- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
พัวกิมเน้ยว้าเหว่
“The faithless man, the splendid lover,
A month went by, and he came no more.
Beneath the sheets so finely embroidered
With pairs of mating ducks,
I sorrowed for thirty lonesome nights.
So loving was he on that last day,
That I, poor fool, am tortured with disappointment.
Well may you reprove me: I was too ardent.
What is lightly won is as lightly abandoned.
O sundered love
And vanished joy!”
----------------------------
โอ้, หนอน้ำใจชาย ไม่ซื่อไม่สัตย์ สารพัดหลอกลวง.
หลบลี้หนีล่วง เดือนหนึ่งแล้ว ไม่เห็นมา.
คงแต่แพห่มปัก.
สองเป็ดเริงรักอยู่ในสายธารา.
ข้าโศกแสนเศร้า เฝ้าแต่รำพึงถึง.
สามสิบราตรีตรึง เข้านี่แล้วพี่ขา.
เคยอ้อนออดพรอดพร่ำ.
ครั้งค่ำคืนก่อน.
รักตามหลอกหลอน เฝ้าชะแง้แลหา.
เมื่อไรพี่จะกลับ.
น้องคอยรับขวัญพี่.
สมรักสมฤดี แล้วพี่ก็ร้างแรมรา.
โอ้ รักเอ๋ย รักสลาย.
ความสุขเสื่อมคลาย มิได้กลับคืนมาแล้วเอย.
(มิได้แปลตามตัว เพียงแต่อาศัยความที่ตรงกับความหมายของเพลง.)
ในท่วงทำนองอันอ่อนระโหยแหบครวญตามจังหวะเนื้อร้อง และด้วยสำเนียงอันสั่นเครือที่ระคนอยู่ด้วยเสียงร่ำสะอื้น หม้ายสาวนางพัวกิมเน้ยเฝ้าขับครวญเพลงถึงคนอันเป็นคู่พิสมัยอยู่มิได้เว้นแต่ละวันมา.
ด้วยนับแต่ที่ไซหมึ่งเข่งมาหานางเมื่อวันสารทเล้งชิวและกลับไปในเย็นวันนั้นแล้ว ท่านเจ้าสัวคนใฝ่สำราญก็มิได้เคยจะได้แวะโผล่มาเยี่ยมเยียนนางอีกเลย วันแล้วก็วันเล่า บัวคำก็เฝ้าแต่ตั้งตาคอย หนักเข้าอดรนทนไม่ได้นางก็ร้องเพลงขับครวญเป็นการแก้กลุ้มดับกังวลเสียหนหนึ่งทีหนึ่ง นางเคยได้ส่งยายเห่งไปสืบข่าวถึงที่บ้านเขาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ว่าหญิงชรามิอาจเข้าไปได้มากกว่าหน้าประตูบ้าน ดังนั้นแกกลับมาหาบัวคำทีไรจึงมีมาให้แต่ความผิดหวังทุกคราวมา ครั้นลองส่งเจ้าเหง่งยี้ไปดูบ้าง ก็แสนที่จะสงสารด้วยแม่หนูน้อยคนกำพร้าพ่อแม่ เพราะเวลาเจ้าพาเอาความผิดหวังกลับมาบอกนางแม่เลี้ยงนั้น เจ้าต้องตกที่นั่งถูกรับบาปด้วยการเป็นลูกมือรองรับคำบริภาษด่าทอจากคนอันเคยเป็นเมียของพ่อทุกคราวมา บางครั้งหญิงใจร้ายถึงกับขากถุยถ่มน้ำลายใส่หน้าให้ก็มี หรือบางทีก็ลงโทษโดยวิธีให้นั่งคุกเข่าอยู่ครึ่งวันค่อนวัน เพียงนี้ยังไม่สาแก่ใจนางแม่เลี้ยง เจ้าต้องถูกรับโทษด้วยสถานหนักยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกก็มี นั่นคือให้อดข้าว! ดูๆ สติอารมณ์นางพัวกิมเน้ยในระยะนี้ มีแต่ความขุ่นข้องโมโหโทโสเป็นที่ยิ่ง ซึ่งก็น่าอยู่ดอกที่นางจะต้องเต็มไปด้วยโมโหโทโสและความขุ่นข้องหงุดหงิดกังวลใจ เพราะนับแต่ชู้หนุ่มหายหน้าค่าตาไปจากบ้านนั้น ปรากฏว่าที่แท้แล้วเขาได้ไปจัดการสู่ขอหญิงแม่หม้ายวัยสามสิบผู้หนึ่งชื่อ เง็กเล้า เกิดแต่ตระกูลเม่ง มาเป็นภรรยาแทนนางโต๊ะยี่เจ๊ เมียคนที่สามซึ่งล่วงลับไปแล้ว แลนางเม่งเง็กเล้า (Mong Yu Loh) แม่หม้ายคนอันเจ้าสัวรับมาอยู่กินออกหน้าออกตาเป็นภรรยาคนที่สามนี้ นางเป็นผู้มีอันจะกินอยู่ เพราะได้รับมรดกตกทอดมาจากสามีเก่าผู้ล่วงลับไปแล้ว และเพื่อเป็นการปรับปรุงฐานะของบรรดาภรรยาในบ้านที่มีอยู่ ไซหมึ่งตั้วกัวยิ้งเมื่อได้แต่งตั้งนางเม่งเง็กเล้าไว้ในตำแหน่ง เม่งซัมเจ๊ (Third Wife) แล้ว เขาก็จำต้องเลื่อนฐานให้นางซึงเซาะง้อ (Sun Hsueh O) จากสภาพของ “ทาสภริยา” (Maid Servant) ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งภรรยาคนที่สี่สืบไป.
อยู่มาวันหนึ่ง, เป็นวันที่อยู่ในระยะต้นเดือนสิงหาคม อากาศกำลังร้อนอบอ้าว นางพัวกิมเน้ยเสร็จจากการทำขนมผิงมาแต่ในครัวใหม่ ๆ รู้สึกร้อนใคร่จะอาบน้ำอาบท่าขัดสีฉวีวรรณให้สบายเนื้อสบายตัว เพื่อเตรียมไว้คอยท่าคนอันเป็นคู่พิสมัยจะเยือนมา นางใช้ให้หนูเหง่งยี้ไปจัดเตรียมอ่างอาบน้ำไว้ให้ ส่วนนางนั้นคงนั่งถ่างตาคอยดูไซหมึ่งเข่งอยู่ที่ห้องชั้นบน นางสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบาง ๆ แต่น้อยชิ้น ดูเป็นที่เย้ายวนหัวใจอยู่ นางเฝ้านั่งใจลอยคิดอยู่แต่ว่า “บางทีวันนี้เขาคงจะมาๆ!!” บัวคำนั่งรำพึงอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา และโดยไม่มีความหมายสักแต่ว่าพอฆ่าเวลาให้หายกลุ้มใจ นางถอดรองเท้าแพรต่วนสีแดงจากเท้าของนางออกมาเล่นเสี่ยงทาย ตามประสาคนมีอะไรวิตกขัดข้องในหัวใจ มือก็เขย่าและลูบคลำรองเท้าอธิษฐานไปพลาง “เขายังจะคิดถึงเราหรือไม่หนอ?” ปากก็บ่นพึมว่า “คนใจร้าย! คนหลอกลวง!ๆๆ” ซ้ำ ๆ ซาก ๆ.
และต้นฉบับภาษาอังกฤษได้กล่าวถึงการเสี่ยงทายรองเท้าของนางคราวนี้ไว้น่าฟังมาก โดยอาศัยพรรณนาความตามลำนำของบทโคลงชื่อ “ลูกแกะเหนือเงื้อมผา” (the Lamb on the Precipice). ดังนี้.–
Her shoes, red cloudlets,
Within which lie concealed two little feet,
Two little feet in stockings of flowered silk,
As delicate as lotus-blossom petals
Lightly swaying above the waters.
Tell me, O shoes, if he still thinks of me
As I think always of him?
How often, leaning on the door post
I stand, and gaze, alas, and gaze!
How cheerless, alas, how cheerless the nights
Behind curtained windows, all alone!
Vainly, from the pillows of my couch
I cry, with wild longing, his name.
Does opium keep him away, or the flowery lanes,
That I must suffer lonely grief?
Alas, my brows are fading, fading,
But for whose sake now should I paint them?
In what green pasture has he now
Tethered his little horse?
Truly, his is the rankest ingratitude.
But I deserve no blame–not I!
ซึ่งพอจะถอดถ่ายออกมาเป็นพากย์ไทยฟังกันได้ดังนี้.–
รองเท้าของนาง, เบาและบางเหมือนปุยเมฆสีแดงสด.
ห่อหุ้มเท้างามเล็กๆ ทั้งสองนั้นไว้.
เท้าบางที่ช่างแสนงาม และน่าทะนุถนอมของเธอ
ซ่อนอยู่ในถุงไหมฉลุลายดอกไม้.
งามกระไร ไม่ผิดเลยกับงามของดอกกุมุท.
ยามเมื่อบานล่อตาลอยละล่องอยู่เหนือพื้นน้ำ.
บอกข้าซิ, โอ้ รองเท้าเอ๋ย, ว่าเขาคิดถึงข้าบ้างหรือเปล่า?
คิดถึงเหมือนอย่างที่ข้าได้คิดถึงเขา?
พิงไปเถิดที่แทบเงื้อมประตูบ้านตลอดเวลามา.
เฝ้ายืนคอย นิจจาเอ๋ย คงได้แต่คอยตลอดมา!
ข้าแสนจะหงอยเหงา
อนิจจา ชั่งทั้งเหงาและหงอยตลอด หลายราตรีมา.
เมื่อลับม่านมู่ลี่หน้าต่างเข้าไปแล้ว, ทุกสิ่งก็มีแต่ความอ้างว้าง!
ช่วยอะไรข้าไม่ได้เลย, เจ้าหมอนน้อยเหนือที่นอนของข้าเอ๋ย.
ข้าได้แต่ร้องไห้, ได้แต่คร่ำครวญถึงชื่อของเขา.
ก็ป่านฉะนี้เขาจะสำราญอยู่ที่โรงยาฝิ่นแห่งไหน?
แลหรือจะอยู่ซ่องโสเภณีซอยใด?
ทำไมถึงปล่อยให้ข้าต้องว้าเหว่อยู่อย่างทรมานเช่นนี้.
อนิจจา คิ้วของข้าก็แทบจะไม่มีสีสันกับเขาแล้ว.
ก็จะให้ข้าตะบอยเขียนมันอยู่ทำไม! เพื่อผู้ใดใครกัน!
ยังมีหญ้าอ่อนแห่งไหนทำเลใดหนอ?
ที่ได้ดึงดูดและผูกพันเขาไว้?
จริงๆ นะ, เขาชั่งเป็นผู้ที่สับปลับอะไรเช่นนี้.
แต่สำหรับตัวข้านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่ควรแก่การตำหนิ-
ไม่มีเลยจริงๆ!
พัวกิมเน้ยฆ่าเวลาอยู่ด้วยการเล่นเสี่ยงทายรองเท้าเช่นนี้สักครู่ใหญ่ ก็ม่อยหลับไปเพราะความอ่อนอกอ่อนใจ นางหลับไปสักประมาณสองชั่วนาฬิกาก็ตื่นขึ้น และคงตื่นด้วยอารมณ์อันเศร้าหมองมิเสื่อมคลายดั่งเช่นเดิม เมื่อเหง่งยี้เห็นมารดาเลี้ยงตื่นก็เข้ามาบอกว่า เจ้าได้เตรียมอ่างอาบน้ำไว้ให้เรียบร้อยนานแล้ว แต่ยังไม่อาบกลับร้องสั่งให้ลูกหญิงกำพร้าของสามีเก่ายกกระจาดขนมผิงมาให้นาง เมื่อนับขนมผิงดูก็ปรากฏว่าขนมหายไปชิ้นหนึ่ง นางก็โกรธขึ้นมาทันที
“มานี่ อีเด็กอัปรีย์ ขนมกูทำของกูไว้สามสิบอัน ทำไมมันเหลือยี่สิบเก้าอันคือ หายไปไหน บอกกูมาเสียดี ๆ?”
“หนูไม่รู้จริงๆ น่ากลัวท่านนับผิดไปละกระมัง” เหง่งยี้แก้ตัว
“หนอยอีสู่รู้ มึงรู้ได้อย่างไร ก็กูนับของกูกับมือเองตั้งสองหนสามหน จะผิดได้อย่างไร กูทำไว้สำหรับจะรับรองท่านตั้วกัวยิ้ง ไม่ได้ทำไว้สำหรับให้มึงกิน บอกมาเสียดีๆ ว่าหายไปไหนอันหนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะเฆี่ยนเสียให้หลังขาดคอยดูไป จงรับมาเสียตรง ๆ” แล้วนางพัวกิมเน้ยก็กระชากเสื้อผ้าเหง่งยี้ขาดออก เฆี่ยนด้วยแส้ม้าโดยมิได้มีความปรานีปราศรัย.
เสียงเจ้าเด็กน้อยหวีดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เสียงยังกะลูกหมูเมื่อถูกเขาจับเชือดคอ แต่ก็หาได้ทำให้นางบัวคำนึกเวทนาสงสารสักน้อยไม่.
“ชะช้า–อีเด็กปากแข็ง คอยดูไป แม่จะเฆี่ยนให้ครบร้อย!”
เหง่งยี้ทนถูกเฆี่ยนต่อไปไม่ไหว ก็สารภาพว่า เจ้าเอาไปกินเสียเองชิ้นหนึ่ง–ชิ้นเดียวเท่านั้น “อย่าเฆี่ยนหนูอีกเลย แม่นายขาหนูหิว!” เป็นเสียงร้องรับผิดอย่างน่าเวทนาของเด็กน้อย.
แต่บัวคำหาได้นึกเวทนาไม่ คงเฆี่ยนเอาๆ ต่อไป “เห็นไหม กูนึกแล้ว ยังจะมีหน้ามาโกหกอีก ชะชะอีเด็กตอแหลริอ่านเป็นหัวขโมยแต่เล็ก เวลาพ่อมึงอยู่ละก็ชั่งฟ้องนัก ถุย! จะว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้พ่อเชื้อมึงก็ไม่มีแล้ว จะมาเที่ยวโกหกตอแหลกูเหมือนอย่างเก่าอีกไม่ได้ จะบอกเสียให้รู้–ขืนทำแม่จะฉีกอกให้เป็นชิ้น ๆ คอยดูไป” บัวคำขู่เข็ญเอากับลูกเลี้ยงอย่างเคียดแค้น พลางบังคับให้เจ้าเด็กน้อยพัดให้นาง พอเหง่งยี้พัดไปได้หน่อย นางก็บอกให้หันหน้ามาหานาง และคุกคามอีกสืบไปว่า “กูเจ็บใจนัก นี่–นี่ ต้องขวนหน้าเสียอย่างนี้ ถึงจะหายแค้น” ว่าแล้วนางก็ข่วนแก้มเด็กน้อยผู้น่าสงสารเสียจนเลือดซิบไปหมดเสร็จแล้วก็ไล่ตะเพิดให้ออกไปจากห้อง นางยืนอ้อยอิ่งสำรวจเรือนร่างอันผุดผาดเกลี้ยงเกลาของนางอยู่แต่ลำพังหน้ากระจก พลางก็ตะบอยแต่งเนื้อแต่งตัวผัดฝุ่นทาแก้มเขียนปากอยู่คนเดียว จนเห็นว่างดงามดีแล้ว นางก็นวยนาดออกไปยืนชะเง้อชะแง้อยู่ที่ใต้กันสาดหน้าประตูบ้านเช่นเคย พอดีบัวคำเหลือบไปเห็นไต้อังยี้หอบถุงผ้าใบร่องแร่งๆ ผ่านมา.
นางพัวกิมเน้ยก็ถามว่า “เฮ้พ่อหนุ่ม นั่นเจ้าจะไปไหน?”
เด็กรับใช้คนต้นห้องท่านเศรษฐีเคยมีความสนิทสนมคุ้นเคยดีอยู่กับนางบัวคำ ได้ยินดังนั้นก็หยุดมาแวะเข้ามาหาและตอบว่า เขากำลังจะนำของขวัญของท่านตั้วกัวยิ้งไปให้ท่านผู้บังคับการทหาร (Military Commandant) นางบัวคำก็ถามต่อไปอีกว่า เดี๋ยวนี้นายผู้ชายของเขาทำอะไรอยู่เล่า แล้วนางก็ลุกไปเปิดประตูให้คนสนิทของชู้รักเข้ามาในบ้าน นางซักสืบไปว่า หมู่นี้นายผู้ชายของเขาหายไปไหน ไม่มีใครได้พบได้เห็นเขาเลยแม้แต่เงา เข้าใจว่าเขาไปมีดีที่ไหนละกระมัง
ไต้อังยี้เป็นเด็กฉลาดและไหวพริบอยู่ ได้ยินเช่นนั้นก็แสร้งพูดเสไปเสียเรื่องอื่น ที่ว่าเขาเป็นเพียงผู้น้อยในบ้าน เป็นคนใช้เขาไม่อาจรู้เรื่องรู้ราวอันใด ทว่าเท่าที่รู้ๆ เห็น ๆ ก็เห็นตั้วกัวยิ้งยุ่งอยู่กับธุระการงาน เข้าใจว่าคงไม่มีเวลาว่าง.
“ธุระ! หนอยแน่ ธุระอะไรของนายเจ้ารู้บ้างไหม ทำไมถึงได้มากมายก่ายกองนัก เอาละถึงจะมีธุระก็เถอะ ใช่ว่าจะหาเวลามาพบเราบ้างไม่ได้เลยก็ใช่ที่–นี่เรื่องอะไรแม้แต่หนังสือสักตัวก็ไม่ส่งข่าวมาให้เรารู้ ถามจริงๆ เถอะ ธุระอะไรของเขาหรือ?”
แทนที่จะตอบเจ้าเด็กหนุ่มกลับยิ้มยิงฟันแหง นางพัวกิมเน้ยก็คาดคั้นเอาความจริงให้ได้อยู่ท่าเดียว.
หนักเข้าไต้อังยี้อดรนทนไม่ได้ ก็เลยตัดบทเสียว่า “อย่าคาดคั้นจากข้าพเจ้ามากไปกว่านี้เลย เมื่อข้าพเจ้าบอกว่าท่านมี “ธุระ” ก็ “ธุระ” นั่นแหละ.”
“ดีแล้วละ เจ้าคนเก็บความลับเก่ง เราจะโกรธเจ้าจนวันตายทีเดียว คอยดูไป ถ้าขืนไม่บอกเราตามตรง” พัวกิมเน้ยโกรธและกระฟัดกระเฟียดเอากับไต้อังยี้.
“ฮะฮ่า, เอาละข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังตามจริง แต่ว่าต้องสัญญาก่อนว่าท่านจะต้องไม่บอกให้ท่านตั้วกัวยิ้งรู้เป็นอันขาดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนมาบอกท่าน.”
“เอาเถอะน่าเรารับรอง ข้อนี้.”
“คือว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้เองท่านตั้วกัวยิ้งไปได้ผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นเมีย–อ้าชื่อ เม่งเง็กเล้า (Jade Fountain)” แล้วไต้อังยี้ก็เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ไซหมึ่งแต่งงานเมียใหม่คนนั้นให้นางพัวกิมเน้ยฟัง เมื่อนางรู้เรื่องและได้ความถนัดถึง “กิจธุระ” อันผูกมัดคนคู่พิศวาสไว้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างใดแล้ว พัวกิมเน้ยก็ร่ำไห้สะอึกสะอื้นอยู่จนมิเป็นอันฟัง หยาดน้ำตาเปียกนองทั้งสองแก้ม ทำเอาไต้อังยี้พลอยใจคอหดหู่ตามไปด้วย เขาก็เลยหยุดเล่า และหันมาว่าแก่นางว่า “เพราะอย่างนี้แหละ ข้าพเจ้าถึงไม่อยากเล่าอะไรให้ท่านฟัง เรื่องไม่เป็นเรื่อง ข้าพเจ้าไม่เห็นจะน่ากลุ้มใจที่ตรงไหนเลย.”
บัวคำเอนหลังพิงบานประตู ถอนหายใจลึกอยู่แต่ในทรวงอกและพูดกับไต้อังยี้ว่า “ไต้อังยี้เอ๋ย–เจ้าไม่รู้ดอกว่าเรารักกันแค่ไหน! ก็แล้วทำไมเขาถึงมาลืมเราเสียง่าย ๆ เช่นนี้?”
“อย่ากลัดกลุ้มอันใดให้มากไปเลย เจ๊” ไต้อังยี้พยายามปลอบโยน “ไม่มีเจ๊คนไหนในกระบวนภรรยาของท่านตั้วกัวยิ้ง ที่เขาจะมาคิดมากเหมือนท่านดอก.”
“เอาเถิด อย่าร้องห่มร้องไห้ไปเลย อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของท่านตั้วกัวยิ้งแล้ว เชื่อว่าอย่างไรเสียข้าพเจ้าคงจะพอมีโอกาสพบกับเขาได้บ้าง เขียนจดหมายฝากข้าพเจ้าไปให้ท่านก็แล้วกัน ข้าพเจ้าจะเอาให้เอง.”
“ฮะ เจ้าทำได้จริงๆ หรือ ก็ดีน่ะซิ ถ้าเจ้าช่วยการเราครั้งนี้สำเร็จ เราจะเย็บรองเท้าอย่างดีให้เป็นรางวัลแก่เจ้าคู่หนึ่ง เอาละ เราจะสวดมนต์ภาวนาขอให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เข้า เพื่อคุณผู้ชายของเจ้าจะได้มาหาเรา แต่คอยดูไปนะ ถ้าไม่มาละก็เจ้าเป็นโดนดีแน่ ๆ เราจะแช่งเจ้าให้ตาย.”
แล้วบัวคำก็ร้องเรียกแม่หนูเหง่งยี้ให้ยกน้ำร้อนน้ำชาและขนมปังหน้าเนื้อออกมาเลี้ยงรับรองไต้อังยี้จนเป็นที่อิ่มหนำสำราญ ส่วนนางเองนั้นรีบขึ้นไปเขียนจดหมายถึงไซหมึ่งที่ห้องชั้นบน นางเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พับใส่ซองปิดผนึกฝากเจ้าเด็กคนสนิทให้ไปให้แก่นายของเขาต่อไป.
“ระวังให้ดีหน่อยนะ ให้เหมือนแม่ไก่ระวังลูกเจี๊ยบของมันทีเดียว (Guard this letter as a brood hen would guard her egg!)” พัวกิมเน้ยสั่งแล้วสั่งอีกว่า ให้เขานำจดหมายฉบับนี้มอบให้แก่ท่านตั้วกัวยิ้งในวันเกิดของเขาให้จงได้ และมิว่าจะเป็นด้วยกรณีใดก็ตาม จดหมายฉบับนี้ต้องให้ถึงมือท่านไซหมึ่งเข่งให้ได้.
เมื่อเด็กม้าใช้จากบ้านของไซหมึ่งเข่งล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ร่ำลาหม้ายสาวเจ้าของบ้านตามธรรมเนียม และก่อนแต่เขาจะไปนางยังแถมพกรางวัลเหรียญทองแดงให้เขาอีกสอง-สามอีแปะ.
“ต้องบอกคุณผู้ชายของเจ้าให้ได้เชียวนะ ว่าเราโกรธมาก หากขืนไม่มาหาเราอีก คอยดูไป เราจะนั่งเกี้ยวไปตามให้ถึงบ้านทีเดียว.”
ไต้อังยี้พยักหน้ารับเป็นที่มั่นเหมาะแล้วก็กระโดดขึ้นหลังม้าควบต่อไป.
แลระหว่างระยะเวลาก่อนแต่ที่จะถึงวันกำหนดอันต้องตรงกับวาระคล้ายวันเกิดของไซหมึ่งนี้เอง บัวคำเฝ้าแต่ตั้งตาคอยวันแล้วก็วันเล่า ข่าวคราวอันใดจากเขามิมีมา เงียบฉี่ไปราวกับว่าปาหินลงก้นทะเลลึก มีแต่จะจมหายไม่มีวันได้ยินเสียงสะท้อน บัดนี้เดือนที่เจ็ดหรือก็จวนจะสิ้นวันอยู่แล้วรอมร่อ วันเกิดของชู้ชายก็จวนเข้ามาแล้วทุกขณะ ทว่าแต่ละคืนละวันดูช่างคืบคลานไปเชื่องช้าเสียเหลือเกิน ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะเวียนมาถึงอยู่ในไม่กี่วันนี้แล้ว แต่ข่าวคราวสักน้อยหนึ่งยังมิได้มีมา.
บัวคำได้แต่นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่ด้วยความรันทดระทมใจ.
ครั้นถึงวันแซยิดของไซหมึ่งเข่ง นางพัวกิมเน้ยก็ไปตามยายเห่งให้มาหา ตกรางวัลแก่ด้วยปิ่นเงินประดับทองอันหนึ่ง เพื่อขอร้องให้แกช่วยไปตามไซหมึ่งให้นางหน่อย เพราะนางรู้ดีว่า การจะไหว้วานหญิงชราผู้นี้ ย่อมขึ้นอยู่ต่อสินจ้างรางวัลเป็นประการสำคัญ.
แต่หญิงชราทัดทานนางว่า อย่างไรเสียวันนี้ไซหมึ่งก็ปลีกตัวมาหานางไม่ได้เด็ดขาด เพราะไหนเขาจะต้องอยู่คอยต้อนรับขับสู้บรรดาท่านขุนน้ำขุนนางข้าราชการเจ้าสัวพ่อค้าทั้งหลายแล้ว ยังจะเพื่อนฝูงของเขาอีกเล่า อย่างไรเสียวันนี้ทั้งวันเขาคงไม่ว่าง เอาไว้พรุ่งนี้เถิด จะไปให้แต่เช้ามืดทีเดียว.
บัวคำก็คาดคั้นยายแม่สื่อคนสำคัญจนเป็นที่แน่ใจ ซึ่งหญิงชราคนปากหวานก็ตกปากรับคำเป็นอย่างดีและมั่นคงว่า “ปั้ดโธ่ ยายจะลืมได้อย่างไรกันนะ ในเมื่อเป็นเรื่องของท่านตั้วกัวยิ้ง ผู้มีพระคุณของยาย.”
แล้วทั้งคู่ก็ร่วมกันเสพสุราอาหารอยู่จนอิ่มหนำสำราญ วันนี้ยายเห่งกลับบ้านด้วยหน้าตาแดงก่ำไปเพราะฤทธิ์เหล้าเช่นเคย ตรงข้ามนางพัวกิมเน้ยที่มิได้มีความสงบสุขเลยตลอดชั่วราตรีนั้น นางเฝ้าผุดลุกผุดนั่งมิได้เป็นอันหลับอันนอน เฝ้าแต่ทอดถอนหายใจอยู่ฮึดฮัดไปมา.
นางนอนลืมตาโพลงอยู่ตลอดราตรีภายใต้แสงประทีปอันริบหรี่จากตะเกียงเงินเหนือเตียงนอน ดูช่างเป็นราตรีที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและกระวนกระวายใจเสียนี่กระไร สมดั่งคำพังเพยที่ว่าไว้.–
จริงอยู่, พิณตัวเดียวก็พอ.
สำหรับที่จะอาศัยเป็นเพื่อนแก้เหงา.
ในท่ามกลางราตรีอันยืดยาว.
แต่ว่าการต้องมาเฝ้ารอคอยใครคนหนึ่งอยู่อย่างว้าเหว่
แต่ลำพังในห้องนอนอันอ้างว้าง
ก็ออกจะเป็นการยากยิ่งอยู่ที่จะทำพิณให้ไพเราะได้.
เมื่อนางบัวคำ สิ้นท่ามิรู้จะหาทางระบายความกลัดกลุ้มอย่างใดได้ นางก็หยิบเอาพิณปี่แป๊ขึ้นมาทำเพลงขับคลอแผ่วครวญอยู่แต่ลำพัง ตามทำนองเพลงที่ชื่อว่า “ปมยุ่งของขมวดไหมจามจุรี” (Tangled Silk Floss).
นึกถึงสตรีคนอื่นแล้ว.
ที่เขาตบแต่งร่างเอี่ยมสำอางก็เพื่อชายผู้เป็นยอดรัก!
แต่ตัวของเราสิ
ต้องมานอนกอดอกรันทดระทมอยู่กับเตียงนอน.
ทำไมหนอเขาจึงมาทอดทิ้งเราไปได้เช่นนี้?
ไม่ให้เหตุผลเรารู้เสียบ้างเลย
ฮึ, มนุษย์สับปลับ
กล้าแม้แต่จะตระบัดคำสัตย์ของตัวเองก็ได้.
และถ้าเขาไม่รักษาสัจวาจาดั่งกล่าวแล้วไซร้.
ขอเทพไทบนชั้นฟ้า โปรดได้แก้แค้นเขาให้ข้าพเจ้าด้วย!
พอรุ่งเช้า นางพัวกิมเน้ยก็ใช้ให้เหง่งยี้รีบไปดูยายเห่งที่ร้าน ว่ายังจะได้ไปบ้านไซหมึ่งเข่งให้นางแล้วหรือยัง สักครู่ลูกเลี้ยงก็กลับมาบอกว่า หญิงชราได้ออกจากร้านไปนานแล้ว.
ซึ่งก็เป็นความจริงดังที่เหง่งยี้บอก ด้วยยายเห่งได้ออกจากร้านไปตามไซหมึ่งให้นางบัวคำแล้วแต่เช้ามืด สมดังที่แกตกปากรับคำเอาไว้เป็นมั่นเหมาะ แกมายืนคอยท่านเจ้าสัวอยู่ที่หน้าประตูบ้าน แต่ว่าไม่ปรากฏมีผู้คนในบ้านผ่านออกมาเลย หญิงชราจึงต้องยืนคอยอยู่อีกครู่ใหญ่ กระทั่งผู้จัดการฮกเดินออกมา ยายเห่งจึงได้เข้าไปถาม.
“อ้าว ป้ามาช้าไปเสียแล้วนี่” ผู้จัดการร้านขายเครื่องยาของไซหมึ่งบอก “ทำไมป้าไม่มาหาเสียตั้งแต่วันวานเล่า ท่านเจ้าสัวอยู่บ้านวันทั้งวัน แขกเหรื่อใครต่อใครเขาก็มาหากันเมื่อวันวานนี้ทั้งนั้น ดูเหมือนเขาจะออกไปหาความสำราญนอกบ้านกับเพื่อน ๆ เมื่อตอนหัวค่ำวานนี้เอง ป่านนี้มิคงตกค้างอ้างแรมอยู่ตามซ่องที่ไหนหรือ? ป้าลองเดินหาดูซิ เผื่อบางทีจะเจอก็ได้” ฮกแนะนำเป็นอย่างดี แล้วก็แยกทางไป.
----------------------------