แผนการจับชู้

เมื่อเจ้าฮุยกอโดนยายเห่งตบตีจนบอบช้ำแล้ว เพื่อนก็กระเดียดกระจาดผลไม้เที่ยวได้ปุเลงๆ ตามหาบู๋ตั้วจนทั่ว เดินไปเดินมาอยู่หลายชั่วช่วงถนน ในที่สุดก็มาเจอะพ่อค้าขนมเปี๊ยะคนเมียสวยเข้าจนได้.

“แหม ไม่ได้พบเฮียเสียนาน เป็นไงหมู่นี้ดูพี่ท่านอ้วนท้วนแข็งแรงดีขึ้นนี่.” เจ้าเด็กน้อยจากแคว้นฮุยจิวจ่ายคารมคมคายเข้าให้.

“เรอะ อ้ายน้องชาย เราเองก็ไม่ยักกะรู้ตัวแฮะ ไหงมันถึงอ้วนขึ้นมาได้เล่า”

“ดีละถ้าเช่นนั้น ฉันจะบอกให้รู้ไว้ เฮียน่ะอ้วนขึ้นมาแล้วนะหมู่นี้ นี่พี่ชายวันก่อนฉันเที่ยววิ่งหาซื้อรำเป็นการใหญ่ หาซื้อที่ไหน ๆ ก็ไม่มีใครขาย พอดีมีคนเขาบอกว่า ให้มาถามซื้อที่พี่ท่านดู เขาบอกว่าคงจะมีขาย––”

“ฮะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปเล่า ก็เราไม่เคยเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่กะใครเขานี่ ที่ไหนจะมีรำขายให้เจ้าได้เล่า.”

“อย่าพึ่งเอะอะไปก่อนพี่ชาย ฟังฉันพูดให้จบก่อน จริงดอกที่ว่าพี่ท่านไม่ได้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่กับเขา แต่ตัวของพี่นั่นเองแหละเป็นเป็ดเป็นไก่ที่เขาเลี้ยง รู้ไว้เถอะเดี๋ยวนี้ถ้าเฮียเป็นเป็ด ก็เป็นเป็ดที่เจ้าของเขาขุนเสียอ้วนจนแทบจะคอนตัวไม่ไหวอยู่แล้ว ไม่เชื่อลองใครเขามาหิ้วเอาท่านไปลวกน้ำร้อนเดี๋ยวนี้ดูซิ ขี้คร้านวิ่งหนีเขาไม่พ้นมือ.”

“เอ๊ะ ทำไมเจ้าถึงได้มาพูดกับเราเช่นนี้เล่าหือ ชะชะ อ้ายลูกนักโทษนี่ เมียเราก็ยังไม่ได้ไปคบชู้สู่ชายกับใครเขาที่ไหน ทำไมอยู่ๆ เจ้ามาเปรียบเราเป็นเป็ดเป็นไก่ ถูกเขาขุนเขาเลี้ยงจนอ้วนเช่นนี้เล่า?”

“อ้าว ก็เพราะท่านมัวแต่งมโข่งอยู่นะซิ ถึงได้ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเสียเลย มานี่เถอะ ฉันจะบอกอะไรให้ แม่นางเมียรูปสวยของเฮียน่ะ เดี๋ยวนี้กำลังคบชู้แล้วรู้ไหม ถ่างตาถ่างหูฟังเขาไว้เสียบ้างซิ.”

“ฮะ ใครละเว้ย ที่มาเป็นชู้กับเมียเราหืออ้ายน้องชาย ไหนบอกมาซิ ฮึ่ม––” บู๋ตั้วเอะใจ ปราดเข้าเขย่าร่างเจ้าฮุยกอเพื่อจะค้นคว้าหาความจริงให้จงได้.

“ฮะฮ่า ขำจริงเฮียนี่ ก็มีอย่างที่ไหน เรื่องที่ควรจะไปโกรธคนอื่นเขาไม่โกรธ ดันมาโกรธเอาฉันเข้า มาเขย่าขยอกฉันมันจะได้เรื่องอะไร ไปตะบันหน้าเอากับอ้ายคนที่มันเป็นชู้กับเมียท่านนั่นซิถึงจะถูก.”

“อือ์ม จริงของเจ้า เจ้าพูดของเจ้าก็ถูก ไหว้ทีเถอะวะเจ้าน้องชาย บอกให้รู้สักหน่อยซิว่า อ้ายชู้เราคนนั้นน่ะมันใครกัน เอ้า เอาขนมเปี๊ยะนี่ไปกินเสียสิบลูกเอา.”

“บ๊า มีอย่างที่ไหน เรื่องออกคอขาดบาดตายเช่นนี้ ลงทุนกันด้วยขนมเปี๊ยะสิบอันเท่านี้เองดอกหรือนี่ เออเลี้ยงกันสักอิ่มมันค่อยถึงน่าดู จริงไหมล่ะ มีเหล้ามีข้าวพอค่อย ๆ คล่องคอหน่อย จะบอกจะเล่ามันถึงค่อยคุ้มราคากัน จริงไหมละพี่.”

“ชะช้า! มากเหลี่ยมจริงอ้ายเสือนี่ เอาวะ มาจะกินอะไรก็เอา” แล้วบู๋ตั้วก็ออกเดินนำหน้าพาฮุยกอ แวะเข้าไปหาอาหารอะไรต่ออะไรกินกันที่ร้านข้าวแกงเล็ก ๆ แถวนั้น.

เมื่อเสพสุราอาหารกันพอเป็นที่อิ่มปากอิ่มท้องดีแล้ว เจ้าเด็กน้อยคนฉลาดก็บอกแก่บู๋ตั้วว่า “นี่พี่ท่าน ดูที่หัวฉันนี้ซิ บวมปูดไปเสียหมดแล้ว” พลางยื่นศีรษะชี้ให้ผัวแม่นางบัวคำดู.

“เออ ก็แล้วเจ้าไปโดนอะไรที่ไหนมาล่ะ?”

“ก็จะที่ไหนเสียอีกเล่า ที่ร้านน้ำชาอียายแก่เห่งนั่นน่ะซิ––” แล้วเกียวก็แจงสี่เบี้ยถึงเรื่องราวละเอียดที่เกิดขึ้นให้บู๋ตั้วฟังจนหมดสิ้น มิหนำซ้ำเจ้าเด็กน้อยคนเจ้าคารมยังแถมหยอดเป็นเชิงใส่ไฟเข้าให้อีกว่า ที่เขาอุตส่าห์นำมาเล่าให้ฟังนี้น่ะ เพียงชั่วแต่ไว้รับฟังเอาความกันเท่านั้นดอก เรื่องที่จะคิดอ่านจัดการหรือไม่จัดการอย่างใดนั้นแล้วแต่เรื่อง ซึ่งบู๋ตั้วควรจะพินิจพิจารณาเอาเอง.

แลด้วยความที่คนผู้พี่ชายของบู๋ซ้งคนนี้ เพื่อนเป็นคนอารมณ์เยือกเย็น มีความสุขุมคัมภีรภาพเป็นนิสัยสันดาน ดังนั้นเขาจึงคาดคั้นไล่เลียงต่อเจ้าเด็กน้อยนี้อยู่จนเป็นที่มั่นใจ “ว่าแต่ว่าที่เจ้าเล่ามาทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง ๆ นะ?” เขาถามย้ำ

“ปัดโธ่พี่ชายก็ นี่ไหมล่ะ ถึงได้จริงอย่างที่ใคร ๆ เขาว่าเป็นเป็ดอ้วน รู้เสียซิว่าสองคนนั่นแต่ละวัน ๆ มันเฝ้าคอยเวลาพี่ท่านจะออกจากบ้านเท่านั้น แล้วทั้งคู่ก็ลอบไปพบกันที่ร้านยายเห่งนั่นทุกวันไป เรื่องอะไรฉันจะมาหลอกพี่ชายเล่า?”

เมื่อถ้อยทีถ้อยสนทนาอยู่กันสืบไป บู๋ตั้วก็เปิดอกระบายทุกข์ให้เจ้าหนูน้อยฟังบ้างว่า ตัวของเขาเองก็สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันทุกวันนี้ เพราะดูพัวกิมเน้ย หล่อนออกจะแก่ไปที่ร้านยายเห่งนี่ทุกวัน แต่ครั้นถามเข้าทีไร นางก็บอกว่าไปช่วยเย็บเสื้อให้ยายแก่นั่น ซึ่งเขาก็สงสัยอยู่–เพราะเวลานางกลับมาบ้านทีไร ดูหน้าตาให้ฉูดฉาดเปล่งปลั่งกระชุ่มกระชวยพิกล แล้วยังมีที่น่าสังเกตอีกหลายอย่างหลายประการ เป็นต้นว่า หมู่นี้นางออกจะเคี่ยวเข็ญเอาเสียจริงกับหนูเหง่งยี้ลูกสาวของเขา แทบจะไม่เว้นแต่ละวันก็ว่าได้ ด่าอยู่นั่นแล้ววันทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น บางทีไม่ให้กินข้าวกินปลาเสียเฉยๆ ก็มี ยิ่งสอง-สามวันมานี้ดูยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก เวลานางเจอหน้าเขาเข้าทีไร เป็นให้ต้องมีเรื่องกระฟัดกระเฟียดทุกไปครั้ง เขาเองก็นึก ๆ สงสัยอยู่บ้างเหมือนกัน แต่หาหลักฐานไม่ได้ เมื่อมาได้ฟังจากเจ้าน้องชายเช่นนี้ก็ดีแล้ว จะได้รู้แล้วรู้รอดไปเสียที.

“ว่าแต่ว่า เจ้าน้องชายมีความคิดเห็นอย่างไร หากเราจะกลับไปบ้านเดี๋ยวนี้ จับตัวมันทั้งคู่เสียวันนี้แหละ เอาให้คาหนังคาเขาทีเดียว.”

“โธ่ ทุเรศจริงพี่ชายเอ๊ย นี่แหละเขาถึงว่าโตแล้วไม่มีความคิด ก็มีอย่างที่ไหน คิดดูซิว่ามีหรือที่อีหมาแก่เห่งนั่น มันจะยอมให้พี่ท่านเดินลอยชายเข้าไปจับชู้ถึงในร้านมันได้ง่าย ๆ ชั้นชั่วพอมันเห็นหน้าท่าน มันก็จะต้องบุ้ยใบ้ให้นางเมียท่านหนีกลับบ้านเสียก่อนแล้ว เท่านี้ก็สิ้นเรื่องจะจับกะผีอะไรกัน หรือถึงท่านกะเร่อกะร่าเข้าไปในร้านแกจนได้ก็เถอะ พี่ท่านจะไปเอาอะไรกะเขา ดีไม่ดีไซหมึ่งจะได้ล่อท่านเสียหมอบไปอีกน่ะนา แล้วจะว่าอย่างไร พี่ท่านอย่าลืมเสียว่า ตั้วกัวยิ้งคนนี้เขามั่งมีไม่หยอก ไหนจะสมัครพรรคพวกอีกเยอะแยะ ดีไม่ดีเขาหาเรื่องเปลี่ยนรูปคดีเสียดื้อๆ ก็จะกลายเป็นว่า ท่านตกเป็นผู้ต้องหาไปเสียฉิบ ก็ลองขืนถูกจับไปขึ้นโรงขึ้นศาลละก็เสร็จแน่เฮียเอ๊ย ใครจะช่วยไหว คิดดูเสียน่ะ คิดดูเสียให้ดี จะทำอะไรลงไปละก็ อย่างที่ท่านว่ามานั้น มันล่อแหลมอยู่สักหน่อย.”

“อือ จริงอย่างเจ้าว่า ก็ถ้าเช่นนั้นเราจะคิดอ่านจัดการกันอย่างไรดีเล่า ช่วยออกความเห็นบ้างซิ”

“มีน่ะพอมี เพราะฉันเองก็อยากจะแก้แค้นอียายเห่งนั่นอยู่เหมือนกัน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะพูดให้ฟัง คือวันนี้เราเฉยไว้เสียก่อน พี่กลับไปบ้านทำทีเป็นว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เคยอย่างใดมาก็ทำไปอย่างนั้นก่อนสำหรับวันนี้ อดใจเอาไว้พรุ่งนี้ถึงค่อยลงมือ สำหรับขนมเปี๊ยะที่พี่ชายจะนึ่งขายพรุ่งนี้นั้นอย่าทำให้มากนัก ทำแต่น้อย ๆ เอาพอคะเนว่าขายเดี๋ยวเดียวก็หมด แล้วตอนเช้าฉันจะมาคอยพี่ชายอยู่ที่มุมหัวถนนสายแรกนั่น เวลาพี่ออกขายขนมก็อย่าไปขายให้มันไกลนัก กะดูพอให้ฉันเห็นได้ ฉันจะเป็นคนคอยดูต้นทางเอง พอเห็นไซหมึ่งเดินเข้าร้านยายเห่งละก็ ฉันจะส่งสัญญาณบอกให้ท่านรู้ แล้วรีบมาที่ฉันก็แล้วกัน เราจะได้ไปซุ่มคอยทีอยู่ที่หน้าร้านน้ำชา ทีแรกฉันจะเป็นคนไปล่อยายเห่งแก่นั่นมันก่อน ฉันจะแกล้งด่ามันขึ้น เชื่อเถอะอียายเฒ่านี่มันต้องปรี่ออกมาเล่นงานฉัน พี่ชายคอยดูจังหวะให้ดีก็แล้วกัน พอเห็นฉันโยนกระจาดลูกไม้ลงกลางถนนละก็ รีบผลุนผลันวิ่งเข้าร้านไปเลย วิ่งให้เร็วแล้วร้องเอะอะโวยวายให้ลั่นเทียวนะ ส่วนทางข้างหน้าร้านไว้ธุระฉันเอง ฉันจะพยายามฉุดอียายแก่นี่ไว้ เป็นไงอุบายอันนี้ พี่ท่านเห็นเป็นอย่างไร?”

“บ๊ะ วิเศษจริง อ้ายน้องชาย อุบายของเจ้าแยบคายดี หลักแหลมมาก เอาละครั้งนี้เราจะไม่ลืมบุญคุณเจ้าเป็นอันขาด เอ้า–เอาอีแปะนี่ไปไว้ใช้สักสองพวง ตกลงนะอย่างที่ว่า พรุ่งนี้ตอนเช้าเจ้ามาคอยพบเราที่มุมถนนหินม่วงก็แล้วกัน เอาละ ลาก่อนน้องชาย.”

แล้วต่างก็แยกทางกันไป เกียวจากบู๋ตั้วไปพร้อมด้วยอีแปะสองพันอันกับขนมเปี๊ยะอีกหลายก้อน ส่วนบู๋ตั้วกลับไปพร้อมด้วยความครุ่นคิด เขาเที่ยวเดินหาซื้ออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือแล้วกลับบ้าน.

ด้วยความที่สำนึกอยู่แก่ใจตัวว่ามีความผิดฉกรรจ์อยู่ในระยะนี้ ดังนั้นบัวคำจึงค่อยเพลามือการทะเลาะเบาะแว้งกับสามีลง พยายามสงวนท่าทีไว้เป็นอย่างดี จึงเย็นวันนั้นเอง เมื่อบู๋ตั้วกลับบ้าน นางก็สังเกตเห็นว่าสามีได้ดื่มเหล้ามาด้วย นางจึงถามขึ้นว่า “ท่านกินเหล้ามาหรือนี่?”

“ฮื่อ ไปเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งเข้า เขามารับจ้างเป็นนายหน้าขายของ เจอกันก็เลยแวะนั่งกินเหล้าคุยกันชั่วครู่ ไม่มากนักดอก เพียงแค่สอง-สามจอกเท่านั้นเอง” สามีตอบเรียบๆ.

แล้วเหตุการณ์ทางบ้านในเย็นวันนั้นก็ผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อย ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้น บู๋ตั้วก็ปฏิบัติกิจวัตรเช่นเคยมา คือกินข้าวกินปลาเสร็จแล้วก็แบกกระจาดขนมออกจากบ้านไปเช่นเคย แต่ว่าเช้าวันนี้ บู๋ตั้วนึ่งขนมมาขายเพียงไม่กี่เข่งเท่านั้นเอง. แลนางบัวคำนั้น อารามที่ใจจดใจจ่ออยู่แต่พ่อยอดชู้คู่สวาท เลยลืมสังเกตไปว่าวันนี้สามีทำขนมขายน้อยกว่าที่เคยมา นางเฝ้านั่งรอคอยเวลาอยู่ด้วยความพะวักพะวน จนกระทั่งเห็นชายผู้ผัวลงบันไดไปพ้นบ้านลับหลับตาแล้ว นางจึงกระวีกระวาดรีบไปหาไซหมึ่งชู้รักที่ร้านยายเห่งทันที.

ฝ่ายบู๋ตั้วเมื่อออกจากบ้านแล้วก็รีบมาพบฮุยกอตามนัด

“เป็นไง เรียบร้อย?” สามีอันเมียคบชู้ถาม.

“ยัง–ยังเช้าไปหน่อย คอยอีกสักกะเดี่ยว พี่ชายไปเร่ขายขนมเสียก่อนก็ยังทัน แต่อย่าไปให้ไกลนักนะ ฉันเชื่อว่าอีกสักชั่วครู่ก็คงขายหมดพอดีเวลา”

บู๋ตั้วเดินตัวปลิวไปขายขนม เขาขายอยู่สักครู่ก็หมดไปสองถาด จึงกลับมาหาฮุยกอทันที.

“เอาละได้การแล้วทีนี้” เจ้าเด็กน้อยแซ่เกียวบอก พลางกระซิบให้บู๋ตั้วคอยดูจังหวะเวลาเขาทิ้งกระจาดลูกไหนลงกลางถนน เพื่อจะได้รีบวิ่งเข้าไปในร้าน.

แล้วเจ้าเด็กน้อยคนปัญญาไวก็เดินส่ายอาดตรงรี่ไปที่ยายเห่ง เขาปรี่เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าหญิงชรา พลางเริ่มประกาศสงครามก่อนด้วยการร้องด่าท้าทายหญิงผู้เฒ่าเป็นการใหญ่

“ว่าอย่างไร หือ อียายแร้งทึ้ง มึงอวดดีอย่างไรถึงได้มาตบกูเมื่อวานนี้?”

ข้างยายเห่ง ซึ่งก็ยังเคืองเจ้าเด็กแก่นแก้วคนนี้อยู่มิรู้หาย พอได้ยินอ้ายเด็กลูกลิงมาร้องด่าเข้าอีก แกก็ตะโกนด่าสวนออกมาทันควัน “โธ่ อ้ายเด็กเปรต อ้ายคนระยำ กูไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับมึงเลยจะบอกให้ ไปเสียนะ ไปให้พ้นหน้าร้านกู มึงตั้งใจจะมาชวนทะเลาะกะกูแต่เช้าหรือไงนี่?” แล้วด้วยความโมโหสุดขีด แกก็รี่เข้ามาจะตบเจ้าเด็กน้อยคนนี้ให้สาแก่ใจแก แต่เจ้าฮุยกอกลับฮึดสู้ เขาแกล้งเหวี่ยงตะกร้าลูกไม้ลงกลางถนน ปากก็ตะโกนด่าหญิงชราอยู่อึงอล “มา เข้ามา มาเอากะกูอีแก่!” พลางปราดเข้ารั้งเข็มขัดแกไว้แน่น พอได้ทีก็โผนเข้าเอาหัวชนหญิงชราเต็มรัก ยังผลให้ยายเห่งซวนเซจะล้มมิล้มแหล่ หากดีอยู่หน่อยตรงที่ว่าแกเอาหลังยันกำแพงไว้ได้ ทั้งคู่ต่างต่อสู้เหนี่ยวรั้งกันอยู่ฮึดฮัด ๆ อย่างเต็มความสามารถของแต่ละฝ่าย ซึ่งก็เป็นเพลาเดียวกับบู๋ตั้วถลกแขนเสื้อขึ้นเป็นที่ทะมัดทะแมง วิ่งปราด ๆ เข้าร้านยายเห่งไป หญิงชราได้แต่มองตาปริบ ๆ มิทันที่จะขัดขวางอย่างใดได้ ทว่าปากแกไวเท่าความคิด ดังนั้นแกจึงตะโกนลั่นร้านให้ไซหมึ่งได้ยินว่า “บู๋ตั้วมาแล้วๆ!”

ข้างสองหนุ่ม-สาวที่กำลังเริงสวาทอยู่ต่อกันในห้อง พอแว่วเสียงยายเห่งร้องตะโกนบอกกล่าวเช่นนั้น อารามขวัญหนีดีฝ่อ ทั้งคู่ต่างผละออกจากกันทันที ข้างนางพัวกิมเน้ยนั้น หมดที่หนีไม่รู้จะออกไปทางไหนได้ เพราะช้าไปเสียแล้ว จึงได้แต่เผ่นเข้าดันประตูห้องไว้พลางก่อน ส่วนไซหมึ่งเข่งนั้น ความที่ตกใจเพราะไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เลยลุกลี้ลุกลนเข้าไปซุกหัวอยู่ใต้เตียง.

“งามหน้าเหลือเกินนะมึงนะ อีนังอัปรีย์!” บู๋ตั้วคำราม โผนเข้าทุบประตูห้องอยู่ปึงปัง แต่ว่าเขาก็มิอาจเข้าไปข้างในได้.

บัวคำเจ้าเหนื่อยปิ้มว่าจะขาดใจ ไหนจะอกสั่นขวัญหนี ไหนจะต้องออกแรงดันบานประตูไว้ ขัดใจขึ้นมาเลยหันไปหาพ่อชายชู้ตาขาวเข้าให้.

“ไหนเจ้าคนเก่ง คุยนักคุยหนาไว้อย่างไรเล่า ทีลับหลังละคุยโต พอถึงเวลาเอาจริงเข้ากลับหัวซุกหัวซุน โธ่ คนหนอคน เห็นรูปเสือเข้าก็กลัวแล้ว!”

เมื่อไซหมึ่งโดนหญิงสาวสบประมาทเช่นนั้น มานะลูกผู้ชายเตือนสติทำให้สำนึกขึ้นมาได้ เกิดมุขึ้นมา ก็คลานงุ่มง่าม ๆ ออกจากใต้เตียง.

“ขอโทษที่แม่ทูนหัว พี่ลืมไป อารามตกใจเลยตะลึงไปชั่วครู่ เอาเถอะ ทีนี้พี่จะแสดงฝีมือให้เจ้าเห็นฤทธิ์” ว่าแล้วเขาก็กระชากบานประตูเปิดผางออกทันที พร้อมทั้งตวาดด้วยเสียงอันดังสนั่นว่า “ไป ออกไปให้พ้น” และปราดเข้าเล่นงานบู๋ตั้วทันที.

แลก็น่าสงสารอะไรเช่นนั้น ค่าที่ผัวนางพัวกิมเน้ยนั้นเพื่อนแสนจะไม่สมประกอบอยู่แล้ว จึงเมื่อมาปะทะกับไซหมึ่งผู้หนุ่มฉกรรจ์เข้าเช่นนี้ บู๋ตั้วก็โดนชายชู้เตะเอาเต็มเหนี่ยวเข้าที่ยอดอก ล้มกลิ้งเซหลุน ๆ ออกมา ไซหมึ่งฉวยโอกาสตอนนี้เองเผ่นหนีออกจากร้านยายเห่งไป ข้างฮุยกอเมื่อเห็นรูปการกลับโอละพ่อเช่นนี้ก็ไม่ฟังเสียง พอสะบัดหลุดจากยายเห่งได้แล้วก็ใส่ตีนหมาโกยอ้าวหนีไป.

ฝ่ายว่าพวกเพื่อนบ้านบรรดาที่รู้เห็นเหตุการณ์ ตระหนักดีว่าคดีเรื่องนี้มีท่านเศรษฐีไซหมึ่งพัวพันอยู่ด้วย ก็พากันราข้อรามือเสีย ต่างมิอาจช่วยเหลือชายร่างพิการผู้น่าสงสารแต่อย่างใดได้ เพราะทุกคนต่างก็เกรงกลัวอิทธิพลลับของไซหมึ่งตาม ๆ กัน.

ฝ่ายยายเห่งเมื่อมาถึงตอนนี้ แกกรากเข้ามาพยุงบู๋ตั้วไว้ ครั้นเห็นว่ามีเลือดไหลทะลักออกมาทางจมูกและปาก ทั้งหน้าตาของคนเจ็บหรือก็ขาวซีดจนจะเป็นแผ่นกระดาษเช่นนั้น แกก็ร้องบอกให้บัวคำตักน้ำใส่อ่างมา หญิงชราประพรมน้ำเย็นลูบไล้ชโลมอยู่ กระทั่งชายผู้เคราะห์ร้ายกลับฟื้นคืนสติแล้ว สองคนกับนางพัวกิมเน้ยก็ช่วยกันหามพาเอาบู๋ตั้วกลับไปยังบ้าน โดยผ่านออกทางประตูหลังร้าน หญิงทั้งสองช่วยกันหามเอาบู๋ตั้วขึ้นไปนอนไว้ที่ห้องชั้นบนดีแล้ว ก็ปล่อยทิ้งชายอาภัพคนนี้ไว้ตามยถากรรม เพื่อรอวาระสุดท้ายของเขาอยู่บนเตียงนอนนั้นเอง.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ