- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
ฟี้, เศรษฐีไซหมึ่ง ทำไมถึงทำได้เช่นนี้!
ช่างเป็นการแต่งงานที่น่าหัวเราะเสียนี่กระไร.
หนแรกท่านมาลอบเป็นคู่เคล้า เดี๋ยวนี้ท่านมาเป็นคู่ครอง!
อย่างไรเสียชื่อเสียงของท่านก็ไม่มีวันหายมัวหมอง.
ทำปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออย่างกับรับนางเจ้าสาว ให้นั่งเกี้ยวสีแดงสด.
ที่แท้ก็รับนางโสเภณีเข้าไปผูกขาดในบ้านของท่านนั้นเอง.
ดูซิ, มีญาติพี่น้องหน้าไหนของเจ้าสาวบ้าง
ที่ติดหน้าตามหลังไปส่งตัว.
มีก็แต่อียาย ปีศาจ–นางแม่สื่อคนนี้ คนเดียว เท่านั้นเอง.
----------------------------
Fie, Master Hsi Men, what sort of doings are these!
Such a marriage is truly ridiculous.
First yon commit adultery and then go wooing!
Never again will your name be clean.
In a red litter, decked out like a bride,
Your whore is brought to your home,
No relative of hers brings her to you,
Only an old procuress.
ตามพฤติการณ์ของท่านเศรษฐีไซหมึ่งที่ได้ปฏิบัติมา ชาวบ้านแถวถนนหินม่วงต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเขาไปในแง่ต่างๆ กัน ไม่มีใครแม้แต่สักคนที่จะชื่นชมในการกระทำของเขาครั้งนี้ แต่ในเวลาเดียวกันก็หามีใครกล้าขัดขวางการกระทำของเขาไม่ เพราะต่างล้วนเกรงบุญบารมีเงินตราของท่านเจ้าของร้านขายยาผู้นี้อยู่ทั่วกัน ดังนั้นพวกเขาก็คงได้แต่นั่งสุมหัวกัน ซุบซิบประณามไซหมึ่งต่อกันเงียบๆ เท่านั้นเอง.
ทั้งนี้, ด้วยว่าเมื่อนางพัวกิมเน้ยจัดการทำบุญเผาป้ายร้อยวันให้แก่บู๋ตั้วสามีเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว รุ่งขึ้นนางก็ได้จัดให้มีการแต่งโต๊ะขึ้นเพื่อเป็นการเลี้ยงลาต่อเพื่อนบ้าน และในโอกาสนี้นางได้เชิญยายเห่งมาร่วมด้วย นางจัดการฝากฝังเหง่งยี้ลูกสาวของบู๋ตั้วผู้สามีเก่าไว้ให้อยู่ในความดูแลของหญิงชรา และไซหมึ่งก็พยายามถามย้ำหญิงแก่ เพื่อความมั่นใจถึงอุบายในการที่จะกลบเกลื่อนเรื่องราวมิให้บู๋ซ้งรู้ว่า ตนได้แต่งงานไปแล้วกับพี่สะใภ้ของเขา ในที่เรื่องว่าจะคิดหาช่องทางขจัดปัดเป่าอย่างใด หญิงชราคนเจ้าเล่ห์ก็ยืนยันต่อท่านตั้วกัวยิ้งเป็นที่หนักแน่นว่า “เอาเถอะไว้เป็นธุระของป้าเอง!”
เมื่อได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นแฟ้นเช่นนี้แล้ว ไซหมึ่งก็ค่อยมีแก่ใจขึ้น เขาตบเงินรางวัลให้แก่หญิงชราถึงสามตำลึง และแล้วในเย็นวันนั้นเอง เขาก็จัดส่งบ่าวไพร่ให้มาจัดการขนเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ของนางบัวคำไปไว้บ้าน ส่วนเสื้อผ้าที่ขาด ๆ วิ่น ๆ และหรือเครื่องใช้ไม้สอยที่บุบสลายไม่ต้องการ หม้ายสาวพัวกิมเน้ยก็ยกให้เป็นสมบัติของยายเห่งทั้งสิ้น แล้วรุ่งเช้าวันถัดมาอันตรงกับวันแปดค่ำเดือนแปด ไซหมึ่งตั้วกัวยิ้งก็จัดแต่งเกี้ยวคานหามทาสีแดงอย่างงดงามมารับนางพัวกิมเน้ยไปยังบ้าน ซึ่งในการแห่พาตัวเจ้าสาวเข้าบ้านคราวนี้ เท่าที่มีผู้ติดตามเข้าร่วมขบวนร่วมด้วยก็คือยายเห่ง, เจ้าไต้อังยี้คนสนิทของไซหมึ่ง แล้วก็คนถือโคมนำเกี้ยวอีกสี่คนด้วยกันเท่านั้นเอง.
แลในการรับนางพัวกิมเน้ยเข้ามาไว้เป็นภริยาในบ้านครั้งนี้ ไซหมึ่งได้จัดเรือนน้อยร่มรื่นหลังหนึ่งภายในบริเวณสวนอันเงียบสงัดให้เป็นที่พำนักของนาง รอบๆ บริเวณเรือนน้อยหลังนี้ล้วนแล้วไปด้วยร่องไม้ดอกที่ชูช่อสวยสดสะพรั่งตา แซมสลับกับกระถางไม้ดัดอันล้นค่า จัดว่าเป็นทำเลอันรื่นรมย์อย่างแท้จริง เพราะทางเข้าออกจัดทำเป็นพิเศษ มิได้ปะปนกับตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ไม่มีใครอาจล่วงล้ำเข้ามาพลุกพล่านก่อความรำคาญอย่างใดได้ และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ท่านตั้วกัวยิ้งผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับลงมือมาควบคุมจัดสรรประดับประดาบ้านหลังนี้ด้วยตนเอง ซึ่งปรากฏว่าสิ้นเงินสิ้นทองไปในการแต่งเรือนหอเมียคนนี้ไม่น้อยกว่าหกสิบตำลึง เพราะชั่วแต่เตียงนอนของนางก็ตกเข้าไปหลายตำลึงเสียแล้ว เพราะเป็นเตียงอย่างดีต่อด้วยฝีมือประณีตแน่นหนาและถาวร อาบเงาฉลุลวดลายไว้ด้วยสีทองอย่างงดงาม ฟูกที่นอนก็แสนจะนุ่มนิ่มน่าหลับน่านอนเป็นยิ่งนัก ม่านมู่ลี่หรือก็ใช้แต่ล้วนผ้าไหมสีแดงปักเป็นวงโตด้วยดิ้นไหมสีทองวะวับวาวตา โต๊ะเครื่องแป้งแต่งหน้าของนางนั้นเล่าก็สลักเสลาในเนื้อไม้ เป็นรูปดอกไม้ฝังลวดลายไว้ด้วยพลอยเม็ดและงาช้าง เก้าอี้นั่งรับรองแขกก็ล้วนแต่เก้าอี้นวมบุหนังหุ้มด้วยผ้าไหมลายสดยกดอกหลากสี ดูเป็นที่น่านั่งน่าชมนักฉะนี้.
อันปกติแต่เดิมมา เหตุการณ์เท่าที่เป็นอยู่ภายในครัวเรือนของไซหมึ่ง ตัวนางวัวยะเนี้ย ผู้ศรีภริยาของท่านพ่อบ้านนั้น นางมีหญิงรับใช้อยู่สองนางคือ นางชุนบ๊วย (Spring Plum) หนึ่ง กับนางเง็กเซียว (Jade Flute) อีกหนึ่ง ซึ่งทั้งสองนางนี้ต่างมีหน้าที่ปรนนิบัติวัตถากนางเมียหลวง ครั้นไซหมึ่งรับเอานางพัวกิมเน้ยเข้ามาไว้ในบ้าน เขาก็มีคำสั่งให้โอนตัวเจ้าชุนบ๊วยจากนายดวงแข มาอยู่ช่วยรับใช้งานเสียทางเรือนของบัวคำ ซึ่งสาวใช้นางนี้เจ้าก็ดีใจหายมิได้มีปริปากบ่นว่าแต่ประการใด ยินดีมาอยู่เป็นสาวใช้ต้นห้องกับนายสาวคนใหม่ของบ้านด้วยความเต็มใจ จะพูดจะจาด้วยแต่ละครั้ง เจ้าก็ตกปากตกคำเรียกนางพัวกิมเน้ยว่า “เนี่ยเนี้ย” (Mistress) หรือแม่นายทุกคำไป แล้วไซหมึ่งก็ไปซื้อเอาหญิงรับใช้สำหรับทำครัวมาให้นางบัวคำอีกคนหนึ่งชื่อว่า นางชิวเก๊ก (Autumn Aster) เป็นราคาหกตำลึง ส่วนด้านนางดวงแขนั้นเขาได้ไปซื้อนางเซียวเง็ก (Little Jewel) ราคาห้าตำลึงมาให้รับใช้แทนชุนบ๊วย และบัดนี้เมื่อนับตามศักดิ์ของความเป็นภริยาแล้ว ฐานะของนางพัวกิมเน้ยก็อยู่ในลำดับ “ภรรยาคนที่ห้า” ของเขาถูกต้องอย่างสมบูรณ์ตามที่ได้รับรองกันเป็นทางการภายในครัวเรือน.
จึงรุ่งขึ้น หลังจากวันที่บัวคำได้เข้ามาอยู่ในบ้านของสามีใหม่เรียบร้อยแล้ว นางได้รีบลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าแต่งเนื้อแต่งตัวตั้งแต่เช้า เพราะว่านางจะต้องไปเยี่ยมคำนับบรรดา “แม่นาย ๆ” ทั้งหลายของสามี ที่เรือนนางดวงแข ผู้ภริยาใหญ่ของบ้าน ดังนั้นบัวคำจึงพิถีพิถันแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นพิเศษในเช้านี้ และการก็ปรากฏว่า เมื่อนางพัวกิมเน้ยไปถึงห้องแม่เรือนเอกของสามีนั้น บรรดาภริยาใหญ่น้อยของไซหมึ่งทุกคนได้มาประชุมกันอยู่พรักพร้อม เพื่อรับเยี่ยมคำนับภรรยาหน้าใหม่ของท่านตั้วกัวยิ้งอยู่แล้ว ตัวนางวัวยะเองนั้นนั่งคอยรับปฏิสันถารจากนางบัวคำ อยู่เหนือเก้าอี้ตัวเด่นอันดับแรก นางจับตาดูอิริยาบถเยื้องกรายของนางพัวกิมเน้ยอย่างสนใจ “เออ เมียใหม่ของสามีเราคนนี้ช่างสวยอะไรเช่นนี้หนอ งามมาตั้งแต่หัวจดเท้าแน่ะ สำคัญเหลือเกิน” (Love of life from head to foot, sensuality from foot to head.) ก็น่าอยู่หรอกที่นางดวงแขจะต้องถึงกับตะลึงลานและงวยงง เพราะสรีระโฉมของนางบัวคำยามเมื่อประจันหน้าอยู่กับบรรดาเมียๆ ทั้งหลายของไซหมึ่งในวันนี้ กล่าวกันว่าช่างเต็มไปด้วยความเปล่งปลั่งเย้ายวน ดูราวกับว่าทุกส่วนสัดสรรพางค์กายของโฉมพธูเจ้าจะเคลือบหรืออาบไว้แต่ล้วนแล้วด้วยความทรงเสน่ห์อันน่าชิดชม ประดุจพวงไข่มุกอันทอแสงวะวับวาวเป็นประกายส่องอยู่ในชามอ่างแก้วเนื้อผลึกก็กลกัน หรือมิฉะนั้นก็แลประหนึ่งลูกไหนสุกสะอาดงามพิลาสผุดพรรณภายใต้รังสีอันนวลใยของแสงเดือนฉะนั้น.
เมื่อนางผู้ภรรยาหลวงของไซหมึ่งหายพรึงเพริดจากการได้ยลโฉมเมียคนที่ห้าของสามีแล้ว นางก็อดที่จะรำพึงแก่ตนเองเสียมิได้ว่า “หนแรกเมื่อเจ้าไต้อังยี้มันมาพูด เราก็หาคิดเชื่อไม่ บัดนี้เราได้ประจักษ์แก่ตาแล้วก็เห็นสมจริงดังคำเจ้าเด็กผู้นั้นกล่าว ควรอยู่ดอกที่เหล่าผู้ชายจะพากันเป็นบ้าเป็นหลังไปเพราะผู้หญิงรูปนี้.”
บัวคำก้าวล้ำเข้าไปยืนอยู่แทบเท้าของนางดวงแข แล้วก็กระทำคำนับถ้วนสี่ครั้งตามธรรมเนียม และได้มอบรองเท้าแตะให้เป็นของจิ้มก้องแก่หญิงผู้เป็นภรรยาหลวงของสามีหนึ่งคู่ตามธรรมเนียม ถัดจากนั้น บัวคำก็มาทำความเคารพบรรดาภรรยาน้อยคนอื่น ๆ เรื่อยมาตามลำดับศักดิ์อาวุโสใหญ่น้อยลดหลั่นลงมา ตั้งแต่แม่นางลีเกียว, นางเม่งเง็กเล้า จนกระทั่งถึงนางซึงเซาะง้อ เมียคนที่สุด เสร็จเรียบร้อยแล้ว บัวคำก็ถอยออกมายืนเอี้ยมเฟี้ยมอยู่เสียด้านหนึ่ง คอยอยู่จนกระทั่งนางดวงแข ผู้พี่เอื้อยในบรรดาเมีย ๆ ของสามี สั่งให้สาวใช้จัดการยกเก้าอี้ประจำตำแหน่งแม่นายใหม่ของบ้านมาให้นั่ง เสร็จแล้วนางก็แนะนำบรรดาข้าทาสหญิงชายในครัวเรือนให้ทำความเคารพแก่นางบัวคำทุกคน และบัดนี้นางก็อยู่ในฐานะ “นายสาวคนที่ห้า” ของบ้านแล้วอย่างสมบูรณ์.
แลตลอดเวลาที่นั่งสนทนากันอยู่นี้ บัวคำได้ลอบสังเกตพินิจพิจารณาบรรดาเพื่อนๆ หญิง ผู้เป็นภรรยาของสามีไว้ทั่วทุกตัวคน หญิงคนแรกที่บัวคำเฝ้าสังเกตก็คือนางดวงแข ตามความคาดคะเนของบัวคำ หญิงคนนี้คงมีอายุอยู่ในราวยี่สิบหก–ยี่สิบเจ็ดปีเป็นอย่างมาก ใบหน้ากลมแบนเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด ดุจความเกลี้ยงเกลาใสสะอาดของจานเงิน ดวงตาของนางกลมโตและสุกใสเหมือนลูกไหน (apricots) แต่ละอิริยาบถที่เยื้องกรายไหวร่างก็นุ่มนวลอ่อนหวานแลละมุนละม่อม แฝงไว้ซึ่งแววของความถือตัว คนต่อมาคือ นางลีเกียว หรือนัยหนึ่ง คุณนายช่อทานตะวัน (Sunflower) เมียคนที่สองของสามีผู้นี้ ตามสายตาของบัวคำ สังเกตเห็นว่านางออกจะมีรูปร่างค่อนข้างอ้วนไปสักหน่อย และอาศัยที่ว่านางเคยเป็นหญิงนักร้องจากซ่องโสเภณีมาก่อน ดังนั้นไม่มีปัญหา หญิงคนนี้ท่วงทีจริตจะก้านพริ้งเพราพอตัวอยู่ พูดถึงสวยก็สวยเย็นตา (comfortable beauty) แต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนางแล้ว บัวคำเห็นว่า ลีเกียวยังอ่อนกว่านางมากนักเมื่อพูดถึงด้านเทคนิคของความรัก (yet far inferior to Gold Lotus in the technique of love.) ส่วนนางเม่งเง็กเล้า ภรรยาคนที่สาม ซึ่งไซหมึ่งพึ่งแต่งงานใหม่ก่อนนางไม่กี่มากน้อยนั้น บัวคำรู้สึกว่านางสวยเอาการอยู่ แม้จะค่อนข้างสาวแก่สักหน่อยก็ตาม เพราะนางมีอายุถึงสามสิบปีแล้ว แต่ว่าก็ยังสวยไม่สร่างอยู่ดี ทรวดทรงองค์อรก็อ่อนช้อยน่ารักน่าถนอมไปหมดทั้งร่าง ประหนึ่งช่อดอกสาลี่ที่ไหวลู่ระทวยลม ควรจักน่าอภิรมย์เป็นยิ่งนัก คิ้วโขนงวงพักตร์ของนางก็ผุดผ่องแลพิลาสดูกลมกลืนได้ส่วนสัดดุจผลแตงโมสุก แม้จะมีจุดด่างดำเพราะไฝฝ้าประปรายพื้นผิวหน้าอยู่บ้างก็ตามที แต่ใช่ว่าจักทำให้ความงามของนางด้อยลงไปก็หาไม่ และเมื่อบัวคำเหลือบพิศต่ำลงไปชายซิ่นของนางเล่า เท้าทั้งคู่ของนางผู้นี้ที่จะเล็กได้ขนาดเดียวกับเท้าของนางอยู่ ส่วนภรรยาคนที่สี่นางเซาะง้อนั้นไม่มีปัญหา เพราะศักดิ์ของนางเป็นแต่เพียงทาสภริยา ซึ่งไซหมึ่งชั่วแต่เลื่อนฐานะขึ้นมาสูงจากความเป็นคนใช้ในบ้านเท่านั้นเอง พูดถึงรูปโฉมโนมพรรณแล้ว แสนจะไม่ได้ท่าทั้งผอมสูงและไม่ได้ส่วนสัด หากจะมีที่ดีของนางอยู่สักอย่าง ก็เห็นจะเป็นที่มีฝีมือในการปรุงอาหารทำครัวนี่เอง และอีกอย่างที่นางชำนาญก็คือ การร่ายรำและแสดงกลด้วยจาน ซึ่งทั้งหมดนี้นางพัวกิมเน้ยสังเกตและจดจำเอาไว้สิ้นแต่ในใจ.
ล่วงเข้าวันที่สาม บัวคำก็ค่อย ๆ ชิ้นต่อสภาพการณ์ภายในเคหาสน์หลังนี้ ปกตินางจะต้องตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำอาบท่าแล้วแต่งเนื้อแต่งตัวไปเยี่ยมคำนับวัวยะ ที่เรือนใหญ่เป็นประจำ และบัวคำเป็นคนมีอัธยาศัยดี การใดของหญิงผู้ภริยาใหญ่ที่นางจะทำได้ก็ทำให้มิได้นิ่งดูดาย ไม่ต้องคอยให้มาออกปากไหว้วานใช้สอยแต่อย่างใด นางกระทำตนต่อภริยาเอกของสามีดุจทาสหนึ่งซื่อปฏิบัติต่อนายงาน ชั้นชั่วจะเอ่ยขานเรียกชื่อเรียกเสียงบัวคำก็ตกปากตามคำเรียกนางวัวยะเธอว่า “คุณนายใหญ่” หรือ “ตั้วเจ๊” (Great Mistress) ทุกคำไป จึงด้วยอัธยาศัยอันดีงามเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บัวคำรู้จักประจบเอาใจนี้เอง มิกี่วันนักนางวัวยะก็บังเกิดความอารีและให้นึกเอ็นดูในตัวนางเป็นอันมาก เพลาจะเอ่ยปากวักวานขานชื่อครั้งใด เธอก็มักใช้ถ้อยคำไพเราะอ่อนหวานแก่นางว่า “แม่น้องน้อยๆ” (Sister Six) เสมอมา (เพราะพัวกิมเน้ยเป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลพัว ในจำนวนทั้งหมดหกคนด้วยกัน) ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้ ยังให้เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นในระหว่างบัวคำ และภรรยาคนอื่นๆ ของไซหมึ่ง และหญิงเหล่านี้มักจะแอบมาสุมหัวซุบซิบนินทาว่าร้ายปรับทุกข์ปรับร้อนระหว่างกันอยู่เป็นเนืองนิตย์ในเวลาลับหลังนางดวงแข ภริยาใหญ่คนพี่เอื้อย.
แลนับแต่ที่ท่านเจ้าสัวไซหมึ่งรับเอาลูกสาวคนที่หกแห่งตระกูลพัวผู้โฉมงามคนนี้ เข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว ปรากฏว่า ทุกวันนี้ไซหมึ่งได้กลายเป็นคนรู้อยู่ติดบ้านขึ้น เขาไม่ค่อยออกไปไหนมาไหนนอกบ้านอย่างแต่ก่อน แต่ละวัน ๆ ขลุกอยู่แต่เรือนน้อยภายในบริเวณอุทยานอันรื่นรมย์ ซึ่งเป็นที่พำนักอันรโหฐานของนางพัวกิมเน้ยตลอดมา และทั้งคู่ต่างก็ก่นแต่เคล้าคลึงปฏิพัทธ์โอ้โลมกันในชั้นเชิงสวาทมิได้มีอันจะจืดจางลงได้เลย เห็นผัวอยู่ที่ไหนเป็นต้องเห็นเมียอยู่ที่นั่น ประหนึ่งกาวกับน้ำรักเมื่อได้คลุกเคล้าประสานกันสนิทเหนียวแน่นเป็นเนื้อเดียว วันยังค่ำคืนยังรุ่งต่างมิได้คิดที่จะระย่อท้อถอยและผ่อนเพลายับยั้งเลยตลอดมา!
----------------------------