บู๋ซ้งอาละวาด

ครั้นถึงวันต้นเดือนแปด ซึ่งเป็นเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง ซุงปู่โตเท้าบู๋ซ้งกลับมาถึงตำบลเช็งฮ้อ เขาได้ไปรายงานตัวต่อท่านผู้ว่าการตำบลทันทีที่มา และหลังจากท่านผู้ว่าการฯ ได้แสดงความชื่นชมยินดีในผลงานที่บู๋ซ้งได้ปฏิบัติลุล่วงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้มอบเงินรางวัลให้แก่ท่านผู้กองตระเวนคนเอาราชการที่ผู้นี้สิบตำลึง ครั้นแล้วบู๋ซ้งก็ลาผู้ว่าการฯ กลับมายังที่พักของเขา อาบน้ำอาบท่าแต่งเนื้อแต่งตัวโอ่อ่าสมฐานะนายทหารชั้นผู้บังคับกองพิทักษ์แว่นแคว้น แล้วก็ตรงดิ่งมาบ้านพี่ชายทันที.

แลข่าวกลับของบู๋ซ้งครั้งนั้น ใช่ว่าจะเงียบเชียบเสียเมื่อไหร่ เพราะใคร ๆ ก็รู้จักบุรุษผู้กล้าหาญคนอันชกเสือตายผู้นี้ดี ดังนั้นบรรดาเพื่อนบ้านร้านถิ่นแถวถนนหินม่วงต่างก็ประหวั่นพรั่นพรึงไปตามกัน ต้นฉบับภาษาอังกฤษได้กล่าวขวัญถึงบรรดาชาวบ้านที่โจษจันเกี่ยวด้วยการกลับมาของบู๋ซ้งครั้งนี้ไว้น่ากลัวนัก ดังนี้.–

“Alas, now there’ll be a family catastrophe! The star of ill omen is visible again, and there is no way of avoiding it!”–“ฉิบหายกันละ ความวิบัติมาถึงแล้วทีนี้! ลางของความวินาศเกิดอีกครั้งละเรา ไม่มีทางจะหลบเลี่ยงแน่ ๆ แล้วทีนี้!”

เป็นความจริงที่ว่า บรรดาเพื่อนบ้านเหล่านั้นรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงในเหตุการณ์อันที่จะบังเกิดขึ้นเสียเหลือเกิน เขาหลับตามองเห็นไปว่า ผู้พิชิตเสือร้าย น้องชายบู๋ตั้วคนนี้คือพระกาฬก็ไม่ปาน จึงพอรู้ข่าวว่าเขามาถึงเช็งฮ้อแล้วเข้าเท่านั้น แต่ละคนๆ ถึงกับเหงื่อแตกโซมหน้า (cold sweat to drip from their brows.–เหงื่อเยิ้มขนคิ้ว! ตามสำนวนจีนจากต้นฉบับเดิม).

ข้างบู๋ซ้งเมื่อมาถึงบ้านของพี่ชายแล้ว เขาก็ตรงเข้าไปเลิกมู่ลี่หน้าประตูบ้าน และเปิดประตูห้องเดินเข้าไปข้างใน ส่งเสียงเรียกหาพี่ชายลั่นไปหมดทั้งบ้าน “พี่–พี่บู๋ตั้ว” เขาเรียกอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเสียงพี่ชายขานตอบ บู๋ซ้งจึงลองเปลี่ยนหันมาเรียกพี่สะใภ้แทนบ้าง เสียง อาซ้อ–อาซ้อ ให้ลั่นไปหมดทั้งบ้านอีก ซึ่งก็คงมีผลเช่นเดียวกัน เขานึกรำพึงในใจว่าชะรอยหูเราจะหนวกไปเสียแล้วกระมัง เพราะตั้งแต่เรียกมา มิได้ยินเสียงขานตอบจากใครเลยแต่สักคน.

ก็พอดีเหลือบไปเห็นเหง่งยี้ หลานสาวของเขา กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ที่บนระเบียงบ้านเข้า จึงเรียกขึ้น พอเหง่งยี้ได้ยินเสียงคนเรียก แลจำได้ว่าเป็นอาผู้ชาย พลันแม่หนูก็สะอึกสะอื้นตื้นตันคอหอย พูดจาอันใดไม่ออกขึ้นมาทันที ค่าที่จู่ๆ อาผู้ชายมาถึงบ้านอย่างไม่นึกฝัน ยิ่งพอได้ยินอาถามถึงพ่อและนางแม่เลี้ยงเข้าอีก เหง่งยี้ก็เลยร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ และมิทันที่เจ้าจะมีกะจิตกะใจพูดจาอันใดแก่อา ก็พอดียายเห่งคนเจ้ากี้เจ้าการเหลือบมาเห็นเข้า แกจึงรีบลุกพรวดพราดออกมาจากร้านทันที ทั้งนี้เพราะแกกลัวไปว่า เดี๋ยวเจ้าหนูเหง่งยี้จะเล่าอะไรต่ออะไรมากมายไป ซึ่งจะพลอยพากันฉิบหายไปหมดเปล่า ๆ ปลี้ ๆ.

“ท่านบู๋ตั้วถึงแก่กรรมเสียแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนสี่ ท่านโตเท้าพึ่งจะมาถึงดอกหรือนี่?” หญิงชราเริ่มเอาน้ำเย็นเข้าลูบ.

“อ้าว ก็แล้วศพพี่ฉันอยู่ที่ไหนเล่า? แล้วพี่สะใภ้เขาทำไมถึงไม่อยู่บ้านล่ะ?” บู๋ซ้งซักหญิงชราขึ้นทันที.

“เดี๋ยวก่อน ท่านบู๋ซ้ง ค่อยพูดค่อยจากันก่อน นั่งลุกเสียให้เรียบร้อยเถิด ยายจะเล่าให้ฟัง” แล้วยายเห่งก็สาธยายเรื่องโกหกตอแหลให้แก่ท่านซุงปู่โตเท้าบู๋ซ้งฟังว่า บู๋ตั้วเป็นโรคเจ็บในกระเพาะตาย และตายไปอย่างกะทันหันท่ามกลางความอาลัยรักของเพื่อนบ้าน ทั้งนี้เพราะอาการเขาหนักหนาเหลือที่จะเยียวยาได้.

เมื่อน้องชายบู๋ตั้วได้ฟังยายเฒ่าเจ้าเล่ห์เล่าจบลงแล้ว เขาก็ให้มีความสงสัยเป็นกำลัง “แปลกเหลือเกิน” เขาคิดในใจ “พี่แกไปโดนอะไรของแกมาหนอ ถึงได้เจ็บในกระเพาะ ก็แกไม่เคยเป็นโรคเช่นนี้มาก่อนเลย ชักสงสัยเสียแล้วละยาย!”

“โธ่ ถามได้ท่านโตเท้า ก็ใครบ้างเล่าที่รู้วันตายของตัวเอง ทุกคนต่างก็มีความตายเป็นของตนด้วยกันทั้งนั้นแหละท่าน ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได้ดอก โชคเคราะห์และซาตากรรมเป็นของคู่กัน เหมือนกับกลางวันและกลางคืนแหละท่านเอ๋ย ถึงตัวท่านผู้’กองเองก็เถอะ เห็นสุขกายสบายใจดี ๆ อยู่วันนี้พรุ่งนี้ ปุบปับอาจตายลงในวันในพรุ่งก็ได้จะว่าอย่างไร ไม่มีใครอาจฝืนพรหมลิขิตได้ดอก เชื่อยายเถอะ––”

แล้วต่อคำถามที่ว่า พี่สะใภ้เขาหายหน้าไปไหน ไม่อยู่บ้านนั้น ยายเห่งก็จาระไนให้ฟังว่า เมื่อระยะที่พี่ชายของเขาล้มเจ็บลงนั้น พูดก็ได้ว่าแทบจะไม่มีเงินติดบ้านเลย พัวกิมเน้ยหรือนางก็อยู่ในฐานะยอบแยบเหมือนปูก้ามหัก ยิ่งบู๋ตั้วมาถึงแก่กรรมลงปุบปับเช่นนี้ นางก็มิรู้จะเอาเงินเอาทองมาแต่ไหน เพื่อจัดทำฮวงซุ้ยฝังศพให้สามีของนางได้ หากมีเพื่อนบ้านผู้มั่งคั่งผู้หนึ่งกรุณาออกเงินออกทองช่วยเหลือซื้อโลงมาให้ ก็ตรองดูเถิด นางจะเอาปัญญาที่ไหนมาทำบุญกะเขาได้ อย่างดีที่นางสามารถก็ชั่วตั้งศพไว้ที่บ้านครบสามวันแล้วก็เผา.

“ก็แล้วเดี๋ยวนี้อาซ้อของฉันไปอยู่เสียที่ไหนล่ะยาย?”

“อ้าว ท่านโตเท้าอย่าพึ่งลืมเสียซิว่า พี่สะใภ้ท่านน่ะนางยังสาวยังแส้อยู่ ใช่ว่าจะแก่เฒ่าอันใดนักก็หาไม่ แล้วยิ่งต้องมาประสบความโศกเศร้าว้าเหว่ขาดสามีอันเป็นที่พึ่งไปเช่นนี้อีก นางจะอยู่ได้อย่างไรตัวคนเดียว คิดดูซิ พอนางไว้ทุกข์ให้พี่ท่านได้ครบร้อยวันแล้ว นางก็แต่งงานไปกับชายผู้มีอันจะกินคนหนึ่งตามคำแนะนำของมารดา อ้อ นางได้ฝากลูกสาวของบู๋ตั้วไว้กับยายให้ช่วยเลี้ยงดู เมื่อท่านกลับมาก็ดีแล้ว ยายจะได้พ้นภาระเสียที เรื่องของเรื่องก็มีเท่าที่ยายรู้มานี่แหละ.”

บู๋ซ้งถอนหายใจอย่างครุ่นคิด หลังแต่ที่ได้ฟังยายเห่งเล่าเรื่องจบลง เขาผละจากหญิงชรามุ่งหน้ากลับไปยังที่พักโดยมิได้พูดจาแต่อย่างใด เมื่อกลับมาถึงแล้วก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เลือกหาที่ปุปะซอมซ่อมาแต่งเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้พี่ชาย แล้วก็ใช้ให้ทหารรับใช้ออกไปหาซื้อผ้าป่านทอหยาบ ๆ สำหรับทำเสื้อคลุมไว้ทุกข์มาให้ พร้อมทั้งบรรดาเครื่องบูชาเกี่ยวกับการเซ่นสรวงบูชาวิญญาณคนตายโดยพร้อมมูล เมื่อทหารรับใช้ซื้อหาสรรพบรรดาของต้องการมาให้ครบถ้วนแล้ว เขาก็รวบรวมหอบหิ้วบรรดาสัมภาระข้าวของต่าง ๆ มุ่งกลับไปบ้านพี่ชายอีกครั้ง จัดการตั้งโต๊ะขึ้นวางป้ายบูชาวิญญาณคนผู้พี่ใหม่ตามประเพณีครบถ้วนทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เสร็จแล้วบู๋ซ้งก็จุดธูปหอมเผากำยานหอมควันโขมงไปทั้งบ้าน.

พอตกเพลาเย็นประมาณชั่วโมงที่สิบของวัน น้องชายก็ลงมือกระทำพิธีไหว้ผีคนผู้พี่ เขาครวญคร่ำร่ำอาลัยอยู่ไปมา “พี่ของฉันเอ๋ย ฉันรู้ว่าวิญญาณของพี่ยังมิได้ไปเกิด พี่ยังคงวนเวียนอยู่ที่นี้ โอ, พี่–ในชั่วชีวิตของพี่–พี่มีก็แต่ความอาภัพคับแค้น–ถึงพี่เป็นคนอ่อนแอ–แต่พี่ก็ไม่เคยมีประทุษจิตคิดร้ายผูกพยาบาทต่อใคร น้องไม่อาจปลงใจเชื่อได้ดอกว่า พี่สิ้นชีวิตไปเพราะอาการของโรคร้าย โปรดเถิด–โปรดได้มาเข้าฝันดลใจให้น้องของพี่รู้–ว่าใครผู้ใดมันเป็นคนปองร้ายทำอันตรายแก่พี่ น้องจะแก้แค้นทดแทนเอาชีวิตมันผู้นั้นให้จงได้––”

แล้วบู๋ซ้งก็จัดการประพรมสุราเครื่องเซ่น เป็นการบอกกล่าวบนบานต่อวิญญาณของพี่ชาย เขาเผากระดาษเงิน กระดาษทอง และเครื่องกงเต๊กทั้งหลายบรรดามีอย่างสิ้นเชิง เสร็จแล้ววีรบุรุษผู้ฆ่าเสือก็นั่งร้องไห้คร่ำครวญถึงพี่ชายอยู่ดูเป็นที่น่าสังเวชสลดใจนัก แลตลอดเวลานี้ บรรดาเพื่อนบ้านเรือนเคียงทั้งหลาย ต่างมิอาจอดกลั้นความโศกเศร้าสงสารในเนื้อเคราะห์ของพี่น้องคู่นี้ได้ แต่ว่าเขาทั้งหลายอยู่ในฐานะเสมือนน้ำท่วมปาก มิอาจบอกกล่าวอันใดให้บู๋ซ้งรู้ได้ ต่างแต่นั่งมองดูการกระทำของท่านผู้บังคับกองตระเวนผู้กล้าหาญของแคว้นตาปริบ ๆ อยู่.

เมื่อบู๋ซ้งกระทำพิธีบอกกล่าววิญญาณพี่ชายเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็เรียกหลานสาวให้มาร่วมกินอาหาร พร้อมทั้งทหารรับใช้คนสนิทของเขาผู้นั้นด้วย เมื่ออิ่มหนำสำราญดีแล้ว คืนนั้นเขาก็ให้จัดปูที่นอนขึ้นสองที่ ที่หนึ่งกลางสนามหน้าบ้านสำหรับทหารรับใช้ อีกที่หนึ่งข้างในห้องสำหรับเหง่งยี้หลานสาวคนกำพร้าพ่อแม่คนนั้น ส่วนตัวเขาเองกางที่นอนสนามลงเอกเขนกอยู่ที่หน้าโต๊ะบูชาป้ายเกซิ้นของบู๋ตั้ว เขานอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาอยู่ตลอดเวลาด้วยมิอาจหลับตาลงสนิทได้ นัยน์ตาทั้งคู่เบิกโพลงเหมือนมีอะไรบางสิ่งบางอย่างอัดอั้นตันในหัวอก พูดไม่ออก บอกไม่ถูก มันแค้น–มันอาฆาต ฯลฯ สารพัดอย่างร้อนรุ่มอยู่ในหัวใจของบู๋ซ้ง เมื่อเหลียวไปดูทหารยามอีกที ก็ปรากฏว่านอนหลับกรนสบายอย่างเป็นสุขไปนานแล้ว บู๋ซ้งผลุดลุกขึ้นนั่งถอนหายใจอยู่คนเดียวเงียบๆ ดูไปรอบๆ บริเวณขณะนั้น ทุกสิ่งล้วนตกอยู่ในความเงียบสงบ.

แลยามนั้นเป็นราตรีดึกสงัด กำหนดเพลาประมาณเกือบเที่ยงคืน บู๋ซ้งสังเกตเห็นว่าได้มีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นที่หน้าโต๊ะบูชาวิญญาณของพี่ชายผู้ล่วงลับ เปลวไฟจากประทีปที่ลุกโพลงอยู่ดี ๆ เกิดปะทุเปลวว่อบแว่บขึ้นเบาๆ ริบหรี่ เหมือนจะดับมิดับแหล่ บู๋ซ้งเห็นเช่นนั้นก็ผลุดลุกขึ้นนั่งเต็มตัว และนึกรำพึงในใจว่า

“พี่เราเอ๋ย–ชีวิตชาตินี้ของพี่นั้นอาภัพนัก เพราะพี่เป็นคนอ่อนแอ ปกติพี่ไม่เคยมีปากเสียงกับใครเขามาก่อนเลย น้องสงสัยนักว่าคงต้องมีเลศนัยอันใดแฝงอยู่ในการตายของพี่ครั้งนี้––”

และขณะที่ท่านซุงปู่โตเท้า ตกอยู่ในภวังค์ของความคำนึงอันเลื่อนลอยนี้เอง ทันใดนั้นก็ปรากฏมีเงาลางๆ ลอยขึ้นมาจากโต๊ะวิญญาณของผู้ตาย เขารู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันทีทุกขุมขน

จะว่าเป็นมนุษย์ก็มิใช่ จะว่าเป็นเงาของผู้หนึ่งผู้ใดก็ผิดเชิง

จะว่าหมอกก็ผิดกัน จะว่ากลุ่มควันก็ผิดที,

เป็นเงาลางๆ เหมือนร่างของภูติปีศาจที่เลื่อนลอยขึ้นมา

สาปสางอับๆ ของภูติพราย

ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบในขั้วหัวใจ.

รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับว่าจะกร่อนเข้าไปถึงกระดูก.

ยิ่งเปลวประทีปโคมไฟที่ตามไว้ว่อบแว่บๆ.

ก็เหมือนยิ่งทำให้เขาผู้ตกอยู่ในความอึดอัด

รู้สึกต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำขึ้นไปอีก.

เงาวูบวาบของธงที่ปักบูชาไว้หน้าโต๊ะ

สะท้อนต้องพื้นกำแพง

เกิดเป็นเงาดำสลัวๆ ครอบคลุมอยู่เหนือโต๊ะ.

และกำบังจนมืดทึบทำให้มิอาจเห็นอะไรถนัดได้.

ทุกสิ่งตกอยู่ในภวังค์ของความเงียบสงัด.

ท่ามกลางราตรีอันมืดมน

ราวกับว่าวิญญาณของผู้ตาย

ยังคงว่ายวนเฝ้ารอคอยการแก้แค้นให้เขาอยู่

ด้วยความกระวนกระวาย––

ทำให้บู๋ซ้งก็รู้สึกเสียวสยองและขนหัวลุกชันขึ้นมา เพราะทัน ๆ กับที่กลุ่มลมเย็นยะเยือกอันอ้าววูบใหญ่ลอยผะผ่าวผ่านผิวหน้าเขาไปนั้น คลับคล้ายว่าเขาได้เห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังโผล่ขึ้นมาจากใต้โต๊ะ แล้วหูของเขาก็แว่วได้ยินไปว่า “น้องเอ๋ย พี่ถูกเขาลอบทำร้ายถึงแก่สิ้นชีวิตแล้ว.” แต่พอเขาขยับตัวเข้าไปพิจารณาให้ใกล้ชิด ร่างนั้นก็พลันหายวับไป–หายไปพร้อมกับกลุ่มลมเย็นอับๆ กลุ่มนั้น ฉับพลันบู๋ซ้งรู้สึกมัวตาหน้ามืดและโงนเงนหงายหลังล้มตึงลงไปกับผืนเสื่อ และหลังจากที่ได้พยายามรวบรวมสติอารมณ์ทบทวนความนึกคิดทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นสักครู่แล้ว เขาก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์เป็นกำลัง.

“อือ์ม แปลกดี จะว่าฝันก็ไม่ใช่ เพราะเราไม่ได้หลับ ชะรอยพี่คงมาดลใจบอกกล่าวอะไรให้เรารู้สึกอย่างเป็นแน่–แน่เสียแล้วเรื่องนี้ ต้องมีลับลมคมนัยแฝงอยู่เบื้องหลังแน่ๆ” บู๋ซ้งนั่งคิดไปคิดมาอยู่คนเดียว จนกระทั่งเสียงกลองขานยามเที่ยงคืนแว่วมา หันไปดูทหารยามเล่าเขาก็หลับฉุยกรนสบายมิได้มีไหวติง บู๋ซ้งจำต้องนั่งถ่างตาอยู่แต่ลำพังตลอดราตรีอันเปล่าเปลี่ยวของคืนนั้น เขานั่งคิดทบทวนอยู่ภายในใจ ตราบกระทั่งแสงเงินแสงทองขึ้นทาบฟ้า ทหารยามจึงได้ตื่น และลุกขึ้นมาหุงหาอาหารเตรียมไว้ให้เจ้านายตามหน้าที่ เมื่อบู๋ซ้งอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ชวนทหารออกจากบ้านไป ขณะมาตามทางเขาได้แวะถามถึงสาเหตุอันเกิดขึ้นแก่พี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาจากบรรดาเพื่อนบ้าน แต่หามีผู้ใดกล้าบอกความจริงให้เขาทราบสักคนไม่ ทั้งนี้เพราะด้วยความที่ทุกคนเกรงต่ออิทธิพลบารมีของท่านตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่งผู้นั้น ต่างจึงพากันบอกปัดเป็นเสียงเดียวกันว่าให้เขาไปถามยายเห่ง หรือไม่ก็เจ้าเด็กหนุ่มขายลูกไม้คนที่ชื่อฮุยกอ หากผิดจากสองคนนี้แล้ว ผู้รู้เหตุการณ์ดีอีกคนหนึ่งก็ควรจะเป็นท่านฮั่วห่อเก้า คนชันสูตรศพบู๋ตั้วนั่นแหละ.

ดังนั้น บู๋ซ้งจึงได้ออกเที่ยวตระเวนตามหาตัวเจ้าเด็กฮุยกอผู้นั้น แต่กว่าจะพบตัวเจ้าเด็กลิงแสมคนนี้ได้ ก็ต้องเดินหาอยู่นาน ขณะนั้น ฮุยกอกำลังยืนกินข้าวแกงอยู่ที่ร้านข้างถนน

“เฮ้ สวัสดี อ้ายน้องชาย” บู๋ซ้งปฏิสันถารเจ้าหนูน้อยขึ้นก่อนอย่างสนิทสนมเป็นกันเองยิ่ง.

“อ้า–ท่านซุงปู่นะเอง ท่านคงมาช้าไปเสียแล้วละ” ฮุยกอตอบ เพราะพอเขาเหลือบมาเห็นบู๋ซ้งเข้าก็ทายถูกว่า ท่านผู้’กองลาดตระเวนคนนี้ต้องการอันใดจากเขา.

“โชคไม่ดีเสียแล้วท่านผู้’กองมาเอาตอนนี้ ข้าพเจ้าคงมิอาจช่วยอะไรท่านได้เท่าที่ควร เพราะทุกวันนี้ข้าพเจ้าต้องรับภาระเลี้ยงเตี่ย แกแก่มากแล้วอายุตั้งหกสิบ จะไปไหนมาไหนกับใครเขาก็ไม่ได้ ครั้นข้าพเจ้าจะช่วยไปเป็นพยานให้ท่าน ดีไม่ดีอยู่ทางนี้จะไม่มีใครหาเลี้ยงบิดาข้าพเจ้า”

“เอาเถอะน่า น้องชาย มาเถอะมาด้วยกันกับเราก่อน” บู๋ซ้งตัดบท จูงมือพาเจ้าเด็กน้อยเข้าแวะไปหาอะไรกินที่โรงเตี๊ยมใกล้ ๆ นั้น เมื่อสั่งสุราอาหารมาเลี้ยงดูเจ้าหนุ่มน้อยพ่อค้าผลไม้เสียจนอิ่มแปล้ดีแล้ว บู๋ซ้งก็พูดแก่ฮุยกอว่า “เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี มีความกตัญญูต่อบิดาผู้ชรา เอาเถอะขอให้เจ้าเชื่อใจเราก็แล้วกัน เอ้า เอาเงินนี้ไปไว้ใช้ก่อนนิดหน่อย” แล้วบู๋ซ้งก็ควักเงินให้ฮุยกอห้าแท่งและบอกว่าเงินจำนวนนี้เป็นของสมนาคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่บิดาผู้ชราของเขา เมื่อใดคดีความเริ่มพิจารณาแล้วจะให้อีกสิบตำลึง ซึ่งคิดว่าคงพอสำหรับที่ฮุยกอจะเอาไปลงทุนลงรอนทำกิจการค้าอันใดต่อไปได้ แล้วบู๋ซ้งก็ซักไซ้ไล่เรียงเขาถึงเหตุผลต้นปลายในการตายของบู๋ตั้ว.

เมื่อฮุยกอรับเงินเข้าพกเรียบร้อยแล้ว เพื่อนก็นึกคำนวณแต่ในใจว่า “เงินห้าตำลึงนี้ก็คงพอแก่การอยู่สำหรับที่จะเจียดไว้ให้บิดาซื้อหาอาหารเลี้ยงชีวิตสืบไปได้อีกห้าเดือน ระหว่างนี้ถึงเราจะต้องไปเป็นพยานให้ท่านโตเท้าผู้นี้ในศาล ก็คงไม่ถึงกับทำให้เตี่ยแกเดือดเนื้อร้อนใจอย่างใดนัก” คิดแล้วฮุยกอก็พูดกับน้องชายบู๋ตั้วว่า “ตกลงครับ ท่านโตเท้า เอาเถอะผมยินดีจะเล่าเรื่องราวละเอียดให้ฟัง แต่ว่าท่านผู้’กองอย่าพึ่งวู่วามด่วนมือไวใจเร็วทำอะไรลงไปก่อน” แล้วเจ้าหนูน้อยจากเมืองฮุยจิวก็แฉโพยเรื่องราวทั้งหลายแหล่ให้บู๋ซ้งฟังจนหมดสิ้น.

“เออ แล้วใครที่ไหนล่ะที่มาแต่งงานใหม่กับพี่สะใภ้ของเรา?” บู๋ซ้งถามเพื่อเอาความแน่ต่อไปอีก.

“ก็จะมีใครเสียอีกเล่า ท่านไซหมึ่งตั้วกัวยิ้งคนนั้นนะซิ” เจ้าเด็กขายผลไม้แซ่เกียวจอมกะล่อนตอบ.

“แน่นะ–เชื่อได้แน่ๆ นะว่าที่เจ้าเล่ามาให้เราฟังทั้งหมดนี้เป็นความจริง” บู๋ซ้งคาดคั้น

“โธ่, ข้าพเจ้าจะมาโกหกท่านโตเท้าทำไมกัน ให้ตายโหงตายห่าไปซิ ถ้าข้าพเจ้าเอาเท็จมาพูด”

“ดีละ ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เจ้าไปศาลกับเราแต่เช้า เราจะให้เจ้าช่วยเป็นพยานให้ ว่าแต่ปลัดฮั้วห่อเก้าผู้นั้น ไปอยู่เสียที่ไหนแล้วล่ะ?”

“ท่านมาถามข้าไปเสียแล้วละ ฮั้วห่อเก้าออกจากตำบลนี้ไปตั้งแต่สามวันก่อนที่ท่านจะมาถึง และไม่มีใครรู้ด้วยว่าเขาไปไหน?”

เมื่อสนทนากันเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองก็แยกทางกันไป ฮุยกอกลับบ้านไปหาพ่อ บู๋ซ้งกลับไปที่พัก นอนคิดหาลู่ทางยื่นฟ้องผู้ทำร้ายพี่ชายเขาสืบไป.

ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้น บู๋ซ้งรีบลุกขึ้นแต่งเนื้อแต่งตัวตั้งแต่หัวตรู่ เพื่อรีบไปจ้างทนายความแซ่ตั้งให้ร่างคำฟ้อง เสร็จแล้วก็ตรงไปที่ศาลาว่าการ ขณะนั้นเกียวฮุยกอได้ยืนรอเขาอยู่แล้ว เมื่อไปถึงศาล ท่านซุงปู่โตเท้าคนมีความชอบเพราะฆ่าเสือผู้นี้ก็ตรงเข้าไปกระทำคารวะต่อศาล ซึ่งมีท่านผู้ว่าการตำบลนั่งเป็นประธานอยู่ เขากระทำคำนับเรียบร้อยแล้วก็กล่าวฟ้องร้องขึ้นด้วยเสียงอันก้องกังวานไปทั้งศาลว่า

“ข้าแต่ท่านผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ด้วยบัดนี้ได้มีผู้สมรู้ร่วมคิดกระทำประทุษร้ายต่อพี่ชายข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย คือ ฮั้วห่อเก้า ปลัดตำบลซึ่งหลบหนีไปแล้วผู้หนึ่ง บุคคลผู้นี้เป็นผู้รับสินบนและปกปิดความผิดของผู้กระทำผิดในฐานะพนักงานชันสูตรศพพี่ชายของข้าพเจ้า คนที่สองคือยายเห่งม้า เจ้าของร้านน้ำชาที่ถนนหินม่วง หญิงชราผู้นี้มีความผิดฐานล่อลวงชักสื่อหญิงอันเป็นพี่สะใภ้ของข้าพเจ้าให้กระทำการคบชู้สู่ชายผิดประเพณีต่อชายอื่น แล้วด้วยซ้ำยังเป็นผู้มีส่วนร่วมมือในการทำร้ายพี่ชายข้าพเจ้าจนถึงแก่ความตายไปอีกด้วย ส่วนคนสุดท้ายอันเป็นตัวการสำคัญ คือ ตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่ง เจ้าของร้านขายเครื่องยาใหญ่ในตลาด เขาผู้นี้เป็นผู้ลงมือทำร้ายพี่ชายข้าพเจ้าถึงแก่ชีวิต ทั้งนี้ข้าพเจ้ามีประจักษ์พยานรู้เห็น คือ เด็กหนุ่มฮุยกอผู้นี้” แล้วซึ่งก็นำเกียวเข้าเบิกให้การเป็นพยานต่อศาล.

พอผู้ว่าการตำบลได้รับข้อฟ้องร้องของบู๋ซ้งเข้า ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอ้ำอึ้งเป็นยิ่งนัก เพราะทั้งตัวเขาและบรรดาขุนน้ำขุนนางข้าราชการทั้งหลาย แต่ละล้วนต่างติดต่อเกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอย่างมากกับไซหมึ่งด้วยกันทั้งนั้น จึงพอได้รับคดีฟ้องที่มีชื่อท่านเจ้าสัวผู้นี้เข้า ผู้ว่าการตำบลก็ขอตัวลุกเข้าไปในห้องเพื่อขอคำปรึกษาจากสมัครพรรคพวกว่าจะเอาอย่างไรกันกับคดีนี้ และโดยมิพักคิดให้เสียเวลานาน พวกขุนนางข้าราชการทั้งหลายต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ให้ระงับคดีฟ้องร้องรายนี้เสียจงทุกวิถีทาง” ดังนั้น เมื่อท่านผู้ว่าการฯ กลับออกมานั่งบัลลังก์ใหม่อีกครั้ง เขาก็บอกบู๋ซ้งว่า

“ฟัง! บู๋ซ้ง ในฐานะที่ท่านรับราชการเป็นถึงซุงปู่โตเท้า ควรอย่างยิ่งที่จะรู้จักกฎหมายดีอยู่ ตามคำฟ้องของท่านที่ยื่นมานี้ ศาลได้พิจารณาแล้ว เห็นว่ายังมิอาจถือสาเหตุอันใดมาลงโทษจำเลยได้ว่าเป็นผู้กระทำผิดดังข้อกล่าวหา เพราะโจทย์มิได้มีตัวสามีภรรยาคนเจ้าทุกข์มาร่วมเป็นพยานต่อศาล และอีกประการหนึ่งก็ไม่มีหลักฐานอันใดระบุว่า บุคคลผู้ใดเป็นผู้ทำร้ายพี่ชายของท่าน เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดระบุไว้ว่า เป็นการถูกฆาตกรรมเลย ตามรายงานการชันสูตรศพของเจ้าหน้าที่”

“ก็ถ้าเช่นนั้น ตามที่ท่านให้เหตุผลข้อพิจารณาตัดสินมานี้ หมายความว่าคดีเรื่องนี้จักมิการรับพิจารณาอีกเช่นนั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ไป และข้าพเจ้าขอยืนยันต่อศาลว่า ข้าพเจ้าเองจะเป็นผู้ติดตามและสืบสาวราวเรื่องเอาตัวผู้ผิดมาให้ศาลลงโทษให้จงได้” ว่าแล้วบู๋ซ้งก็รับสำนวนฟ้องคืนมาจากศาลและลุกออกจากศาลาว่าการไป.

เขาปณิธานไว้แต่ในใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จะไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจอันจะติดตามแก้แค้นผู้ทำร้ายพี่ชายของเขาเป็นอันขาด บู๋ซ้งแหงนหน้าขึ้นสู่ฟ้าเบื้องสูงและขบกรามแน่นอยู่ด้วยความเคียดแค้น เขารำพึงแก่ตนเองอย่างความขื่นขมหัวใจว่า “ดีแล้ว กูจะขอติดตามจองล้างจองผลาญเอาชีวิตมึงให้ถึงที่สุด มิว่าหน้าไหน ทั้งอ้ายและอีคนใดก็ตาม ที่ประหัตประหารเอาชีวิตของพี่กู” แล้วท่านผู้กองคนมากแค้นก็บ่ายหน้ามุ่งตรงไปยังร้านขายยาของไซหมึ่งเป็นแห่งแรก.

เมื่อไปถึงร้านของคนอันปักใจว่าเป็นผู้ฆ่าพี่ชายของเขาแล้ว บู๋ซ้งก็ตรงรี่เข้าไปในร้าน ถามหาตัวไซหมึ่งต่อผู้จัดการแซ่ฮกที่นั่งอยู่ “เฮ้ย นายมึงอยู่ที่นี่หรือเปล่าวะ?”

“เปล่าขอรับ ท่านโตเท้า” จีนฮกตอบ “ท่านตั้วกัวยิ้งมิได้อยู่ร้าน มีธุระอะไรมิทราบได้?”

“เฉยเถอะ–ลื้อตามอั้วออกมาที่ข้างนอกร้านสักหน่อย อั้วมีเรื่องอยากจะพูดกับลื้อสอง-สามคำ” บู๋ซ้งตอบห้วน ๆ.

ฮกรู้แก่ใจดีว่าบัดนี้ตนกำลังพูดอยู่กับใคร จึงมิบังควรจะไปขัดขืนต่อล้อต่อเถียงเขาเข้า ดังนั้นผู้จัดการร้านขายยาจึงสู้เดินตามท่านซุงปู่โตเท้าออกมานอกร้านแต่โดยดี.

บู๋ซ้งหันมารวบคอเสื้อของฮกไว้มั่น พลางก็กระชากอยู่ไปมา เขาคาดคั้นด้วยสีหน้าและท่าทางอันเหี้ยมเกรียมว่า “เจ้าอยากอยู่หรืออยากตาย?”

“โธ่ ถามได้ ท่านมีอะไรก็ใช้ข้าพเจ้ามาเถิด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะรับใช้ท่านผู้กองอยู่แล้ว” ฮกละล่ำละลักสีหน้าเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงและเนื้อตัวสั่นอยู่เทิ้ม ๆ ไปทั้งร่าง “ทำไมท่านซุงปู่ถึงได้มาจงเกลียดจงชังเอากับข้าพเจ้า? เพราะข้าพเจ้าเองไม่เคยได้ไปทำอะไรให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจแก่ท่านมาก่อนเลย.”

“เอาละ ไม่ต้องพูดมาก ถ้าเจ้ายังไม่อยากตาย ก็บอกเรามาตรง ๆ แล้วกันว่า เดี๋ยวนี้อ้ายไซหมึ่งอยู่ที่ไหน? แล้วมันพาเอาพี่สะใภ้ของเราไปไว้ที่บ้านของมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอบมาเร็วๆ”

“โอ เดี๋ยวก่อนครับ อย่าพึ่งโมโหโทโส ฟังข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้าเป็นเพียงลูกจ้างของท่านตั้วกัวยิ้งเท่านั้น รับจ้างเขากินเงินเดือนเพียงเดือนละสองตำลึงไปเดือนหนึ่ง ๆ อันการลึกลับซับซ้อนพรรค์อย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่มีส่วนรู้เรื่องรู้ราวกับเขาดอก รู้ก็แต่ว่าขณะนี้ท่านเจ้าสัวกำลังออกไปหาอะไร กินอยู่กับสหายของท่านที่ร้านอาหารตรงถนนสิงโต (Lion Street) นี่แหละเท่าที่ข้าพเจ้ารู้และเรียนให้ท่านทราบได้ เป็นความสัตย์ ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะมาโกหกท่านผู้กองเลย”

บู๋ซ้งได้ยินดังนั้นก็ปล่อยมือจากฮก และรีบรุดไปยังร้านอาหารที่ถนนสิงโตตามคำบอกเล่าของผู้จัดการผู้นี้ทันที ฝ่ายว่าฮกนั้นอารามกลัวเสียจนปอดลอย จึงมิอาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ ยืนตกตะลึงอยู่กับที่นั้นเองอยู่ตั้งนานเป็นนาน.

แลขณะนั้นท่านไซหมึ่งตั้วกัวยิ้ง คนอันยึดครองภริยาโฉมงามของบู๋ตั้ว กำลังนั่งเสพสุราอาหารอยู่เป็นที่เพลิดเพลินใจกับขุนนางข้าราชการผู้หนึ่งแซ่ลี หรือที่รู้จัดกันทั่วไปในตำบลนี้ว่า ลีกั่วท้วน (Agent Li) อันว่าลีกั่วท้วนนี้พูดถึงหน้าที่การงานแล้ว ก็เป็นถึงเลขานุการประจำตำบล (the secretary of the yamen) ทว่าอาชีพอีกอย่างของเขาที่คนรู้กันทั่วก็คือหน้าม้าเดินเหินติดต่อระหว่างลูกความฟ้องร้องพวกชาวบ้านกับเสมียนพนักงานกรมการตำบล คอยเก็บเบี้ยบ้ายรายทางเป็นคนกลางอยู่ตลอดเวลามา เขาเอาทั้งนั้น เอาทั้งจากพวกข้าราชการ และจากราษฎรพวกลูกความ ก็สมอยู่ดอกกับชื่อที่เขาเรียก ๆ กันว่า ท่านเอเย่นต์ลี (Agent Li) หรือ ลีกั่วท้วน!

วันนี้ ลีกั่วท้วนก็มีดีมาอีก คือที่เขามาพบกับไซหมึ่งครั้งนี้ก็ในฐานะผู้นำข่าวดีจากศาลมาแจ้ง นั่นคือข่าวการตัดสินยกฟ้องคดีบู๋ตั้ว เรื่องนี้เองเมื่อตั้วกัวยิ้งได้รับแจ้งจากลีแล้วก็รู้สึกโล่งหัวใจ และได้พาลีกั่วท้วนมาเลี้ยงโต๊ะเป็นการใหญ่ที่ร้านอาหารถนนสิงโตนี้ และขณะที่เขากำลังนั่งสนทนาและดื่มสุราอยู่ด้วยกันนั้นเอง พลันไซหมึ่งก็เหลือบมาเห็นบู๋ซ้งเข้า ความที่ตัวเป็นวัวสันหลังหวะอยู่แล้วเห็นทีท่าไม่ชอบมาพากล เพราะดูบู๋ซ้งตาขุ่นตาขวางน่าพรั่นพรึง ไซหมึ่งก็ให้ขวัญหนีดีฝ่อมองหาทางหนีทีไล่เลิ่กลั่ก ๆ อยู่ ครั้นจะลงทางหน้าร้านออกถนนใหญ่หรือ คนเก่งกว่าเสือผู้นั้นก็กำลังเดินเข้ามา “เอ จะไปทางไหนดีละเรา เอามันห้องเล็กข้างบนนี่แหละวะหลบเสียทีก่อน” ไซหมึ่งตัดสินใจในวินาทีนั้น เขาหันมาขอโทษแก่ลีกั่วท้วนว่า “ขอให้ข้าพเจ้าออกไปทำธุระสักอึดใจก่อน ด้วยมีธุระสำคัญเหลือเกิน คงจะมิทำให้ท่านลีขัดข้องอะไรนักมิใช่หรือ เหล้าข้าวก็พร้อมแล้วอัฐฬสเงินทองหรือก็เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเรียบร้อยแล้ว” พูดแล้วไซหมึ่งก็ลุกพรวดพราดหายแว่บเข้าไปซ่อนเสียในห้องเล็กข้างบนนั้น คงทิ้งให้ท่านเอเย่นต์ลีนั่งโจ้สุรา คอยรับเคราะห์กรรมอยู่แต่ลำพังอย่างเพลิดเพลิน.

ข้างบู๋ซ้งเมื่อมาถึงแล้ว ก็ปรี่เข้าไปถามจีนเฒ่าเจ้าของร้านว่า “ไซหมึ่งอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” ครั้นได้ความแน่ชัดว่า คนอันตัวต้องการพบอยู่ที่นี้แน่ และกำลังนั่งกินอาหารอยู่กับเพื่อนที่ชั้นบนแล้ว เจ้าหนุ่มน้องผัวนางพัวกิมเน้ยก็มิได้พูดจาอันใดอีก ถลกแขนเสื้อขึ้นดูเป็นที่ทะมัดทะแมง ก้าวพรวด ๆ ขึ้นไปทันที แต่ว่าหามีแม้แต่เงาของไซหมึ่งเสียไม่แล้ว เวลานั้นบู๋ซ้งเห็นแต่ชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งสนทนาหยอกเอินอยู่กับหญิงหยำฉ่าหน้าแฉล้ม (Singing Girl) สองนางที่โต๊ะอาหาร แต่พอมองเห็นหน้าชัด บู๋ซ้งก็จำได้ถนัดว่าชายผู้นี้คือลีกั่วท้วนคนนั้นนั่นเอง เท่านี้เขาก็คาดการณ์ได้ถูก มิรู้ว่าความโมโหโทโสพรุ่งมาแต่ไหน เขาปราดเข้าถึงตัวเอเย่นต์ลีทันที.

“เฮ้ย ว่ายังไง เจ้าเอาอ้ายไซหมึ่งไปซ่อนไว้ที่ไหน บอกมาเสียตามตรง หรือว่าอยากจะลองชิมรสกำปั้นเราสักทีก็เอา!”

ควรจะสงสารก็แต่ท่านเลขานุการตำบลผู้นี้ ความที่กลัวบู๋ซ้งเสียจนปากคอสั่นพูดจาอะไรไม่ถูก ยืนขาสั่นอยู่เร่า ๆ ราวกับกิ่งหลิวยามเมื่อต้องลม และทำหูทำตาประหลับประเหลือกดูเป็นที่น่าเวทนานัก–ทว่าหาได้เป็นที่น่าเวทนานักสำหรับบู๋ซ้งไม่ เขากลับนึกไปข้างที่ว่า ลีทำอ้ำอึ้งอำพรางเสีย ก็เลยถีบโครมเข้าให้ จนโต๊ะล้มพาเอาถ้วยสุราอาหารหกระเนระนาดไปหมด ทำเอาแม่คนสวยสองคนนั้นตกใจกลัวถึงแก่เป็นลมไป ขณะนั้นลีสุดรู้ที่จะทำอย่างใดได้แล้ว ความกลัวแทบว่าจะขึ้นมาจุกหัวขมอง เหลียวหน้าเหลียวหลังล่อกแล่ก ๆ จะหาทางหนี แต่ว่าลีจะหนีไปไหนพ้น ในเมื่อบัดนี้บู๋ซ้งได้กระโจนเข้ารวบคอเขาไว้เหมาะมือเสียแล้ว!

“หยุด อย่าหนีนะมึง ดีละเมื่อมึงพูดไม่ได้ กูนี่แหละจะทำให้มึงพูดให้จงได้!” ว่าแล้วกำปั้นของบุคคลคนเดียวกับที่เสือหน้าด่างตาโปนบนเขาเก้งเอี่ยงต้องดับชีพ ก็ทิ่มพรวดเข้าให้ที่ใบหน้าของท่านเอเย่นต์ลี เสียงร้องไห้ลั่นระงมไปหมดทั้งร้าน

“โอย–โอย ไซหมึ่งพึ่งออกจากห้องไปเดี๋ยวนี้เอง อย่าทำข้าพเจ้าเลย ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ปล่อยเถิด อย่าทำอันตรายข้าพเจ้าเลย”

บู๋ซ้งได้ยินเช่นนั้น ก็ถลันไปชะโงกหน้าต่างดูพร้อมกับลากคอลีติดมือไปด้วย เขาตะคอกใส่หูหลีกั่วท้วนอย่างมิได้คิดเมตตาปรานีเลย “ไหนเจ้าว่าอยากจะไปนักใช่ไหมล่ะ? ดีแล้วเราจะปล่อยให้เจ้าไปได้เดี๋ยวนี้แหละ” ขาดคำบู๋ซ้งร่างของลีก็ลอยละลิ่วจากหน้าต่างเหลาชั้นบนลงมากองอยู่อย่างเรียบร้อยบนพื้นกลางถนน และสะบักสะบอมจนไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกสืบไปแล้ว! ลีนอนพับแน่นิ่งอยู่ตรงที่นั้นเอง.

ข้างไซหมึ่งตั้วกัวยิ้งเมื่อได้หลบแว่บเข้ามาซ่อนกายอยู่ในห้องเล็กอย่างอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ก็รู้สึกวับๆ หวำ ๆ นึกว่าตัวคงถึงที่ตายแน่แล้วในวันนี้ อย่างไรเสียบู๋ซ้งคงจะต้องเอาชีวิตเขาแน่ๆ ด้วยความกลัวจนมิได้มีแก่จิตแก่ใจจะคิดถึงอะไรอีกแล้วแม้แต่ชีวิตชีวา ไซหมึ่งค้นหาทางออกอยู่อย่างกระวนกระวาย เขาค่อยย่องออกมาจากที่ซ่อน และปีนเลาะออกตามชายคาร้านไต่ไปตามกันสาด แล้วก็กระโจนลงไปที่สนามหญ้าในบ้านของผู้มีอันจะกินคนหนึ่งที่ข้าง ๆ นั้น.

เมื่อเป็นเช่นนี้ บู๋ซ้งก็หาตัวไซหมึ่งไม่เจอ ยิ่งไม่เจอ น้องชายบู๋ตั้วก็ยิ่งแค้นใจหนักขึ้น ชะช้า อ้ายลีต้มกูได้ เขาปักใจมาที่ลีกั่วท้วน ก็เลยกระโดดพรวดตามลงมาจากเหลา เตะลีโครมเข้าให้อีกสองทีซ้อน ๆ ก็พุทโธ่เอ๋ย เพียงแต่ถูกโยนลงมาจากหน้าต่าง ลีก็แทบจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว สิซ้ำมาโดนเอาเท้าของเจ้าของเท้าคนที่เคยเตะเสือตายมาแล้วเข้าอีกถึงสองทีเช่นนี้ จะให้ลีทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกอย่างไรไหว เขาครางออกมาได้อ๊อกเดียวเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเลขานุการตำบลคนแซ่ลีผู้นี้ก็ขาดใจตาย!

“เอ้า ฉิบหายแล้วละซิบู๋ ก็นี่เลขานุการตำบลลีมิใช่หรือ?” ใครต่อใครซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ชิดที่นั้นพากันพูดขึ้น “––เขาไปทำอะไรให้ท่านล่ะ? ทำไมถึงมาฆ่าเขาเช่นนี้เล่า?”

“เรากำลังมีเรื่องเกี่ยวข้องอยู่กับไซหมึ่ง แต่ว่าเจ้านี่เป็นเพื่อนของมัน ดังนั้น มันจึงต้องรับเคราะห์แทน” บู๋ซ้งตอบ.

แลขณะที่คดีฆาตกรรมรายนี้ยังกำลังอื้ออึงสับสนอยู่นั้นเอง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็มาถึง แต่ว่าพวกเขาก็หาอาจเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้แต่อย่างใดไม่ เพราะตัวผู้ต้องหาที่ยืนจังก้าหน้าขมึงทึงอยู่ต่อหน้าเขานั้นมิใช่ใครอื่น ทว่าคือท่านซุงปู่โตเท้าบู๋ซ้ง ผู้กล้าหาญแห่งแว่นแคว้นคนนั้น ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขอเชิญตัวท่านผู้กล้าหาญคนนี้ไปยังศาล พร้อมด้วยเท่งล้วน (Wang Luan) เจ้าของร้านอาหารและหญิงนักร้องอีกสองคนนั่นเท่านั้นเอง.

ต่อเหตุการณ์อันร้ายแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ประชาชนในย่านถนนสิงโตต่างโจษขานกันให้เซ็งแซ่ไปหมด จึงมิช้าข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งตำบลในชั่ววันเดียวนั้นเอง และต่างก็แต่งเติมเสริมต่อขยายความกันสืบปากต่อ ๆ กันยิ่งขึ้นจนเกินจริงไปเสียอีก กระทั่งฟัง ๆ แล้วข่าวกลายเป็นว่า ผู้ที่ถูกฆ่าตายครั้งนี้นั้นมิใช่คนใดใครอื่น ที่แท้คือท่านไซหมึ่งเข่งตั้วกัวยิ้ง คนมั่งคั่งแห่งตำบลเช็งฮ้อนั้นเอง!

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ