- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
พีรชนผู้พิชิตพยัคฆ์ร้าย | หนึ่งนั้น นามระบือ |
เผด็จเสือร้ายเก้งเอี่ยง | มอดม้วย |
จากเนินพนัสบันลือ | ลั่นเกียรติ |
ว่าเป็น “ผู้ฆ่าเสือด้วย | มือเปล่า” |
เอ้า, ลือกันเข้าไป ทั้งตำบลเช็งฮ้อดูเหมือนเช้าวันนี้แต่ละผู้ละคนจะได้กันโจษขานกันถึงผู้กล้าหาญคนนั้นอยู่ทั่วไป ก็จะไม่ให้ชาวเช็งฮ้อโจษขานได้อย่างไร ข่าวใหญ่ตื่นเต้นทีเดียวนี่นา “เกิดมีคนเก่งปราบเสือร้ายเขาเก้งเอี่ยงกังได้แล้วละเพื่อน”–ยิ่งสายเข้า, ข่าวก็ยิ่งแพร่ ผู้คนก็ยิ่งล้นหลามหลั่งไหลกันเข้ามา ทยอยกันเข้ามาไปดูให้เห็นหน้าจงได้ทีรึว่า คนเก่งที่จะเข้ามารับเงินรางวัลเช้านี้หน้าตาเป็นอย่างไร ตลอดสองฟากถนนที่ทอดผ่านย่านชุมนุมชนไปสู่ศาลาว่าการตำบลเช็งฮ้อในเช้าวันนั้น จึงคับคั่งด้วยฝูงชนเป็นพิเศษดังนี้.
แต่ว่าเราจะปล่อยให้ชาวบ้านเหล่านี้ยืนออกันอยู่ที่ถนนนี้ก่อน ให้เขาโจษขานกันเสียให้พอแรงไปก่อน–ให้เขากระเย้อกระแหย่งเบียดเสียดคอยชมโฉมวีรบุรุษผู้ปราบเสืออยู่ที่นี่ก่อน เราจะย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ที่บ้านของท่านตั้วกัวยิ้ง, ไซหมึ่งเข่ง คนอันเป็นพี่อ้ายของคณะสิบสหายนั้นดู.
เช้าวันนั้น ที่บ้านไซหมึ่งได้มีโอกาสรับรองเอ็งแปะเตี๊ยะ, ยี่เฮียของคณะพรรคเป็นแขกคนแรก หลังจากที่ได้หายหน้าค่าตาไปเสียสอง-สามวัน นับแต่ไปทำพิธีสาบานกันที่ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้วันนั้นเป็นต้นมา.
“เป็นไง พี่, อาการโต๊ะยี่เจ๊น้องเราเป็นอย่างไรบ้าง?” เอ็งถาม
“แย่, อาการไม่ดีขึ้นมาเลย นี่ก็กำลังให้คนไปตามหมอมาดูอาการอยู่” ไซหมึ่งตอบ “ว่าแต่ว่าคืนนั้น พวกเราเป็นยังไงกันมั่ง ไหนเล่าให้ฟังบ้างถี.”
เอ็ง–ฮวยจื๊อ, ก็จาระไนเรื่องราวให้พี่ใหญ่ร่วมสาบานฟังว่า คืนนั้นพวกเขาเมากันอยู่ที่ศาลเจ้านั้นตั้งดึก กว่าจะกลับบ้านกันได้ก็ล่อเข้าไปกระทั่งกลองตีครั้งที่สอง๑ ท่านสมภารเกรงว่าจะดึกมากไป ถึงได้ออกมาเตือนให้กลับ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นดอก ดีแล้วที่พี่ท่านกลับมาเสียก่อน เขารู้สึกว่าการประชุมคราวนี้ทีจะได้ผลสมความตั้งใจอยู่ แต่ว่าที่เขามาหาแต่เช้านี้ก็เพราะมีเรื่องดีจะมาบอกให้รู้ แล้วเอ็งก็เล่าถึงเรื่องที่มีคนฆ่าเสือด้วยมือเปล่า อันเป็นเรื่องตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงของเช้าวันนี้ให้ไซหมึ่งฟัง
“ฮ่า, เกินไปละ เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อแน่.” ไซหมึ่งค้านคอเป็นเอ็น
“อ้าว ไหมล่ะ ถึงเป็นข่าวเหลือเชื่อก็จริง แต่ข้าพเจ้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง.”
แม้เอ็งแปะเตี๊ยะจะเล่ารายละเอียดให้ตั้วกัวยิ้งฟังสิ้นเชิงก็ตาม แต่รายละเอียดเบื้องหลังของคนเก่งกล้าผู้นี้ที่คนแซ่เอ็งไม่รู้ยังมีอีก ซึ่งเราน่าจะได้รู้เสียด้วย เพื่อหาความหรรษาให้เพิ่มพูน.
ณ กาลที่ไม่นานไปกว่าชั่วอายุของคนคนหนึ่ง ซึ่งจะเนื่องมาแต่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของท่านสมุหราชมณเฑียร อังซิน ผู้เป็นทูตอัญเชิญพระราชสาสน์ของพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ไปถึงท่านเตียฮีเจง เซียนซือนักพรตผู้วิเศษ ณ แขวงเมืองซินจิวฮู้ คนนั้น และหรือจะเนื่องมาแต่ฟ้าดินดลบันดาลให้เป็นไปก็ตามเถิด ทว่าเมื่ออังซินไปถึงสำนักของท่านเตียฮีเจง เพื่อความหวังที่จะนิมนต์ไปช่วยปัดเป่าโรคร้ายไข้ระบาดในเมืองหลวงนั้น เขาเกิดไม่พบตัวท่านเซียนซือผู้วิเศษคนนี้เข้า เขาก็เลยถือโอกาสเที่ยวชมความเป็นไปในสำนักของผู้วิเศษแห่งนี้ และล่วงละเมิดเปิดเก๋งอันเป็นที่กักขังดวงวิญญาณของพวกดาวร้ายจำนวนร้อยแปดดวง ที่ท่านผู้วิเศษอันทรงไสยวุฒิครั้งกระโน้นได้ลงเลขยันต์ปิดตายเอาไว้ในบริเวณวิหารเหนือขุนเขาเตาเลงซัวเข้า บรรดาดวงวิญญาณอันเหี้ยมหาญของเหล่าอัศวินโบราณทั้งร้อยแปดที่เฝ้ารอคอยเวลามานับเป็นพัน ๆ ปี ก็ได้โอกาส ต่างก็พรั่งพรูกันลอยละล่องไปตามแรงลม เพื่อหาที่ผุดที่เกิดในโลกมนุษย์ต่อไปใหม่ และบัดนี้เรากำลังจะกล่าวขวัญถึงวิญญาณดวงหนึ่งในจำนวนร้อยแปดดวงของวิญญาณอันเหี้ยมหาญเหล่านั้น ซึ่งความละเอียดของพฤติการณ์บรรดาวิญญาณร้อยแปดนี้มีอยู่แล้วในเรื่องซ้องกั๋ง อันท่านผู้อ่านย่อมจักคุ้นหูแก่ชื่อนี้อยู่ ทว่าในที่นี้เราเพียงแต่จะเล่าถึงเขา–วิญญาณดวงหนึ่งในจำนวนร้อยแปดวิญญาณนั่นเท่านั้นเอง–และนี่เป็นความเบื้องหลังที่เอ็งแปะเตี๊ยะไม่ทราบ.
ณ แขวงตำบลเอียงกกกุ้ย (Yang Ku hsien) อันเป็นละแวกบ้านประชิดติดต่อกับตำบลเช็งฮ้อนี้ ยังมีคนในตระกูล ๆ หนึ่ง ซึ่งมีอยู่เพียงสองคนพี่น้องด้วยกัน เป็นชายทั้งคู่, คนพี่ชื่อ บู๋ตั้ว (Wu Ta) คนน้องชื่อ บู๋ซ้ง (Wu Sung) อยู่มาคนผู้น้องเดินทางออกจากบ้านเตร็ดเตร่ไปต่างตำบลเพื่อเสี่ยงโชค จนไปถึงตำบลห่วยไหกุ๊น ที่ตำบลนี้เขาได้แวะพึ่งพิงอยู่กับเศรษฐีแซ่ฉั่ว (Lord Tsai) ผู้มั่งคั่งคนหนึ่งของตำบล ซึ่งโอบอ้อมอารีและบู๋ซ้งได้ล้มเจ็บลงที่บ้านท่านผู้นี้ ครั้นได้รับการรักษาพยาบาลจนทุเลาดีแล้ว เขาก็อำลาท่านลอร์ดฉั่วผู้นี้กลับบ้านเพื่อติดตามหาบู๋ผู้พี่ชายต่อไป แต่ทราบว่าพี่เขาได้ย้ายที่อยู่เสียแล้ว.
เอ็งได้เริ่มเล่าแต่เรื่องที่เขารู้มาว่า “ขณะที่บู๋ซ้งเดินทางรอนแรมผ่านเทือกเขาเก้งเอี่ยงนี้ ก็เผอิญได้ผจญกับเสือโคร่งตัวที่อาละวาดเลื่องลืออยู่แถบนี้เข้า อาศัยที่ซ้งเป็นคนมีฝีมือจึงปราบเสือตัวนี้เสียสิ้นฤทธิ์ ฉะนั้น เงินรางวัลจำนวนห้าสิบตำลึงที่ท่านตีกุ้ย แห่งเช็งฮ้อ ประกาศไว้สำหรับผู้ฆ่าเสือตัวนี้ ได้ตกเป็นของเขาโดยที่มิได้คาดฝัน และขณะนี้บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือดังกล่าวก็กำลังเดินทางเข้ามาเพื่อรับเงินรางวัลอยู่แล้ว “พี่ท่านมิคิดจะออกไปดูผู้กล้าหาญคนนี้กับเขาบ้างดอกหรือ?” เอ็งได้ปิดฉากการเล่าของเขาลงด้วยคำชวนดังนี้ ซึ่งไซหมึ่งเข่งผู้ลูกพี่ก็เห็นพ้องด้วย ทั้งคู่จึงทิ้งอาหารเช้ามื้อนั้นเสีย โดยคิดจะไปหาที่กินเอาข้างหน้าตามโรงโภธนาคารข้างๆ ทาง พอดีมาเจอเข้ากับเจี้ยฮีตั้วเข้ามาทาง ซึ่งเจี้ยเองก็ตั้งใจจะไปบอกเขาอยู่แล้วเหมือนกันถึงเรื่องนี้
ขณะนี้ตามท้องถนนผู้คนชาวบ้านกำลังเบียดเสียดเยียดยัดเฝ้าตั้งตารอคอยวีรบุรุษผู้กล้าหาญคนนั้นอยู่อย่างหนาแน่นเต็มทั้งสองฟาก. สหายทั้งสามพากันเดินหาทำเลว่างอยู่ไม่นานนัก ก็ได้ที่ดีเข้าแห่งหนึ่งบนเล่าเต๊งของร้านเหล้าริมถนนนั้นเอง. จึ่งสั่งอาหารมากินฆ่าเวลา เพื่อคอยการมาของบู๋ซ้ง, ผู้กล้าหาญ.
มิช้ามินานนัก ก็ได้ยินเสียงฆ้องและกลองประโคมครึกครื้นมาแต่ไกล ตามถนนจะเห็นผู้คนเริ่มไหวตัวคึกคักชะเง้อชะแง้ขวักไขว่ไปหมด––
มาแล้ว, โน่น––นำขบวนด้วยพวกพรานเดินแถวเรียงสองมาอย่างเป็นระเบียบ แต่ละคนถือหอกปลายห้อยพู่สีแดง ถัดจากแถวพรานก็ถึงร่างอ้ายเสือโคร่งตัวร้าย ซึ่งหามร่องแร่งมาโดยชาวบ้านสี่คน มองดูแต่ไกลเหมือนกระสอบใหญ่ๆ คลุมไว้ด้วยผ้าไหมสีเหลือง ต่อท้ายขบวนนั่นแหละจึงถึงเขา–ชายฉกรรจ์หาญ บู๋ซ้ง, ซึ่งนั่งตัวตรงอกผายไหล่ผึ่งมาบนหลังม้าสีขาว!
เออ, ช่างสมกับเป็นผู้กล้าหาญชาญชัยอะไรอย่างนี้ ดูซินั่น, ร่างอันกำยำซึ่งคงสูงไม่ต่ำกว่าเจ็ดฟุตเป็นอย่างน้อย ใบหน้ากว้าง คางสี่เหลี่ยม นัยน์ตาคมวาวเหมือนดวงดาวมีประกายแจ่มใสเพ่งแน่วไปทางเบื้องหน้าไม่มีได้เหลียวล่อกแล่ก ประหนึ่งจะจ้องจรดอยู่แต่ที่ขอบฟ้า ในมือถือตะบองเหล็กอันใหญ่เบ้อเร่อ เออ! เจ้าเสือโคร่ง, เสือดาวทีนี้ละหมดป่าแน่ๆ เพียงโดนกำปั้นของเขาแต่ละที เจ้าหมีร้ายตามเหวตามห้วยเห็นจะจบเห่หมดมิพักสงสัย บนศีรษะของเขานั้นโพกไว้ด้วยผ้าปักเป็นรูปสวัสติกะแซมด้วยช่อดอกไม้เงินสองช่อ ตัวผู้กล้าหาญเองแต่งกายแบบพรานชาวบ้าน สวมเสื้อผ้าหยาบๆ มีรอยขาดและปุปะรุงรัง หนำซ้ำรอยเลือดยังกระดำกระด่างเต็มไปหมด มีเสื้อคลุมผ้าต่วนสีแดงเปิดอกปล่อยเอวใส่ทับไว้อีกทีหนึ่ง.
“ผู้ที่จะคิดหาญสู้กับคนคนนี้ เราว่าหมอต้องมีร่างกายกำยำหนักถึงพันชั่ง และต้องแข็งแรงยิ่งกว่าควายถึงจะสู้เขาไหว.” ไซหมึ่งเข่งปรารภอย่างชื่นชมในตัวผู้กล้าหาญคนนี้กับสหายทั้งสอง “นี้ซิถึงจะเป็นผู้กล้าหาญแห่งยุคที่แท้จริง–บู๋, ผู้กล้าหาญแห่งหมู่บ้านเอียงกกละ!”
ในที่สุดขบวนแห่บู๋ซ้ง–ผู้ฆ่าเสือก็บรรลุถึงศาลาว่าการ เขาลงจากหลังม้าเดินตบเท้าอย่างภาคภูมิเข้าไปยังห้องประชุม ซึ่งคณะกรมการตำบลได้มารอคอยรับรองเขาอยู่อย่างคับคั่งแล้ว พร้อมด้วยท่านผู้ว่าการฯ เมื่อต่างประจักษ์แก่ตาว่า อ้อ, นี่เองวีรบุรุษเยี่ยมยอดผู้พิชิตสัตว์ชั้นเจ้าป่าตัวที่นอนกลิ้งโคโล่อยู่บนยกพื้นสีแดงแปร๊ดนั้นแล้ว ท่านผู้ว่าการตำบลต่างพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ก็ถึงกับรำพึง ว่า “เออ นี่ยังจะมีมนุษย์หน้าไหนอีกหนอ ที่จะสามารถเล่นงานเจ้าเสือร้ายตัวนี้ได้อย่างเขาบ้าง.”
เมื่อถ้อยทีถ้อยปราศรัยซึ่งกันและกันแล้ว ผู้ว่าการก็ขอให้บู๋ซ้งเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาได้ผจญมากับเจ้าเสือร้ายที่ดุอาละวาดตัวนี้ให้ฟัง ซึ่งปรากฏว่า ตลอดเวลาที่บู๋คนพเนจร เล่าถึงเรื่องราวตามที่เขาได้พันตูกับเจ้าเสือหน้าบากตาโปนตัวนี้ให้พวกท่านขุนน้ำขุนนางทั้งนั้นฟัง ต่างก็พากันทึ่งและพลอยอกสั่นขวัญแขวนไปกับเรื่องที่เขาเล่า จนถึงกับนั่งอ้าปากหวอไปตาม ๆ กัน. ครั้นแล้วท่านผู้ว่าการก็ชวนดื่มเป็นเกียรติให้แก่ผู้กล้าหาญเสียสามครั้งตามธรรมเนียม แล้วก็สั่งให้เสมียนเบิกเงินห้าสิบตำลึงออกมาตกรางวัลแก่ผู้ปราบเสือร้ายดังที่ทางการสัญญาไว้ ทว่าบู๋ซ้งได้แสดงความเป็นคนใจงาม โดยขอให้ท่านผู้ว่าการนำเงินจำนวนนี้แจกจ่ายให้แก่บรรดาครอบครัวของพรานป่าผู้ที่ถูกเสือร้ายตัวนี้เล่นงานถึงทุพพลภาพ และหรือที่ล้มหายตายจากไปเหล่านั้นเถิด ด้วยเขานั้นหาได้ปรารถนาเงินรางวัลนี้นักไม่ เท่าที่สามารถปราบเจ้าเสือร้ายใจฉกรรจ์ตัวนี้ได้ก็ปลื้มใจอยู่แล้ว จึงทำให้ท่านผู้ว่าการตำบลพลอยปีติในเจตนาของผู้สละรางวัลคนนี้และซาบซึ้งในคุณงามความดีของเขา ก็ถือโอกาสเกลี้ยกล่อมชักจูงให้เขาเข้าอยู่รับราชการเสียด้วยกันที่เช็งฮ้อนี้ โดยอ้างว่าไหน ๆ บ้านเกิดของเขาก็แค่ตำบลเอียงกก ใกล้เคียงนี้เอง ใช่ห่างไกลกันที่ไหน ทำราชการอยู่กับเราเสียที่ตำบลนี้เถิด ดังนั้น บู๋ซ้ง, ผู้ฆ่าเสือจึงได้เข้ารับราชการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ตำแหน่งหัวหน้ากองลาดตระเวน (Captain of The guard) หรือ “ซุงปู่โตเท้า” แห่งตำบลเช็งฮ้อนี้สืบไป.
และด้วยผลแห่งความดีที่บู๋ซ้งกอปรไว้ต่อบรรดาลูกบ้านพวกพรานป่า อีกทั้งความโอบเอื้ออารีที่หาได้ยากยิ่งในตัวบุคคลใดอื่น ปรากฏว่ากิตติศัพท์ของท่านซุงปู่โตเท้าบู๋ซ้งเป็นที่กระเดื่องโด่งดังนัก ใคร ๆ ก็ยกย่อง ใคร ๆ ก็สรรเสริญ เดี๋ยวบ้านนี้เชิญเลี้ยง บ้านโน้นเชิญเลี้ยง อยู่เป็นนิจนิรันดร์มา กล่าวกันว่าชื่อเสียงของบู๋ซ้ง, ผู้ฆ่าเสือ ผู้นี้ได้เป็นที่กล่าวขวัญกันอยู่ติดปากทั้งในตำบลเอียงกกเดิมที่เขาเกิด และในตำบลเช็งฮ้อที่เขารับราชการปัจจุบัน.
----------------------------
-
๑. เที่ยงคืน ↩