คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้

สาธุ, ข้าพเจ้าจะขอน้อมเกล้ามนัสการ ด้วยมโนสารจำนงต่อองค์บรมกษัตริย์ซ้งฮุยจงฮ่องเต้อันเรืองเดช อีกท้าวไท้เทเวศร์องค์อัมรินทราธิราชเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้เป็นใหญ่ ทั้งทวยเทพยดาเจ้าทั้งหลายประจำจักรราศี เสื้อเมืองทรงเมืองผู้มีหน้าที่อารักษ์อำรุงละแวกอำเภอเช็งฮ้อกุ้ย (Tsing Ho Hsien) วันนี้ข้าพเจ้าจะขออัญเชิญเสด็จลงมาร่วมชุมนุมช่วยเป็นทิพยญาณ ขอประทีป ธูป กระดาษทองเงินเครื่องเผาอันรุ่งโรจน์ จงจรุงกลิ่นขจรขจาย, ดูกรเทพยเจ้าทั้งหลาย โปรดได้เงี่ยโสตสดับรับซึ่งสัตย์ปฏิญาณ อันผองข้าพเจ้าชาวบ้านตำบลเช็งฮ้อ แห่งจังหวัดตังเพ้ง (Tung Ping Fu) แขวงมณฑลซัวตัง ผู้ข้าขอบขัณฑสีมาทั้งสิบคนนี้ จะได้กระทำซึ่งสัจกิริยาการให้ปรากฏแก่กันสืบไป ณ บัดนี้

ฟังกันให้ถนัด ฟังกันให้ถนัดด้วยคำสาบานของเขา––ชาวพื้นบ้านตำบลเช็งฮ้อทั้งสิบคน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้แห่งนั้น อันได้อ้างไว้ต่อกันเป็นถ้อยคำฉกรรจ์อยู่

“เมื่อเกิด เราต่างถือกำเนิดมากันคนละวัน คนละเวลา ทว่า, บัดนี้หากจะต้องตาย เทพเจ้าทั้งหลายจงเป็นทิพยญาณด้วยเราเถิด เราขอสาบานไว้บัดนี้ว่าจะขอตายร่วมกัน ขออำนาจสัจวาจาของเรานี้จงอย่ามีวันรู้เสื่อมสูญ, ขอความเป็นเพื่อนน้ำมิตร–เป็นพี่น้องร่วมใจของเราครั้งนี้ จงอย่ามีรู้วันเสื่อมคลายคุ้งวัน––ชั่วเดือนและตราบปี. ทรงไว้ซึ่งความมั่นคงและยั่งยืนเสมือนท้องฟ้า มีความหนักแน่นดุจความแน่นหนาของผืนดิน ขอทวยเทพยดาเจ้าผู้ทรงมหิทธิเดชทั้งหลายบรรดามี, อีกทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสกลจักรวาลจุ่งได้โปรดประทานความสถิตสถาพรให้แก่คำสาบานของเรา ณ ครั้งนี้ด้วย”.

ครั้งนั้น, ศาสนายุกาลล่วงแล้วเข้าสู่จงโฮกาลสมัย (Chong Ho epoch) มหาอาณาจักรจีนอันกว้างใหญ่อยู่ในรัชสมัยราชวงศ์ซ้ง, นิยายเรื่องนี้เริ่มขึ้น ณ ปีที่สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิซ้งฮุยจงฮ่องเต้ ขึ้นเสด็จเถลิงถวัลย์ผ่านราชสมบัติเหนือพระแท่นมังกรทองครองกรุงไคฟองมหาราชธานี ยังมีกระทาชายนายหนุ่มหนึ่งนามว่า ไซหมึ่งเข่ง เป็นชาวพื้นบ้านตำบลเช็งฮ้อ แขวงเมืองตังเพ้ง ในอาณาเขตมณฑลซัวตัง แลชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อเสียงยิ่งนักในความเป็นคนเจ้าชู้ และชอบการเล่นพนันอย่างหัวราน้ำ ทว่าเพื่อนเป็นคนร่ำรวยถึงขนาดอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะความที่เกิดมาเป็นทายาทของบิดาซึ่งเป็นพ่อค้าเครื่องสมุนไพรผู้มั่งคั่งนั่นเอง อันบิดาของเขานั้นเป็นพ่อค้าขายเครื่องยาที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีอยู่ในระหว่างเสฉวนกับกวางตุ้ง จึงเมื่อบิดามาสิ้นชีวิตลงเช่นนี้ สินทรัพย์ทั้งหลายก็ตกเป็นมรดกของไซหมึ่ง ผู้ลูกชายโดยสิ้นเชิง และปรากฏว่านอกจากเคหาสน์อันโอฬาริกชานแล่นถึงกันถึงห้าเก๋งในด้านหน้า และซ้อนลึกเข้าไปอีกถึงเจ็ดหลังคาเรือนแล้ว ยังมีทั้งคอกม้าและลาอีกเยอะแยะด้วย นอกนั้นบิดาผู้อายุสั้นผู้นี้ยังทิ้งร้านขายเครื่องยาจีนที่พึ่งเปิดกิจการใหม่ ๆ ในตลาดตำบลนั้นไว้ให้ไซหมึ่งกอบโกยกำไรอีกทั้งร้าน ก็ลงรวยกันถึงยังงี้ จะไม่ให้เจ้าหนุ่มไซหมึ่งคุยโตได้อย่างไรเล่าว่า “เฮ้ย–ตำบลนี้กูก็หนึ่งละวะ, เศรษฐีถึงไม่เยี่ยมยอดก็ไม่เป็นรองใครละเพื่อน” ถูกของเขาแล้ว หนุ่มใหญ่ผู้ทายาทวัยสามสิบสี่ของพ่อค้าเครื่องยาแซ่ไซหมึ่งนี้ มีความร่ำรวยอย่างเขาอวดอ้างจริงๆ ทว่าความมั่งคั่งร่ำรวยของเขานั้น เขาได้กระทำอย่างไรต่อทรัพย์สมบัติที่บิดาก่นสะสมหามาไว้ให้แทบล้มประดาตาย, พฤติการณ์ของเขามีดังนี้.-

ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่นิสัยของความเป็นคนไม่เอาถ่านแสดงออกมาให้เห็นประจักษ์ งานการมิได้นำพา, หนังสือหนังหารึก็ไม่ร่ำไม่เรียน ยิ่งมาสิ้นบุญบิดาไปเช่นนี้ ไซหมึ่งเข่งก็เลยยิ่งสบายใจใหญ่ เขาใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นโล้เป็นพายชนิดที่เรียกว่า “ลอยละล่องไปกับคลื่นของความสำราญ ใช้ชีวิตราตรีอยู่ในซ่องนางโลมและพวกเพื่อนเสเพล” เล่นไพ่, ดวดลูกเต๋า, เล่นหมากรุกพนัน และทายปัญหาขันต่อวางเดิมพัน ฯลฯ สารพัดความชั่วและอบายมุขนานาประการบรรดามี ไซหมึ่งเอาทั้งนั้น เหตุนี้เมื่อไซหมึ่งไปได้เพื่อน ๆ ชนิดเลวประเภทเดียวกันเข้าอีกเก้าคน มาคบหาเป็นสมัครพรรคพวกด้วยเลยเรื่องจึงไปกันใหญ่ ด้วยเจ้าพวกเพื่อน ๆ แต่ละคนนี่ก็ล้วนยอดทั้งนั้น ประจบสอพลอเป็นประการต้น, มีความประพฤติเป็นที่ไม่น่าวางใจประการต่อไป ฯลฯ ข้างพ่อเศรษฐีหนุ่มซึ่งปกติก็ไม่ปรารถนาจะใฝ่ดีอยู่แล้ว สิเจ้าเพื่อนบันเทิงทั้งเก้าใส่ลูกหนุนยุเข้าให้ ไซหมึ่งคนใจใหญ่ก็เลยละล่องไปบนคลื่นของความสำราญจนเหลิงเจิ้ง ทว่าในบรรดาเพื่อนทั้งเก้าคนของเขานี้ มีที่ถูกคอไซหมึ่งกว่าเพื่อนก็คือ เอ็งแปะเตี๊ยะ (Ying Po Kui) เอ็งคนนี้เดิมทีเป็นพ่อค้าขายผ้า เขาขายไปขายมาการค้าเกิดเจริญลง ๆ ที่สุดก็เลยล้มละลายฉิบหายวายป่วงหมดเนื้อประดาตัว ทุกวันนี้ที่อาศัยหาเลี้ยงชีพอยู่ได้ไปวัน ๆ ก็ด้วยการเป็นนายหน้าหา “ตัวอ่อน ๆ” ส่งเป็นกามสังเวยให้แก่พวกขุนน้ำขุนนางในตำบลนี้ดอก ชาวบ้านต่างแซ่ซ้องในกิตติศัพท์ชื่อเสียของเขาเป็นอย่างดียิ่ง เลยตั้งฉายาเรียกกันใหม่ให้แก่อดีตพ่อค้าผ้าไหมคนนี้เสียคมคายว่า “เจ้ายาจกเอ็ง” แต่เพื่อนก็เป็นคนมีฝีไม้ลายมืออยู่เหมือนกัน จะเล่นหมากรุกพนัน หรือว่าจะทอดลูกเต๋ากันละ เอาทั้งนั้น เตะลูกหนัง (ไม่ใช่ฟุตบอล เป็นขนไก่ยาว ๆ หลายอันปักตรึงกับแผ่นยาง ไม่พุ่งปรูดปราดเหมือนลูกบอล ลักษณะทำนองลูกแบดมินตันฉะนั้น) ก็ยังได้เก่งอีกด้วย–นี่เป็นคุณสมบัติของสหายคนแรกของเขาคือ–เอ็งแปะเตี๊ยะ

เพื่อนรองคอคนถัดมาคือ เจี้ยฮีตั้ว (Hsia Hsi Ta) พูดถึงเพื่อนคนนี้ของไซหมึ่งแล้ว ที่จริงเขาใช่คนตระกูลต่ำ ด้วยเป็นถึงหลานชายของผู้ว่าราชการเมืองคนก่อน หากพอสิ้นบุญพ่อแม่เข้าแล้วไหงเจี้ยถึงกลายเป็นคนเหลวไหลไปฉิบก็ไม่รู้ ราชการงานเมืองก็ไม่คิดจะเอาดีเอาชอบ หันเข้าเล่นกระจับปี่สีซอ ปรากฏว่าเพื่อนคนนี้ดีดพิณเป็นที่ไพเราะจับใจนัก. นี่คือคุณสมบัติของเจี้ยฮีตั้ว ผู้เพื่อนรองคออันดับสองของไซหมึ่งเข่ง

ส่วนนอกนั้น ก็มีจกสิกเหนียน (Chu Shi Nien), ซึงเทียนฮวย (Sun Tien Hua), ฮุงหลีซิ่ว (Yuen Li Shou), เสียงตี้เจียก (Chang Shi-kia), ปกจี้เต๋า (Pu Chi Tao), แปะไหลกวง (Pai Lai Kwang) และโง้วเตียงอึง (Wu Tian-en) เป็นคนสุดท้าย โดยเฉพาะเพื่อนคนออกนามทีหลังนี้ ปรากฏว่าครั้งหนึ่งเคยรับราชการเป็นที่พนักงานสำรวจท้องที่ประจำตำบลนี้มาก่อน และด้วยอาศัยเคยหากินติดต่อใกล้ชิดกันมาในฐานะนายหน้าค้ำประกันกู้หนี้ยืมสินระหว่างพวกเสมียนพนักงานในตำบล กับท่านเศรษฐีไซหมึ่งนายทุนรายใหญ่ นานวันเข้าก็เลยเกิดชอบพอคบหากันเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายกับไซหมึ่งขึ้น.

ก็เมื่อคนเลวต่อคนเลวคบค้ากันเป็นที่สบอัธยาศัยถึงเพียงนี้ ว่าข้างไซหมึ่งในฐานะนายทุนใหญ่ตั้วเฮียของเพื่อน ๆ และเจ้าเพื่อนๆ ทั้งเก้าในฐานะเพื่อนกิน เราก็พอจะสรุปพฤติการณ์ของพวกเสเพลทั้งสิบนี้ลงได้ ด้วยการอัญเชิญพระราชนิพนธ์ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ห้า มาไว้ให้ท่านพิจารณาดั่งนี้

๏ พรรคพวกเกลอพรั่งพร้อม นั่งแน่นกินเลี้ยงล้อม
เหล้าข้าวอุดม  
๏ บรรสารสมสอดคล้อง ฟังแต่คำเพราะพร้อง
จิตฟุ้งยินดี  
๏ การค้าขายเริดร้าง เล่นบ่วายว่างว้าง
แต่เช้าจนยามดึกนา  

ซึ่งน่าจะเป็นสำนวนที่สละสลวยและใกล้เคียงสำนวนเดิมตามต้นฉบับภาษาอังกฤษที่อ้างไว้ ดั่งนี้

These nine were able to profit greatly by Hsi Men's generous nature and his fortune encouraging him on every occasion to pass his night in tippling gambling and whoring”

ก็ลงได้ทอดตัวสู่แหล่งอบายถึงแค่นี้, ทั้งยังเป็นนักเลงใหญ่มีสมุนบริวารคับคั่ง กิตติศัพท์ของเขาก็ย่อมจักโด่งดังเป็นธรรมดามิว่าจะดีหรือเลว อย่างสุภาษิตเขาว่า “ที่รักกันสรรเสริญเจริญสิ้น ที่ชังนินทาแถลงทุกแห่งหน” ซ้ำท่านเศรษฐีไซหมึ่งคนนี้ นอกจากจะใจกว้างเป็นแม่น้ำแล้วสิ ยังแถมมั่งมีเงินทองอีก ฉะนั้นหน้าไหนใครเล่าที่จะไม่อยากคบค้าสมาคมกับเขา เพราะการเป็นเพื่อนกับไซหมึ่งนั้น อย่างน้อยก็สามารถที่จะขอหยิบขอยืมเงินทองกันใช้ได้ ดังนั้นจึงอย่าว่าแต่พวกขุนนางในตำบลนี้เลยที่พากันเป็นทาสน้ำเงินของไซหมึ่ง, แม้พวกท่านหัวหน้าแผนก หัวหน้ากอง หรืออธิบดีเจ้ากรมในเมืองหลวง ก็พากันสยบซบเกล้าอยู่กับรัศมีเงินตราของไซหมึ่งแห่งเช็งฮ้อนี้ไปตาม ๆ กัน อย่างน้อยที่พอจะระบุตัวได้ก็มีสี่คนละ แล้วก็มิใช่คนเล็กคนน้อยเสียอีกด้วย เป็นถึงท่านเสนาบดีชั้นใหญ่และพวกนายพลทีเดียว คือ ฉั่วจิ้ง (Tsai Ching) หนึ่ง เอี้ยเกียง (Yang Kian) หนึ่ง และอีกสองคนที่เป็นข้าน้ำเงินไซหมึ่งอยู่เช่นกัน ก็ได้แก่ขันทีชั้นสูงในราชสำนักทั้งคู่ คือ เกาสุว์ย (Kao Sui) กับตั่งกวง (Tung Kwan) บุคคลทั้งสี่คนนี้แหละที่มีเกียรติประวัติในทางคดโกง ฉ้อทั้งราษฎร์บังทั้งหลวง จนมีชื่อตราตรึงอยู่ในประวัติศาสตร์ อันเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นอาชญากรมืดผู้กำแหงหาญทั้งสี่ของราชอาณาจักร ซึ่งแต่ละล้วนได้สวาปามสินบาทสินบนเงินกู้เงินยืมของไซหมึ่งเข้าไปจนพุงกางตาม ๆ กัน. ก็คนขนาดนี้ยังเป็นไปแล้ว, ยังปรารมภ์ใยกับท่านผู้ว่าราชการในแขวงบ้านแขวงเมืองเช่นตำบลเช็งฮ้อนี้เล่า มีหรือที่ท่านไซหมึ่งของเราจะหวั่นระย่อ หากว่าการอันใดร้ายแรงจะพึงเกิดขึ้นต่อสมัครพรรคพวก หรือว่าตัวเขาเองในท้องถิ่นตำบลนี้ เฉยเสียได้ เอาหูไปนาตาไปไร่เสียเถอะ เรื่องธรรมดาๆ นี่เอง ถ้าหากว่าการอันนี้เป็นความประสงค์ของท่านไซหมึ่งจะให้เงียบเสีย ซึ่งก็สมกันดีอยู่แล้วมิใช่หรือกับคำเก่าที่ว่า “เมื่อเงินพูด, ความจริงนิ่งเงียบ”. นี่เป็นเพียงการใช้อิทธิพลอันเล็กน้อยของเขา ที่วณิพพกจะนำเอาประพฤติเหตุเหล่านี้มาเล่าสู่กันฟังให้เป็นที่สนุกสืบไปเท่านั้นเอง ด้วยเรายังมีที่จะต้องรับรู้ล่วงล้ำเข้าไปถึงประวัติชีวิตส่วนตัวของเขาอีกมากมายนัก ในฐานะที่เขาเป็นถึงผู้มั่งคั่งหมายเลขหนึ่งประจำตำบลเช็งฮ้อนี้.

นอกไปเสียจากบ้านหลังใหญ่, คอกปศุสัตว์อันล้นหลามไปด้วยม้าและลา กับร้านเครื่องยาในตลาดอีกร้านหนึ่งที่เป็นมรดกของเขาดังกล่าวแล้ว ยังปรากฏว่าเศรษฐีไซหมึ่งผู้นี้มีลูกสาวอยู่กับเขาอีกคนหนึ่งด้วย ก็ต้องเป็นของแน่ ลงคนเราอายุตักเข้าไปร่วมจะสามสิบแล้วจะไม่ให้มีเมียมีลูกได้ยังไง ซ้ำยิ่งเป็นชนจีนผู้เคร่งขนบและถือประเพณีด้วย ขืนอายุป่านนี้ยังไม่ได้แต่งงานมีเหย้ามีเรือนก็ผิดวิสัยคนจีนไปละ แต่ทว่าเมียเศรษฐีไซหมึ่งคนที่เกิดลูกสาวด้วยกันนั้น มิได้บอกชื่อเสียงเรียงนาม จึงจำต้องขอผ่านไปโดยไม่รู้จักชื่อเช่นกัน ส่วนลูกสาวที่ยังคงอยู่กับพ่อขณะนี้ ก็มีเศรษฐีอีกผู้หนึ่งมาทำการสู่ขอหมั้นหมายเอาไว้แล้ว ยังอยู่ชั่วแต่จะรอจัดแต่งงานกันให้เป็นที่เอิกเกริกสมหน้าสมตา ข้างไซหมึ่งคนผู้เป็นพ่อของลูกสาวเล่า เมื่อเมียเก่าตายไปแล้ว จะมาเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นพ่อหม้ายพริ้มเพราโดดเดี่ยวหรือก็กระไรอยู่ ด้วยปกติวิสัยเพื่อนเป็นคนขาด “ความฟอนสวาท” ไม่ค่อยได้อยู่แล้ว จึงพอสิ้นเมียคนแรกไปไม่นานนัก ท่านเศรษฐีมีชื่อผู้นี้ก็แต่งงานใหม่อีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้คว้าเอาลูกสาวคนสวยของท่านโง้ว (Wu) เกาวะนาฝ่ายซ้ายของตำบลเช็งฮ้อเลยทีเดียว อันภรรยาคนใหม่ของไซหมึ่งคนนี้ เมื่อพูดถึงวัยอายุ ๒๕ ปี นี่ทางไทยถือว่าเป็นวัยเบญจเพส ทว่าธรรมเนียมจีนคงไม่ถือ ส่วนความงามของเธอนั้น, มูน เมดเดน (Moon Maiden) เป็นนามนิยมก่อนแต่งงาน พิจารณาเถิด หญิงสาวที่มีความงามเสมือนดวงจันทร์อย่างกวีชอบยกย่องนี้จะงามแค่ไหน? ครั้นเมื่อเธอเข้ามาเป็นศรีสะใภ้ของตระกูลไซหมึ่งแล้ว จึงถูกเรียกเสียใหม่ให้กะทัดรัดว่า วัวยะไน้ หรืออย่างไทย ๆ จะว่า คุณนายดวงแข (Lady Moon), ก็ย่อมได้ แรกเข้ามาอยู่บ้านสามีนั้น เธอมิเคยเลยแก่อัธยาศัยและความประพฤติอันเสเพลของบุคคลเช่นสามีมาแต่ก่อน เพราะตามธรรมดาเธอเป็นกุลสตรีผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน ละมุนละม่อม ทั้งมีความขยันขันแข็งในกิจบ้านการเรือนเป็นอย่างยิ่ง แต่อาศัยที่เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด รอบรู้การใดควรการใดไม่ควร ดังนั้นไม่กี่วันนักก็สามารถปรับปรุงนิสัยใจคอให้รับได้ต่อทุกสถานการณ์อันเป็นความประพฤติเสเพลของสามี ทั้ง ๆ ที่ความจริงเธอแสนจะจำใจฝืนปฏิบัติ การในบ้านใหญ่แต่ไซหมึ่งหลังนี้ จึงเป็นไปด้วยดีสืบมา.

อนึ่ง, เหตุการณ์ในครัวเรือนของไซหมึ่งนี้ นอกเสียจากคุณนายดวงแขผู้เป็นเอกภรรยาของเขาแล้ว บ้านช่องที่นัยว่ากว้างถึงห้าห้อง และลึกซ้อนเข้าไปอีกถึงเจ็ดหลังคาเรือนนี้ ยังเป็นที่อยู่ของบรรดาเมียน้อยเมียรองท่านเศรษฐีไซหมึ่งอีกมากหน้าหลายตา ที่รู้ชัด ๆ ก็สองละ คือ ลีเกียวเจ๊ (Li Kiao) หนึ่ง, กับโต๊ะยีเจ๊ (Cho Tui) อีกหนึ่ง แม่เมียสองคนนี้จัดอยู่ในขั้นอนุภรรยา ทว่าต้นฉบับก็คงไม่ได้ให้ความสว่างอันใดเกินไปกว่าที่บอกไว้เพียงว่า อันโฉมแม่นางโต๊ะ-ยีนั้น ร่างระหงอ้อนแอ้นเป็นยิ่งนัก ฉะนั้นน่าอยู่หรอกที่คงจะสวยเอาการ อนึ่งอดีตประวัติของนางกล่าวกันว่า นางโต๊ะยีเคยเป็นยอดดาราในหมู่หญิงงามเมืองประจำการในซ่องคณิกาของตำบลเช็งฮ้อนี้เองมาก่อน ส่วนพวกเมียอันท่านไซหมึ่งไม่ออกหน้ายังมีอีกตั้งสองสามคน ถึงแม้จะอุดมสมบูรณ์ด้วย “ของสดของคาว” ประจำบ้านถึงปานฉะนี้ ใช่ที่ไซหมึ่งจะพึงพอใจ หรือคิดจะอิ่มหนำสำราญก็หามิได้ เพื่อนคงเที่ยวใฝ่แต่ฟอนหาความสำราญต่อการซ่องเสพกามสุขารมณ์อยู่อย่างไม่ยับยั้ง ในท่ามกลางสายลมอันเย็นฉ่ำระรื่น, และภายใต้แสงนวลสดชื่นของดวงจันทร์. หรือไม่อีกทีก็เที่ยวได้ลักลอบเป็นชู้กับลูกเขาเมียเขาตะบี้ตะบันไป––อา นี่ละชีวประวัติอันไร้สาระยิ่งในตอนต้นของคนๆ หนึ่ง ที่โชคสร้างให้เขาเกิดมาในกองเงินกองทอง แต่วาสนาส่งให้เขาถลำลงไปสู่แหล่งอบาย อย่างไม่น่าจะกลับตัวได้เลย

อยู่มาวันหนึ่ง, ไซหมึ่งได้ปรารภแก่นางดวงแข ผู้ศรีภริยา ถึงการอันจะจัดงานเลี้ยงชุมนุมบรรดาเพื่อนสนิทมิตรทั้งเก้าของเขาขึ้น ให้เป็นการเอิกเกริกประจำปีเช่นเคยกระทำมา เขาขอร้องแก่นางว่าให้ช่วยตระเตรียมจัดหาอาหารไว้รับรองเพื่อน ๆ ในงานเลี้ยงครั้งนี้ให้เป็นที่เรียบร้อย กับอีกสิ่งหนึ่งที่อย่าให้ขาดได้นั้นคือ ให้ช่วยหานางนักร้องไว้ขับลำในงานด้วยสักสาม-สี่นาง.

ทว่า คุณดวงแขได้ขัดขึ้นด้วยอารมณ์ชังเสียก่อน มิทันให้สามีได้พูดจบว่า “วานเถิด–วานอย่าได้เอ่ยชื่อมนุษย์กเฬวรากเหล่านี้ให้ข้าพเจ้าได้ยินเลย ข้าพเจ้าขอถามท่านสักหน่อยว่า เจ้าเพื่อนๆ ของท่านเหล่านี้ ยังเป็นคนเหมือนเขา ๆ อื่นอยู่ดอกหรือ? ท่านเห็นดีเห็นงามอย่างไรเทียว ถึงจะได้ลงทุนเชื้อเชิญให้เจ้าพวกผีนรกเหล่านี้เข้ามายุ่มย่ามในบ้านในช่องของเรา แน่ะข้าพเจ้าจะบอกให้ทราบ ท่านนั้นควรจักได้ไปเยี่ยมดูอาการโต๊ะ-ยีเสียบ้าง นี่ก็ยังนอนเจ็บแบบอยู่! ไซหมึ่งจึงตอบคำนางว่า การครั้งนี้เป็นหน้าที่เรา อันจะละเลยเสียนั้นมิได้ นางอย่าได้กังวลแก่สิ่งใดเลย คำใดเราแจ้งแก่นางคำนั้นเป็นคำสั่งที่นางพึงปฏิบัติ นางอาจมองเพื่อน ๆ เราไปในทางที่ผิดพลาดก็เป็นได้ แต่ว่าตราบใดที่เรายังคบค้าติดต่อกันอยู่กับสหายเหล่านี้ ตราบนั้นนางควรปฏิบัติด้วยดีต่อเพื่อนทั้งเก้าของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเอ็งและเจี้ย คนอันเป็นยอดสหายทั้งสองของเรา ครั้งนี้เรากำหนดการไว้ในใจแล้วว่า เราจะกระทำอะไรบ้าง การอันสักแต่ว่ามาร่วมกินเลี้ยงรื่นเริงสนุกเฮฮาไร้สาระอย่างเคยนั้นไม่เอาละ เราตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงชุมนุมเพื่อน ๆ คราวนี้ไปในทางเพิ่มพูนความสามัคคี และจะให้มีการผูกพันกันด้วยสัตย์ปฏิญาณเป็นพี่เป็นน้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ดวงแขฟังสามีกล่าวจบก็ติงขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยนักว่า ฟังดูที่ตั้วกัวยิ้งท่านพูดก็เข้าทีอยู่ดอก ทว่าเกรงจะเป็นการผูกพันสามัคคีและเพิ่มพูนพี่น้องแต่เฉพาะท่านเท่านั้นเอง ไซหมึ่งได้ยินภรรยากล่าวกระทบ เขาก็หัวเราะและบอกว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ก็ยิ่งดีนะซิ ชอบนักละเรื่องช่วยเหลือใครต่อใคร” แล้วเขาก็ตัดบทเสียว่า “เอาเถอะ แล้วเราจะปรึกษาเอ็งเขาดู” ก็พอดีมีเสียงขานเข้ามาแต่ข้างนอกว่า “อาแปะเอ็ง กับอาเจ็กเจี้ย มา!” ไซหมึ่งก็รีบกระวีกระวาดออกมารับรองทันที

วันนี้อดีตพ่อค้าไหมแต่งตัวหรูหรา เขาใส่เสื้อนวมไหมเพลาะสีฟ้าน้ำเงินกลางเก่ากลางใหม่ ทว่าสวมหมวกแพรย่นสีดำรีดเรียบไม่มีรอยยับ แถมใส่ถุงน่องรองเท้าเป็นที่สะอาดสะอ้านดูโอ่อ่าอยู่ พอเห็นหน้าเพื่อนคนรองเข้า ตั้วกัวยิ้ง, ก็ถามขึ้นว่า พวกเขาหายหน้าค่าตาไปไหนกันมาถึงได้มาเอาสายป่านนี้ สองสหายหัวประจบก็ตอบว่า มิได้ไปข้างไหนกันมาดอก เพียงแต่เมื่อวานซืนนี้เดินผ่านไปทางบ้านยายลีซัมม้า เลยแวะเข้าไปเยี่ยมแกเสียหน่อย เจอแม่หนูน้อยหลานสาวนางลีเกียว ภรรยาคนที่สองของท่านเข้า ว่าแต่พี่ท่านยังจะจำนางได้อยู่หรือไม่เล่า? เดี๋ยวนี้แม่หนูนี่สวยขึ้นมาแล้วนะ จะบอกให้รู้ไว้ ยายแกมาคะยั้นคะยอพวกเราให้ช่วยหาลูกเขยรูปหล่อให้แกสักคนเร็ว ๆ หน่อย เพราะแกกลัวไปว่า ขืนช้าตั้วกัวยิ้งก็จะไปเอามาเก็บเสียอีก.

“ฮ่ะ สวยแน่รึ?” ไซหมึ่งเข่งตาลุกขึ้นมาทันที คุยกันถึงเรื่องเช่นนี้ละก็หามรุ่งหามค่ำก็ยังได้ เขาบอกพวกเพื่อน ๆ ว่า “ดีละ ไว้ว่าง ๆ เขาจะย่องไปดูให้เห็นประจักษ์แก่ตาให้จงได้” แต่ที่เป็นความประสงค์อันแท้จริงของเขานั้น คืออยากจะรู้ว่า พวกเขาเหล่านี้ไปไหนต่อไหนกันมาอีก เมื่อซักไซ้ไล่เลียงอยู่เป็นครู่แล้วจึงว่า พวกเขาได้ไปอยู่ช่วยงานศพปกจี้เต๋าที่บ้าน. และเมื่อพูดถึงปกจี้เต๋า, สหายผู้ล่วงลับคนนี้ขึ้นมา, ไซหมึ่งเข่งก็ปรารภว่า มิน่าเลยที่เพื่อนคนนี้จะอายุสั้น เพราะเมื่อไม่กี่วันนี้เอง จี้เต๋ายังได้เอาพัดเสฉวนมาให้เป็นของขวัญแก่เขาหยก ๆ ไหงอยู่ๆ มาด่วนตายจากไปเสียได้ก็ไม่รู้ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะให้อะไรเป็นของตอบแทนแก่ผู้ตายดีเล่า ถ้าผิดไปเสียจากกระดาษเงินกระดาษทอง!

แต่เจี้ยขัดขึ้นเสียก่อนว่า เรื่องอื่น ๆ นั้นพักไว้ก่อนเถิด มาปรึกษากันถึงว่าจะหาใครมาร่วมสมัครพรรคพวกครบสิบคนตามจำนวนของเรา เพื่อจะได้ทันเวลาจัดงานร่วมชุมนุมกันในโอกาสที่จะมาถึงวันสองวันข้างหน้านี้.

“ตั้วเฮียเลือกเองก็แล้วกัน หาคนที่เขาสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก ๆ แหละดี” เจี้ยบอก.

ตั้วเฮียใหญ่ของคณะก็ว่า พอเหมาะทีเดียว เขาเองก็พึ่งจะได้เจรจาเรื่องนี้อยู่กับตั้วเจ๊มาหยกๆ ว่าแต่พวกเพื่อน ๆ ยังจะมีความเห็นแตกต่างอย่างใดบ้างลองให้ความคิดเห็นกันมา สำหรับเขานั้นเห็นว่า การนัดพบเพื่อนฝูงครั้งนี้ อยากจะให้ทำเป็นพิธีรีตองสักหน่อย เอากันให้เป็นจริงเป็นจังทีเดียว อย่างที่จะไปร่วมวงกินเหล้าเอะอะเฮฮาเช่นเคยมานั้นดูออกจะไร้สาระไป. ไซหมึ่งให้ความเห็นสืบไปว่า เขาอยากให้เพื่อนฝูงได้ร่วมกันทำสาบานเป็นพี่เป็นน้อง คิดช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ซึ่งเห็นว่าจะเป็นการเหมาะกว่า และเขายังรับรองอีกว่า สำหรับเครื่องเซ่นเครื่องสรวงอะไรต่ออะไรนั้นเป็นหน้าที่ของเขาเอง เขารับจะจัดการให้เรียบร้อย ขอให้พวกเพื่อนๆ ไปช่วยกันเรี่ยไรมาตามมีตามได้เถิด เพื่อจะได้มีส่วนเป็นเจ้าภาพร่วมกันในพิธีนี้โดยทั่วถึง “เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดี” เขาบอก.

เอ็งแปะเตี๊ยะก็รับว่า ความคิดของไซหมึ่งที่เสนอมานี้วิเศษแท้ หากแต่มีที่อึดอัดอยู่หน่อยสำหรับพวกเขาก็ตรงที่ว่า ฐานะของเขาแต่ละคนฝืดเคืองเต็มที ห่างไกลกันคนละชั้นนักกับตั้วเฮียท่าน เอ็งย้ำให้ท่านตั้วกัวยิ้งได้ตระหนักถึงสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาโดยอ้างว่า “อันพวกข้าพเจ้า แต่ละคนนั้น เปรียบแล้วก็เสมือนหนูขี้เรื้อนหางเป็นหนอง แม้จะมีน้ำเหลืองกับเขาติดอยู่บ้าง ก็ชั่วแต่น้ำเหลืองในหางหนู ไม่มากมายอันใดเหมือนเขาดอก”

ไซหมึ่งก็ว่า พูดเป็นบ้าไปใครเล่าจะมาขูดเลือดขูดเนื้อกับพวกเขา แล้วเขาก็หัวเราะอย่างชอบใจในคำออกตัวของเพื่อน ๆ.

“ว่าแต่ว่าพี่ท่านจะเลือกเอาใครเล่าเข้ามาเป็นสมาชิกในคณะพรรคของเราแทนปกจี้เต๋า ให้ครบถ้วนตามจำนวนที่เคยมี” เจี้ยฮีตั้วถามขึ้น. ไซหมึ่งก็นั่งอึ้งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก็บอกว่า เขาอยากได้ฮวยจื้อฮือ (Hua Tze Hsu) เศรษฐีหนุ่มเพื่อนบ้านคนที่อยู่เรือนใกล้เคียงกับเขานี้แหละเข้ามาเป็นสมาชิกแทน.

เขาถามพวกเพื่อน ๆ ว่ายังจะเห็นเป็นอย่างไรสำหรับฮวยคนนี้ “ท่านฮวยยีกอผู้ที่เราเอ่ยชื่อมานี้ ว่าไปแล้ว เขาเป็นคนมือเติบและใจคอกว้างขวาง ศักดิ์ของเขาก็เป็นถึงหลานชายของท่านขันทีใหญ่แซ่ฮวยผู้นั้น เห็นว่าสมควรอยู่”

เอ็งฮวยจื๊อ หรือยาจกเอ็ง ได้ยินดังนั้นก็ถามขึ้นว่า “ฮวยจื้อฮือคนที่พี่ท่านเอ่ยชื่อมานี้ ยังจะใช่คนคนเดียวกับจื้อฮือ เจ้าหนุ่มขาประจำนางโง้วยี้นั้นอยู่หรือ?” ตั้วเฮียรับว่าใช่ เอ็งก็พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดีน่ะซี พี่ท่านรีบให้คนไปเชิญเขามาเร็ว ๆ เข้าเถิด วันนี้เราได้เจ้ามือเลี้ยงอาหารแล้ว” ไซมึ่งได้ฟังคนมือสองรองคอพูดเชิงเห็นแก่กินเช่นนั้น ก็ไม่พอใจตะเพิดเอาว่า “พวกเรานี้ช่างกระไร ทำเป็นคนตายอดตายอยากไปได้ ก็ลองไม่นึกถึงเรื่องกินเสียบ้างดูซิ ว่าอกจะแตกตายหรือไม่อย่างไร?” ทว่าคำเตือนของลูกพี่นี้หาได้มีความหมายต่อเจ้าพวกผีนรกดังที่ตั้วเจ๊เรียกเหล่านี้ไม่ ทั้งคู่กลับพากันหัวเราะด้วยความหน้าด้านเสียอีก.

เมื่อได้เจรจากันสักครู่จนเป็นที่ตกลงปลงใจแก่การแล้ว ไซหมึ่งก็เรียกไต้อังมาหา ให้นำจดหมายไปให้ฮวยกอ คนอันเป็นเพื่อนบ้านผู้มั่งคั่งคนนั้น.

แลระหว่างที่สามสหายนั่งรอฟังข่าวตอบจากบ้านฮวยจื้อฮืออยู่นี้ ต่างก็ปรึกษากันว่า การจะไปทำพิธีสาบานเป็นพี่น้องครั้งนี้จะหาสถานที่ที่ไหนดี จะทำกันที่บ้านนี้ หรือว่าจะไปทำพิธีกันที่ศาลเจ้า, เจี้ยให้ความเห็นว่า ถ้าจะไปทำพิธีกันที่ศาลเจ้าละก็เขาเห็นมีอยู่สองศาลเจ้าที่นับว่าศักดิ์สิทธิ์และมีผู้คนนับถือขึ้นหน้าขึ้นตาอยู่ คือ ศาลหย่งฮกยี (Yung Fu Se) อันเป็นศาลพระโพธิสัตว์ในนิกายพุทธหนึ่ง, กับศาลเง็กอ๊วงเบี้ย (Yu Huang Miao) ของเง็กเซียนฮ่องเต้ จอมเทพารักษ์ในนิกายเต๋าอีกหนึ่ง, ไซหมึ่งก็ว่า ตัวเขานั้นปรารถนาจะได้ไปกระทำพิธีสาบานครั้งนี้ที่ศาลเด็กอ้วงเบี้ย เพราะคุ้นเคยกันดีอยู่กับท่านสมภารโง้ว (Priest Wu) เจ้าอาราม, เพราะที่ศาลพระโพธิสัตว์นั้นเจ้าอาวาสของศาลกับเขามิคุ้นเคยกัน และอีกประการ, การทำสาบานเช่นนี้ก็ไม่เกี่ยวกับพิธีทางพุทธศาสนา เห็นว่าไปสาบานกันที่ศาลเต๋าจะดีกว่า ทันใดนั้น เอ็งฮวยจื๊อก็พูดสอดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวก่อน ที่ท่านว่าไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับท่านสมภารวัดหย่งฮกยีนั้น ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่ว่าสมภารวัดนี้สนิทสนมคุ้นเคยกันดีกับเมียของเจี้ยมิใช่หรือ? ถ้ากระไร ข้าพเจ้าเห็นว่า พวกเราน่าจะได้ไปทำพิธีคราวนี้กันที่ศาลโพธิสัตว์จะดีกว่า––” ซึ่งยังผลให้เจี้ยหันขวับมาทำตาขุ่นตาเขียวเข้าให้ เขาบ่นกะปอดกะแปดว่า “เอ็งละก็ชอบพูดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องเสมอ”

อีกสักครู่ต่อมาไต้อังยี้ก็กลับ เขารายงานให้ท่านตั้วกัวยิ้งทราบว่า ขณะนี้จื้อฮือไม่อยู่บ้าน แต่เขาได้มอบจดหมายให้ไว้แก่ภรรยาของฮวยแล้ว มิเห็นนางพูดว่ากระไร เพียงแต่สั่งให้มาบอกท่านตั้วกัวยิ้งว่า “นางรู้สึกเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งที่ท่านมีความระลึกถึงสามีของนาง แม้ในโอกาสอันสำคัญเช่นนี้ นางมั่นใจว่าท่านฮวยกอของนางก็คงจะต้องชื่นชมต่อเกียรติยศที่ท่านมอบให้ในโอกาสนี้เช่นกันเป็นแน่ และนางรับปากว่าจะแจ้งให้ท่านฮวยจื้อฮือมาพบกับท่านจงได้ตามวันกำหนดนัด และที่ยิ่งกว่านั้น ไต้อังยังบอกสืบไปอีกถึงว่า เมื่อเขาลานางกลับ นางได้ให้ขนมเบื้องแก่เขามากินตามทางอีกสองชิ้น, ไซหมึ่งเข่งฟังเด็กคนใช้รายงานจบ ก็ปรารภขึ้นเบาๆ ว่า “นางช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารักเสียนี่กระไร”

และหลังจากที่เขาทั้งสามนั่งดื่มน้ำชาสนทนาพาทีกันอีกชั่วครู่ สหายทั้งสองก็ขอตัวลากลับ เขารับปากว่าจะรีบไปแจ้งข่าวนี้แก่เพื่อน ๆ อีกหกคนที่เหลือให้ทราบทั่วกัน แต่เขายังมิได้กลับก่อนแต่ที่จะกำชับไซหมึ่งเข่ง ถึงนางมโหรีงาม ๆ ดั่งว่า.

เช้าแรกของวันต้นเดือนถัดมา ซึ่งเป็นเดือนที่กำหนดนัดหมายจะกระทำพิธีสาบานตัวเป็นพี่น้องของพวกเขาเหล่านี้ ขณะที่เจ้าสัวไซหมึ่งเข่งสำราญอารมณ์อยู่ ณ ห้องแม่นางดวงแข ก็มีเด็กรับใช้รุ่นหนุ่มผู้หนึ่งจากบ้านหลานชายท่านขันทีใหญ่แซ่ฮวยมาหา เขานำเอากล่องของขวัญลายทองสีสดมาให้ และบอกว่า ท่านฮวยกอให้เขานำมามอบให้เป็นของชำร่วยในวันงานเลี้ยงที่เชิญไป อนึ่ง ท่านฮวยได้ฝากความเสียใจอย่างสุดซึ้งมาด้วยเป็นอย่างมากในวันนั้นที่เผอิญมิได้อยู่บ้าน จึงมิได้รับทราบข่าวในทันท่วงที และของชำร่วยที่ท่านฮวยกอมอบให้มานี้ก็มีมูลค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากมีที่ขาดตกบกพร่องอย่างใด ท่านฮวยกอสั่งให้เรียนแก่ท่านตั้วกัวยิ้งว่าขอได้กรุณาแจ้งไปให้ทราบด้วย เพื่อที่จักได้สมณาคุณต่อท่านอีกตามควร.

ไซหมึ่งรับกล่องมาดู ก็ทราบทันทีว่าเป็นเงินแท่ง จึงบอกขอบใจไปกับเด็กรับใช้ผู้นั้น และย้ำว่าอย่าให้ท่านฮวยกอลืมวันนัดมะรืนนี้เป็นอันขาด.

แต่ยังมิทันที่เด็กรับใช้บ้านจื้อฮือจะลับตัวไป ก็มีเด็กรับใช้อีกคนหนึ่งนำกล่องของชำร่วยมามอบให้เขาอีกเช่นกัน คราวนี้เป็นของเอ็งแปะเตี๊ยะ ปรากฏว่าในกล่องนั้นเป็นซองเล็ก ๆ อยู่แปดห่อ เขารับแล้วก็ส่งให้นางดวงแข แล้วก็เดินเลยไปห้องนางโต๊ะยี่เจ๊ แต่ทว่ายังมิทันที่เขาจะได้หย่อนก้นลงโอภาปราศรัยกับเมียคนที่สองนี้ ตั้วเจ๊, ก็เกิดใช้ให้คนมาตามกลับไปที่ห้องของนางอีก เมื่อเขาย้อนกลับมาที่ห้องนางคราวนี้ ปรากฏว่าของชำร่วยทั้งแปดห่อที่เอ็ง–ฮวยจื๊อ ส่งมาให้วางแบอยู่ต่อหน้านางหมดแล้ว

“ดูซิพี่ ของชำร่วยเหลือเฟือที่สหายเอ็งของท่านเรี่ยไรมาให้” นางประชดประชันแก่สามีชี้ให้เขาดู พลางหัวเราะอย่างขบขัน “นั่นไงล่ะ เงินก้อนสลึงกว่า ๆ ของเอ็ง นอกนั้นก็ก้อนละสามหุนบ้าง, ห้าหุนบ้าง บอกตรง ๆ ข้าพเจ้าเห็นแล้วทุเรศตาเหลือเกิน พึ่งจะเคยได้พบเห็นก็หนนี้แหละ ราวกับว่าไปเที่ยวได้เก็บเศษเงินตก ๆ มาจากฮวงซุ้ยร้างๆ ยังงั้น เอาคืน ๆ เขาไปเสียเถิดพี่ ขืนรับเอาไว้ก็รังแต่จะเป็นเสนียดแก่บ้านเรา” ไซหมึ่งก็กลบเกลื่อนเสียว่า ช่างมัน เมื่อเงินไม่ดีก็เอาเงินของเราออกไปก่อนก็แล้วกัน อย่ามัวไปคิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ให้เปลืองอารมณ์เลย

รุ่งวันต่อมา ก่อนถึงวันกำหนดนัด ไซหมึ่งก็จ่ายเงินให้คนใช้ไปสี่ตำลึง เพื่อไปจัดซื้อเครื่องเซ่นจ้าว เป็นต้นว่า หมู, แกะตอน, เป็ด, ไก่ แล้วก็เหล้าแดงยี่ห้อดอกไม้ทองอีกหกเหยือก พร้อมทั้งธูปเทียนและกระดาษเงินกระดาษทองพร้อม สำหรับจะได้ไว้ใช้จุดบวงสรวงสังเวย เขาทั้งสั่งให้คนใช้ไปช่วยด้วยกันอีกสองคน เพื่อจะได้ขนของไปให้ท่านโง้วเต๋ากัว ที่ศาลเง็กอ๊วงเบี้ย.

ครั้นลุถึงวันอันกำหนดหมาย สหายทั้งเก้าก็มากันพร้อม ณ บ้านของไซหมึ่งเข่งตั้งแต่เช้ามืด เจ้าของบ้านก็จัดการเลี้ยงอาหารเบา ๆ สำหรับมื้อเช้า เพื่อเป็นการรองท้องไว้สำหรับการจะออกเดินทางไปสู่ศาลเง็กอ๊วงเบี้ย–––ของเจ้าพ่อผาเผือก–เง็กเซียนฮ่องเต้ แห่งนั้น.

แลถนัด, ในเบื้องหน้าโน่นก็วิหารใหญ่สูงยอดทยานโพยมพยับเมฆ. แลหลังคาก็ลิบลิ่วดูดิเรกชะง้ำชะเงื้อมตา แสนจะวิจิตรจำรัสโอฬารจำเริญนัก ตัวศาลก็เสลาสลักตะละล้วนหินทั้งแท่งทึบควรจะพึงชม เบื้องบนซุ้มทวารทางเข้าสู่อาศรมก็จำรึกจำหลักลายรายด้วยแปดอักขระทอง ยามเมื่อพระสุริยะส่องสาดระดม ก็กระทบกระท้อนวะวาวตา ณ ข้างภายในอาณาบริเวณอาวาสวัด ก็เลี้ยวลอดลดลัดติดต่อกันด้วยหนทางเดินเป็นสามช่อง ส่วนภาคภายในห้ององค์มหาวิหารซึ่งเป็นศาลใหญ่ ก็แลพิลาสเลิศลักษณะพิไลไปด้วยสีสันแซมสอดสลับ บ้างก็เหลืองวะวาบวับวะวาวตา บ้างก็เขียวสดขจี ช่างเป็นที่น่าทัศนานี่ล้นพ้น พิศเพดานยกผลตลอดยอดจังทันชั้นช่อฟ้าใบระกาก้อง สมเป็นมหาวิหารห้องที่สิงสถิตประดิษฐ์ซึ่งธรรมบูชา, ด้วย ณ กึ่งกลางศาลศาลาเป็นที่ตั้งสักการะองค์พระคัมภีร์ตรีปิฎกวากย์ (Old Ancestors of Threefold Purity) อันหายอดเยี่ยมยากที่ใครจักตรัสรู้ได้ ต่อถัดไป ณ ศาลเล็กหลังย่อม จึ่งถึงศาลเทพบูชา อันมีรูปท่านอภิปรัชญาเล่าจื๊อ สถิตอยู่บนหลังกระบือดำ.

ต่อล่วงประตูหลังศาลย่อม ๆ นั้นออกไปจึงถึงบริเวณอันอยู่ในความดูแลของท่านสมภารโง้ว สองข้างทางที่ผ่านเป็นสนามหญ้าสีเขียวชอุ่มสด มีกอไม้ดอกนานาพรรณปลูกอยู่รอบสนามสี่เหลี่ยมนั้นไกลออกไปเป็นหมู่สน, ซึ่งสีเขียวเข้มของมันตัดกับสีเขียวอ่อนลออของหย่อมไผ่ ทำให้บังเกิดเป็นสีสันที่ควรแก่ทัศนียภาพเป็นยิ่งนัก ต่อเมื่อแหงนหน้าขึ้นดูที่บานประตูทางเข้าสู่ศาลฯ จึงประสบคำจารึกที่สลักไว้บนบานประตูทั้งสองนั้นว่า.-

In These our spirit grottoes

Time and space are forgot;

Within our magic islands

Pleasure and pain are not.

ซึ่งถอดถ่ายออกมาเป็นภาษาไทยก็คงจะได้ความว่า.

ณ อาศรมอันเป็นที่บำเพ็ญพรตของเรานี้

กาล” และ “อวกาศ” มิได้มี;

ในดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์นี้

ความยินดี แล ยินร้าย” ก็มิได้ปรากฏ

ห้องสามห้องที่อยู่ด้านหน้าของศาลนั้น เป็นกุฎีที่พำนักของท่านสมภาร ถัดเข้าไปข้างในเป็นที่สำหรับบำเพ็ญเพียรตามลัทธิ ซึ่งวันนี้ได้รับการปัดกวาดเช็ดถูไว้เรียบร้อยเป็นพิเศษเพื่อรับรองท่านผู้มีเกียรติ ตรงกลางศาลนั้นแขวนรูปเง็กเซียนฮ่องเต้ไว้ ต่อถัดไปตรงผนังห้องที่ติด ๆ กันนั้น จึงเป็นรูปแชกุนกับรูปบรรดานายพลผู้ทรงพลังทั้งสี่แห่งโลกธาตุของจีน หรือนัยหนึ่งเสมือนเทพยเจ้าแห่ง ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ รูปเทพยเจ้าเหล่านี้ล้วนอยู่ในอิริยาบถอันยิ้มแย้ม กอปรด้วยความปรานีต่อผู้มาสักการบูชา แลตัวท่านสมภารโง้วเอง ก็ออกมาคอยต้อนรับขับสู้สหายทั้งสิบอยู่ด้วยจริยวัตรอันละมุนละไม.

หลังจากที่นั่งสนทนากันสักครู่พอหายเหนื่อยแล้ว ต่างก็เที่ยวเดินชมกันทั่วบริเวณศาล ครั้นมาถึงรูปเทพารักษ์องค์หนึ่ง แปะไหลกวงก็ร้องเรียกเพื่อนฝูงให้มาดูลั่นไปหมด เพราะรูปของท่านผู้นี้มีเสือโคร่งยืนขนาบอยู่ข้าง ๆ ด้วย.

“ดูเสือของเจ้าพ่อองค์นี้ซิ” แปะพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น

“ถ้ามันคงจะถือศีลกินเจ หรือไม่เช่นนั้นก็คงไม่สบายแน่ๆ!”

แล้วต่างก็ถกเถียงกันอยู่ถึงเรื่องเสือตัวนี้ด้วยความตลกคะนอง

และขณะที่พวกนี้คึกคะนองอยู่โดยปราศจากความคารวะต่อสถานที่ กำลังถูกกันเป็นที่ครื้นเครงนั้น ก็พอดีไซหมึ่งเข่งเดินมาถึง เขาก็พลอยทำกิริยาเสเพลตามไปด้วยกับบรรดาสหายเหล่านั้น. ท่านสมภารโง้วซึ่งเดินตามดูมาด้วยเรื่อย ๆ อดรนทนไม่ได้จึงกล่าวขึ้นว่า “พวกท่านกำลังพูดกันอยู่ถึงเรื่องเสือก็ดีแล้ว อาตมาภาพอยากจะบอกให้ทราบเสียด้วยว่า เดี๋ยวนี้สัตว์ชนิดที่พวกท่านกล่าวขวัญถึงอยู่นั้น กำลังอาละวาดรบกวนชาวบ้านตำบลใกล้เคียงอยู่ และได้ล้างผลาญเอาชีวิตผู้คนแถบนั้นไปเสียหลายศพแล้ว พวกพรานชาวบ้านชวนกันออกล่าเจ้าเสือร้ายตัวนี้อยู่ทุกวัน แต่มันก็เล่นงานเอาชีวิตพวกพรานเหล่านั้นไปได้เรื่อย ๆ ถึงสิบคนแล้ว––”

ไซหมึ่งเข่งถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ!

“จริงๆ นะ, นี่พวกท่านมิได้กระเส็นกระสายข่าวนี้กันดอกหรือ? อาตมาภาพที่ได้รู้ก็เพราะศิษย์คนหนึ่งซึ่งอาตมาภาพใช้ให้ไปรับนิตยภัตจากโยมอุปัฏฐากที่ตำบลห่วยไหกุ๊น แขวงเมืองซังจิวฮู้ กลับมาเล่าให้ฟังดอก เขาเล่าว่า เมื่อตอนขากลับขณะผ่านเทือกเขาเก้งเอี่ยง (King Yang) ได้เจอเสือโคร่งเข้าตัวหนึ่ง นัยน์ตาโปนเขียวปั้ดมีด่างขาวพาดที่หน้าผาก ทุกวันนี้ศิษย์อาตมาผู้นั้นบอกว่า ไม่มีใครกล้าเดินผ่านภูเขาลูกนี้แต่ลำพังแล้ว. หากพ่อค้าหรือคนเดินทางจะข้ามเขาลูกนี้เมื่อใด ก็ต้องหาสมัครพรรคพวกชวนกันหลายๆ คนถึงจะไปได้ เป็นที่เดือดร้อนมากจนถึงกับผู้ว่าการตำบลเช็งฮ้อของเราต้องลงทุนให้สินบนประกาศหาตัวคนฆ่าเสือร้ายตัวนี้เป็นเงินถึงห้าสิบตำลึง และก็เพราะเงินรางวัลค่าตัวเจ้าเสือร้ายตัวนี้แหละ ท่านเอ๋ย, น่าสงสารบรรดาพรานป่าที่ต้องพากันถูกโบยไปตามๆ กัน เพราะอวดขันอาสาไปแล้วเกิดฆ่ามันไม่สำเร็จ”

พอท่านสมภารเล่าจบ แปะไหลกวงก็ดีใจเพราะค่าตัวเจ้าเสือร้ายตัวนี้สูงไม่เบา เขากระโดดเสียจนตัวลอย บอกแก่เพื่อน ๆ ว่า “วิเศษเลย พรุ่งนี้ละเป็นได้การ ข้าพเจ้าเอง–ข้าพเจ้าจะอาสาไปฆ่าอ้ายเสือร้ายตัวนี้เอง โธ่, เงินตั้งห้าสิบตำลึงไม่ใช่ย่อยเลย ต้องไม่ให้หลุดมือได้ คอยดูไป”

ไซหมึ่งเข่ง, ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งขึ้นว่า “แล้วชีวิตทั้งชีวิตนะไม่มีค่าสำหรับท่านเสียแล้วหรือ?”

แปะไหลกวงก็ว่า จะต้องไปมัวพะวงคำนึงถึงชีวิตทำไมกัน ก็เห็นๆ กันอยู่วันนี้หลัดๆ พรุ่งนี้ยังตายจากกันไปได้นี่นา. แล้วเขาก็อ้างปรัชญาของคนเลว ๆ ขึ้นมาว่า “เงินต้องก่อนอื่น!”

“บ๊ะงั้นก็ดีนะซี แต่เราจะเล่าเกร็ดขำๆ ให้เพื่อนฟังสักเรื่องหนึ่งก่อน” เอ็งขัดคอขึ้น พร้อมกับหัวเราะลงลูกคอดังเอิ้ก ๆ อย่างชอบใจ เขาเล่าว่า “ยังมีชายขี้ตืดผู้หนึ่งถูกเสือขบ พอดีเห็นเจ้าลูกชายวิ่งเอื้อมีดหราเข้ามาจะช่วย ตาพ่อขี้เหนียวเห็นทีท่าลูกชายเอาแน่ อารามโลภก็ตะโกนบอกลูก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองดิ้นกะแด่ว ๆ เพราะเสือกำลังฟัดอยู่ “อ้ายหนู อย่าโว้ย เดี๋ยวหนังมันเสียราคาจะตก.” ยังผลให้ได้ฮากันอีกครืนใหญ่.

พอดีท่านสมภารโง้วเตือนให้ลงมือทำพิธีกันเสียทีได้แล้ว สหายทั้งสิบจึงได้หยุดคะนอง และเริ่มต้นทำพิธีกัน ต่างจุดธูปจุดเทียนและเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ควันพวยพุ่งคลุ้งขึ้นเพื่อแก่พิธีที่พวกเขาได้ตั้งใจกันมา.

และแล้วหลังจากที่ได้เกี่ยงงอนกันพักใหญ่ระหว่างเอ็งแปะเตี๊ยะ กับไซหมึ่งเข่ง ในข้อที่ว่าต่างคนต่างก็ไม่ยอมรับจะเป็นตั้วเฮียของพรรค, ในที่สุดเมื่ออดรนทนไม่ได้จริงๆ เพราะถูกพรรคพวกคะยั้นคะยอหนักเข้า ไซหมึ่งเข่ง, ตั้วกัวยิ้ง ก็ยอมรับเป็นที่พี่ใหญ่ ดังนั้นพิธีสัตย์ปฏิญาณในความเป็นพี่น้องร่วมสาบานจึงเริ่มขึ้น.

เสียงปะทุของเปลวเทียนและกลุ่มควันสีเทาที่ม้วนตัวคละคลุ้งอยู่ในบริเวณศาลประกอบกับเสียงใหญ่กังวานห้าวของท่านเจ้าอาวาสที่กล่าวนำขึ้น เพื่อให้สหายทั้งสิบสาบานตาม ดังก้องไปทั่วศาลเป็นระยะๆ ยังความขลังและศักดิ์สิทธิ์ให้บังเกิดขึ้นภายในบริเวณอาศรมแห่งนี้เป็นที่ยิ่ง

เอาละ, เราจะได้ดูกันสืบไปว่า คำสาบานของสหายทั้งสิบนี้ ที่อ้างว่าทรงศักดิ์และทรงเดชเป็นรองอยู่แต่ “คำสาบาน ณ สวนท้อของสามชายชาตรี เล่าปี่, กวนอู และเตียวหุย” เมื่อ ณ ครั้งกระโน้น ยังจะจริงเท็จแค่ไหน.

เมื่อได้กล่าวบวงสรวงอัญเชิญเทพยดาฟ้าดินบรรดาที่มีอยู่ในสกลจักรวาล ให้มาช่วยเป็นทิพยญาณในการที่พวกเขาทั้งสิบจะได้ทำสัตย์ปฏิญาณสาบานตนเป็นพี่เป็นน้องร่วมใจกันแล้ว ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันตั้งปณิธานแน่วแน่ในอันที่จะมั่นอยู่ในความเป็นมิตร ร่วมทุกข์และร่วมสุขช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันแล้ว หลังจากได้อาราธนาขอพรจากบรรดาผีบรรพบุรุษและทวยเทพยดาอารักษ์ทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครอง และประสิทธิ์ประสาทความยืนยงให้ต่อคำสาบานของพวกเขาในประการที่ว่า อย่าได้มีอันเสื่อมสูญจืดจางต่อกันเลยเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่างก็กระทำคำนับซึ่งกันและกันตามลำดับอาวุโส การก็เป็นอันเรียบร้อยลงด้วยดี เสร็จแล้วท่านสมภารก็ให้เผดียงโต๊ะอาหารที่ตระเตรียมไว้พร้อมเสร็จทั้งสุราอาหารเข้ามาเทียบ สหายทั้งสิบก็กุลีกุจอเข้าร่วมวงกินโต๊ะกันเป็นที่สนุกสนานและครื้นเครงอยู่ ทว่ามิทันที่การเลี้ยงจะดำเนินไปได้แค่ไหน ไซหมึ่งก็ได้รับแจ้งจากคนใช้ซึ่งนางดวงแขใช้ให้มาตาม บอกว่าให้ท่านตั้วกัวยิ้งรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ เพราะยี่เจ๊ไม่สบายมาก เกิดเป็นลมชักตาตั้งขึ้นมา ไซหมึ่งจึงจำเป็นต้องขอโทษบรรดาพรรคพวกเพื่อขอตัวกลับก่อน พอดีบ้านของไซหมึ่งอยู่ทางเดียวกับฮวยจื้อฮือ ดังนั้นฮวยก็เลยถือโอกาสขอตัวเพื่อน ๆ กลับเสียทีเดียวพร้อมกับไซหมึ่ง สหายทั้งแปดที่เหลืออยู่ก็ได้แต่นั่งมองดูตากันปริบๆ ยิ่งเมื่อเห็นสหายร่วมสาบานคนมั่งคั่งทั้งคู่กลับไปด้วยกันแล้ว เอ็ง–ฮวยจื๊อ, คนเจ้าอารมก็เอ่ยขึ้นว่า “ยังไงกันนี่ เพื่อนรวยทั้งสองเขาก็ทิ้งเราไปแล้ว ปล่อยให้แต่พวกเราคนยากรับสังเวยบาปกันต่อไปละซีทีนี้.” แต่จะบาป หรือบุญนั้น พวกเขามิได้คำนึงถึงจริงจังเท่าใดนัก เพราะต้นฉบับเขียนไว้ดีเหลือเกินตอนกินเลี้ยงเชื่อมสัมพันธไมตรีของสหายทั้งแปดนี้ ซึ่งขอถอดเอามาเป็นคำง่าย ๆ พอฟังเข้ากับเหตุการณ์และพฤติการณ์ของพวกเสเพลเหล่านี้ได้ว่า.-

พวกเขาลงมือถองเหล้ากัน

ตั้งแต่ตะวันพึ่งจะโผล่ขึ้นมาเหนือกิ่งหม่อน.

จนพลบค่ำแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าพวกเขาจะเลิกรากันเสียที

กระทั่งดวงจันทร์ของคืนต้นข้างขึ้นโผล่รำไรขึ้นมาเหนือทิวไม้.

นั่นแหละเขาถึงได้พากันโซซัดโซเซแยกย้ายกลับไปบ้าน

ด้วยอาการอันเมาแปล้ไปตามๆ กัน.

----------------------------

 

  1. ๑. เล่าจื๊อ เกิดก่อนขงจื้อ คือเกิดในปี ๒๐๔ ก่อน ค.ศ. ชื่อเดิมว่า หลี เล่าจื๊อเป็นนักอภิปรัชญา เขาได้เขียนตำราอันว่าด้วย ความจริงอันติมะ (Ultimated Reality) หรือที่จีนเรียกว่า “ต๋าวไต้จิง” ไว้.

    กับอยากจะขอฝากข้อพิจารณาไว้แด่ท่านผู้รู้ ณ โอกาสนี้ด้วยว่า ตามที่ต้นฉบับซึ่งถ่ายออกมาเป็นร่ายยาวในตอนพรรณนาถึงวัดนี้ว่า “ณ กึ่งกลางศาลเป็นที่ประดิษฐานพระคัมภีร์ไตรปิฎก” นั้น ก็โดยอาศัยคำจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่อ้างไว้ว่า The Old Ancestors of Threefold Purity ความในตอนนี้น่าจะขัดหูอยู่ เพราะดั่งที่เล่ามาว่า การที่ไซหมึ่ง หัวหน้าใหญ่ตกลงใจเลือกข้างมากระทำพิธีสาบานตัวเป็นพี่น้องกันคราวนี้ที่ศาลเจ้าในนิกายต๋าวนั้น เป็นเพราะเห็นว่า การสบถสาบานเป็นมิตรเช่นนี้ใช่พิธีอันเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่เมื่ออ้างถึงพระไตรปิฎก ก็ย่อมจักต้องหมายเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นแน่ ฉะนั้นความจึงฟังน่าจะขัดหูอยู่

  2. ๒. อนึ่งสภาพของต๋าว นั้น ตามที่สืบเสาะมาก็อ้างไว้ว่า มีคำจำกัดความเป็นสามสมนัย อันภาษาอังกฤษอ้างไว้ดังนี้.

    ๑. ต๋าว เป็นสิ่งสม่ำเสมอโดยทั่ว เพราะเรามองหามัน แต่เราหาไม่พบ

    ๒. ต๋าว เป็นสิ่งซึ่งบาง เพราะเราฟังเสียง แต่เราไม่ได้ยิน

    ๓. ต๋าว เป็นสิ่งซึ่งลวง เพราะเมื่อเราจับมัน เราก็จับและถือมันไว้ไม่ได้

    จึงด้วยประการนี้ ขอฝากข้อพิจารณาไว้แด่ท่านผู้รู้เสียในที่นี้ด้วยว่า ประโยคที่อ้างถึง Old Ancestors of Threefold Purity ในต้นฉบับภาษาอังกฤษนั้น อาจเป็นไปข้างประการหลังที่อ้างไว้นี้ก็ได้. ทั้งนี้ได้ความเข้าใจจากพุทธปรัชญาของสมัค บุราวาศ

  3. ๓. คำว่า กาล (Time) และอวกาศ (Space) สองคำนี้เป็นคำซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในหลักปรัชญากาล หมายถึงความเกี่ยวข้องระหว่างระหว่างเรื่องราวสองขณะ หลักที่ว่าด้วย อนิจ จํ อนตฺตา ก็เป็นเรื่องของกาล

    อวกาศ หมายถึงที่ว่างอันไม่มีวัตถุใดๆ ที่มีการกินเนื้อที่ทั้งสามมิติ คือ กว้าง, ยาว และสูง ตั้งฉากอยู่ล้อมที่ว่างนั้น กล่าวย่อๆ ก็ว่า การที่เราเห็นรูปของวัตถุต่างๆ นี้แหละเป็นเรื่องของอวกาศ.

    ซึ่งคำจารึกนี้ก็ต้องตรงกับหลักปรัชญาของต๋าว อันมีท่านเล่าจื๊อ เป็นปรัชญาจารย์ในประการที่ว่า “ละเว้นความฉลาด เลิกหาความรู้ แล้วคนเราจะได้ประโยชน์ร้อยเท่าดังเดิม เลิกให้ความเมตตากรุณา เลิกความรู้จักรับผิดชอบกันเสีย แล้วมนุษย์ก็จะรู้สึกเป็นญาติกันและเห็นใจกัน เลิกทำเครื่องมืออะไรๆ ทั้งปวงเสีย และงดการหากำรี้กำไรสิ้นเชิง ก็จะไม่มีความขี้ลักขโมย” การละทิ้งโลกตามหลักปรัชญาต๋าว จึงมีความหมายนัยเดียวกับคำจารึกที่ประตูศาล โดยให้ผู้ที่จะเป็นต๋าว พยายามบำเพ็ญความงดเว้นซึ่งการกระทำทั้งปวงเสีย มิให้คำนึงถึงกาล ถึงอวกาศ มิให้เกิดความยินดีและยินร้ายใดๆ ขึ้นดังนี้.

  4. ๔. สามก๊ก แผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ