- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
สาส์นจากบู๋ซ้ง
เป็นความจริงที่มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในประการที่ว่า สุขและทุกข์เป็นของมีอยู่คู่กัน จึงในขณะที่หนุ่ม–สาวทั้งคู่ดื่มด่ำอยู่ในวันเวลาแห่งความสุขด้วยกันนี้เอง ความทุกข์อันเป็นมหันตภัยก็ย่างเข้ามาสู่ นั่นคือ ในวันรุ่งขึ้นเพลาประมาณอาหารเช้า ขณะที่หนุ่มแลสาวทั้งสองยังมิได้ทันลุกออกมาจากที่นอนอันแสนสุขสำราญ ม้าใช้พลทหารอันเป็นคนนำสาส์นจากบู๋ซ้งก็มาถึงบ้าน.
แลบู๋ซ้งผู้นี้ที่นับแต่ได้รับหน้าที่ให้คุมเครื่องบรรณาการไปส่งยังเมืองไคฟองแล้ว เขาก็มิได้นิ่งนอนใจ ได้พยายามปฏิบัติภารกิจอันที่เขาได้รับมอบหมายมาจากท่านผู้ว่าการตำบลเช็งฮ้อ จนลุล่วงสำเร็จเรียบร้อยไปด้วยดี เครื่องบรรณาการอันล้นค่าได้ถึงมือท่านสมุหพระราชวังจูโดยสวัสดิภาพ แล้วหลังจากที่ได้หยุดพักผ่อนไพร่พลอยู่ ณ เมืองหลวงประมาณ ๒–๓ วันแล้ว เขาก็เดินทางกลับ แต่ในเที่ยวกลับนี้ได้มีอุปสรรคขัดขวางการเดินทางของเขาไว้ ซึ่งได้แก่ภัยอันเกิดแต่ธรรมชาติ เพราะลมฟ้าอากาศวิปริตแปรปรวนขึ้นมา ทั้งนี้เพราะว่าเป็นหน้าฤดูใบไม้ร่วงอันร้อนแรงของเมืองจีนนั่นเอง ดังนั้นกำหนดกลับที่คาดไว้ว่าจะได้มาถึงเร็ว จำต้องล่าช้ายืดเวลานานออกไป ก็และตลอดเวลาที่ท่านผู้บังคับกองตระเวนบู๋ซ้งไปราชการคราวนี้ เขาหาได้มีความสบายอกสบายใจแม้แต่สักน้อยไม่ เฝ้าครุ่นคิดวิตกกังวลอยู่ด้วยคนอันเป็นพี่ชายผู้มีเมียงาม–บู๋ตั้วตลอดเวลามา แล้วยิ่งการเดินทางมาล่าช้าเข้าเช่นนี้อีก คนอันเป็นผู้พิชิตเสือร้ายก็ชักให้หงุดหงิดกังวลใจยิ่งขึ้นเป็นทับทวีคูณ เขาตกลงใจจัดส่งม้าใช้ให้รีบนำข่าวและผลของการปฏิบัติงานมาแจ้งต่อท่านผู้ว่าการตำบลเช็งฮ้อไว้เป็นการล่วงหน้า และในโอกาสเดียวก็ได้ฝากจดหมายส่งข่าวมายังบู๋ตั้วด้วย แต่ทหารม้าใช้ผู้นี้ก็หาได้มีโอกาสพบปะผู้ใดใครไม่ ด้วยมีปรากฏว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดในบ้านแต่สักคน เมื่อลงจากหลังม้าไปเคาะประตูบ้านอยู่สักครู่ ก็มีหญิงชราผู้หนึ่งโผล่หน้าออกมาจากบ้านข้างเคียง ซึ่งที่แท้ก็คือยายเห่งนั่นเอง แกถามพลทหารหนุ่มผู้นั้นว่า เขามีธุระต้องประสงค์สิ่งอันใดหรือ?
“ข้าพเจ้านำจดหมายจากท่านผู้บังคับกองตระเวน (ซุงปู่โตเท้า) มาแจ้งแก่ท่านบู๋ตั้ว” ทหารผู้นั้นตอบ
“เขาไม่อยู่บ้านดอกวันนี้ ไปป่าช้ากันหมดทั้งบ้าน ฝากไว้ที่ยายก็ได้ ยายจะเอาไว้ให้เขาเอง ไม่เป็นไรดอก––” หญิงชราเจ้าเล่ห์บอกแก่ม้าใช้ของบู๋ซ้ง.
ดังนั้นทหารผู้นั้นจึงมอบจดหมายถึงบู๋ตั้วไว้กับยายเห่ง แล้วก็ลาแกกลับ.
ข้างหญิงผู้เฒ่าคนเจ้าอุบาย เมื่อได้รับจดหมายจากทหารสื่อสาส์นผู้นั้นแล้วก็มิได้รอช้า แกรีบขึ้นมาปลุกคู่หนุ่ม–สาวทั้งสองทันที.
“เร็ว ลุกขึ้นเถอะ–ลุกขึ้นเสียที พ่อคุณ แม่คุณ เร็ว ๆ เข้าอย่ามัวนอนกกนอนกอดกันมากนักเลย บู๋ซ้งมันส่งข่าวมาถึงพี่ชายมันแล้ว อีกไม่ช้าหรอกมันก็จะมาถึงเช็งฮ้อ ออกมาดูเสียเร็ว ๆ จดหมายของบู๋ซ้งมัน ยายรับเอามาให้ อย่ามัวทำชักช้านิ่งนอนใจกันอยู่.”
แลไซหมึ่ง ตั้วกัวยิ้ง ซึ่งกำลังสนิทนิทรารมณ์อยู่กับนางบัวคำนั้น อันความจริงแล้วหากเป็นเรื่องใดไหนอื่นที่ยายเห่งมาบอก ที่ท่านเศรษฐีหนุ่มคงจะไม่คิดลุกออกมาให้เสียเวลาเปลืองแก่การไป แต่พอเขาได้ยินชื่อบู๋ซ้งแว่วกระทบหู พลันเนื้อตัวก็สั่นระรัวอยู่เร่าๆ หัวอกหัวใจให้วับหวำ สีหน้าก็ซีดสลด ดุจว่าถูกนาบไว้ด้วยถังน้ำแข็งอันเย็นเฉียบ ทั้งคู่ต่างผลุนผลันผลีผลามลุกขึ้นสวมเสื้อใส่กางเกง ออกมาหาแม่เฒ่าเห่งทันที ยิ่งพอมาได้อ่านจดหมายของบู๋ซ้งทราบเนื้อความกระจ่างแล้ว ทั้งสองต่างก็ยิ่งทวีความตกใจเป็นล้นพ้น ฤดูใบไม้ร่วงกลางเดือนที่สามในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ผู้พิชิตเสือคนนั้นจะกลับมา! ตายแล้วเราเอ๋ยคราวนี้ สองคู่สวาทต่างหันหน้ามองตากันอยู่ปริบ ๆ ตัวเนื้อสั่นเร่าไปทั้งสรรพางค์กาย ขณะนั้นทั้งคู่ต่างมองไม่เห็นที่พึ่งที่ใดไหนจะดีไปกว่าหญิงชราที่ชื่อเห่งคนนี้อีกแล้ว.
“ยายจ๋า–ป้าจ๋า ช่วยฉันด้วย!” ปากคอสั่น ทั้งสองร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือจากหญิงผู้เฒ่าอยู่อย่างน่าเวทนา.
ยายเห่งแกก็อธิบายให้หนุ่มสาวทั้งคู่ฟังอย่างใจเย็นว่า “พุโธ่เอ๋ย กะเรื่องง่ายๆ พรรค์นี้ ก็อย่างที่ยายเคยพูดไว้แล้วนั่นแหละ สุภาษิตบุร่ำบุราณเขาว่าไว้กระจ่างชัดอยู่ดีแล้ว แต่งงานครั้งแรกเพื่อพ่อเพื่อแม่ แต่งงานครั้งที่สองเพื่อตัวเราเอง.”
“First marriage–to please one's parents,
Second marriage–to please oneself.”
แล้วหญิงชราก็ยกเอาข้อห้ามตามกฎหมาย ขึ้นมาสาธยายให้หนุ่ม-สาวทั้งสองฟัง เพื่อเป็นการมั่นใจ.
แกอธิบายว่า “ชื่อว่าน้องเขยและพี่สะใภ้แล้ว จะอาศัยอยู่ร่วมภายในชายคาเดียวกันแต่ลำพังมิได้ และนี่กำหนดทำบุญศพร้อยวันของบู๋ตั้วก็จวนจะถึงอยู่แล้ว เรื่องของเรื่องก็ไม่เห็นมีอะไรมาก ชั่วแต่แม่หญิงรีบไปจัดการนิมนต์พระท่านที่วัดมาสวดอภิธรรมบังสกุลเผาป้ายเกซินส่งวิญญาณให้คนตายเสียเท่านั้นก็สิ้นเรื่อง ก่อนแต่จะถึงกำหนดบู๋ซ้งกลับ ท่านตั้วกัวยิ้งก็รีบจัดการแต่งเกี้ยวคานหามมารับนางไปไว้เสียที่บ้าน แต่งงานแต่งการเป็นภรรยาออกหน้าออกตา เสียเท่านี้เรื่องก็จะเรียบร้อย ถึงบู๋ซ้งมันกลับมาก็พูดว่าอย่างไรไม่ได้ เชื่อยายเถอะ หากจะมีปัญหาอันใดเกิดขึ้นมาอีก ก็ไว้ธุระยายเอง แต่อย่างไรก็ตาม ขอท่านทั้งสองจงรู้จักอดออมถนอมใจกันไว้ให้จงดี อย่าเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งให้เป็นที่ขุ่นเคืองน้ำใจต่อกันและกัน ที่ยายว่าอย่างนี้ พ่อหลานแม่หลานทั้งสองท่านยังจะเข้าใจหรือยังและเห็นดีด้วยหรือไม่อย่างที่ยายว่า หรือท่านทั้งสองจะคิดอ่านให้แยบยลอย่างใด ก็เร่งว่าออกมา.”
ท่านเศรษฐีหนุ่มก็เห็นดีด้วยทุกประการตามคำหญิงชราแนะนำ และด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ ที่อาศัยสติปัญญายายเห่งช่วยแนะช่องทางให้ครั้งนี้ ทั้งคู่ต่างค่อยมีสีหน้าชุ่มชื่น หายวิตกกังวลใจลงไปได้บ้าง.
ครั้นถึงวันหกค่ำเดือนแปด อันเป็นวันครบกำหนดระยะเวลาตั้งป้ายวิญญาณ บำเพ็ญกุศลสำหรับผู้ตายครบร้อยวันตามประเพณี ไซหมึ่งเข่งก็มายังบ้านนางพัวกิมเน้ยแต่เช้า จัดการมอบเงินมอบทองให้บ่าวไพร่รีบไปนิมนต์พระสงฆ์องค์เจ้ามาบังสุกุลเผาป้ายบู๋ตั้ว เพื่อเป็นการรู้แล้วรู้รอดไป ทว่าในการทำพิธีเผาป้ายนี้ ปกติจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็ม ๆ เพราะกว่าจะลงมือเผาเกซิ้นได้ก็ต้องเย็น ดังนั้น หลวงจีนองค์มีอาวุโสผู้เป็นหัวหน้าคณะ จำเป็นต้องมาบ้านของเจ้าภาพแต่เช้ามืด ท่านหอบเอาคัมภีร์มาด้วยพะรุงพะรังตั้งแต่ประมาณกลองย่ำครั้งที่ห้า แล้วก็จัดการตั้งอาสน์สงฆ์และโต๊ะหมู่ที่บูชาจนเรียบร้อย เสร็จแล้วท่านก็เข้าไปช่วยยายเห่งตระเตรียมกับข้าวกับปลาเครื่องเซ่นเครื่องบูชาที่ในครัว ซึ่งตลอดเวลาที่หลวงจีนรูปนี้มัวสาละวนจัดงานจัดการทางบ้านอยู่กับยายเห่งนี้ ข้างไซหมึ่งและนางพัวกิมเน้ยหาได้มีแม้แต่จักปรากฏร่างออกมาให้เห็นไม่ คงเอาแต่ก่นประลองสวาทอยู่ด้วยกันแต่ในห้องนอน มิปรารถนาจักลืมตาออกมาดูโลกภายนอกกับเขาเลย.
ครั้นถึงเวลาที่สงฆ์จากวัดป้ออึงยี้ก็มาตามนิมนต์ พิธีทำบุญศพบู๋ตั้วก็เริ่มขึ้น ทั้งบ้านระงมอยู่ด้วยเสียงพระสวดอภิธรรมสลับไปกับเสียงรัวกลองและเคาะระฆังของสงฆ์ซึ่งกระทำพิธีตามศาสนกิจ และตลอดเวลานี้ นางพัวกิมเน้ยหาได้มีแก่ใจที่จะคิดออกมาร่วมบำเพ็ญกุศลให้แก่สามีผู้วายชนม์ของนางไม่ ทั้งที่การกอปรกิจพิธีนี้ เป็นความจำเป็นอย่างที่สุดสำหรับนางในฐานะเจ้าภาพ กระทั่งถึงเพลากลางวัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของภรรยาผู้ตายจะต้องเป็นผู้กระทำพิธีจุดธูปจุดเทียนและเผากระดาษเงินกระดาษทอง ต่อหน้าพระพุทธปฏิมากรด้วยตนเอง อันไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้นั่นแหละ นางถึงได้ตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอน ออกไปอาบน้ำชำระสระสนานกาย แล้วก็มาหวีผม จับลอนทาแก้มแต้มปากวาดคิ้วนานาประการ กว่าที่นางจะแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จก็สิ้นเวลาไปนานโข และก็ทั้ง ๆ ที่นางยังอยู่ในระยะไว้ทุกข์นี้เอง แต่ดูบัวคำช่างสวยสะอาดบาดตากระไรเช่นนี้ ทั้งเรือนร่างของนางดูให้เอิบอาบแลล้นแล้วไปด้วยความเสน่หายาใจยิ่งนัก ยามเมื่อนางยาตรเยื้องออกมาจากแต่ห้องในและก้มลงกราบพระจุดธูปจุดเทียนบูชาอยู่ บรรดาท่านหลวงจีนทั้งหลายแหล่ มิว่าองค์แก่องค์หนุ่มที่ต่างกำลังก้มหน้าก้มตาสาธยายพระสูตรอยู่นั้น พอเหลือบมาประสบพบร่างโฉมนางเมียของบู๋ตั้วเข้า ต่างรูปต่างก็พากันตะลึงลาน มิอาจทำจิตใจให้สงบแลระงับลงได้ ในหัวอกหัวใจของหลวงจีนเหล่านั้นต่างให้หนาว ๆ ร้อน ๆ วับ ๆ หวำ ๆ ดุจเนยแข็งต้องไฟ อ่อนปวกเปียกไปสิ้นทุกทั่วองค์ ต่างรู้สึกให้หงุดหงิดงุ่นง่าน ซาบซ่านสยิว และเนื้อตัวระริกร่านไปทั่วทุกขุมขนดูประหนึ่งม้าหนุ่มรุ่นคะนองวัย และหรือไม่ก็ดุจวานรในฤดูสังวาส–––soft as cheese; and then one and all were seized with a heat as of stallions, and lustfulness as of apes.
และนางพัวกิมเน้ยเมื่อได้กระทำพิธีจุดธูปจุดเทียนบูชาอาราธนาพระรัตนตรัยเสร็จแล้ว นางก็รีบลุกกลับไปห้องของนางตามเดิม โดยมิได้กริ่งเกรงถึงข้อห้ามทางศาสนกิจและลัทธิประเพณีในข้อที่ว่า หญิงหม้ายซึ่งชายผู้สามีถึงแก่ความตาย เมื่ออยู่ในระหว่างพิธีตั้งศพบำเพ็ญบุญ หญิงหม้ายนั้นจักต้องถือศีลกินเจ เพราะอย่าว่าแต่นางจะไม่นำพาในต่อกิจพิธีเท่านั้นเลย ด้วยซ้ำนางยังจงใจดื่มทั้งสุราและกินทั้งอาหารสดคาว ยิ่งกว่านั้นนางยังกล้าร่วมกอปรกระทำกามกิจกับชายอันเพียงได้ชื่อว่าชู้ต่อหน้าบรรดาสงฆ์ ผู้มากระทำพิธีส่งวิญญาณเพื่อไปสู่สุคติให้แก่สามีเก่าของนางอีก และใช่แต่เท่านั้น ตัวไซหมึ่งเองถึงกับเรียกยายเห่งมาถามว่า ยังจะมีเหตุการณ์อันใดต่อไปอีกหรือไม่ ที่พวกหลวงจีนเหล่านั้นจะต้องรบกวนเวลาของนางพัวกิมเน้ย แล้วเขาก็กำชับยายเห่งให้ระวังให้ดี อย่าให้ต้องมีเรื่องยุ่งยากมาถึงนางได้อีกเป็นอันขาด.
แต่ขณะนี้บรรดาหลวงจีนเหล่านั้น ต่างพากันใจจิตใจจ่อในโฉมนางพัวกิมเน้ยแทบจะทุกรูปแล้ว จึงถึงแม้ว่าต่างจะได้กลับไปฉันจังหันเพลที่วัดแล้วก็ตาม ปรากฏว่ายังมีหลวงจีนอีกรูปหนึ่งที่ออกจะหนักกว่าเพื่อน อุตส่าห์รีบกลับมายังบ้านของบู๋ตั้วก่อนบรรดาเพื่อนๆ สงฆ์ทั้งหลาย และก็ช่างบังเอิญที่ห้องซึ่งจัดไว้เป็นที่สงฆ์สวดพระอภิธรรมนั้น ประชิดอยู่กับห้องนอนของแม่หม้ายสาวคนนี้ชั่วแต่มีแผ่นกระดานห่าง ๆ กั้นเท่านั้นเอง ดังนั้นเมื่อพระรูปนี้เดินเข้าไปล้างมือที่ถังน้ำซึ่งอยู่ใต้หน้าต่างห้องนอนของหม้ายสาวแม่คนสวยนี้เข้า ท่านก็ได้ยินเข้ากับหูถึงเลศนัยอันเป็นเรื่องของความเร้นลับภายในห้องนั้น คือ หนแรกได้ยินเสียงเหมือนคนถอนหายใจ และร้องครางเบาๆ ต่อมาเป็นเสียงหอบฮึดฮัด ๆ เหมือนคนกำลังต่อสู้และสักครู่มีเสียงร้องอุทานออกมาอย่างลืมตัวด้วยความดีใจ ซึ่งทั้งหมดนี้พระท่านก็พอจะเข้าใจได้ว่า ต้องเป็นเสียงของคนอันเป็นคู่รักต่อกันพึงจะปฏิบัติ ดังนั้นท่านจึงตกลงใจยืนแช่ล้างมืออยู่ในถัง คอยเงี่ยหูตะแคงฟังเรื่องราวข้างในของเขาสืบไป สักครู่ก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงพูดฟังชัดถ้อยชัดคำ ถึงแม้จะมีใจความขาดเป็นห้วงๆ ว่า.
“จุ๊ยจุ๊ย! ที่รัก–ระวังหน่อย เบา ๆ นิด เจ็บเหลือเกิน!–โอย เดี๋ยวพวกหลวงจีนก็จะกลับกันมาแล้วละ จะมารู้เรื่องของเราเข้า–ปล่อยให้เราออกไปก่อน! ไป เร็ว ๆ เข้า! -”
ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้ชายพูดขึ้นมาบ้าง.
“เฮ่ยอย่ากลัวไปหน่อยเลยน่า! ประตูเตายังเปิดอยู่ เดี๋ยวเอาออกไปใส่เตาเผาเสียก็สิ้นเรื่อง.”
ทั้งคู่หาได้คิดฝันไปเลยไม่ ว่าคำพูดของเขานั้นบัดนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงหูของหลวงจีนรูปหนึ่ง ที่ยืนซุ่มฟังคำสนทนาของเขาอยู่ด้วยอารมณ์อันเร่าร้อนพอ ๆ กับเขา.
ครั้นเมื่อบรรดาหลวงจีนทั้งหลายกลับมากระทำพิธีเผาป้ายวิญญาณพี่ชายของบู๋ซ้งต่อไปใหม่แล้ว เสียงก็ให้ขรมไปหมดทั้งบ้าน บ้างก็สวดมนต์ บ้างก็ตีกลอง และบ้างก็เคาะระฆัง ข้างพระรูปที่แอบมารู้เรื่องเข้าเมื่อบ่าย ก็กระซิบบอกรูปที่ถัดไปให้รู้กันทั่ว ๆ ว่า ที่ในห้องข้าง ๆ นี้ นางพัวกิมเน้ยเจ้าภาพงานศพกำลังนอนกกอยู่กับชู้ อีทีนี้บรรดาท่านหลวงจีนทั้งหลายต่างองค์ต่างเกร็งไปตามๆ กัน มือไม้แข็งทื่อแทบว่าจะต้องช่วยกันดัดให้คงเดิม หรือไม่อีกทีก็ต้องถึงกับเขกหน้าแข้งกันองค์ละทีสองที––how excitedly the knaves began to toss their hands and kick their feet!
ในที่สุดพิธีทำบุญเผาป้ายเกซิ้นของบู๋ตั้วก็สิ้นสุดลงเมื่อก่อนเพลาเย็นเล็กน้อย หลวงจีนจัดการยกขนเอาบรรดาสรรพเครื่องกงเต๊กบรรดามี รวมทั้งป้ายวิญญาณของผู้ตายออกไปเผาเสียที่นอกประตูบ้าน ในการนี้นางพัวกิมเน้ย ซึ่งสุดสวยอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่งามตา ได้ยืนกำบังมู่ลี่หน้าต่างพิงอกชู้ เฝ้าดูพิธีอยู่ที่ชั้นบนบ้านตลอดเวลา ฝ่ายพวกหลวงจีนอลัชชีเหล่านั้นก็เฝ้าแต่คอยจับจ้องชำเลืองตาดูโฉมแม่หม้ายพริ้มเพราคนนี้อยู่มิวางตา ยิ่งเห็นแม่คนสวยทำอาการโผเข้าซบอยู่กับอกเจ้าหนุ่มและโอบประคองกันขึ้นเตียงตำตาเข้าอีก พวกพระเหล่านั้นก็พากันใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อมๆ ไปตามกัน เลยโหมมือกันรัวกลองเคาะฆ้องเป็นการใหญ่ ฟังแทบเอาส่ำไม่ได้ พอดีมีลมแรงพัดวูบมาเฮือกใหญ่ ปัดเอาหมวกของหลวง องค์มีอาวุโสสูงหล่นลง มองเห็นศีรษะอันโล้นเลี่ยนได้ถนัดตา แต่มิไยว่าหมวกของใครจะตกของใครจะหล่นก็ชั่ง เวลานั้นต่างองค์ต่างก้มหน้าก้มตารัวฆ้องตีกลองกันให้จ้าละหวั่นไปหมด ปากก็สวดว่าอะไรต่ออะไรพึม ๆ พำๆ ไปตามเรื่อง ซึ่งดูแล้วก็น่าขำ จนกระทั่งยายเห่งอดรนทนดูไม่ไหว ต้องช่วยสะกิดท่านหัวหน้าหลวงจีนรูปนั้นให้รู้ตัวว่า “ท่านสมภาร ๆ” แล้วหญิงชราก็หันไปบอกแก่พระรูปอื่น ๆ ให้รู้ทั่วกันว่า “บัดนี้เครื่องกงเต๊กบัตรพลีต่าง ๆ ก็ได้เผาเรียบเป็นจุลมหาจุลไปหมดแล้ว ทำไมพวกท่านยังจะมานั่งก้มหน้าก้มตารัวฆ้องรัวกลองกันอยู่อีกเล่า?” หลวงจีนรูปหนึ่งซึ่งรู้ความนัยอยู่ก็ตอบยายเห่งว่า
“ยัง–ยังมีอีกอย่างไม่ได้เผาโยม นั่นแน่ะ อยู่ที่หลังประตูครัวนั่น!”
พอไซหมึ่งเข่งได้ยินเข้าเท่านั้น ก็รู้ว่าบรรดาหลวงจีนเหล่านี้ล่วงรู้ความลับของเขาเข้าแล้ว จึงเรียกยายเห่งมาหา จัดการมอบเงินมอบทองให้เอาไปถวายพระเสียให้เสร็จสิ้น แล้วนิมนต์ท่านกลับไปวัดเสียที แต่หลวงจีนองค์อาวุโสยังทำอิด ๆ ออด ๆ อยู่อีก บอกว่าท่านอยากจะขอแสดงความไมตรีแก่คุณผู้หญิงเจ้าภาพเสียก่อนเพื่อให้ศีลให้พร แต่นางพัวกิมเน้ยปฏิเสธเด็ดขาดว่านางไม่ต้องการออกมารับศีลรับพรดอก จึงยิ่งทำให้หลวงจีนเหล่านั้นโกรธมาก ต่างลุกขึ้นสะบัดก้นฮึด ๆ ฮัด ๆ กลับไปวัดทันที องค์หัวหน้ายังมีหน้าหันมาประชดให้อย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีกว่า “ดีละถ้าเช่นนั้นเราก็จะได้ลาเจ้าบ้านไปด้วยความสงบ!”
นี่ละสมกับคำพังเพยที่ว่าไว้
“กำแพงมีหู ประตูมีช่อง”
Ay Ay there are times when walls have ears ;
and no window is safe from prying eyes.
----------------------------