแต่อย่างใด เพราะเต็งผู้นั้นกับนางลีกุยไม่มีอะไรกัน ชั่วแต่เพียงนั่งสนทนาฉันธรรมดาคนรู้จักกัน เชื่อข้าพเจ้าเถอะขอรับรองเองเรื่องนี้ พี่ท่านอย่ามัวถือโกรธนางอยู่อีกเลย”
ไซหมึ่งก็พูดเสียงอ่อนลงว่า “โกรธนั้นไม่โกรธดอก แต่ได้เอ่ยปากสาบานไว้แล้วว่าจะไม่ขอเหยียบย่างเข้าบ้านนั้นอีก บอกนางก็แล้วกันว่าเราขอบใจที่เชิญมา แต่ว่าวันนี้เราติดธุระไปตามเชิญไม่ได้”
แต่ทั้งเอ็ง และเจี้ยไม่ฟังเสียง เขาก้มลงคุกเข่าวิงวอนคนลูกพี่ให้ไปที่บ้านอาลีม้าให้จงได้ในวันนี้ อย่าให้เสียทีที่คนสวยเขาเชิญมา ทั้งคู่เฝ้าเจรจาหว่านล้อมอยู่นาน ไซหมึ่งจึงตกลงตัดสินใจไป.
ดังนั้นเมื่อเสร็จอาหารเช้าแล้ว ตั้วกัวยิ้งก็แต่งเนื้อแต่งตัวออกจากบ้านไปซ่องยายลีม้าพร้อมด้วยสหายทั้งสอง ทั้งนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกขมขื่นขึ้นแก่นางวัวยะเนี้ยเป็นอันมาก.
แลทางสำนักของตระกูลลีนั้น วันนี้เพื่อที่จะชดใช้ความผิดเก่าๆ ที่แล้วมา ทั้งบ้านได้จัดการคอยต้อนรับท่านตั้วกัวยิ้งอย่างสำคัญ ตัวยายลีเจ้าของซ่องเองถึงแก่ลงไปยืนคอยรับรองไซหมึ่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ขนาบข้างด้วยพี่น้องทั้งสองสาว และปรากฏว่า วันนี้นางลีกุยได้ผูกขาดรับรองแขกผู้มีเกียรติท่านนี้เสียแต่ผู้เดียวอย่างพอแรง จนกระทั่งเอ็งฮวยจื๊อเกิดรำคาญหูรำคาญตาขึ้นมาก็พูดขับขึ้นอย่างล้อ ๆ ว่า
“ดีจริงนะน้องสาว ใจคอจะช่วยรินเหล้าให้เราสักจอกไม่ได้เทียวหรือ? เราก็อุตส่าห์ไปกราบไหว้อ้อนวอนแทบปากจะหัก เสร็จแล้วพอคู่รักเขาดีกันเขาก็พากันลืมเรา เท่านี้เองละหรือที่น้องสาวเจ้ามีน้ำใจให้ เชื่อหรือไม่เล่าว่าถ้าวันนี้ท่านตั้วกัวยิ้งไม่มาบ้าน นางก็ขี้คร้านจะนั่งร้องไห้ขี้ตาแฉะหมดรูปไปเลย ทำอย่างนี้ไม่เสมอภาคนะน้องท่าน มีอย่างที่ไหน ทีกับคนหนึ่งท่านกุลีกุจอประคบประหงมยังกับว่ามัคนายกนั่งปรนนิบัติพระ แต่พอกับอีกคนหนึ่งทำยังกะว่าไม่มีราคา อย่างนี้ก็ไม่ถูก ไหนมานี่ซิขอข้าพเจ้าจูบเป็นค่ารางวัลสักที”
แล้วเอ็งก็โน้มศีรษะนางกุยมาจุ๊บอย่างหยอกเย้าสนิทสนมเป็นกันเอง แต่ว่าทันใดนั้นเอง บังเอิญเอ็งป่ายมือไปโดนจอกสุราหกรดเสื้อของตั้วกัวยิ้งเข้า ซึ่งด้วยอุบัติเหตุนี้เอง ได้ทำให้บรรยากาศที่เคร่งเครียดภายในห้องนี้ค่อยคลี่คลายขึ้น เพราะแต่ละคนๆ ที่ต่างนั่งเคร่งขรึมสงบสำรวมสงวนทีท่ากันมาช้านานแล้วนั้น ต่างพลอยพากันหัวเราะขึ้นอย่างครื้นเครง แล้วการสนทนาก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน ตั้วกัวยิ้งได้ลืมความขุ่นข้องหมองใจในระหว่างเขากับบ้านนี้สิ้นแล้ว.
เขานั่งร่วมสนุกอยู่จนกระทั่งถึงเย็นจึงได้ลากลับ และเมื่อไซหมึ่งมาถึงบ้านนั้น ปรากฏว่างานเลี้ยงฉลองวาระคล้ายวันเกิดนางซัมเจ๊พึ่งจะเริ่มลงมือ เขาจึงเข้านั่งร่วมเป็นประธานอยู่ในงานจนกระทั่งเลิก.
คืนนี้ไซหมึ่งเข่งเจาะจงเลือกนางเม่งเง็กเล้าเป็นคู่นอน–ไม่เลวเลยมิใช่หรือ สำหรับของขวัญวันเกิดของนางที่สามีได้มอบให้.
----------------------------