- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
สามีคนเคราะห์ร้าย
ค่อนบ่ายวันหนึ่งในเดือนมีนาคมอันเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งและอากาศแจ่มใส บรรดาภริยาของไซหมึ่งต่างก็ลงไปร่วมรื่นเริงกันที่ในสวนดอกไม้อย่างพร้อมเพรียง ขาดอยู่แต่ก็นางลีเกียวและซึงเซาะง้อ คนแรกนั้นเป็นคนไม่สู้สนใจในความสนุกสนาน ส่วนข้างนางคนหลังนี้ หน้าที่แม่ครัวบังคับให้นางออกมาหาความสำราญเช่นเขาไม่ได้
ส่วนผู้ที่ออกมาหาความสนุกสนานเพลิดเพลินนี้ ต่างก็จับคู่กันตามอัธยาศัย ร่วมนั่งไกวชิงช้าเล่น คู่แรกได้แก่ตั้วเจ๊และนางเม่งเง็กเล้า คู่ถัดมาได้แก่นางลีปังกับนางบัวคำ ส่วนเจ้าชุนบ๊วยและนางเน้ยเข่งนั้น มีหน้าที่เป็นคนไกว หลังจากนั่งเล่นกันไปได้สักพัก เม่งเง็กเล้าก็เสนอความเห็นขึ้นว่า ทางที่ดีควรนั่งกันทีละสามคนจะสนุกกว่า แล้วนางก็บอกให้พัวกิมเน้ยยืนขึ้น ตั้วเจ๊เห็นเช่นนี้ก็ว่าชักจะไม่เข้าที เพราะไม่มีคนเสมอนอกคอยหัวเราะ แต่ว่าเมื่อจะลองดูก็ตามใจ แล้วทั้งหมดต่างก็นั่งไกวชิงช้าเล่นด้วยกันอยู่เป็นที่สำราญ
โดยเฉพาะนางพัวกิมเน้ยออกจะสนุกสนานมากกว่าเพื่อน เพราะนางยืนผงาดลิ่วอยู่บนกระดาน วับ ๆ หวิว ๆ อยู่ตามแรงชิงช้าแกว่งของคนไกว นางหัวเราะเสียงใสดูสนุกสนานยิ่งนัก ถึงนางดวงแขจะตักเตือนเท่าไรนางก็ไม่เชื่อ ทั้งนี้เพราะนางตั้วเจ๊เห็นแล้วว่า การยืนไกวชิงช้าเล่นเช่นนี้หมิ่นเหม่ต่ออันตรายนัก ซึ่งก็สมจริงดั่งคำเตือนของนาง เพราะชั่วขาดคำนางดวงแขเท่านั้นเอง นางพัวกิมเน้ยเกิดลื่นไถลจะตกลงมาจากชิงช้า ดีแต่ว่านางคว้าเชือกไว้ได้ทันจึงแคล้วคลาดไป
“เห็นไหมล่ะเราเตือนแล้ว เจ้าอยากไม่ฟังเรา การยืนชิงช้าเล่นเช่นนี้ต้องระมัดระวังหน่อย ดีไม่ดีแข้งขาอ่อนขึ้นมาจะพลัดผลุงไม่รู้ตัว” ตั้วเจ๊พูดขึ้นอย่างตำหนิ แล้วนางได้เล่าถึงเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ที่นางเคยประสบมา ให้แก่หญิงเหล่านั้นฟังว่า เมื่อสมัยนางยังเป็นเด็กอยู่ นางจำได้ว่าในฤดูเช่นนี้แหละ ก่อนหน้าจะถึงเทศกาลชิงหมิงสักไม่กี่วัน นางพร้อมด้วยเพื่อนหญิงเล็ก ๆ อีกสามสี่คนได้ไปเล่นชิงช้าด้วยกัน มีเพื่อนหญิงของนางคนหนึ่งชื่อจิวยืนไกวชิงช้าเล่น ขณะที่แกว่งไปแกว่งมานี้ จะเลินเล่อเข้าอีท่าไหนไม่รู้ หล่นโครมไถลกระดานชิงช้าลงมา แล้วไม่รู้ว่าส่วนไหนส่วนใดไปกระทบเข้ากับขอบกระดาน ซึ่งตอนนั้นต่างก็ไม่รู้ ต่อมาซิที่ไหนได้ พอหญิงผู้นั้นไปแต่งงานแต่งการเข้า ชั่วคืนแรกเท่านั้นเอง เจ้าบ่าวก็ถึงกับขอส่งตัวเจ้าสาวคืน ทั้งนี้เพราะเขาอ้างว่าเจ้าสาวของเขาไม่บริสุทธิ์! “คิดดูซิ ร้ายกาจแค่ไหน เลยตั้งแต่นั้นมาเวลาจะเล่นชิงช้าละก็ เราเป็นระวังนักเรื่องนี้”
บัวคำแก้ตัวว่าเป็นเพราะซัมเจ๊เองที่นั่งไม่ได้ระดับ แล้วนางก็เลยขอเล่นแก้ตัวใหม่ โดยขอนั่งไกวกับนางลั่กเจ๊
ทั้งสองนางต่างสนุกสนานอยู่ต่อกันจนสักครู่ ตั้งกิมกี่ลูกเขยหนุ่มท่านเจ้าบ้านแวะผ่านมา พอเขาเห็นทีท่าที่สองภรรยาสาวท่านพ่อตานั่งชิงช้าเช่นนั้น เขาก็บอกว่า “ดูทีท่าอาซ้อนั่งชิงช้าไม่สันทัดเอาเสียเลย!”
พอดีตั้วเจ๊ได้ยินเข้า นางก็เลยพูดขึ้นว่า “เออ ตั้งมาก็ดีแล้ว ช่วยหัดให้พี่สะใภ้ทั้งสองของเจ้าเล่นชิงช้าดูทีหรือ ใช้แม่พวกนี้ไม่ได้ความ มันไม่แข็งแรงพอ”
พอตั้งได้ยินตั้วเจ๊พูดเช่นนั้นก็หูผึ่งขึ้นมาทันที เขารับปากรับคำเป็นที่แข็งแรงว่า “ได้ จะเป็นไรไป ยินดีอย่างยิ่งทีเดียวแม่หญิง” แล้วโดยมิฟังเสียง เขาก้าวสวบ ๆ เข้ามายืนอยู่เบื้องหลังชิงช้าที่บัวคำกำลังนั่งอยู่กับนางลีปัง
เขาร้องบอกโง่วเจ๊ให้นางจับเชือกชิงช้าไว้ให้มั่น แล้วโดยไม่เกรงต่อข้อครหาแลสายตาของผู้ใดใครสิ้น ตั้งรวบชายผ้านุ่งนางบัวคำเข้าไว้แล้วไกวพุ่งออกไปเต็มแรง
นางลีปังเห็นเช่นนั้นก็นึกสนุก จึงบอกแก่ตั้งว่าช่วยไกวให้นางสูง ๆ เหมือนดังที่ไกวให้โง่วเจ๊บ้างซิ แลขณะนั้นนางกำลังยืนอยู่บนกระดานชิงช้า
ตั้งก็ตอบว่า “เดี๋ยวก่อนซิอาซ้อ ให้ถึงรอบเสียก่อน ข้าพเจ้าจะไกวได้อย่างไรเล่าทีเดียวสองคนเช่นนี้”
แล้วตั้งก็ก้าวมาที่กระดานชิงช้าของปังเจ๊ เขาถลกชายผ้านุ่งของนางขึ้นเล็กน้อย จนกระทั่งสามารถเห็นซับในได้วอมแวม แล้วตั้งก็แกล้งจงใจตะปบกำมือของเขาลงเหนือท่อนขาอ่อนอันอวบอัดของนางลั่กเจ๊ พลางผลักกระดานออกไปสุดแรง
เสียงนางลีปังหัวเราะร่าลงมาว่า “อย่าแรงนัก เดี๋ยวจะตก ข้าพเจ้ายังยืนไม่ถนัด”
แต่ตั้งกิมกี่ไม่ฟังเสียง เขาย้อนถามนางไปว่า “ทำไม ก็อาซื้อไม่ได้ดื่มสุรามาเลยมิใช่หรือ เรื่องไรจะยืนไม่ถนัดเล่า?”
เมื่อได้รับการแนะนำในวิธีเล่นชิงช้าให้สนุกว่าควรปฏิบัติอย่างไรแล้ว สักครู่สองนางก็ลงจากชิงช้า เปิดโอกาสให้นางเน้ยเข่งและเง็กซิวได้เล่นบ้าง
แลขณะที่แม่หญิงทั้งหลายต่างสนุกสนานรื่นเริงกันอยู่ในอุทยานนี้เอง ไล่เห่งผู้สามีนางกลีบบัว ซึ่งท่านพ่อบ้านใช้ให้ไปธุระที่เมืองฮังจิว ก็กลับมาถึงบ้านพร้อมด้วยข้าวของพะรุงพะรัง ล้วนแต่เป็นของขวัญอันมีค่าที่ไซหมึ่งจะส่งไปให้เป็นของขวัญวันแซยิดท่านฉั่วไจเสี่ยงผู้นั้นทั้งสิ้น แลขณะที่ไล่เห่งเก้ๆ กัง ๆ อยู่ที่เรือนใหญ่นั้นเอง เขาก็เจอเข้ากับนางซึงเซาะง้อพอดี
“อ้าวไล่เห่ง เจ้ากลับมาแล้วรึ?” นางร้องทักปฏิสันถารอย่างกันเอง “เห็นจะลำบากเอาการอยู่ละกระมังในการเดินทางคราวนี้ไหนจะโดนหิมะ ไหนจะโดนพายุทรายมิใช่หรือ? แต่ดูๆ เจ้าก็อ้วนท้วนแข็งแรงดีอยู่นี่ รู้สึกว่าจะอ้วนขึ้นกว่าเก่าที่เราได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปเสียอีก”
“ตั้วกัวยิ้งอยู่บ้านหรือเปล่าอาเจ๊?”
“วันนี้เขาไม่อยู่ดอก ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ แต่พวกลูกๆ เมีย ๆ ของเขากำลังสนุกสนานกันอยู่ที่ในสวนนั่นแน่ะ”
แล้วนางซึงเซาะง้อก็เชื้อเชิญไล่เห่งให้ไปยังเรือนของนาง จัดการชงน้ำร้อนน้ำชามาให้ และถามเขาว่า “กินอะไรมาแล้วหรือยัง?”
ไล่เห่งก็ปฏิเสธ บอกว่าเขายังไม่หิว อยากจะพบตั้วเจ๊เสียก่อน แล้วเดี๋ยวจะอาบน้ำอาบท่าล้างเหงื่อล้างไคลเสียที ว่าแต่ว่าภรรยาของเขายังอยู่ที่ในครัวหรือว่าไปข้างไหนเล่า? ทำไมถึงไม่เห็นหน้านางเลย?
เซาะง้อเม้มปากแล้วระบายยิ้มออกมาอย่างเนือยๆ และพูดว่า “ถามอะไรเช่นนั้น มีอย่างที่ไหน คนสวย ๆ อย่างภรรยาของเจ้าน่ะหรือ จะต้องลงห้องครัว เดี๋ยวนี้นางเป็นคุณนายไปแล้วรู้ไว้เถอะ”
ทันใดนั้นเอง ทั้งคู่จำต้องชะงักการสนทนาลง เพราะตั้วเจ๊ได้โผล่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ทั้งนี้เพราะพอนางรู้ว่าไล่เห่งกลับมาถึง นางก็รีบมาต้อนรับและถามข่าวคราวทันที นางได้สนทนาปราศรัยไต่ถามสุขทุกข์ในการเดินทางของเขา แล้วนางก็ให้เหล้าเป็นรางวัลแก่เขาสองกระปุก และบอกว่า “กลับไปห้องเจ้าได้แล้วละ อาบน้ำอาบท่าเสียให้สบายใจ ค่อยสักครู่คุณผู้ชายของเจ้าเขาคงจะกลับมา”
ไล่เห่งกลับไปอาบน้ำอาบท่าที่เรือนพร้อมด้วยนางเน้ยเข่งผู้ภรรยา นางกุลีกุจอช่วยสามีเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนผ้าและเก็บข้าวเก็บของ พร้อมทั้งได้จัดเตรียมข้าวปลาไว้รับรองโดยพร้อมมูล มิให้มีขาดตกบกพร่อง นางบอกแก่เขาว่า เขาชั่งอ้วนอะไรเช่นนี้!
ก่อนเย็นวันนั้นเอง ไซหมึ่งก็กลับมาบ้าน และเมื่อได้รับรายงานจากไล่เห่งตามกิจการที่ใช้ไป โดยได้รับผลงานอย่างเรียบร้อยมิได้มีขาดตกบกพร่อง ซึ่งยังความพอใจให้แก่ตั้วกัวยิ้งเป็นอย่างมากแล้ว เขาได้รางวัลเงินแก่คนใช้ผู้นี้เป็นมูลค่าสองสามตำลึง แล้วก็อนุญาตให้กลับไปได้
รุ่งขึ้นวันต่อมา ไล่เห่งก็ถือโอกาสแวะไปเยี่ยมสนทนาเป็นการส่วนตัวกับนางซึงเซาะง้อ แม่นายคนที่สี่ของบ้าน เขามีของขวัญมากำนัลแม่นายคนนี้หลายสิ่งหลายอย่างอยู่ อาทิ ผ้าเช็ดหน้าแพรสองผืน ถุงเท้าลายดอกไม้สองคู่ แป้งหอมจากฮังจิวสี่กล่อง ชาดทาแก้มยี่สิบหีบ ซึ่งแม่นางคนนี้ก็ดีใจหาย นางได้สมนาคุณไล่เห่งอย่างถึงใจไปเหมือนกัน ด้วยการบรรยายเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ของนางเน้ยเข่ง ที่เป็นไปตลอดระยะเวลาที่เขาไม่อยู่บ้านให้ฟังจนหมดสิ้น
ไล่เห่งหน้าซีดสลดสีลงในทันที เขาบอกแก่ภรรยาคนที่สี่ของท่านเจ้าบ้านว่า “นั่นซิ ข้าพเจ้าก็สงสัยพิรุธอะไรบางอย่างของนางอยู่ เพราะแปลกใจเหลือเกินว่าภรรยาของข้าพเจ้าไปมั่งคั่งร่ำรวยมาแต่ไหน ในหีบปัดจึงเต็มไปด้วยเครื่องเพชรเครื่องพลอยและผ้าผ่อนแพรพรรณ แต่ครั้นพอถามเข้า นางก็ตอบว่าตั้วเจ๊ให้” ท่าทางตลอดเวลาที่เขาเล่าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างมาก ซึ่งก็ย่อมเป็นธรรมดาอยู่ดอกที่จะให้ไล่เห่งเคียดแค้น เพราะจะมีความเจ็บช้ำน้ำใจใดเล่า ยิ่งไปกว่าความช้ำใจของสามี ยามเมื่อรู้ว่าเมียรักสวมเขาให้ตนเสียแล้ว
และโดยปรกติ ไล่เห่งเป็นคนมักนิยมสุราอยู่ ยิ่งมากระทบความขุ่นใจเข้าเช่นนี้ ยังจะมีวิธีใดเล่าสำหรับเขา ที่จะระงับบรรเทาความขุ่นข้องกลุ้มกลัดใจได้ดีเกินไปกว่าดื่มสุราย้อมหัวใจ เมื่อไหน ๆ กัญชามิใช่ดอกหญ้า และสุรามิใช่น้ำ ดังนั้นมากก๊งหลายแก้วเข้า ไล่เห่งก็เมาจนไม่อาจคุมสติอยู่ได้ พอกลับมาถึงห้อง เขาก็ตรงเข้ารื้อค้นข้าวของของนางเมียเสียกระจุยกระจาย เขากระชากผ้าต่วนสีฟ้าลายดอกไม้สดผืนงามขึ้นมาจากหีบ ชูร่อนอยู่ตรงหน้านางเน้ยเข่ง พลางตะคอกถามนางว่า “อ้ายเศษผ้าขี้ริ้วผืนนี้เจ้าได้มาแต่ไหน?” ตาจ้องจับพิรุธอยู่มิได้กระพริบ
นางเมียรูปงามคนใจโฉดก็เสหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่ออำพรางสามี แลทำกิริยากระตุ้งกระติ้งทีงอนตอบว่า “ถามอะไรบ้า ๆ เช่นนี้ก็ไม่รู้ เราจะเอาปัญญาไปหามาแต่ไหนได้เล่า ผิดจากตั้วเจ๊แกจะให้ทาน ทำไมท่านสงสัยอะไรหรือ?”
“ดีละ––” ไล่เห่งฮึ่มอยู่ในลำคอแล้วก็ตะคอกถามสืบไปว่า “เจ้าพวกเศษของมูลฝอยเหล่านี้เล่า เจ้าได้มันมาจากไหน?” และเขาหมายถึงบรรดาเครื่องรูปพรรณทองหยองต่างๆ นาๆ ที่ผิดหูผิดตาของภรรยา
นางเน้ยเข่งก็หัวเราะอย่างเจื่อน ๆ ไป และออกตัวตีสำนวนแก่สามีว่า “ชั่งกระไร ท่านจะไม่ให้ข้าพเจ้ามีสมบัติติดตัวกะเขาบ้างเลยหรือ อย่าลืมว่าชั้นแต่นกแต่หนูมันยังรู้จักทำรูทำรัง ก็นี่ข้าพเจ้าเป็นคน–เป็นคนที่ชั้นชั่วก็ยังสืบแซ่สืบญาติลงมาถึงหกชั่วโคตร ทำไมกะอีสมบัติทองหยองแค่นี้ข้าพเจ้าจะไปขอหยิบขอยืมแม่น้า–แม่ป้าแกมาตบมาแต่งบ้างไม่ได้หรือ? โต ๆ จนมีความคิดด้วยกันแล้ว น่าจะรู้บ้าง!”
แต่น่าจะรู้หรือไม่น่าจะรู้อย่างไรก็ตาม ไล่เห่งหาได้ฟังเสียงคำแก้ตัวของภรรยาแม้แต่น้อยไม่ เขาตบหน้านางเน้ยเข่งเข้าให้เต็มรัก ปากก็กล่าวคุกคามนางสืบไปว่า
“หนอย อีหญิงซำสาม มึงยังจะมีหน้ามาโกหกตอแหลกูอีก กูมีพยานรู้เห็นอยู่ มึงอย่ามาแก้ตัวกะกูเสียให้ยากเลย มึงใช่ไหมล่ะ ที่หน้าด้านยอมให้หมูตะกละคนมีเมียหกผู้นั้น มันกกกอดชมเชยอย่างไม่มียางอาย กูรู้จนกระทั่งแม่สื่อของมึงคืออีเง็กเซียวอัปรีย์ผู้นั้น อีหมาตัวนี้แหละที่เป็นคนเอาเศษแพรต่วนชิ้นนี้มาให้มึง แล้วก็มันอีกนั่นแหละ ที่เป็นคนนัดหมายถึงให้ไปที่ศาลากลางสวน จริงไหมเล่า? ต่อมาดอกมึงถึงได้มาอาศัยเรือนอีพัวเจ๊เป็นที่สิงสู่ กูรู้จนกระทั่งว่ามึงหน้ามืดตามัวถึงกับนอนกกชู้กันทั้งวันทั้งคืนกับอ้ายหมูสกปรกตัวนั้น รู้ตัวมึงไว้เสียเถอะ!”
นางเน้ยเข่งก็ได้แต่ส่งเสียงโอดครวญร้องลั่นไปทั้งบ้าน นางด่าสามีว่า “โธ่ อ้ายคนระยำ มึงกล้าดีถึงกับตบกูเจียวหรือนี่ กูได้ไปทำความเจ็บช้ำน้ำใจอะไรให้แก่มึง อีร้อยลิ้นกะลาวนคนไหนมันยุให้มึงมาด่ากูหือ? กูเป็นลูกมีพ่อมีแม่กะเขาเหมือนกัน ถ้ามึงเห็นว่ากูชั่วก็หย่ากันเสียซิ จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป! ผ้าผืนนี้ตั้วเจ๊เป็นคนให้กู ไม่เชื่อจึงไปถามเจ๊แกดู ฟ้าดินเป็นพยานได้อย่างดี เอาเถอะแล้วฟ้าเบื้องบนคงจะลงโทษแก่มึงเอง อ้ายผู้ชายใจร้าย อ้ายคนระยำ ขอให้มึงฉิบหาย ๆ รู้แล้วรู้รอดไป!”
“เออล่ะ กูยอมเป็นคนฉิบหาย ถ้ากูตบมึงโดยที่มึงไม่มีความผิด” ไล่เห่งว่า แล้วดูเหมือนเขาจะค่อยมีสติและสร่างเมาขึ้น เขาบอกแก่ภรรยาว่าให้ปูที่นอนเร็วๆ เข้า เขาจะนอนแล้ว
กลีบบัวเฝ้าอดใจรอ เพื่อขอให้ราตรีอันอึงอลด้วยพายุฝนกระหน่ำหนักนี้สุดสิ้นเสียโดยเร็ว ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองส่องทาบฟ้าแจ่มกระจ่างตาดีแล้ว นางก็รีบกระวีกระวาดไปปรึกษากับนางขลุ่ยหยกทันที
เมื่อฟังความเพื่อนสาวเล่าจบ ขลุ่ยหยกเจ้าก็งงเป็นไก่ตาแตกไปเหมือนกัน ใครหนอเป็นคนไปบอกไล่เห่งถึงเรื่องนี้? นี่เป็นความฉงนสนเท่ห์ของทั้งสองนาง แต่แล้วเหตุการณ์อันบังเอิญได้ชักนำให้ขลุ่ยหยกล่วงรู้ความจริงถึงที่มาของมันได้ นั่นคือชั่วระยะสอง-สามวันต่อมานั้นเอง นางดวงแขได้ใช้ขลุ่ยหยกให้มาตามตัวนางซึงเซาะง้อไปพบ ปรากฏว่าขณะนั้นนางเซาะง้อมิได้อยู่ห้อง เจ้าสาวใช้ของตั้วเจ๊เดินหาอยู่เท่าใด ๆ ก็มิได้พบพาน กระทั่งสักครู่นางก็เห็นเจ๊คนที่สี่ผู้นั้นเดินออกมาจากห้องไล่เห่ง หนแรกขลุ่ยหยกคิดไปข้างซึงเจ๊แวะเข้าไปสนทนากับนางกลีบบัวของไล่เห่ง แต่ครั้นพอนางเวียนไปดูที่ห้องครัวเล่า กลับปรากฏว่านางกลีบบัวกำลังนั่งหั่นเนื้ออยู่ในห้องตลอดเวลาที่ซึ่งเจ๊ไม่อยู่ เท่านี้เองขลุ่ยหยกคนปัญญาไวก็เดาเหตุการณ์ได้ถูกหมด.
และในโอกาสต่อมา เหตุการณ์บังเอิญเช่นนี้ก็ปรากฏแก่ท่านตั้วกัวยิ้งอีก นั่นคือวันนั้นไซหมึ่งกำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางลานบ้านและกำลังตะโกนเรียกหาตัวไล่เห่งโหวกเหวก ๆ อยู่ ก็พอดีเหลือบไปเห็นเจ้าคนใช้ผู้นี้ เดินหน้าตาเจื่อน ๆ ออกมาจากห้องนางเซาะง้อ ภรรยาคนที่สี่ของเขา รูปการจึงเป็นที่แน่ชัดและถนัดใจแก่เขาว่า บุคคลที่บอกเรื่องนี้แก่ไล่เห่งจะเป็นคนใดใครอื่นผิดจากนางซึงเซาะง้อผู้นี้ไปไม่ได้
ครั้นอยู่มาเย็นวันหนึ่ง ไล่เห่งเกิดเมาอาละวาดขึ้นมาอีก เขาอดรนทนอัดความขุ่นข้องหมองใจไว้ไม่ได้ ก็ระเบิดโพล่งโผงผางขึ้นมากลางวงเหล้า ซึ่งมีบรรดาเพื่อนคนใช้อื่น ๆ ปะปนอยู่ด้วย เขารำพันถึงหัวอกของสามีที่ถูกเมียนอกใจ เขาพล่ามไปด่าไปด้วยฤทธิ์เหล้าและแรงโกรธ ก็เลยด่าลุกลามปามไปถึงนางพัวกิมเน้ยเข้า เขาบอกว่าอยากจะรู้นักว่าอีโง่วเจ๊คนนี้มันจะมีดีสักเพียงไหน เมื่อมันทนมีดดาบเล่มนี้ของเขาได้ก็ให้รู้ไป ว่าแล้วไล่เห่งก็ขยับดาบอยู่หยิบ ๆ ยิ่งกว่านั้นไล่เห่งยังได้บริภาษด่าทอนางบัวคำอีกเป็นอันมาก ถึงกรณีหลัง ๆ ครั้งที่นางวางยาเบื่อฆ่าบู๋ตั้วผู้สามีเดิม จนกระทั่งติดสินบนรางวัลคณะลูกขุนตุลาการให้เนรเทศบู๋ซ้งน้องผัวไปสู่แคว้นไกล ด่าไปด่ามาไล่เห่งก็วกวนมาด่าเอาตั้วกัวยิ้งไซหมึ่ง เจ้าบ้านใหญ่ของเขาเข้าอีก
เขาว่า ถึงอ้ายไซหมึ่ง ตั้วกัวยิ้งผู้นี้ก็เหมือนกัน ระยำเหลือเกินอ้ายคนนี้ นึกแล้วเจ็บใจนัก อ้ายคนมากเล่ห์ อ้ายเสือผู้หญิง! คอยดูไป ทั้งอ้ายอีชายหญิงคู่นี้จะต้องตายด้วยฝีมือเรา!
ไล่เห่งกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน และตาทั้งสองข้างเขม็งโปนดูถมึงทึงน่ากลัวนัก
แลก็ช่างเป็นบาปเคราะห์ของเขาเสียนี่กระไร ที่ในหมู่เพื่อนคนใช้เหล่านั้น มีไล่ซิงยามประตูผู้ซื่อสัตย์ของไซหมึ่งรวมอยู่ด้วย! ดังนั้น โอกาสแรกที่คนเฝ้าประตูผู้นี้กระทำก็คือ รุ่งขึ้นวันต่อมาเขาได้นำความเรื่องนี้ไปบอกแก่นางพัวกิมเน้ย ตามที่ไล่เห่งกล่าวอาฆาตมาดร้ายทุกประการ
พอดีขณะนั้นนางเม่งเง็กเล้าได้มาอยู่ที่เรือนของบัวคำด้วย เมื่อทั้งสองนางได้ฟังคำบอกเล่าของเจ้าไล่ซิงจบ ต่างก็ให้ตระหนกอกสั่นเป็นกำลัง พักตร์ผ่องของพัวเจ๊เผือดซีดสลดสีจนเห็นถนัดเพราะความโกรธ นางขบฟันอยู่กรอดๆ
“ชะช้า มันจะรนหาที่ตายเสียแล้ว อ้ายคนเนรคุณคนผู้นี้!” พัวเจ๊กล่าวขึ้น นางปรารภว่า นางมิเคยได้ก่อความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่เขามาก่อนเลย และก็ใช่ว่าธุระกงการอะไรของนางก็เปล่าในการที่เมียของเขามาคบชู้กับไซหมึ่ง นางได้ประกาศออกมาเป็นเสมือนคำตายว่า อ้ายคนใช้ผู้นี้จะต้องถูกไสหัวออกจากบ้านนี้โดยเร็วที่สุด และโดยไม่มีเหตุอันควรปรานีใดสิ้นสำหรับมัน เพราะหาไม่ชีวิตของนางจะไม่ปลอดภัย แล้วนางก็หันไปสั่งไล่ซิงว่า ถ้าตั้วกัวยิ้งกลับมาถึงบ้านเมื่อไร นางจะให้คนไปเรียกตัวเขามาพบเมื่อนั้น และขอให้เขาให้การไปตามตรงเท่าที่ได้ยินได้ฟังมา และแล้วนางบัวคำก็อนุญาตให้ยามประตูผู้นี้กลับไปได้
เมื่อไล่ซิงลับตัวไปแล้ว ซัมเจ๊ก็ถามบัวคำว่า “จริงหรือนี่โง่วเจ๊ ที่ตั้วกัวยิ้งแอบไปทำชู้กับอีนังคนใช้ผู้นี้?” ซึ่งบัวคำไม่เห็นหนทางใดดีไปกว่าเล่าให้เพื่อนสาวร่วมสามีฟังโดยถี่ถ้วนตามที่เป็นจริงทุกประการ
“ฮ่า–อีซากเน่าตัวนี้น่ะรึ?” เง็กเล้าอุทานโพล่งขึ้นอย่างตกใจ “มิน่าเล่ามันถึงได้ทำจริตกระตุ้งกระติ้งกับคุณผู้ชายแกนัก คล้าย ๆ กับว่ามันเป็นหัวเรือใหญ่อยู่ในบ้านนี้ยังงั้นแหละ เอายังงี้ไม่ดีกว่าหรือ? เราไปเล่าให้ตั้วเจ๊ฟัง เอ แต่เดี๋ยวอ้ายขี้ข้านี่มันอุกอาจเอาเรื่องหนักเข้าเราก็จะแย่ จะหาอะไรมาแก้ตัวกับตั้วกัวยิ้งไม่ถูก ว่าทำไมถึงไม่บอกเขาเสียก่อน มาทำอุบนิ่งกันอยู่ เอ ทำอย่างไรดีเล่าโง่วเจ๊ ท่านจะคิดอ่านอย่างไรต่อไป?”
“เอาเถอะน่า เรื่องเล็ก ไว้เป็นหน้าที่ข้าพเจ้าเอง” บัวคำยืนยันความตั้งใจของนาง รู้สึกว่านางเป็นตัวของตัวเองอย่างมั่นคง นางบอกแก่เพื่อนหญิงสืบไปว่า เรื่องปัญหาคอขาดบาดตายเช่นนี้ไว้เป็นธุระหน้าที่ของนางเถิด!
จึงเมื่อไซหมึ่งเข่งกลับมาถึงบ้านในเย็นวันนั้น เขาก็พบเข้ากับสภาพอันเศร้ากำสรดของนางเมียสุดรักแม่โหงเจ๊คนนี้ นางปล่อยผมเฝ้าไว้รุงรัง สองแก้มฟูมฟายอยู่ด้วยคราบน้ำตา ตาทั้งสองแดงบวมเป่งเหมือนจะประทุ ยังความวิตกกังวลใจให้แก่คนผู้สามีเป็นที่ยิ่ง
“ก็มันเรื่องอะไรกันเล่า เจ้าถึงได้ร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญปานฉะนี้” สามีปลอบถามภรรยา
พัวกิมเน้ยก็เล่าถึงสาเหตุที่เป็นมาให้ฟัง แล้วนางได้เตือนสามีให้นึกถึงความปลอดภัยของตน ทั้งด้วยชื่อเสียงและชีวิต ในกรณีที่เจ้าคนใช้ผู้นี้อาจเที่ยวได้นำความไปพูดกับใครต่อใคร และหรือลอบปองร้ายทำลายชีวิตในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้
ไซหมึ่งรับฟังแล้วก็ถามว่าใครเป็นคนบอกเรื่องนี้แก่ไล่เห่ง เขาอยากรู้นักว่ามีใครบ้างที่สนิทสนมเป็นพิเศษกับตัวนางเน้ยเข่งผู้นี้
บัวคำก็บอกว่า เรื่องนี้ต้องถามนางขลุ่ยหยกมันถึงจะได้
แล้วตั้วกัวยิ้งก็ลุกออกจากเรือนภรรยาคนที่ห้า เรียกตัวเจ้าไล่ซิงให้มาพบและไต่ถามเรื่องราว ครั้นได้ความแน่ชัดแล้ว เขาก็เรียกขลุ่ยหยกเจ้าเง็กเซียวให้มาหา ถามไปถามมา ไซหมึ่งก็ได้เค้าเงื่อนแน่ชัดว่า ภรรยาคน สี่ของเขานี่เองที่เป็นคนก่อชนวนเรื่องยุ่งยากนี้ขึ้น เขารำพึงแก่ตนเองว่า “เกลือมันเป็นหนอนนี่เล่า เรามันถึงต้องยุ่งหัวใจนัก”
ดังนั้น โทษสถานหนักที่นางซึงเซาะง้อได้รับจากไซหมึ่งผู้สามีก็คือการถูกโบย และได้รับการกักบริเวณมิให้ติดต่อกับบุคคลภายนอกอื่นใดอีกเป็นอันขาด นับแต่วันนั้นมา ทาสภรรยาคนนี้ของท่านพ่อบ้านก็มิได้มีโอกาสโผล่ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันข้างภายนอกกับใครเขา นอกจากจะขลุกอยู่แต่ในโลกอันคับแคบภายในเรือนครัวของบ้านนั้นเอง
แล้วไซหมึ่งก็หาโอกาสเรียกตัวเน้ยเข่งแม่ชู้รักให้มาพบ และเล่าเรื่องราวให้นางฟัง แต่นางหาตื่นเต้นและหรือตกอกตกใจไปกับเขาไม่
นางบอกว่าเรื่องอะไรตั้วกัวยิ้งถึงจะต้องเก็บเอามาเป็นอารมณ์ กะสมบัติคนขี้เมาที่เมาแล้วก็พล่ามไปตามประสา นางบอกว่าเชื่อเถิด คนอย่างไล่เห่งสามีของนางนั้นใช่ว่าจะเป็นคนใจไม้ไส้ระกำอย่างปากว่าก็หาไม่ นางรับรองและให้เหตุผลแก่ชู้ผู้สูงศักดิ์ของนางว่า คิดดูเถิด ทุกวันนี้ที่สามีนางได้มีที่อยู่ที่กินสุขสบายนั้น มิเพราะได้อาศัยร่มใบบุญตั้วกัวยิ้งท่านดอกหรือ ก็แล้วไฉนเขาจะอาจลิดรอนร่มใบกิ่งก้านสาขาของพุ่มพฤกษ์อันที่ให้ความอาศัยพักพิงแก่เขาเสียเล่า เชื่อนางเถิด ตั้วกัวยิ้งท่านอย่าได้ไปเอาใจใส่กับคำพูดอันไร้สาระของคนขี้เมาอย่างสามีของนางเลย ว่าแต่ว่า นางอยากรู้นักว่าใครกันที่เป็นคนนำข่าวเรื่องนี้มาบอกท่าน
ชู้รักของนางก็บอกว่า เขารู้มาจากโง้วเจ๊ซึ่งได้รับคำบอกเล่ามาจากไล่ซิงยามประตูบ้านอีกทีหนึ่ง
พอได้ยินชื่อไล่ซิงว่าเป็นคนคาบข่าวนี้มาฟ้องนาย กลีบบัวก็พิโรธปึงปังขึ้นมาทันที นางบอกว่า “อ้ายคนอัปรีย์นี้เองดอกหรือ นึกว่าใครเสียอีก ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เห็นประหลาดอะไร” แล้วนางก็เล่าพฤติการณ์อันชั่วช้าของเจ้าคนใช้ปากมากผู้นี้ให้ไซหมึ่งฟัง
เดิมทีไล่ซิงผู้นี้มีหน้าที่เป็นผู้จ่ายเสบียงในบ้าน ครั้นไม่กี่วันมานี้ตั้วกัวยิ้งได้เปลี่ยนหน้าที่นี้ให้สามีนางทำแทน ปกติเมื่อไล่ซิงทำหน้าที่จ่ายเสบียงนั้น เขาได้กินเล็กกินน้อยเศษๆ เลยๆ ค่าเสบียงนี้อยู่เสมอ ครั้นปุบปับตั้วกัวยิ้งมาเปลี่ยนให้ไล่เห่งสามีทำ ไล่ซิงก็ย่อมคุมแค้นเป็นธรรมดา เพราะทำให้เขาเสียรายได้ไปก็เลยพาลโกรธ เข้าใจว่าสามีของนางเป็นคนกีดกันผลประโยชน์ของเขา นางบอกว่าเรื่องของเรื่องมีเท่านี้เอง อย่าได้ไปถือสาหาความคำสามีขี้เมาของนางเลย เพราะเป็นเรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งขึ้นทั้งสิ้น ทางที่ดี นางแนะนำชู้รักของนางสืบไปว่า ควรจะได้หาทางขยับขยายให้ไล่เห่งออกไปทำมาหากินเป็นที่เป็นทางเสียนอกบ้านโดยอย่ากระโตกกระตากให้เขาหมางน้ำใจได้ อย่างดีก็ชั่วออกทุนรอนให้เขาสักสี่ซ้าห้าตำลึงพอเป็นทุนตั้งตัว เพื่อที่เขาจะได้นำไปเปิดร้านตามหัวบ้านหัวเมืองไหนๆ พ้นหูพ้นตารู้แล้วรู้รอดไป นางบอกว่านางรู้และเข้าใจนิสัยของสามีนางได้เป็นอย่างดี และนางได้พูดถึงวันข้างหน้าอันที่ไซหมึ่งจะได้ร่วมเสพสุขกับนาง โดยปราศจากคนกีดขวางรบกวนให้กลัดกลุ้มกระวนใจ
ไซหมึ่งเข่งก็คล้อยเห็นดีไปด้วยตามคำนาง เขาบอกแก่เมียสาวเจ้าไล่เห่งว่า เขาเคยนึกไว้เหมือนกันว่า จะส่งตัวเจ้าไล่เห่งไปเมืองหลวงในวันสองวันนี้ เพื่อให้รับหน้าที่นำของขวัญวันแซยิดไปให้ท่านไจเสี่ยงฉั่วผู้นั้น แต่ที่ยังรีรออยู่ก็เพราะเห็นว่าเขาพึ่งเหนื่อยมาหยกๆ จากเมืองฮังจิว แต่เมื่อนางมาแนะขึ้นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เขาจะได้มอบหมายงานชิ้นนี้ให้สามีของนางไปทำ ตามที่ได้ดำริไว้แต่เดิม ต่อเมื่อใดเขากลับจากเมืองหลวงแล้ว จึงจะให้ทุนรอนเขาสักพันตำลึง เพื่อไปเปิดร้านขายผ้าที่เมืองฮังจิว แล้วไซหมึ่งก็ถามนางเน้ยเข่งว่า “เจ้ายังจะเห็นดีด้วยตามที่เราพูดมานี้หรือไม่?”
ชู้รักท่านเจ้าบ้านก็รับว่าดีแล้ว และด้วยความเปรมปรีดิ์ท่วมท้นหัวใจ นางได้โผเข้าซบหน้าอยู่กับอ้อมอกของไซหมึ่งผู้ปรานี ตั้วกัวยิ้งกำลังกำซาบ สวาท มิอาจสะกดกลั้นความเสน่หาในนางเมียคนใช้ผู้นี้ไว้ได้ ก็ก้มลงเกลือกหน้าซุกไซ้ไปทั่วใบหน้านวลของนางเน้ยเข่งอย่างทะนุถนอม
เสียงฉะอ้อนออดออเซาะของกลีบบัวดังแว่วแผ่วระริกมาอย่างอ่อนระโหยกระทบหูไซหมึ่งว่า “ตั้วกัวยิ้งท่าน ก็ร่างแหเงินคลุมผมอันที่ท่านสัญญาไว้ อีกต่อเมื่อไรทาสผู้สัตย์ซื่อคนนี้ของท่านจะได้ใช้?”
ไซหมึ่งก็รับคำว่า “พรุ่งนี้เถิด เจ้าจะได้เป็นเจ้าของร่างแหเงินอันนั้นสมใจปรารถนา เราจะซื้อให้หนักสักแปดตำลึง ว่าแต่ว่าถ้าตั้วเจ๊ถาม เจ้าจะแก้ตัวอย่างไร?”
เน้ยเข่งกับตอบทันใจว่า ง่ายนิดเดียว บอกว่านางขอยืมน้ามาใช้ก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ไซหมึ่งเข่งก็เรียกไล่เห่งมาพบ และบอกว่าให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้ วันที่ยี่สิบแปดเดือนนี้เขาจะใช้ไปเมืองไคฟองอีก เพื่อนำของขวัญวันเกิดไปให้ท่านขุนนางผู้ใหญ่ฉั่ว ให้เตรียมจัดข้าวของเครื่องเดินทางไว้ให้พรักพร้อม เอาเถอะเมื่อกลับมาจากเมืองหลวงครั้งนี้แล้ว เขาจะให้ทุนรอนเพื่อไปเปิดร้านค้าแพรตั้งเนื้อตั้งตัวที่เมืองฮังจิวต่อไป
ไล่เห่งก็แสดงความขอบอกขอบใจและปลาบปลื้มในถ้อยคำของท่านตั้วกัวยิ้งเป็นอันมาก เขาลาท่านพ่อบ้านและรีบกลับมาจัดข้าวของสัมภาระเพื่อเดินทางตามคำสั่งต่อไป
ครั้นข่าวนี้แว่วไปเข้าหูไล่ซิงเข้า เขาก็รีบคาบข่าวนำไปเสนอต่อนางพัวกิมเน้ยทันที เมื่อโง่วเจ๊ทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงคำสั่งอย่างกะทันหันของสามีเช่นนี้ นางก็ยิ่งทวีความตกใจมาก รีบลงไปพบสามีที่ในสวนหลังบ้านโดยด่วน เพื่อจะระงับการสั่งงานชิ้นนี้เสียให้จงได้ แต่แทนที่นางจะได้พบสามีดังใจคิด สินางกลับเผชิญหน้าเข้ากับเขยหนุ่มคนอันนางผูกจิตอยู่เข้าอย่างจัง ขณะนั้นตั้งกิมกี่กำลังนั่งสาละวนบรรจุของขวัญใส่กล่องให้ท่านพ่อตาอยู่
มารดาเลี้ยงสาวได้เอ่ยปากถามลูกเขยขวัญว่า “ท่านพ่อตาของท่านไปข้างไหน และนี่ท่านกำลังบรรจุหีบห่ออะไรกัน?”
ตั้งก็บอกว่า “ท่านตั้วกัวยิ้งอยู่ที่นี่เองเมื่อครู่นี้ เข้าใจว่าจะไปหาตั้วเจ๊ที่ห้องละกระมัง ของที่ข้าพเจ้าบรรจุลงห่อนี้หรือ ก็ของขวัญที่จะส่งไปให้ไจเสี่ยงฉั่วอย่างไรเล่า”
บัวคำได้ยินเช่นนั้นก็หันหลังรีบลงบันไดมาโดยเร็ว และที่กลางทางจะออกจากบริเวณสวนดอกไม้นั้นเอง นางได้เจอเข้ากับสามี
โดยมิทันรอให้ชักช้าเสียเวลา พัวกิมเน้ยถามสามีขึ้นทันทีเมื่อมาถึงเรือนด้วยกันแล้วว่า “นี่ท่านตกลงใจแน่แล้วหรือ ที่จะใช้เจ้าไล่เห่งให้ไปเมืองไคฟอง”
สามีก็รับว่า “ถูกแล้ว”
“นึกแล้ว––” ภรรยาคนกุมหัวใจสามีอยู่แหวขึ้นมาทันที ท่านเป็นคนอย่างไรกันนะ ข้าพเจ้าอยากรู้นัก ชั้นแต่นางคนใช้ก็อาจปั่นหัวท่านได้ เป็นอีกหนหนึ่งละซินี่ที่ท่านไม่ยอมเชื่อข้าพเจ้า ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าได้ข่าวว่า ท่านถึงกับจะออกทุนรอนให้มันไปตั้งห้างตั้งหอที่เมืองฮังจิวอีกมิใช่หรือ? จำไว้ก็แล้วกัน คิดดูเสียให้ดีว่า นี่ท่านกำลังจะมอบเงินก้อนใหญ่ให้ศัตรูคนสำคัญ ท่านมองคนไม่เป็นหรืออย่างไร? ท่านคิดหรือว่าเจ้าคนใช้ผู้นี้มันสามารถที่จะทำเงินของท่านให้เป็นประโยชน์? ระวัง–ระวังให้ดีเถอะ แม้แต่อีแปะเดียวท่านก็จะไม่เหลือทุนคืน ตรงกันข้าม ขืนท่านยังคิดจะเลี้ยงเจ้าไล่เห่งนี้ไว้ในบ้านตราบใด คอยดูไป ชีวิตของท่านเห็นจะไม่ได้อยู่ยืนยาวกะเขาดอก ข้าพเจ้าน่ะมีลูกกะตาอยู่ก็ชั่วสอง จะไปมัวระแวดระวังให้ท่านได้อย่างไรไหว เตือนเท่าเตือน แต่ท่านไม่เข้าใจคำพูดของข้าพเจ้าบ้างหรือว่าไร ใช่ว่าที่ห้ามที่หวงนี้เพราะอิจฉาตาร้อนคนใช้มันก็เปล่า เมื่ออยากจะสมสู่อยู่กินกับอีนังขี้ข้านั่นก็เชิญ ข้าพเจ้าไม่ได้ว่า ห่วงอยู่ก็แต่ทรัพย์สมบัติและชีวิตของท่านเท่านั้น จำไว้เมื่อรักจะโค่นต้นกันแล้ว ก็ต้องก่นรากด้วยถึงจะได้ มันจึงจะหมดเชื้อ มิเช่นนั้นมันก็จะมีทางงอกอีกได้ใหม่ในโอกาสหน้า!”
ซึ่งก็เป็นอีกครั้ง ที่ไซหมึ่งเข่งเคลิบเคลิ้มไปข้างคำแนะนำของนางพัวกิมเน้ยผู้นี้ คล้าย ๆ กับว่าเขาตื่นขึ้นมาจากสำนึกอันงมงาย ดังนั้นเช้ารุ่งขึ้นเขาก็เรียกไล่เห่งมาพบอีกและบอกว่า “ข้าลืมไปที่ตกลงจะใช้เจ้าไปเมืองหลวงเมื่อวานนี้ เพราะความจริงเจ้าก็พึ่งจะกลับจากเมืองฮังจิวมาหยกๆ ยังไม่ทันจะได้พักผ่อนเลย เอาเถอะ เราไม่อยากให้เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยอีกเป็นซ้ำสอง คราวนี้ให้เจ้าไล่ป้อมันไปคนเดียวก็แล้วกัน เจ้าพักผ่อนเสียให้สบายเนื้อสบายตัวก่อนสอง-สามวัน แล้วเราจะมอบทุนรอนให้เจ้าไปเปิดร้านค้าทำมาหากินสืบไป”
ไล่เห่งรู้สึกอย่างไรหรือในคำบอกเล่าของไซหมึ่งครั้งนี้หรือ? แน่เหลือเกินเขาย่อมรู้สึกยินดีเป็นธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลผู้เป็นนาย แต่ครั้นเขากลับมาถึงเรือนแล้วสิ การกลับปรากฏว่าไล่เห่งหันเข้ากินเหล้าอีก เขากินเอา ๆ จนกระทั่งเมา ครั้นเมาแล้วเขาก็กลับเข้ารูปเดิม คือเริ่มลงมือก่นโคตรไซหมึ่งเข่งอีก ยิ่งกว่านั้นยังแถมแสดงท่าทีว่า “หนนี้แลกูจะเอาชีวิตอ้ายตั้วกัวยิ้งผู้นี้เสียให้จงได้!”
ข้างนางเน้ยเข่งผู้ภรรยา เห็นท่าทางสามีชักจะแก่ก๊งมากไป ก็เลยแสร้งทำโมโห พาลพาโลด่าเปิง ๆ เข้าให้ ไล่เห่งเป็นขี้เอาใจเมีย เห็นภรรยาโกรธก็เลยสู้จำอดกลั้น รำงับความมึนเมาเข้าไว้แลรีบเข้านอนเสียแต่หัวค่ำ ฝ่ายภรรยาเมื่อเห็นว่าสามีเมาเสียจนไม่ได้สติและฟุบหลับไปแล้ว นางก็รีบปลีกตัวออกไปพบเจ้าเง็กเซียวสื่อสวาทคนสำคัญ ทั้งนี้เพื่อขอให้นางช่วยจัดการไปบอกตั้วกัวยิ้งว่านางอยากจะขอพบสักหน่อย และแล้วชายหญิงทั้งสองก็เล็ดลอดดอดมาพบกันจนได้ ที่ ณ บริเวณเงียบสงัดทางมุมหนึ่งของบ้าน โดยที่มีนางเง็กเซียวผู้นั้นรับหน้าที่เป็นยามเฝ้าต้นทาง
พอเจอหน้าชู้รักเข้า เจ้ากลีบบัวก็พ้อขึ้นด้วยความน้อยใจว่า ชั่งกระไร ตั้วกัวยิ้งท่าน ก็ไหนตกลงกับข้าพเจ้าอยู่หยกๆ ว่า จะให้ไล่เห่งไปเมืองไคฟอง สิไฉนท่านด่วนมาเปลี่ยนความตั้งใจปุบปับกะทันหันเช่นนี้เล่า ท่านทำเช่นนี้เสมือนหนึ่งลูกหนังหาวิญญาณไม่ สักแต่ว่าใครจะโยนไปทิศทางใด ชั่งอ่อนเสียจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรถูก สุดแต่ว่าใครจะปั่นไปทางไหน แลนางได้ประชดเหน็บแนมชายผู้ชู้รักอีกสืบไปว่า หากโอกาสหน้าเขาคิดสร้างศาลเจ้าแสวงบุญแล้วละก็ จงเลือกสร้างแต่ศาลาโกหกเถิดจะได้บุญแรง นางย้ำว่าการที่เขาทำเช่นนี้ ทีหน้าทีหลังจะมีใครเล่าเขาเชื่อคำพูด
ไซหมึ่งก็แก้ตัวละล่ำละลักว่าตามที่เขาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจนี้ ใช่ว่าจะร้ายแรงเหมือนอย่างที่นางเข้าใจก็หาไม่ เขาเห็นแล้วว่า ถึงอย่างไรใช้ไล่ป้อไปคนเดียวก็พอ เพราะคุ้นเคยลู่ทางดีอยู่ ส่วนไล่เห่งสามีของนางนั้น เขาตั้งใจจะเก็บตัวเอาไว้ใช้ธุระสำคัญทางนี้สักอย่าง
นางเน้ยเข่งก็ถามว่า เขาดำริจะใช้สอยอะไรแก่สามีของนาง?
ตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งก็ว่า เขาอยากจะเปิดร้านขายสุราขึ้นสักแห่งในตำบลนี้ และเห็นว่าผู้ที่ควรจะไว้วางใจให้ดำเนินกิจการแทนได้ก็คือ ไล่เห่งสามีของนางนี้เอง ชู้รักของสามีนางพัวเจ๊ก็ยอมรับว่านางเห็นด้วย และเชื่อว่าไล่เห่งคงจะทำได้! แล้วนางก็ขอตัวแยกจากเขาไป
สอง-สามวันต่อมา ไซหมึ่งเข่งก็เรียกหาตัวไล่เห่งให้ไปพบ ครั้งนี้เขาได้มอบเงินให้แก่คนใช้ผู้นี้เป็นจำนวนหกถุง ประมาณราคาสามร้อยตำลึง แลบอกว่าเขามอบเงินจำนวนนี้ให้เขาเพื่อเป็นทุนรอนในการเปิดร้านขายสุรา ให้ไปเลือกหาทำเลดีๆ เอาเองที่ในตลาด คิดว่าคงจะพอทำกำกำไรได้บ้าง อย่างน้อยเดือนหนึ่ง ๆ ก็ควรจะมีรายได้ไม่ขาดกระเป๋า
ไล่เห่งรู้สึกสำนึกถึงพระเดชพระคุณอันล้นเหลือของตั้วกัวยิ้ง เขารับถุงเงินจากท่านพ่อบ้านด้วยมือไม้อันสั่นระริก พลางโค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ด้วยความขอบพระคุณ เขารีบกระวีกระวาดนำถุงเงินไปอวดเมีย
ไล่เห่งละล่ำละลักด้วยความดีใจ และบอกแก่นางเน้ยเข่งผู้ภรรยาว่า “ชะรอยเขาคงนึกว่าคนอย่างเราไม่มีพิษสงอะไร ดีแล้วละ เงินสามร้อยตำลึงนี่คงพอที่เราจะหาซื้อบ้านช่องซุกหัวนอนที่ไหนที่ใดได้กะเขาสักแห่งหนึ่ง”
ภรรยาก็พูดสวนขัดขึ้นทันทีว่า “เอาอีกแล้ว เห็นไหมละ อ้ายโอ๊วชั่ด ทำไมไม่รู้จักจบสิ้นเสียที เลิกบ่นกระจองอแงเสียบ้างซิ ได้ยินไหม? เก็บเนื้อเก็บตัวเสียบ้าง อย่าเที่ยวได้ออกไปยัดห่าเหล้าสำมะเลเทเมาจนผิดผู้ผิดคนอีก รู้มั้ย?”
สามีก็ตกปากรับคำว่า เอาเถิดเขาจะพยายามอยู่ในโอวาทของนาง อย่าวิตกกังวลไปเลย แล้วเขาก็ส่งเงินแท่งทั้งหกถุงให้นางนำไปเก็บ เสร็จแล้วเขาก็ออกจากบ้านไปว่าจ้างคนไว้เนื้อเชื่อใจผู้หนึ่ง เพื่อให้มาเป็นผู้จัดการดำเนินงานร้านค้าสุรา
เขาหายไปแต่ค่อนสาย กระทั่งหลังบ่ายจึงได้กลับมาบ้าน จากอากัปกิริยาที่สะเปะสะปะของไล่เห่ง บอกให้นางเน้ยเข่งรู้ได้เป็นอย่างดีว่า ที่เขารับรองว่าจะอยู่ในโอวาทของนางนั้น ก็ชั่วแต่ที่เวลาเขาพูดเมื่อค่อนสายนั้นดอก ครั้นล่วงมาถึงเย็นเข้าเขาก็ออกนอกโอวาทของนางอีก นางจึงไม่พอใจและรีบปลีกตัวย่องออกไปหานางขลุ่ยหยกเพื่อนสาวคนสนิทที่เรือนหลังบ้านทันที
สิ้นเสียงกลองรัวหนที่เก้าบอกเพลาดึกของคืนนั้น ไล่เห่งก็สร่างเมาและพลิกฟื้นตื่นตาขึ้น เขาโง่เงๆ ลุกขึ้นมาจากที่นอนด้วยความงัวเงีย ก็พลันได้ยินเหมือนเสียงนางซึงเซาะง้อมากระซิบเรียกอยู่นอกห้องว่า “ตื่นเถอะ ไล่เห่ง ลุกขึ้นเร็ว ๆ เข้า ภรรยาของเจ้ากำลังสวมเขาให้เจ้าอยู่ในสวนอีกแล้ว มัวนอนซบเซาอยู่นั่นเถอะ”
ไล่เห่งก็ผลุนผลันผลุดลุกขึ้นทันที เขาเบิ่งตาโพลงและขยี้แล้วขยี้อีก เพื่อให้แน่ใจว่าคำพูดที่ตนได้ยินนั้นมิใช่เป็นความละเมอเพ้อฝัน “เอ้าตายจริง เมียกูก็หายตัวไปอีกแล้วจริง ๆ หรือนี่!”
“มันชักจะกำแหงเสียใหญ่แล้ว นังนี่” สามีคำรามฮึ่มอยู่ในลำคอ “ชะชะ ต่อหน้าต่อตาเรามันยังทำได้!” แล้วไล่เห่งก็ผลุนผลันลุกขึ้นจากเตียงนอนเปิดประตูพรวด เขาลุกโลกถลาลงไปในสวนของไซหมึ่งเข่ง และทันใดนั้นเอง ชั่วที่เขาเลี้ยวมุมเรือนด้านซ้ายมือ เขาก็พลันสะดุดขอนไม้พลาดถลาล้มลง ฉับพลันนั้นก็มีใครคนหนึ่งทุ่มหินก้อนถนัดลงมาบนมือที่เขากำดาบมั่นอยู่หลุดกระเด็นไป และครู่นั้นเองก็มีชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่าห้าคน กรูกันจับเอาตัวเขาและพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา เสียงใครคนหนึ่งในหมู่นั้นตะโกนฝ่าความมืดขึ้นมาว่า “ขโมย–ขโมย!!” ลั่นขรมไปหมดทั้งบ้าน
“ไม่ใช่! ไม่ใช่! นี่เราเอง ไล่เห่งคนใช้ในบ้านนี้เอง!” เสียงทาสซื่อผู้น่าสงสารร้องบอกละล่ำละลัก เขาพยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะให้หลุดจากการถูกเกาะกุม “อย่าจับเรา เรามิได้เป็นขโมย เรามาตามหาเมียเราต่างหาก รื่องอะไรถึงได้มาจับกุมและทำร้ายเราเช่นนี้?”
แต่ไม่มีคำตอบอันใดทั้งสิ้นจากชายฉกรรจ์เหล่านั้น นอกจากจะช่วยกันลากไล่เห่งถูลู่ถูกังไปยังเรือนใหญ่ ซึ่งขณะนั้นกำลังสว่างไสวอยู่ด้วยแสงตะเกียง ตรงกลางห้องใหญ่ มีท่านตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่งกำลังนั่งหน้าขมึงทึงอยู่เหนือเก้าอี้นวม
“ลากเอาตัวมันมานี่” เป็นคำสั่งอันเฉียบขาดของท่านผู้เป็นประมุขแห่งบ้าน
ไล่เห่งทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าบุคคลผู้เป็นนายจ้างเจ้าน้ำเงินและให้การว่า วันนี้เขาดื่มสุราหนักกระทั่งเมาหลับไป ต่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็มองหาภรรยาไม่พบ จึงลุกขึ้นออกมาตามหา มิได้มีประทุษจิตคิดจะขโมยตั้วกัวยิ้งท่านแต่อย่างใด ไฉนจึงมาถูกจับกุมเช่นนี้เล่า? ดูเสมือนหนึ่งเขาเป็นโจรใจฉกาจก็ไม่ปาน?
ทันทีนั้นเอง ไล่ซิงคนใช้คู่อาฆาตของเขาก็ปราดออกไปยืนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อบ้าน ด้วยใบหน้าที่แสยะยิ้มอย่างประสงค์ร้าย ไล่ซิงส่งดาบเล่มยาวให้ไซหมึ่งดูและพูดว่า “เขาค้นได้ดาบเล่มนี้จากตัวของไล่เห่ง”
“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้เป็นอาญาของบ้านเมือง ดีแล้วเราจะส่งตัวเจ้าไปยังศาลหลวงในฐานะเจตนาจะฆ่าเรา” ไซหมึ่งเข่งกัดกรามพูด และเขาได้กล่าวสืบไปว่า ไม่มีสัตว์เดียรัจฉานตัวใดดอกที่จะอกตัญญูต่อเจ้าข้าวแดงแกงร้อนผู้มีพระคุณคุ้มกะลาหัวเหมือนเช่นอ้ายคนคนนี้ ก็ดูหรือทั้งที่เราแสนจะปรานี วันนี้ก็ให้เงินมันไปถึงสามร้อยตำลึง เพื่อจะให้ไปเปิดร้านได้ทำมาหากินเป็นผู้เป็นคนกับเขา หนอยแน่ะ ชะ ชะ นี่หรือที่มันตอบแทนบุญคุณเรา” แล้วเขาก็บัญชาให้พวกคนใช้เหล่านั้นจับไล่เห่งมัดให้แน่นยิ่งขึ้น และให้คุมตัวกลับไปเรือนเพื่อนำเงินที่เขาได้มอบให้ไว้แต่เมื่อเช้ามาคืน!
และในระหว่างเหตุการณ์กำลังชุลมุนวุ่นวายนี้เอง ข่าว “ผู้ร้ายยามวิกาล” ก็แว่วไปถึงหูนางกลีบบัว ซึ่งความจริงขณะนั้นนางกำลังนั่งสนทนาอยู่กับเง็กเซียวที่ในห้อง พอรู้เรื่องร้ายนี้เข้านางก็ตกใจ รีบผลุนผลันกลับมาเรือน และได้พบเข้ากับสภาพของสามีที่กำลังถูกเขามัดอกแอ่นอยู่
นางร้องไห้พลางพูดว่า “เห็นมั้ยล่ะ ฤทธิ์ที่ท่านเมาเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน! เตือนเท่าไร ๆ ท่านก็ไม่เชื่อ นี่ถ้าท่านไม่เมา ที่ไหนท่านจะบุ่มบ่ามถึงกับไปเที่ยวอาละวาดไล่ฟันผู้คนเขาเช่นนี้เล่า?”
แล้วนางเน้ยเข่งก็ไปนำเงินทั้งหกถุงที่นางได้เก็บไว้ด้วยมือเอง มาส่งมอบให้คนใช้ที่คุมตัวสามีมา แล้วไล่เห่งก็ถูกพาตัวกลับไปหาไซหมึ่งเข่งที่เรือนใหญ่อีก
เมื่อตั้วกัวยิ้งได้รับเงินคืนทั้งหกถุงจากไล่เห่งแล้ว เขาก็สั่งให้วางกองถุงเงินเหล่านั้นลงต่อหน้าและให้แก้ห่อถุงออกนับสำรวจดู ปรากฏว่าในจำนวนเงินทั้งหกถุงนั้น มีที่เป็นเงินเนื้อบริสุทธิ์แท้ๆ อยู่เพียงถุงเดียว นอกนั้นเป็นแท่งตะกั่วหมด!
ไซหมึ่งก็ยิ่งทวีความพิโรธขึ้นมาใหญ่ เสียงเขาตะคอกขู่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้องโถง “มึงยักยอกเงินกูอีกแล้วละซินี่ หนอยเอาตะกั่วมาใส่ไว้แทนเงิน นี่มึงตั้งใจจะคิดโกงกูละซี!” แล้วเขาก็ทำสีหน้าให้แลดูว่าโกรธจัด ตวาดเจ้าคนใช้ผู้นี้อยู่กึกก้อง “จะว่าอย่างไร มึงเอาเงินแท้ๆ อีกห้าถุงของกูไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
ไล่เห่งเห็นเช่นนั้นก็หน้าซีดอกสั่นตกใจใหญ่ เพราะคาดไม่ถึงว่าจะโดนเข้ากับลูกไม้อันนี้ เขาตอบตะกุกตะกักปากคอสั่นว่าเขาไม่รู้เรื่องเลย เรื่องอะไรเขาจะไปเอาตะกั่วมาใส่แทน รับไปจากมือตั้วกัวยิ้งท่านอย่างไรก็คงเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะเขายังมิได้เปิดห่อแตะต้องดูเลย
แต่ท่านพ่อบ้านคนมีแผนการรีบตัดบทเสียอย่างหุนหันว่า “พอที เจ้าไม่ต้องแก้ตัวอะไรอีกต่อไปแล้ว หลักฐานประจักษ์พยานระบุออกโทนโท่ สถานหนึ่งเจ้ามีเจตนาจะลอบประทุษร้ายเรา อีกประการเล่าเจ้ายักยอกเงินของเราอีก ยัง–เรายังมีพยานรู้เห็นยืนยันการกระทำของเจ้าอีก ไหน ไล่ซิงก้าวออกมาซี ให้การไป!”
สิ้นเสียงสั่ง ไล่ซิงยามประตูคู่อาฆาตของไล่เห่งก็ก้าวพรวดออกมานอกหมู่ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าท่านตั้วกัวยิ้งผู้พ่อบ้าน และให้การลำดับเรื่องราวให้ฟัง จับแต่เหตุการณ์เมื่อเย็นวานที่ไล่เห่งเมา และกล่าวอาฆาตมาดร้ายหมายจะเอาชีวิตท่านพ่อบ้าน และยืนยันว่าไล่เห่งนี้แหละมีเจตนาจะฟันท่านตั้วกัวยิ้งด้วยดาบเล่มนี้ให้ถึงตาย
จบคำให้การของไล่ซิง ไซหมึ่งก็พูดด้วยน้ำเสียงทั้งห้วนและห้าวว่า “ฟังดู เจ้าจะแก้ตัวเช่นไร?” แล้วเขาก็หันไปพยักหน้ากับบริวารเหล่านั้นว่า “มัดมันให้แน่น ๆ แล้วเอาไปขังไว้ที่ห้องหน้าประตูบ้าน พรุ่งนี้ค่อยนำตัวมันไปส่งศาล”
สามีนางเน้ยเข่งนิ่งนั่งฟังไล่ซิงศัตรูคู่อาฆาต กล่าวร้ายปรักปรำอยู่ด้วยความเงียบงันและตะลึงตะไล เขาไม่อาจที่จะโต้แย้งแต่อย่างหนึ่งอย่างใดได้ และแล้วเขาก็ถูกพาตัวออกไปจากห้องนั้น
ทันใดนั้นเอง กลีบบัวภรรยาสาวของเขาก็ถลันพรวดเข้ามาด้วยความตกอกตกใจในข่าวร้ายของสามี นางกรากเข้าไปหาท่านพ่อบ้านผู้ชู้เชยของนางด้วยสีหน้าท่าทางอันหม่นหมอง ผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้านองด้วยน้ำตา
นางกล่าวประณามไซหมึ่งเป็นข้อฉกรรจ์ว่า เรื่องนี้เป็นเจตนาปลุกปั่นเพื่อปรักปรำกล่าวหาสามีผู้หาความผิดมิได้ของนางทั้งสิ้น นางฟุบหมอบลงอยู่ที่แทบเท้าของท่านตั้วกัวยิ้งประมุขแห่งบ้าน และให้การว่า เงินทั้งหกถุงนี้นางเป็นคนเก็บด้วยมือของนางเอง ชั้นแต่ครั่งปากถุงนางก็มิเคยได้แตะต้องให้ชำรุดแหลกสลาย ก็ไฉนจึงได้มีการยักย้ายถ่ายเทเปลี่ยนแปลงตัวเงินในถุงนั้นได้เล่า นางได้ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการลงโทษที่ตั้วกัวยิ้งได้กระทำไปโดยความอยุติธรรมเป็นที่สุด นางบอกว่าเมื่อจะลงโทษสถานหนักก็เฆี่ยนก็โบยกันไปซิ นางมิได้ว่า นี่ทำไมจะต้องถึงกับส่งตัวไปฟ้องร้องศาลด้วย มันเรื่องร้ายแรงอย่างไรกัน?
ไซหมึ่งก็สู้พยายามกล้ำกลืนโทสะและกล่าวตัดบทเสียว่า “เจ้าเงียบ ๆ เฉย ๆ ไว้เสียเถอะ เรื่องนี้ใช่หน้าที่อันใดของเจ้า เราสังเกตดูท่าทีเจ้าคนใช้ผู้นี้มันมาหลายเพลาแล้ว มีดดาบเล่มนี้ก็เป็นประจักษ์พยาน ที่ยืนยันได้อย่างดีอยู่แล้วว่าเจตนาร้ายของมันมีเช่นไร เจ้าไม่มีวันจะเข้าใจและรู้เรื่องอะไรกับเขาดอก กลับไปห้องเสียเถอะ”
แล้วเขาก็พยักหน้าเรียกไล่อันให้พานางกลีบบัวกลับไปส่งเรือน และเขาได้กระซิบว่า ให้คนใช้ผู้นี้หาทางประเล้าประโลมปลอบอกปลอบใจนางให้เป็นอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าให้นางมีโมโหโทโส แต่เมียสาวเจ้าไล่เห่งก็คงดื้อดึงโดยมิยอมจะจากไปอยู่ท่าเดียว
เสียงนางร้องร่ำคร่ำครวญกระซิกๆ ว่า “คนอะไรใจดำอำมหิตเช่นนี้ก็มิรู้ ปากอย่างใจอย่างดูเผิน ๆ ยังกะว่าเป็นคนเคารพนับถือพระพุทธรูปเสียเป็นกำลัง แต่ทีกับพระสงฆ์องค์เจ้าละก็เที่ยวได้เปะปะรุกราน ก็ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าได้ไปคิดถือสาหาความกับคนเมา จะเอานิยายอะไรเล่ากับคำพูดของคนเมา ไม่มีมนุษย์ที่ไหนในโลกพาลหาเรื่องคนได้อย่างหน้าด้านๆ เหมือนตั้วกัวยิ้งท่าน”
ไซหมึ่งเข่ง อดรนทนฟังไม่ได้ก็โมโหฉุนเฉียววูบวาบขึ้นมา จึงพยักพเยิดให้ไล่อันรีบพาๆ นางออกไปเสียให้พ้นหูพ้นตา การก็เป็นอันว่ายุติลงไปได้ชั่วคืนหนึ่ง
แต่รุ่งเช้าวันต่อมานั้นเอง สามีนางดวงแขได้จัดการส่งมอบตัวเจ้าไล่เห่งให้แก่ขุนศาลตุลาการแห่งเช็งฮ้อ เพื่อดำเนินการพิพากษาคดีความต่อไปตามกระบิลเมือง
แลเมื่อรหัสนี้ล่วงรู้ไปถึงหูนางวัวยะเนี้ยเข้า นางก็ให้รู้สึกอดสูและละอายใจเป็นกำลัง นางได้กล่าวแก่บรรดาอนุภรรยาทั้งหลายของสามีที่เรือนใหญ่ว่า บ้านเรานี้มันยุ่งและช่างสับสนอลวนนัก ทั้งนี้นางมีเจตนาจงใจจะว่ากล่าวพาดพิงถึงนางบัวคำผู้เป็นตัวการ วัวยะเจ๊เปรยขึ้นว่า บ้านเราทุกวันนี้มีปีศาจสิง คนไร้ความคิดมันช่างยุช่างยั่วดีนัก ไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อน ที่พ่อบ้านจะเอาโทษทัณฑ์แก่คนใช้เก่าแก่ผู้ภักดีอย่างรุนแรงสถานหนักโดยมิฟังเหตุฟังผลถึงเพียงนี้ ทั้งหลักฐานที่บ่งระบุความผิดเล่า ก็ไม่ผิดอะไรกันเลยกับป้ายกงเต๊กที่สักแต่ว่าทำขึ้น นี่มันเป็นการกระทำของคนที่หลงเสน่ห์ยาแฝดอย่างงมงาย หรือคนไร้ความคิดแล้วเขาทำกัน
แล้วนางก็หันมาปลอบโยนเจ้ากลีบบัวว่า “นิ่งเสียเถิดเด็กเอ๋ย! หลักฐานประจักษ์พยานย่อมแสดงเจตนาอันบริสุทธิ์ของสามีเจ้าให้ศาลเขาเห็นได้เอง อย่าเศร้าโศกเสียใจไปนักเลย ข้าเชื่อว่าอย่างไรเสียไล่เห่งก็คงได้รับการปลดปล่อยในมิช้านี้”
ซัมเจ๊เล่า นางก็เฝ้าช่วยปลอบโยนนางเน้ยเข่งอยู่ด้วยอีกคน ทั้งนี้ปราศจากเสียซึ่งการสนับสนุนของบัวคำ ผู้ซึ่งตลอดเวลาเป็นคนชักใยบงการลิขิตชาตาชีวิตของไล่เห่งอยู่เงียบ ๆ ข้างหลังฉาก ด้วยเจตนาร้ายในอันที่จะกำจัดคนใช้ผู้น่าสงสารผู้นี้ให้จงได้
และเพื่อประกันความมั่นใจในคดีอุกฉกรรจ์ที่เขาได้กลั่นแกล้งไล่เห่งคนใช้ของเขาเองในครั้งนี้ ไซหมึ่งได้ติดสินบนผู้พิพากษาแซ่เจี้ยจนถึงขนาด ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ศาลตัดสินพิพากษาคดีความเรื่องนี้ ผลของการพิจารณาพิพากษาโทษไล่เห่ง จึงเป็นไปในประการอันตรงข้ามกับที่ตั้วเจ๊นางดวงแขคาดหมายไว้
ก็จะให้ไล่เห่งเงยหน้าอ้าปากร้องขอความยุติธรรมจากผู้ใดใครเล่า? มิไยที่เขาจะร่ำร้องขอความเป็นธรรมสักเท่าใด ขุนศาลตุลาการคนไหนที่จะมาเชื่อฟังคำคนใช้ซึ่งอ้างว่าตนไม่มีความผิด เรื่องนี้เกิดแต่ความจงใจใส่ร้ายของบัวคำและตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งเข่ง ทั้งสิ้น ซึ่งบุคคลคนหลังนี้เองที่เป็นตัวการเสกสรรกลั่นแกล้งปลุกปั้นคดีเรื่องนี้ขึ้น จึงใครเล่าเขาจะเชื่อ ในเมื่อแต่ละผู้แต่ละคนในศาล ล้วนสวาปามเงินสินบาทคาดสินบนของคนผู้ที่ผู้ต้องหาประณามอยู่ปาว ๆ ว่าแสนชั่ว ก้มหน้ารับกรรมไปก่อนเถิดคนใช้ผู้น่าสงสารเอ๋ย! เขาเฝ้าแต่ร้องอยู่มิขาดปากว่า ไม่ยุติธรรม! ไม่ยุติธรรม!!
สิซ้ำร้าย ผู้พิพากษาเจี้ยยังปักใจไปข้างว่า ไล่เห่งเป็นคนกตัญญู มิรู้คุณคนผู้เป็นนายอีก เขาเกรี้ยวกราดเอากับผู้ต้องหาคนเคราะห์ร้ายว่า “นี่หรือคือการตอบแทนบุญคุณที่เจ้ามีต่อตั้วกัวยิ้งผู้มีพระคุณ เจ้าได้อาศัยมีที่กินที่อยู่อย่างสุขกายสบายใจทั้งผัวทั้งเมีย ก็เพราะได้อาศัยร่มไม้ชายคาท่านผู้มีพระคุณคนนี้ และการที่เขากรุณาให้ทุนรอนเจ้าเพื่อไปตั้งเนื้อตั้งตัวนั้นเล่า ก็ล้วนแต่เป็นความปรารถนาดีของเขา เจ้าเองเป็นคนเนรคุณนาย จะให้ศาลเว้นโทษเจ้าเสียได้อย่างไร?”
แต่มิไยที่ไล่เห่งจะถูกทรมานด้วยขื่อคาและตอกเล็บบีบขมับสักปานใด ผัวนางเน้ยเข่งคนเคราะห์ร้ายก็มิได้ปรารถนาจะสารภาพแต่อย่างใด ก็จะให้เขาเอาอันใดมาสารภาพเล่า ในเมื่อกรณีทั้งสิ้นมิได้เป็นความจริงแต่สักน้อย เขามิได้รู้ได้เห็นแต่อย่างใดตามคำให้การที่ปรักปรำ ดังนั้น พณฯ เจี้ยจึงจำต้องส่งตัวผู้ต้องหาคนใจแข็งเข้าสู่ที่คุมขังจองจำสืบไปใหม่ เขากำชับให้พะทำมะรงเรือนจำหาทางทรมานนักโทษใจร้ายผู้นี้ให้จงหนัก แล้วสั่งเลื่อนกำหนดวันพิจารณาต่อไป
เมื่อผลของการพิจารณาพิพากษาคดีความไล่เห่งล่วงรู้ไปถึงหูไซหมึ่งเข่งเข้า เข้ารู้สึกพออกพอใจมาก ท่านประมุขของครัวเรือนได้ออกคำสั่งเป็นคำขาดต่อบรรดาคนใช้ชายหญิงทั้งนั้นว่า ห้ามมิให้คนหนึ่งคนใดนำเสื้อผ้าอาหารไปส่งเสียไล่เห่งเป็นอันขาด
ดังนั้น นางเน้ยเข่งจึงมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่า บัดนี้สามีผู้น่าสงสารของนางนั้น ยังจะเป็นตายร้ายดีประการใด
“ศาลเขาไม่เอาโทษทัณฑ์อันใดนักหนาดอก พวกเจ้าอย่าเป็นห่วงเป็นใยไล่เห่งมันให้มากไปนักเลย อีกชั่วสองสามวันเขาก็ปล่อยตัวมันออกมา––”
ไซหมึ่งเข่ง ตั้วกัวยิ้ง ได้ให้ความมั่นใจเช่นนี้แก่บรรดาคนใช้เหล่านั้นของเขา!
----------------------------