- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
น้องผัว–พี่สะใภ้
มิไยใครก็ตามจะเย้ยหยันเยาะหยามประณามนาง
แม้ถ้อยคำอันระคายหู
หรือจะเอื้อเมตตาจิตตักเตือนนาง
ด้วยมธุรสวาจาอันชื่นชูสักปานใดก็ตามที,
ฉันใด, ฟองคลื่นที่ปั่นป่วนด้วยแรงสลาตัน
ฉันนั้น, ความพิโรธของนางที่บังเกิด.
อันใดเล่า, ประสบแก่เธอ?
ก็ความอับอายขายหน้า ปิ้มว่าจะแทรกแผ่นดินหนีนะซี
ทั้งนี้ก็เนื่องแต่ เจ้าน้องผัว, ผู้ไม่ยอมขายศักดิ์ชายชาตรีคนนั้นเอง.
ปรารถนาของนางแต่อย่างเดียวเวลานี้, คือ––ความตาย
เรื่องอะไรกัน? นี่ใครมาทำให้บัวคำ, คนสวยต้องประสบกับความพิโรธโกรธขึ้งขุ่นเคืองใจถึงเช่นนี้, อ๋อ. ลงสาวงามซ้ำกำลังอยู่ในวัยกำดัดสวาท เกิดอยู่ๆ มีอันวิปโยคชอกช้ำหัวใจถึงขนาด “อยากจะตาย” เช่นนี้ เรื่องก็ต้องถึงกับคอขาดบาดตายไม่ข้างหนึ่งก็ข้างใดลงไปเป็นแน่.
ลุเพลาบ่ายของวันรุ่งขึ้น บู๋ซ้ง, ซุงปู่โตเท้าก็จัดการขนข้าวของ อันมีไม่กี่ชิ้นตามประสาชายโสดคนพเนจรที่เพิ่งจะตั้งตัวได้ มาอยู่ที่บ้านพี่ชาย ตามคำเชิญชวนของพี่สะใภ้สาว เมื่อพัวกิมเน้ยเห็นทหารรับใช้หอบหิ้วหีบปัดสัมภาระของน้องสามีมา ก็ดีใจเสียแทบจะดิ้นอยู่แดยัน ราวกับมีใครนำแสนมหาสมบัติอันล้นค่ามาหยิบยื่นให้ถึงมือนาง. ถึงเวลาเช้าอันเป็นเวลาที่ท่านซุงปู่จะต้องไปตรวจพล ณ ศาลาว่าราชการตามหน้าที่นั้น บัวคำก็จะกระวีกระวาดลุกขึ้นแต่ไก่โห่ต้มน้ำร้อนน้ำท่าจัดหาภาชนะไว้ให้พร้อม สำหรับน้องผัวจะได้ชำระล้างร่างกายก่อนไป แล้วบัวคำ, ก็จะคาดคั้นเอากับน้องสามีผู้นี้จนกระทั่งเขาต้องรับปากว่า เลิกจากตรวจแถวทหารแล้วจะรีบกลับมากินอาหารเช้าที่บ้านเป็นประจำ
ซึ่งก็เพียงแต่ชั่วได้ร่วมรับประทานอาหารพร้อมพี่สะใภ้รูปงามเพียงมื้อเช้าอีกมื้อนี่เท่านั้นเอง บู๋ซ้งก็ชักจะนั่งไม่ติดโต๊ะเสียแล้ว ค่าที่รู้สึกว่าการต้อนรับขับสู้ของเมียพี่ชายออกจะ “มากไป” แม้ชั้นจะส่งถ้วยน้ำชาให้ก็ทำเสียราวกับจะป้อนให้ถึงปาก ซึ่งความประพฤติอย่างนี้ ธรรมเนียมจีนที่ดีถือเคร่งครัดนัก ท่านผู้’กอง, คนกล้าจึงบอกแก่พี่สะใภ้ว่า “ขอเสียทีเถอะพี่ ทีหน้าทีหลังละก็อย่าต้องปรนนิบัติข้าพเจ้าให้เป็นที่ลำบากถึงเพียงนี้เลย ข้าพเจ้าอึดอัดใจเต็มทนแล้ว โปรดอย่านึกว่าข้าพเจ้าเป็นแขกแปลกหน้า นึกเสียว่าเป็นน้องของท่านเอง เอาเถิดพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเอาทหารมาไว้รับใช้เอง” แต่ความหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอาอกกว้างของคนตีเสือเป็นที่แอบให้หนำใจมีมากกว่า จึงเพียงคำค้านชั่วมื้อแรก–ซึ่งอาจเป็นเพราะพูดไปตามธรรมดาของความเกรงใจ–เท่านี้หรือจะอาจหยุดยั้งให้บัวคำเปลี่ยนเสียซึ่งความปรารถนาเดิมของนางได้
นางกล่าวว่า ถ้าบู๋ซ้งอึดอัดไม่สบายใจเพราะการรับใช้ของนาง ก็ขอให้ทราบไว้เถิดว่านางเองก็ไม่มีความสบายใจอย่างยิ่ง เพราะการที่มิอาจรับใช้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เขาได้บ้างเช่นเดียวกัน ครอบครัวเรารึก็กระจ้อยร่อยเห็นหน้ากันอยู่เพียงเท่านี้ หากมัวมาถือเคร่งในขนบประเพณีถือเขาถือเรา ต่างก็เท่ากับมิต้องทำประโยชน์อันใดให้ต่อกันเลย
บัวงามทรามเชยถือว่า หลังคาเรือนน้อยของบู๋ตั้วและนางนี้ เป็นที่พำนักอันต่ำศักดิ์ต่อสายตาของชาวบ้านทั้งหลายที่มองมานานนักหนาแล้ว ฉะนั้นเมื่อขุนนางตำแหน่งซุงปู่โตเท้า, หัวหน้าหน่วยตระเวนซึ่งให้ความสงบร่มเย็นแก่คนในอำเภอนี้ทั้งอำเภอ มาปรากฏร่วมหลังคาเรือนเช่นนี้ รัศมีแห่งท่านซุงปู่โตเท้าก็ครอบคลุมหลังคาเรือนคนกระเดียดขนมเปี๊ยะกับกาฝากของเขา–คือตัวนาง ให้พ้นจากสายตาชาวบ้านที่เคยมองอย่างเหยียดหยามกันมาแต่ก่อน ก็เมื่อบู๋ตั้วคนพิกลพิการทางรูปกายยังเป็นประโยชน์ให้แก่ครอบครัวตามมีตามเกิดได้แล้ว ไฉนจะให้นางมานั่งงอมืองอเท้าไม่ทำประโยชน์อันใดเสียบ้างเล่า แม้ชั้นชั่วหยิบฉวยเล็ก ๆ น้อย ๆ พอจะเอื้ออวยความสะดวกต่อผู้มีคุณของครัวเรือนดังนี้ นางก็ดูกระไรอยู่ บู๋ซ้งคนมีมือตีเสือใหญ่เท่าม้าเสียจนตาย แต่มีปากเหมือนหาไม่ เมื่อถูกพี่สะใภ้ตีเอาด้วยคารมก็เป็นอันจนใจ เขาจำนนแก่น้ำหนักถ้อยคำอันสำแดงออกถึงความปรานีของบัวคำ เฮียตั้วพี่ร่วมท้องของเรานี้ถึงแกจะพิกลกายแต่บุญแกได้ทำไว้ชาติปางใดหนอ จึงได้ฉุดพัวกิมเน้ยคนสวยผู้นี้ให้มาเป็นพี่ศรีสะใภ้ของเราได้
เป็นความคิดคำนึงของคนตีเสือ ขณะวันแรก
แล้วก็วันต่อๆ ไป––
ถึงแม้การปรากฏกาย จะเป็นเสมือนปรากฏประกายรัศมีช่วยให้บ้านหลังหนึ่งฐานะดีขึ้น จากสภาพที่เคยถูกมองอย่างดูแคลนมาก่อนก็ดี แต่เมื่อมาปรากฏกายร่วมหลังคาเรือนพี่ชายไม่กี่วันนัก ท่านซุงปู่บู๋ซ้งผู้มีนิสัยใช้ความอารีเป็นพระเดชก็หาอุบายให้พี่ชายได้ผูกมิตรกับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นกันเองยิ่งขึ้น เขายัดเยียดเงินให้พี่คราวละสอง-สามตำลึง เพื่อไปซื้อขนมบ้าง อาหารที่พอเป็นหน้าเป็นตาบ้าง แล้วก็ให้พี่ชายจัดการแจกจ่ายไปตามบรรดาเพื่อนบ้านเรือนเคียง. ฝ่ายพวกเพื่อนบ้านเมื่อได้รับของกำนัลจากบู๋ตั้ว ต่างก็จัดหาสิ่งของขนมนมเนยส่งมาสมนาคุณตอบแทนบู๋ตั้วบ้างตามธรรมเนียม จึงได้เกิดมีการเชิญกินเลี้ยงกันขึ้น บ้านโน้นทีบ้านนี้ทีเป็นที่สนิทชิดเชื้ออยู่ต่อกัน ซึ่งตามรูปการดังนี้ บู๋ซ้งก็สามารถหาทางผูกมิตรให้งอกงามขึ้นได้ในระหว่างเพื่อนบ้านกับครอบครัวของพี่ชายเขา.
และด้วยความมีอัธยาศัยงามของบู๋ซ้งนี้เอง เขาไม่ลืมที่จะแวะหาซื้อผ้าผ่อนสีสด ๆ สวย ๆ แปลกตามาให้เป็นของขวัญแก่พี่สะใภ้ เพื่อเป็นการตอบแทนความอารีของนาง ที่ได้เหน็ดเหนื่อยไปกับการจัดเลี้ยงเพื่อน ๆ ฝูง ๆ ซึ่งเจตนาข้อนี้ของบู๋ซ้งบริสุทธิ์ และพัวกิมเน้ยก็ปลาบปลื้มเป็นอันมาก แต่ใช่นางจะได้เข้าใจซึ้งถึงเจตนาอันบริสุทธิ์นั้นก็หาไม่ หากด้วยการแปลเจตนาของเขาไปเสียข้างว่า เดิมมาแม้นน้ำใจของน้องผัวจะเหมือนท้องธารที่นิ่งสนิทก็ตาม แต่ผ้าสีสดดอกสวยของกำนัลนี้ สำแดงว่ากลิ่นเหยื่อที่นางหย่อนลงไปไม่เสียแรงเปล่า ท้องธารอันนิ่งสนิทเริ่มมีพรายผุด บอกให้รู้ว่าปลาใต้น้ำจะเต้นขึ้นมาอยู่แล้วรำไร นางจึงกวดการประเล้าประโลมใจน้องสามีเขม็งมือยิ่งขึ้น และนางก็ฉลาดพอที่จะทำการปรนนิบัติ ทั้งนี้ มิให้หลุดเลยออกไปนอกขอบเขตธรรมดาเกินไปนัก นางวางตนไว้ในชั้นเชิงของสะใภ้ผู้พี่ ระคนกับความอ่อนช้อยของสาวงาม จนกระทั่งวันคืนแห่งการร่วมหลังคาเรือนล่วงมาได้แรมเดือน.
พายุกล้าของเดือนพฤศจิกายน เริ่มโบกกระหน่ำมาอย่างหน่วงหนัก จากแต่ภาคเหนือของแว่นแคว้น นับเป็นเวลาหลายวันที่หมู่บ้านเซ็งฮ้อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เรื่อยมา ท้องฟ้าฉ่ำไปด้วยเมฆฝนและดูหนาและทึบทึมเหมือนก้อนครั่ง. แล้วฝนหิมะอันหนาวเหน็บที่แสนเย็นยะเยือกปานจะบาดหัวใจก็โปรยปรายลงมาอย่างหนาแน่น–––หิมะตกเอาๆ ยิ่งขึ้นจนทำให้หมู่บ้านเช็งฮ้อทั้งหมู่บ้านแลดูขาวโพลนไปหมด
และในระหว่างระยะเวลานี้เอง เช้าวันหนึ่งหลังแต่ที่พัวกิมเน้ยได้จัดตะกร้าขนมให้สามีคนรูปชั่วของนางนำออกไปเร่ขายเหมือนเช่นเคยแล้ว นางก็กระวีกระวาดลงจากเรือนไปหายายเห่งพั้ว หญิงชราผู้เพื่อนบ้าน บัวคำวานหญิงผู้นี้ให้ช่วยไปซื้อเนื้อสดและสุรามาให้. แล้วนางก็กลับบ้าน มาจัดการปัดกวาดห้องหับ เตรียมน้ำร้อนน้ำอุ่นไว้คอยท่าเพลาคนอันเป็นน้องสามีจะกลับ, จัดห้องไปพลางนางก็นึกไปพลาง วันนี้แลหนอการอันจะรู้ดีและชั่วก็จะได้แตกหักกันลงไป เมื่อขันตีมันจะไม่ขันแตกบ้างก็ให้รู้ นางเฝ้าครุ่นคิด และบ่อยครั้งที่นางต้องหวาดผวา คอยชะแง้เฝ้าแต่นึกว่าบู๋ซ้ง เพื่อนจะกลับมา ครั้นตกบ่ายได้เวลาท่านซุงปู่โตเท้าก็กลับ เขาเดินลุยกองหิมะมาอย่างเหนื่อยอ่อนจนกระทั่งถึงบ้าน และขณะที่เขาสาละวนสลัดผงหิมะอยู่ที่หน้าประตูนั้นเอง บัวคำผู้พี่สะใภ้ก็รีบแหวกมู่ลี่ออกมารับรองอย่างกุลีกุจอ
“หนาวเอาการนะ วันนี้?”
บู๋ซ้งรีบเงยหน้าขึ้นรับการทักทายของพี่สะใภ้อย่างกะทันหัน “โอ, ขอบใจอาซ้อเหลือเกิน รู้สึกว่าจะหนาวเอาการอยู่” แล้วเขาก็ถอดหมวกออก ทันใดบัวคำก็รีบถลันจะเข้ารับ “โอ๊ะ, อย่าลำบากเลยพี่ เดี๋ยวฉันเก็บของฉันเองก็ได้” แล้วเขาก็จัดการสลัดผงหิมะที่ติดหมวกออกจนเรียบร้อย นำไปแขวนไว้ข้างฝา และเมื่อได้ปลดเปลื้องเครื่องยูนิฟอร์มอันเก่าคร่ำเรียบร้อยแล้ว บู๋ซ้งก็ตรงไปยังห้องของเขา แต่ว่าพี่สะใภ้หายอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดไปเสียไม่ นางตามติด ๆ คนผู้น้องผัวเข้าไปในห้องด้วยทันที
นางถามด้วยความที่แสนจะเป็นห่วงและอาทรต่อบู๋ซ้งเป็นยิ่งนักว่า ทำไมเขาถึงไม่กลับมากินข้าว นางเฝ้าคอยแล้วคอยอีก บู๋ซ้งก็ตอบว่ามีเพื่อนผู้หนึ่งมาชวนออกไปหาอะไรกินเสียข้างนอก จึงไม่ได้กลับมา แล้วเขายังพาซื่อจาระไนให้นางฟังสืบไปอีกถึงว่า เพื่อนยังคะยั้นคะยอชวนให้เขาอยู่กินเหล้าด้วยกันสืบไปอีก หากแต่ว่าเขาขอตัวกลับเสียก่อน ซึ่งบัวคำก็กล่าวชมเชยไม่ขาดปากว่า “ดีแล้วที่รู้จักห่วงบ้านห่วงช่อง” แล้วนางก็บอกน้องสามีให้จัดการผิงฟืนผิงไฟเสียให้อบอุ่น นางได้เตรียมเอาไว้ให้แล้ว.
และแล้วแผนการมุ่งสวาทของบัวคำก็ดำเนินไปเป็นขั้น ๆ กล่าวคือ อันดับแรกนางใช้ให้หนูเหง่งยี้ไปจัดการปิดประตูหน้าต่างเสียให้หมดทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ตัวนางได้ลงไปยกสำรับกับข้าวที่กำลังส่งกลิ่นโชยควันหอมอบอวลขึ้นมาให้ “อ้าวแล้วพี่บู๋ตั้วเล่า แกจะไปกินที่ไหน?” บู๋ซ้งถามพี่สะใภ้อย่างเอะใจ ซึ่งบัวคำก็ตอบหน้าตาเฉยว่า “ก็ออกไปขายซาลาเปาตั้งแต่เช้ามืด ป่านนี้ยังไม่เห็นกลับมาเลยนี่ เอาเถอะเราลงมือกินกันไปพลางก่อนก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลถึงพี่เขาดอก”
“อ๊ะ, อย่างนี้จะดีหรือ?” บู๋ซ้งก็ท้วงขึ้น “เอาไว้ค่อยกินพร้อม ๆ กันดีกว่า ยังมีเวลาอีกถมไป” พัวกิมเน้ยก็ตัดบทเสียว่า “กิน ๆ เถอะน่าไม่ต้องไปคอยหรอก.”
พอดีเหง่งยี้หิ้วเหยือกเหล้าเข้ามาให้ พัวกิมเน้ยก็เลยลากม้านั่งมาตั้งลงข้างๆ น้องผัวที่หน้าเตาผิง แล้วก็จัดแจงรินเหล้าอุ่น ๆ จากเหยือกส่งให้ น้องสามีคนรูปหล่อดื่มเสียสองจอกเป็นการปลุกใจ เมื่อบู๋ซ้งได้รับการคะยั้นคะยอจากพี่สะใภ้เช่นนี้ เขาขัดไม่ได้ก็จำใจรับสุรามาดื่ม และขณะนั้นเองเหตุการณ์อันที่ไม่คาดฝันสำหรับเขาก็บังเกิดขึ้น เพราะอยู่ดี ๆ เสื้อที่พี่สะใภ้ใส่เกิดหลุดลุ่ยลงมาดื้อ ๆ เผยให้เห็นทรวงอกอันอวบอัดและสดสล้างของนางไหวกระเพื่อมอยู่ถนัดตา ริมฝีปากทั้งสองของนางก็ให้มีอันเป็นสั่นระริกอยู่เร่าๆ ช่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่หวานหยาดเยิ้มสุดแสนจะเย้ายวน และทวีความรุ่มร้อนให้บังเกิดแก่อารมณ์หนุ่มอย่างถึงขนาด.
เอาละซี, บู๋ซ้งถูกผีหลอกเข้าให้แล้วกลางวันแสกๆ ในความรู้สึกของเขา เหตุการณ์วันนี้แตกต่างกันยิ่งนักกับเหตุการณ์เมื่อวันนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องนอนวันนี้ ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเขาเก้งเอี่ยงกึงเมื่อวันนั้น; เขารู้สึกว่าเสื้อร้ายตัวที่เขาฆ่าตายวันนั้นไม่ดุและไม่น่ากลัวเท่าพี่สะใภ้ คนที่สะอิ้งร่างอยู่ข้างๆ ตัวเขาขณะนี้เลย. ก็เช่นนี้เขาจะตัดสินเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างไรกัน–––ระหว่างราคะดำกฤษณาของอารมณ์ปุถุชน กับความกตัญญูระหว่างพี่น้อง.-––
“พี่ถามจริงๆ เถอะ เขาว่าน้องท่านแอบไปมีเมียเก็บไว้ที่บ้านเช่าใกล้ ๆ กับที่ว่าการตำบล และเป็นผู้หญิงนักร้องด้วย ยังจะจริงหรือเปล่า บอกพี่เสียตามตรง” พัวกิมเน้ยเปรยถามเขาขึ้น.
“เอ๊ะ, พี่ไปเอาอะไรที่ไหนมาพูดนี่ อย่ามัวไปเที่ยวรับฟังเรื่องบ้าๆ พรรค์นี้หน่อยเลยน่าอาซ้อ ฉันไม่ใช่ผู้ชายเหลวไหลเช่นนั้นดอก” น้องชายบู๋ตั้วชักฉุนกึกขึ้นมาทันที
“ฮึ, ใครจะไปรู้ใจใครได้” พี่สะใภ้ไม่ยอมเลิกล้มคดีเสียกลางคัน
“ก็ตามใจ เมื่อพี่ไม่เชื่อไปถามเฮียบู๋ตั้วแกดูก็แล้วกัน แกรู้นิสัยฉันดี” บู๋ซ้งตัดความ
“เช้อ, ถามใครไม่ถาม ให้ไปถามพี่ชายของท่าน ออกซึมกะทืออยู่ชั่วชาติอย่างนั้น มีหรือจะทันท่าน ถ้าเขาลองเป็นคนมีความคิดความอ่านอย่างคนอื่นละก็ ทำไมจะต้องมางมโข่งวิ่งขายซาลาเปาอยู่ชั่วนาตาปีเช่นนี้เล่า ฮึ” นางพูดอย่างประชด ๆ แล้วก็รินเหล้าให้น้องสามีอีก ถึงนางเองก็ได้ดื่มเหล้าเข้าไปหลายจอกพอแรงอยู่แล้วเช่นกัน แต่ยังไม่สมแก่ใจ ดังนั้น เมื่อเห็นเหล้าชักจะพร่องเหยือกลง บัวคำก็ไปเติมเอาขึ้นมาอีก และขณะเดียวกันนี้ บู๋ซ้งคนครองน้ำใจงาม หาได้ปริปากโต้ตอบพี่สะใภ้ให้ยืดยาวความออกไปไม่ นั่งก้มหน้างุดอยู่ ดูจะเอาใจใส่กับถ่านไฟในเตาผิงเสียมากกว่าหญิงคนเป็นเมียพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นชายอันนางปลงใจสวาทนั่งนิ่งเป็นเนื้ออยู่เช่นนั้น บัวคำก็แสร้งเอื้อมมือไปกุมไหล่ของเขาไว้แต่เบา ๆ แล้วนางก็กระชับหนักเสมือนหนึ่งจะปลุกให้เขาได้สำนึกขึ้นมา แต่ว่าบู๋ซ้งคงนั่งเฉยทำเหมือนมิรู้ว่ามีใครอยู่ด้วยในห้องนั้น
“ตายจริง ทำไมน้องใส่เสื้อบางอย่างนี้เล่า ก็หนาวแย่ซิ” โฉมบัวคำแม่ฉอเลาะ พร้อมกับดึงเอาเหล็กเขี่ยถ่านที่อยู่ในมือของบู๋ซ้งมาถือไว้ “ถ้าน้องมิอาจทำอะไรกับเหล็กเขี่ยถ่านในมือนี้ได้แล้ว ก็เอามาให้เถอะพี่จะทำให้น้องจะได้รับความอบอุ่นจากพี่ เหมือนที่จะได้รับจากเตาผิงเช่นกัน” ว่าแล้วนางก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ แล้วส่งที่เหลือติดก้นจอกให้น้องสามี นัยน์ตานางปรือเยิ้มและสุ้มเสียงก็สั่นพร่า บัวคำบอกเขาว่า “ดื่มเสียซิ น้องชายคนดีของพี่ ถ้าหากน้องยังจะได้มีแก่ใจนึกถึงพี่”
จึงสุดที่จะทนอีกต่อไปไหว บู๋ซ้งคนทระนงในเกียรติศักดิ์ลุกถลันพรวดขึ้นฉับพลัน เขากระชากจอกเหล้าจากมือพี่สะใภ้สาดโครมลงไปบนพื้นห้อง และด้วยความโกรธที่พลุ่งทับท้นขึ้นมาในทรวงอก บู๋ซ้งยกกำปั้นฟาดอุ้งมือตัวเองอยู่ฉาด ๆ ราวกับจงใจจะขยี้นางผู้หญิงคนนี้ให้ย่อยยับเป็นผุยผงไปต่อหน้าเสียบัดนั้น เขาตะโกนก้องห้องด้วยความเคียดแค้น “พอที–พอทีมันมากไปแล้วพี่ ฉันยังเป็นคนที่หยิ่งต่อความเป็นคนของฉันอยู่ จะบอกให้ ฉันไม่ใช่เป็นสัตว์ ฉันยืดหยัดอยู่ทุกวันนี้ก็ด้วยกำลังขาของฉันเองรู้ไว้เสีย ฉันรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร คนอย่างฉันไม่ยอมตกเป็นทาสอารมณ์ง่ายๆ ดอก ฉันยังไม่บัดซบพอเหมือนอย่างที่อาซ้อเข้าใจ หยุดเสียทีเถอะ อย่ามาทำจริตมารยาบ้า ๆ บอ ๆ กับฉันเลย ฉันทนไม่ไหวแล้ว ขืนทำเป็นหญ้าล้อลมกับฉันเช่นนี้อีกละก็ ฮึ่ม–ถึงนัยน์ตาฉันจะมองเห็นพี่เป็นเมียของพี่ฉันก็จริง แต่กำปั้นของฉันนี้มันไม่ยอมใครง่ายๆ.”
แหลกสลายยับเยินลงสิ้นแล้ว แผนการสวาทที่บัวคำได้วาดไว้อย่างสุดแสนหวาน ด้วยซ้ำนางยังแสนจะทั้งเจ็บและทั้งอาย ปิ้มว่าจะแทรกแผ่นดินหนี ก็น่าจะเห็นใจนางอยู่มิใช่หรือ สตรีลงสิ้นความละอายแล้วก็หาใช่สตรีไม่ นางเงียบและงันไปต่อคำด่าอันสาดเสียเทเสียของคนผู้เป็นน้องชายของสามี นางสุดรู้ที่จะหาวาจาใดมากล่าวตอบโต้ ได้แต่ร้องเรียกสาวใช้ให้ขึ้นมาทำความสะอาดและเก็บกวาดตู้โต๊ะที่ล้มระเนระนาดให้เรียบร้อย.
แล้วในที่สุดพัวกิมเน้ยก็เอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักด้วยสำเนียงอันแหบละห้อยชวนสมเพชต่อบู๋ซ้ง ว่าทั้งหมดที่นางแสดงไปนั้น คิดเพียงจะล้อเล่นฉันพี่น้องดอก ไม่คิดว่าเขาจะถือเอาเป็นจริงเป็นจังและรุนแรงต่อนางถึงเพียงนี้ แต่เดี๋ยวนี้นางรู้แล้วว่า เขาแสนจะใจดำอำมหิตหยาบช้าเกินผู้เกินคนทั้งหลายเขา. พูดแล้วนางก็ผลุนผลันเข้าครัวไป.
โอ, ความหฤหรรษ์เอย ช่างไม่ผิดอะไรกับดอกไม้ร่วง
มีแต่จะลอยลิ่วละล่องไปตามแรงแห่งสายน้ำไหล
และกระแสแห่งธารเล่า ก็มิได้คิดจะปรานี;
จะระแวดระวังกลีบเจ้าแม้สักน้อยก็ไม่มี
บุปผาหอมเอย, ในที่สุดเจ้าก็ต้องหลุดลิ่วไป
สู่ปลักตมในที่สุด.
บัวคำสำนึกได้เป็นอย่างดีแล้วว่า บัดนี้ความงามอันที่ว่าทรงเสน่ห์เย้ายวนตายิ่งของนาง ซึ่งใครต่อใครพากันกล่าวขวัญถึงและหรือจะได้เป็นที่ติดตาต้องใจใครต่อใครมานักต่อนักนั้น หาได้มีความหมายอันใดเลยแม้แต่น้อยไม่ สำหรับเจ้าหนุ่มผู้สร้างเกียรติประวัติของเขาขึ้นมาจากการฆ่าเสือร้ายบนเขาเก้งเอี่ยงผู้นี้ ซ้ำยังได้รับปฏิกิริยาตอบโต้ชนิดที่หงายออกมาอย่างไม่เป็นท่าเข้าอีก แลบู๋ซ้งเล่า เขาก็แสนจะให้ขัดเคืองเป็นยิ่งนัก ได้แต่นั่งอึ้งไม่พูดจาอยู่ภายในห้องของเขา แต่ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่มีต่อการกระทำอันแสนบัดสีของหญิงผู้เป็นพี่สะใภ้ เขาคิดไม่ตกว่าจะควรอยู่กับพี่ชายที่บ้านนี้สืบไปดีหรือไม่ จวบกระทั่งบ่ายสี่โมงเย็น บู๋ตั้วก็สะพายตะกร้าซาลาเปานึ่งกลับบ้าน เขามอมแมมด้วยผงหิมะทั้งตัว ดูเป็นที่มะลอกมะแลกอยู่ พอเขาย่างเข้าบ้าน พลันก็ประสบเข้ากับร่างเมียรัก ซึ่งนั่งกำสรดโศกปิ้มว่าน้ำตาจะหยดเป็นสายเลือด “ใครทำอะไรขัดใจเจ้าหรือ?” บู๋ตั้วถามเมียอย่างสงสัย ซึ่งนางก็ตอบทันควันว่า “ก็จะมีใครเสียอีกเล่า เจ้านะซิที่เสือกไม่เข้าเรื่อง ทำให้เราต้องพลอยได้รับผลตอบแทนอย่างสาหัสเช่นนี้ จากอ้ายคนพเนจรผู้นั้น”
“ฮะ, เรื่องอะไรกัน ทำไมรึ ใครกล้ามารังแกเจ้า ไหนบอกไปซิ”
“ใครน่ะรึ? ก็จะใครเสียอีกเล่า ถ้าผิดจากอ้ายบู๋ซ้งน้องชายแก หนอย เรารึสงสารเห็นเดินตากหิมะหนาวจนครางสั่นง่อก ๆ มา สู้อุตส่าห์หาอะไรร้อน ๆ ไปให้กินให้ดื่ม แต่พอมันเห็นว่าท่านไม่อยู่บ้านเท่านั้น ลวนลามเอากับเราเข้าทีเดียว ถามหนูเหง่งดูซิ ว่าที่เราพูดนี้ยังจะจริงเท็จแค่ไหน” บัวคำใส่ไฟน้องผัวเป็นการใหญ่.
“ฮะ!...” บู๋ตั้วอ้าปากค้าง พอได้ยินเมียใส่ความน้องชายให้ฟังเช่นนี้ “หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่เชื่อ น้องฉันไม่เลวคนถึงเพียงนี้ดอก” บู๋ตั้วรู้ดีว่า น้องของเขาเป็นคนรักเกียรติยศและมั่นอยู่ในความกตัญญู แต่เอาละว่าไปจะรับฟัง ทว่าไม่ต้องเอะอะเอ็ดตะโรให้ลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน พูดกันค่อยๆ ก็ได้ยิน ดีมิดีพวกเพื่อนบ้านรู้เรื่องเข้าก็จะหัวเราะเยาะไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ สามีปรามเมียอย่างใจเย็น แล้วเขาก็ผละจากบัวคำขึ้นไปหาน้องชายที่บนห้อง, “ซ้ง–ลงมากินข้าวกันเถอะ” แต่น้องชายเขาไม่ยอมพูดคำใดทั้งสิ้น สักครู่ก็ลุกขึ้นแต่งตัวออกจากบ้านไปเฉย ๆ
“เฮ้, จะไปไหนซ้ง?” บู๋ตั้วตะโกนถามน้องชายเสียงลั่น แต่เขามิปรารถนาตอบพี่ชายอย่างใด ก้มหน้าก้มตาพรวด ๆ ออกจากบ้านไป บู๋ตั้วจึงกลับมาบอกภรรยาว่า “ไม่รู้ซ้งมันเป็นอะไรของมัน ถามก็ไม่ตอบ ก้มหน้าก้มตาออกจากบ้านไปท่าเดียว ถ้าคงจะไปจวนผู้ว่าราชการตำบลก็ไม่รู้ มันเรื่องอะไรของมัน? อ้ายเราก็ไม่รู้เรื่องเสียด้วย”
“โธ่, แกเอ๊ย อ้ายขนมเบื้องบูด–อ้ายตุ๊กแกสกปรก ก็อาการที่เจ้าน้องชายของแกมันแสดงออกยังงี้ ยังไม่รู้อีกหรือว่าอะไรเป็นอะไร มันอายแกน่ะซิจะบอกให้ มันถึงไม่อยากอยู่เจอหน้าแก ถึงได้หาทางออกบ้านไปเสียให้พ้นหูพ้นตา คอยดูไปเดี๋ยวมันต้องให้คนมาขนของ มันอยู่ที่บ้านนี้ไม่ได้หรอกคนรูปนี้ คอยดูไปถ้าไม่เชื่อ ต่อให้แกอ้อนวอนจนปากหักก็ไม่มีวันสำเร็จ.”
“อะไรน่ะไม่อะไรดอก แต่อยู่ดีๆ เจ้าน้องชายเราเกิดมามีอันผลุนผลันขนของออกจากบ้านไปเช่นนี้ ชาวบ้านเขาไม่รู้อะไรก็จะหัวเราะเยาะเอา” บู๋ตั้วพูดเสียงอ่อยๆ.
“แกก็ดีแต่คิดข้างๆ คูๆ ยังงี้นะซี โง่เสียจนไม่มีวันจะทันผู้คนเขา ก็ถ้าเผื่อมันขืนอยู่กับเราต่อไป แล้ววันหน้าวันหลังมันมาลวนลามเอากับเราเข้าอีกเล่า มิร้ายยิ่งไปใหญ่รึ? ชาวบ้านซิตัวดี จะยิ่งพากันหัวเราะเยาะเราหนักขึ้นไปอีก แกเห็นดีเห็นชอบกับมันก็ไปเสียด้วยกันซิ–ไปอยู่เสียกับเจ้าน้องชายแก เขียนหนังสือหย่ามาให้เราใบหนึ่งก็แล้วกัน พอแล้วเราไม่ขอเกี่ยวข้องกับพวกญาติกานาติโกอะไรของแกอีกต่อไป” โดนเข้าไม้นี้ บู๋ตั้วก็งันไป เขาจำต้องปล่อยให้แม่เจ้าประคุณสวดไปตามเรื่องตามราว และขณะที่สองสามีภรรยาชะงักการใส่หน้ายักษ์หน้ามารเข้าหากันชั่วครู่ โดยหันไปสนทนากันถึงเรื่องอื่นอยู่นั้น บู๋ซ้งก็กลับมา คราวนี้เขามีทหารรับใช้แบกคานหามตามหลังมาด้วยคนหนึ่ง และก็โดยวิธีนิ่งไม่ยอมพูดจาอย่างเก่า เขาพาทหารรับใช้ตรงดิ่งขึ้นห้องไปเลย เมื่อดูแลให้ทหารเก็บข้าวของส่วนตัวที่เป็นสมบัติของเขาจนหมดสิ้นแล้วก็กลับโดยไม่พูดไม่จาเช่นเคยอีก ทำเอาคนผู้พี่งงไปหมด เขาถามน้องชายว่า “ซ้งนี่มันเรื่องอะไรกัน อยู่ๆ เจ้าก็อพยพไปเสียจากบ้านเช่นนี้?” ซึ่งคนผู้น้องก็พูดตัดบทเสียว่า “เอาเถอะอย่าพึ่งให้ฉันพูดอะไรเลย ดีไม่ดีจะกลายเป็นว่าฉันใส่ร้ายพี่สะใภ้ ปล่อยให้ฉันไปของฉันเงียบ ๆ เช่นนี้แหละดีแล้ว” พี่ชายก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้น้องชายคนเดียวของเขากลับไปอยู่ที่เดิมตามความต้องการ ซึ่งตลอดเวลาที่สองบู๋พี่น้องเจรจากันอยู่นี้ บัวคำได้เฝ้าสังเกตเหตุการณ์อยู่สิ้น แล้วนางก็ปรารภขึ้นพอได้ยินว่า “จริงอย่างคำที่เขาว่านะ ลูกหนี้ที่เลวที่สุดก็คือญาติพี่น้องของเราเอง เจ้าคนจรจัดคนนี้ก็เช่นกัน ดูหรือแทนที่จะช่วยคิดเกื้อกูลพี่ชายพี่สะใภ้ ชะ–ชะ พอได้ดีมีวาสนาขึ้น กลับดูถูกเหยียดหยามพี่น้องตัวเองเสียนี่ ดูซิว่ามันร้ายกาจเพียงไร เท่านี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นได้ดีแล้วมิใช่หรือ ถึงการกระทำที่แล้ว ๆ มาของมัน น่าขอบคุณเทพยดาฟ้าดินเหลือเกินแล้วที่มันออกไปจากบ้านเราเสียได้ ไม่ขอพบเห็นคนชั่วช้าเช่นนี้อีก.”
บู๋ตั้วสุดรู้ที่จะตอบโต้กับภรรยาว่าประการใด อันใจจริงของเขานั้น เขาเชื่อเหลือเกินว่าน้องชายของเขาหาได้มีความชั่วช้าสารเลวอย่างที่ภรรยาเขากล่าวหาไม่แน่ ๆ.
ฝ่ายบู๋ซ้ง เมื่อได้อพยพออกจากบ้านพี่ชายแล้ว ก็กลับมาพำนักอยู่ที่เดิมเป็นปกติสุขสืบมา และบู๋ตั้วเล่าก็เฝ้าครุ่นคิดถึงน้องชายของเขาอยู่มิเว้นวาย ใจหนึ่งอยากจะได้มาเยี่ยมเยียนถามสารทุกข์สุกดิบคนผู้น้องดูบ้าง แต่ใจหนึ่งก็ขยาดนางเมีย เพราะนางประกาศิตไว้เป็นคำขาด เลยจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้พบปะกับบู๋ซ้ง, ครั้นอยู่มาได้ประมาณครึ่งเดือนเศษ นับแต่ที่บู๋ซ้งออกจากบ้านพี่ชายมา วันหนึ่งเขาได้รับคำสั่งจากผู้ว่าการตำบลให้ไปพบ ณ ที่ว่าการ และขอร้องให้เขาช่วยรับหน้าที่ควบคุมภาษีอากรที่เก็บได้จากราษฎรในหมู่บ้านไปส่งมอบให้แก่จิว (Chu) ญาติสนิทของเขาผู้หนึ่งซึ่งทำราชการอยู่ในเมืองหลวง มีตำแหน่งเป็นสมุหพระราชวัง (Commandment of palace) และภาษีส่วนที่เขาจะมอบหมายให้บู๋ซ้งคุมไปคราวนี้ ก็คือผลงานที่แสดงออกถึงความสามารถของเขานั่นเอง ว่ายังจะเข้มแข็งเพียงไรในชั่วเวลาสองปีที่ได้มาปกครองหมู่บ้านเช็งฮ้อนี้ ภาษีอากรจำนวนที่ไม่ใช่น้อยนี้แหละ เป็นเสมือนกุญแจทองที่จะนำเขาไปสู่ความรุ่งโรจน์ในชีวิตราชการ ท่านผู้ว่าการฯ ได้กล่าวหว่านล้อมสรรเสริญบู๋ซ้งนานัปการ ว่ากันตั้งแต่ความเป็นบุคคลอันคู่ควรแก่ภาระราชการชิ้นนี้ และสรุปเอาที่ว่าเขาหาเห็นใครไม่แล้วที่จะมอบความไว้วางใจให้เท่ากับท่านผู้’กองบู๋ซ้งคนนี้ ซึ่งบู๋ซ้งก็ยินดีที่จะรับช่วงใช้ปฏิบัติภารกิจอันนี้ด้วยความเต็มใจยิ่ง ผู้ว่าการฯ มีความยินดีมาก รินสุราให้บู๋ซ้งดื่มเป็นเกียรติยศถึงสามจอก ทั้งอนุญาตให้เขากลับบ้านเพื่อเตรียมตัวได้ บู๋ซ้งรีบกลับมาหาพี่ชายทันที เขามีทหารรับใช้ถือกระปุกเหล้าและตะกร้าใส่อาหารหวานคาวตามมาด้วยพร้อม เมื่อมาถึงบ้านปรากฏว่าพี่ชายเขายังไม่กลับ บู๋ซ้งก็ไม่ยอมเข้าบ้าน สู้ยืนคอยพี่ชายอยู่ที่หน้าประตูนั่นเอง.
ข้างพี่สะใภ้สาวเห็นน้องผัวหวนกลับมาบ้าน ไม่รู้หนเหนือหนใต้คิดว่าคงมาด้วยกิจธุระในการพรรค์ยังงั้นเข้าไว้ก่อน นึกกระหยิ่มว่าที่เจ้าหนุ่มคงนึกพิศวาสนางอยู่บ้างเป็นแน่ ชะดีชะร้ายคงจะแอบมาหานาง เพราะมิเช่นนั้นเรื่องอะไรเขาถึงจะย้อนกลับมาอีก ดูท่าทางก็เข้าทีอยู่ เพราะหิ้วเหล้าหิ้วข้าวมาอีนุงตุงนัง นางคิดสะระตะในใจแล้วก็รีบกระวีกระวาดลงมาจากเล่าเต๊ง แต่ไม่ลืมที่จะแต่งเนื้อแต่งตัวเสียก่อนให้เฉิดฉาย นางผัดหน้าเสียจนนวลเช้ง ผมรึก็ขมวดมุ่นไว้เป็นลอนงาม นางสวมเสื้อกาวน์สีสดอย่างสวยเก๋ พอเห็นหน้าบู๋ซ้ง บัวคำก็แป้นยิ้มเข้าให้ทันที “สวัสดีจ้ะน้อง ต้องยกโทษให้พี่ด้วยนะ ที่ปล่อยให้ยืนคอยเสียย่ำแย่ยังงี้ ก็ทำไมน้องถึงต้องวุ่นวายซื้อข้าวซื้อของมาให้เปลืองเงินทองมากมายไปเช่นนี้เล่า ไม่จำเป็นเลยนี่นะ เข้ามาในบ้านซิ” พี่สะใภ้จีบปากจีบคอใส่คะแนนเสียจนฟังแทบไม่ทัน
“ไม่มีอะไรดอกอาซ้อ ฉันจะมาพูดธุระกับพี่บู๋ตั้วเขาสักสองสามคำเท่านั้นเอง” บู๋ซ้งตอบพี่สะใภ้อย่างมะนาวไม่มีน้ำ
แล้วเขาก็ยืนคอยอยู่ที่นอกบ้าน จนกระทั่งบู๋ตั้วกลับมาถึง สองพี่น้องจึงชวนกันขึ้นไปนั่งสนทนาที่ห้องชั้นบน บู๋ซ้งเชิญให้พี่ชายกับพี่สะใภ้นั่งคนละฟากโต๊ะกับเขา ตัวเองยกเอาม้าเตี้ยตัวหนึ่งมานั่งลงตรงหน้าผัวเมียทั้งคู่ เสียงเอะอะ ๆ ของทหารรับใช้ดังลั่นขึ้นมาจากห้องครัวชั้นล่าง สักครู่ทหารก็นำเอาเหล้ายาปลาปิ้งขึ้นมาเทียบเป็นที่พร้อมมูลอยู่ และระหว่างที่รับประทานอาหารอยู่ด้วยกันนี้เอง บัวคำคงเฝ้าแต่จดๆ จ้องๆ คอยสบตาคนอันเป็นน้องสามีตลอดเวลา แทบว่าจะมิเป็นอันกิน แต่บู๋ซ้งแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ก้มหน้าก้มตากินเอาๆ ราวกับว่าหิวโหยเสียเต็มประดา เมื่ออิ่มหนำสำราญดีแล้ว บู๋ซ้งก็เริ่มเจรจากับพี่ทั้งสองอย่างเป็นงานเป็นการว่า
บัดนี้เขาได้รับบัญชาจากผู้ว่าการตำบล ให้คุมส่วยสาอากรไปส่งยังเมืองหลวงภาคตะวันออกในวันพรุ่งนี้ กว่าจะได้กลับก็เห็นจะอยู่ในราวสองเดือนเป็นอย่างช้า เขาจึงอยากจะเตือนอะไรพี่ชายไว้บ้างคือว่า ปกติพี่ชายของเขาน่ะ เป็นคนค่อนข้างนุ่มนวลและมีนิสัยสุขุมเยือกเย็น เป็นคนไม่อยากเอาเรื่องเอาราวกับใคร แล้วก็ไม่คิดจะหาเรื่องกะใครด้วย ทว่าเขาเกรงไปว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่นี้ เพื่อนบ้านจะสิ้นที่เกรงใจ และจะยั่วเย้าหยันหยามเอากับพี่เขาเข้าอีก หรือบางทีอาจถึงกับลอบดักทำร้ายเอาก็ได้ จึงขอเสียที อย่าให้พี่ชายเขาได้นำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับเรื่องร้อนหูร้อนใจเหล่านั้น มิว่าผู้ใดใครไหนทั้งสิ้น สะกดอกสะกดใจรอไว้ให้เขากลับมาเสียก่อน แล้วเขาจะจัดการคิดบัญชีกับผู้นั้นเอง และยิ่งไปกว่านั้น เขาว่าถ้าตัวเขาเป็นพี่ เรื่องขายขนมนี่ก็เหมือนกันเขาก็จะทำขายแต่พอควร คือแทนที่จะขายตั้งสิบกระจาด ก็จะลดมาขายเสียเพียงหกกระจาด เพราะจะได้ไม่ต้องออกไปขายแต่เช้ามืดและก็จะได้ไม่ต้องกลับมาจนค่ำมืดดึกดื่นอีกด้วย เพราะจะเป็นการทิ้งบ้านทิ้งช่องนานเกินสมควรไป อีกประการก็คือ อย่าบังควรร่วมวงกินเหล้าเมายากับเพื่อนกับฝูงที่ไหนที่ใดเป็นอันขาด รีบกลับบ้านกลับช่องแต่วันๆ เอาม่านมู่ลี่ลงเสียอย่าให้ประเจิดประเจ้อ แล้วก็ปิดประตูหน้าต่างเสียให้มิดชิด เพื่อขโมยขโจรมันจะได้ไม่กล้าเข้ามาลักล้วง ถ้าพี่ปฏิบัติได้ดังเขาเตือนให้ฟังนี้ ก็เชื่อว่าพี่จะคงไม่มีเรื่องมีราวกับใคร ๆ เขาแน่นอน เสร็จแล้วบู๋ซ้งก็ชวนพี่ชายดื่ม บู๋ตั้วฟังน้องชายตักเตือนเห็นเป็นที่เข้าหลักเข้าเกณฑ์อยู่ก็นิ่งนั่งรับฟังด้วยความเชื่อถือ พอคนผู้น้องชวนดื่ม เขาก็ยกเหล้าขึ้นดื่มจนคว่ำจอกไปเลย แล้วก็พูดแก่น้องว่า “ที่น้องเตือนมานั้นเป็นการถูกต้องทุกประการ ดีแล้วพี่จะปฏิบัติตามที่น้องสั่ง” เขาตกปากรับคำคนผู้น้องเป็นมั่นเหมาะ บู๋ซ้งก็ยื่นเหล้าจอกที่สองให้แก่พี่สะใภ้ พร้อมกับพูดว่า “ดื่มเสียซิพี่ น้องอยากจะพูดอะไรกับพี่หญิงสักอย่าง คือว่าน้องรู้ และรู้มานานแล้วว่า พี่น่ะเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยค่อนข้างจะเป็นคนไหวต่ออารมณ์ง่ายไปหน่อย ซึ่งเอาละอย่าให้ต้องพูดมากความไปเลย พี่พิจารณาเอาเองก็แล้วกันว่า คนอย่างพี่ชายฉันน่ะเป็นคนดีแค่ไหน ไม่เคยได้มีปากมีเสียงกับใครด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้วซื่อเสียจนเกือบจะเรียกว่าเซ่อก็ได้ แล้วก็แสนที่จะไว้วางใจพี่ท่าน ก็อย่างคำพังเพยบุราณๆ ที่เขาว่าไว้นั่นแหละพี่ ‘ข้างนอกขรุขระข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง’ (Simple and solid is worth more than tinsel and empty show.) เพราะฉะนั้น ฉันเห็นว่าพี่ควรจะได้เอาใจใส่สามีของพี่บ้าง อย่างน้อยก็ดูแลบ้านช่องให้เป็นที่น่าอยู่น่าชม พี่ตั้วแกจะได้หาที่ติที่ว่าไม่ได้ เป็นการป้องกันไว้เสียก่อนดีกว่าแก่ อย่างสุภาษิตที่เขาว่าไว้ ‘ล้อมรั้วให้แน่นหนา แล้วหมามันก็จะเข้ามาไม่ได้’ (A fence must be strong and sturdy, then no stray dog can enter.)”
พอบู๋ซ้งเทศนากัณฑ์ยาวตามประสาคนซื่ออย่างชนิดจี้หัวใจสาวจบ บัวคำก็ลุกถลันขึ้นยืนชี้หน้าทันที––เปล่า ไม่ใช่ชี้หน้าบู๋ซ้ง ผู้รับเคราะห์โทษถึงถูกด่าทอในเรื่องนี้คือ บู๋ตั้วสามีของนางเอง เลือดขึ้นหน้าบัวคำอู้ เนื้อตัวปากคอสั่นไปหมด ก็จะไม่ให้ปากคอสั่นไหวหรือ? เล่นแฉโพยความลับคับอกของลูกผู้หญิงถึงปานนี้ แล้วต่อหน้าธารกำนัลเสียด้วย “ว่าไงมึงอ้ายเตี้ย, มึงนะมึง ฟังซิฟังอ้ายน้องชายมึงสบประมาทกู นี่ดีว่ากูเป็นผู้หญิงนะจะบอกให้–มึงเห็นว่ากูเลวกว่าคนของมึงงั้นรึอ้ายงั่ง?” อย่าลืมนะว่ากูเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายของมึง ฮึ, ดูกูเสียบ้าง กูก็มีดีเหมือนกัน กูนี่แหละสามารถพอที่จะอุ้มมึงด้วยแรงกำปั้นของกู มึงมา–มาซิ ตะลุยมา–ตะลุยขึ้นมาบนอกอีบัวคำนี่แหละ–มา–ย่ำขึ้นมาไม่ว่าช้างว่าม้าบนตัวกูนี่แหละ หน่อยเห็นกูเป็นอีคางคกที่กินแต่น้ำหนองจนโงหัวไม่ขึ้นหรือไง ถุย, มึงดูเอาเองว่าตั้งแต่กูอยู่กินกับมึงมา มดสักตัวเคยได้ขึ้นกะไดบ้านหรือไม่ หนอยอ้ายน้องมึงมาพูดทำไมกัน ยังกับว่ากูไม่รู้เท่า หมาละ–รั้วละ โธ่, อ้ายเด็กวานซืน ไม่ต้องมาตีสำนวนสั่งสอนกูดอกโว้ย, เก็บเสียทีเถอะอ้ายเรื่องโคมลอยของมึงน่ะ ชะชะ กระเบื้องตกมันต้องโดนอะไรสักอย่าง ไม่มีวันตกแล้วไม่กระทบอะไรดอก จำไว้”
ซึ่งตลอดเวลาที่นางแจ๊ด ๆ เข้าใส่ราวกับประทัดแตกนี้ บู๋ซ้งฟังแล้วให้รู้สึกขบขันเสียเต็มประดา เขาย้อนถามพี่สะใภ้ซ้ำอีกว่า “อ้าว, นี่พี่ก็รู้สึกอยู่ดีแล้วสิว่า พี่จะต้องประพฤติตัวและปฏิบัติตัวเช่นใด บ้านช่องถึงจะแลดูเป็นที่น่าอยู่น่าผาสุกใจ ก็ดีแล้วนี่ แต่ว่าอย่างไรเสียละก็อย่าลืมเอาใจใส่สอดส่องการบ้านการเรือนบ้างก็แล้วกัน มาเถอะ–งั้นเรามาดื่มฉลองความเข้าใจอันถูกต้องต่อกันเสียอีกคนละจอกเป็นไงพี่” แต่บัวคำโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแล้ว จึงอย่าพักไปพูดดีกับนางเสียให้ยากเลย นางเหวี่ยงจอกเหล้ากระเด็นไปทางหนึ่ง แล้วก็ผลุนผลันวิ่งลงส้นโครมๆ ไปข้างล่าง และก่อนแต่จะลับตัวนางได้ตะโกนฝาก “คำหวานซึ้ง” ไว้ให้แก่บู๋ซ้งอย่างถึงใจอีกครั้ง.
“ที่เจ้าพูด ๆ มานั้น จริงอยู่ฟังดูก็เข้าหลักเข้าเกณฑ์ดี แต่ทำไมเจ้าไม่คิดให้เข้าหลักเข้าเกณฑ์เสียบ้างเล่า ว่าคนที่เป็นเมียของพี่ชายเจ้านั้น เจ้าจำจะต้องให้ความเคารพนับถือเขาเสมือนแม่บังเกิดเกล้าของเจ้าเช่นกัน เมื่อเราแต่งงานกับพี่เจ้า เราไม่เคยรู้เคยเห็นมาเลยว่าพี่เจ้ายังจะได้มีน้องมีนุ่งอยู่ที่ไหนอีกบ้าง ใครล่ะจะอาจตรัสรู้ไปได้ว่า เจ้าเป็นพี่เป็นน้องสนิทชิดเชื้อกันแค่ไหน? ทว่าด้วยประการทั้งปวง ข้าไม่ปรารถนาที่จะเห็นเจ้ามาทำโอหังวางโตในบ้านนี้ โดยการเที่ยวได้ใช้วาจารุกรานถากถางอย่างที่เจ้ากำลังกระทำอยู่.”
แล้วบัวคำก็วิ่งลงบันไดไปอย่างเคียดแค้นแสนสาหัสในหัวใจ ถูกแล้ว มันเป็นความเคียดแค้นอันแสนสาหัสที่นางได้รับอย่างคาดไม่ถึง จากคนผู้เป็นน้องสามีของนางเอง ทว่าเป็นเหตุการณ์ที่สาสมกันอยู่แล้วมิใช่หรือ? กับพฤติการณ์ของนาง––พิจารณาเถิดท่านที่รัก นี่ละมารยาหญิงอันพระอาจารย์เจ้าแต่เก่าก่อนท่านได้อ้างไว้ว่ามีถึงห้าร้อยเล่มเกวียน.
เอาละ, เราจะได้จบตอน “มารยาพี่สะใภ้” ลงเสียที ทั้งนี้ขอฝากคำพิลาปของนางงามขณะที่เธอวิ่งลงบันไดไปไว้ดังนี้.
มิไยว่า ผู้ใดใครก็ตาม จะเย้ยหยันเยาะหยามประณามนาง แม้ด้วยถ้อยคำอันระคายหู
และหรือจะเมตตาจิตตักเตือนนางด้วยมธุรสวาจา อันชื่นชูสักปานใดก็ตามที,
ฉันใดฟองคลื่นที่ป่วนปั่นอยู่ด้วยแรงพายุโหม
ฉันนั้นคือความพิโรธแห่งนางที่บังเกิด.
อันใดเล่าที่เกิดขึ้นต่อนาง?
ก็ความอับอายขายหน้าที่แทบว่าจะต้องแทรกแผ่นดินหนีน่ะซี!
ซึ่งทั้งนี้ ก็เนื่องมาแต่เจ้าน้องผัวผู้ทระนงคนนั้นเอง
ความประสงค์ของนางเวลานี้ จึงมีแต่อย่างเดียวคือ––ความตาย!
----------------------------