- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
บู๋ตั้วคนเมียงาม
ขมับโปนปีติแปร้ | ยิ้มยิ่งยิ้มแก้มแต้ |
โอษฐ์อ้า อิ่มเอมใจนา. |
จะมิให้ยิ้มจนปากค้างและเส้นขมับโปนจนเป่งไปเพราะดีใจกระไรได้ น้องชายคนเดียวที่มีอยู่ ซึ่งพลัดพรากหายหัวจนแทบนึกว่าตายจากกันเสียแล้ว สิอยู่ ๆ เหมือนสวรรค์บันดาลให้มาพบกัน หนำซ้ำเจ้าน้องชายคนยากของพี่สิกลับมีบุญวาสนาสูงส่ง จะเปรียบก็ขนาดได้แหวนอัศวินประดับเพชรนั่นเทียว
ความเดิมมีว่า ครั้งนั้น ซึ่งก็ครั้งนี้แหละ มีพี่น้องในตระกูลบู๋สองคน เป็นชายด้วยกันทั้งคู่ คนผู้พี่มีร่างกายอัปลักษณ์รูปทราม จนเพื่อนบ้านขนานนามว่า “เจ้าคนแคระสามนิ้ว” หรือ “เจ้าเตี้ยหมาตื่น” (Three inch Manikin หรือ Bark Dwarf) แต่ชื่อที่ถูกต้องของเขาคือ บู๋ตั้ว (Wu Ta) ส่วนน้องชายของเขานั้นตรงข้าม เขามีร่างกายกำยำทรงพละกำลังกล้าแข็ง สามารถทุบหัวเสือเสียขมองเหลวตายจนคว้าเอาตำแหน่ง “หัวหน้ากองตระเวนแห่งเช็งฮ้อ” มาเป็นบำเหน็จได้, หนแรกสองพี่น้องนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในตำบลเอียงกก ติด ๆ กันกับตำบลเช็งฮ้อนี้ อยู่มาคนผู้น้องเกิดชีพจรลงเท้าหายหัวสาบสูญไปจากบ้าน ซึ่งจะไปยังไงมายังไงข้างพี่ชายก็มิรู้เรื่องรู้ราวแต่อย่างใด คงก้มหน้าก้มตาทำไร่ไถนาของตัวไปตามปกติ สืบมาถิ่นเก่าทำเลหากินเดิม เกิดมีอันฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารอัตคัดขาดแคลนลง บู๋ตั้วซึ่งเวลานั้นเป็นพ่อหม้ายทว่าไม่ได้พริ้มเพรา เพราะไหนจะยากจนแล้วซ้ำรูปร่างรึก็แสนทรามอีกด้วย ก็เลยอพยพโยกย้ายภูมิลำเนาเข้ามาหากินในถิ่นใหม่ตำบลเช็งฮ้อนี้กับเหง่งยี้ ลูกสาวผู้กำพร้าแม่แต่เล็กคนนั้น. เมื่อแรกอพยพเข้ามาอยู่เช็งฮ้อใหม่ ๆ สองคนพ่อลูกวิ่งเต้นหาเช่าบ้านโกโรโกโสได้หลังหนึ่งที่ถนนหินม่วง (Purple Stone Street) อาศัยพอเป็นที่หลบแดดบังฝนไปตามอัตภาพ.
และเพื่อครองชีพไปวันหนึ่ง ๆ ตามประสาสองคนพ่อลูก บู๋ตั้วหาอาชีพเลี้ยงครอบครัวอยู่ด้วยการขายขนมเปี๊ยะ เขายึดอาชีพนี้อยู่ได้ครึ่งปี กำรี้กำไรก็ไม่ค่อยมี ตกที่นั่งต้องควักทุนกินอยู่เรื่อย ๆ ทุนรอนที่มีติดตัวมาแต่เดิมก็ร่อยหรอหมดเนื้อประดาตัวลง จำต้องคืนบ้านให้เจ้าของไป แล้วสองพ่อลูกก็ต้องออกร่อนเร่หาเช่าโรงแถวถูก ๆ ซุกหัวนอนต่อไปใหม่ บังเอิญโชคดีหน่อยไปเช่าได้ห้องเล็กริมประตูบ้านของท่านเศรษฐีเตียไต้โห (Master Chang) สองคนพ่อลูกจึงสบโอกาสได้มีที่อยู่ทำกินพอยังชีพสืบไปกับเขาได้วันหนึ่ง ๆ ทว่าอย่างไรเสีย บู๋ตั้วก็คงหนีไม่พ้นการเป็นพ่อค้าขนมเปี๊ยะอย่างเดิมไปได้. แต่พ่อหม้ายแซ่บู๋คนนี้มีดีอยู่ตรงที่มีความอ่อนโยนต่อการคบหากับเพื่อนบ้าน จึงเกิดถูกอกถูกใจขึ้นกับผู้ดูแลบ้านของท่านเตียไต้โห และเข้ารอยกันได้สนิท. ผู้ดูแลบ้านหรือธรรมเนียมไทย ๆ เราเรียกว่าทนายหน้าหอผู้นี้ ก็ไปพูดจากับท่านเตียไต้โห ขอยกเว้นค่าเช่าห้องกระจอกงอกง่อยหลังนี้ให้แก่เขา นับว่าเป็นบุญที่สองคนพ่อลูกผู้ยากไร้ค่อยหายใจคล่องขึ้นหน่อย และที่โชคดียิ่งไปกว่านั้น สำหรับการได้เข้ามาอาศัยร่มใบบุญท่านเศรษฐีเตียของบู๋ตั้วคนแคระรูปทรามนี้ก็คือ ช่วยให้เขาได้เมียงาม ซึ่งเรื่องราวยอกย้อนพิลึก ดังจะเล่าต่อไปนี้.
ท่านเตีย, ผู้เจ้าบ้านนี้เป็นคนอายุเหยียบเข้าปูนชรา อายุเกินกว่าหกสิบแล้ว แต่แกมีดีอยู่ตรงที่รวยเสียเหลือกำลัง ว่ากันว่าเจ้าสัวผู้เฒ่าคนนี้มีเงินถึงโกฏิอีแปะ แต่ถึงจะมีดีอย่างนี้ก็จริง หากกล่าวตามประเพณีจีนแล้ว เตียก็หนีไม่พ้นความเป็นคนอาภัพ ค่าที่ไม่มีลูกกะเขาแม้สักคนหนึ่ง ทั้งบ้านนอกจากท่านยายขี้บ่นหัวโบราณที่แสนจะคร่ำครึ ซึ่งเป็นแม่บ้านแต่ผู้เดียวคนนั้นแล้ว ปรากฏว่าทั้งบ้านจะหาพวกตัวอ่อน ๆ หรือนังเล็ก ๆ ไว้พอให้ชุ่มหัวใจตามวิสัยคนมั่งมี, เศรษฐีจีนสักคนก็ไม่ได้ ซึ่งความหงุดหงิดไร้อารมณ์เบิกบานของท่านไต้โหประการนี้ ได้เป็นเอามากถึงขนาดบางครั้งต้องนอนซมทอดถอนฤทัยอยู่ไปมา, “โธ่เอ๊ย, เราหนอเรา เหนื่อยยากเพียรตั้งเนื้อตั้งตัวมาแต่ยังหนุ่ม ก็เงินทองที่เยอะแยะนี้เราจะสะสมเอาไว้หาประโยชน์อันใดกัน.”
กระทั่งวันหนึ่ง ยายเมียเห็นว่าท่านตาของแกนี้ ถ้าจะเต็มแก่แล้วก็ปลอบใจว่า “เอาเถอะท่านตา อดใจไว้อีกสอง-สามวัน ฉันจะไปจ้างแม่สื่อเขาให้หาซื้อสาวใช้หน้าแฉล้ม ๆ มาให้สักสองคน เพื่อให้ท่านได้เบิกบานใจเสียที จะบำเรอกันอีท่าไหนก็เอา หรือจะให้จับระบำรำร่ายจนยันรุ่งก็ตามใจ ขอให้รับใช้ได้เห็นนิสัยใจคอเสียก่อน หากเห็นว่าดีสมใจแล้วก็จะมอบให้ปรนนิบัติรับใช้ท่านฐานภรรยาออกหน้าออกตาสืบต่อไป.” แล้วอีกสอง-สามวันต่อมา แม่สื่อนายหน้าก็นำเด็กสาวหน้าตาแช่มช้อยมาให้ท่านเตียสองคน แต่จะเป็นโชคไม่ดีหรือบุญวาสนาไม่ถึงขั้นจะได้เป็นเมียน้อยเศรษฐีก็เป็นได้ แม่หนูคนที่ชื่อ แปะเง็กเน้ย (Pai Yu Lian) ซึ่งอายุอยู่ในราวสิบหก วัยทรามกำดัดเกิดมีอันตายจากไปเสียก่อน. ทีนี้ก็เหลือแต่คนเดียวคือ ดรุณีน้อยที่มีชื่อ พัวกิมเน้ย (Pan Chin Lian). แม่หนูคนนี้อายุเจ้าพึ่งจะเริ่มสิบห้าขึ้นมาเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดีการมีดรุณีที่โสภาแช่มช้อยคอยปรนนิบัติ แม้จะยังมิได้เชยชมสมประสงค์ โดยที่ท่านยายยังใช้กลเม็ดอ้างว่าต้องดูให้รู้นิสัยใจคอดีเสียก่อนก็ตาม ก็นับว่าเป็นการยังความสดชื่นทางตาให้แก่ท่านเศรษฐีเตียอยู่มิน้อยเลย.
ประวัติของแม่หนูพัวกิมเน้ย สินค้าเนื้ออ่อนที่ตกเข้ามาเป็นสมบัติของนิวาสสถานท่านผู้มีเงินแหล่งนี้มีอยู่ว่า “เธอเป็นลูกสาวคนที่หกของช่างตัดเสื้อจน ๆ คนหนึ่ง ซึ่งเปิดร้านเล็ก ๆ อยู่ไปทางล่างของตำบลเช็งฮ้อนี้ และเท่าที่เธอได้ชื่อว่า กิมเน้ย หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Gold Lotus ซึ่งว่ากันเป็นไทยตรงไปตรงมาก็ “แม่ดอกปทุมทอง” หรือจะเรียกเสียใหม่ ให้ฟังรื่นหูเข้ากับนวนิยายเรื่องนี้ก็น่าจะเป็น “แม่บัวคำ”. นั้น ก็เพราะเหตุที่ว่านางมีเท้าเล็กกะจิดริดน่ารักเป็นนักหนา สมลักษณะความงามตามสายตาของคนจีนในครั้งกระนั้นนั่นเอง และบัวคำสาวน้อยคนนี้เดิมทีเมื่อพ่อตายใหม่ ๆ แม่ซึ่งนัยน์ตาแหลมเคยได้ขายเป็นสินค้าไปให้แก่ท่านเห่งเจียวซวงเศรษฐีนอกราชการผู้หนึ่งในตำบลนี้ ซึ่ง ณ ที่บ้านเศรษฐีเห่งนี้เอง พัวกิมเน้ย, ผู้กำพร้าพ่อได้มีโอกาสรับการศึกษาฝึกฝนในทางนาฏศิลป์และการฝีมือเย็บปักถักร้อย ปรากฏว่านางมีความสามารถเป็นเยี่ยมในการดีดพิณ อ่านเขียนหนังสือคล่องและชำนิชำนาญมาก ทั้งนี้ก็ด้วยอาศัยญาณพิเศษอันเป็นเสมือนพรสวรรค์ของเธอนั้นเอง ที่ทำให้เธอมีความเฉลียวฉลาดล้ำวัย เพียงอายุสิบสามปีแม่หนูบัวคำนี่ก็เก่งเกินตัวเสียแล้ว รู้จักใช้เครื่องสำอางเป็น จะทาแก้มแต้มปากหรือว่าเขียนคิ้วกันให้เฉิดฉายปานใด หนูพัวกิมเน้ยเจ้าก็ประดิษฐ์ได้งดงามและนำสมัยเสียอีกด้วย ในทางดนตรีมิว่าจะเป็นร่ายรำฤๅดีดสีตีเป่าเล่า บัวคำน้อยคนนี้เจ้าก็เล่นเป็นทั้งนั้นเช่นกัน มิเลือกว่าจะเป็นขลุ่ยไผ่ (Bamboo flute) หรือพิณและอื่น ๆ ข้างในด้านการฝีมือเล่า จะเอาอะไรกับเธอ เย็บปักถักร้อยนั้นของพื้น ๆ ว่าแต่จะเอากันให้ประณีตงดงาม และลวดลายดอกดวงแค่ไหนถึงจะเลอเลิศกว่ากันดีกว่า แลว่าในด้านการอ่านและเขียนซึ่งชาวจีนถือนักนั้นเล่า โดยเฉพาะการประดิษฐ์ตัวอักษรให้แปลกและพิสดารยิ่ง ๆ นั้น บัวคำ, ก็ทำได้และเก่งเอาการอยู่ ต้นฉบับอังกฤษเขียนไว้ถึงความสามารถของพัวกิมเน้ย ดังนี้.–“She wasproficient in all fine handwork and needlework, and had mastered the difficulties of the written language.” แม้แต่มวยผมของเธอก็ได้รับการประดับประดาและดัดแปลงในรูปทรงอันนำสมัยอยู่เสมอ จะตบแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์แต่ละชิ้นก็ให้รัดรูปสมทรงไปนี่ทุกส่วนสัดสรรพางค์กาย ดังนี้แลที่ดรุณีน้อยบัวคำเจ้าเติบวันโตคืนขึ้นมา ด้วยความที่ทั้งสาวและสวยสะพรั่งตาภายใต้ร่มไม้ชายคาคฤหาสน์ท่านเห่งเจียวซวงผู้นั้น.
แต่พอเธออายุได้สิบห้า เฒ่าแก่เห่งก็มีอันสิ้นชีวิตลง ยายแม่มองเห็นทางได้กำไรอีกเหนาะๆ เพราะลูกสาวยังไม่ช้ำชอกด้วยแรงเอื้องของโคแก่ ก็เลยถ่ายตัวออกมาเป็นราคาเงินเนื้อบริสุทธิ์ยี่สิบตำลึง แล้วจึงนำมาขายต่อให้ท่านเจ้าสัวเตียด้วยประการฉะนี้.
และที่บ้านเศรษฐีเตียนี้เอง บัวคำได้รับการฝึกฝนทบทวนศิลปะวิชาการที่เธอได้ร่ำเรียนและฝึกปรือมาให้มีความช่ำชองขึ้นอีก ยิ่งกว่านั้นยังได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษเฉพาะพิณผีผา ซึ่งเป็นพิณชนิดเจ็ดสาย และบัดนี้ดรุณีน้อยบัวคำก็ได้ย่างเข้าสู่วัยสาวเต็มตัวแล้ว เธอได้พบเข้ากับฤดูใบไม้ผลิครั้งที่ ๑๘ ในชีวิต เป็นสิบแปดปีที่เต็มไปด้วยความงามของเรือนร่างอันน่าเสน่หาเป็นล้นพ้น บัดนี้เรามาลืมแม่หนูน้อยพัวกิมเน้ยคนนั้นเสียทีก่อน เพราะกิมเน้ยสาวสิบแปดคนนี้มีความสวยต่างกันลิบลับกับแม่หนูพัวกิมเน้ยคนนั้น “ใบหน้าของนางดูอ่อนสะอางประดุจช่อดอกท้อเป็นที่น่าชิดเชยนัก คิ้วคู่ที่โค้งเรียวกลเดียวกับขอบโค้งของวงเดือนเมื่อคืนเริ่มชุณหปักษ์ก็เป็นที่พิลาสพิไลตา” เอาละซียิ่งอยู่นานวันเฒ่าชะแรตาแก่เตียก็เริ่มจะใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมา ฝ่ายท่านยายก็ไม่ยอมละกลเม็ดเรื่องจะขอพิจารณานิสัยใจคอสาวใช้คนอันจะเลื่อนฐานะให้อยู่เรื่อย ๆ. การณ์จึงเหมือนกับหนามร้อยเล่มเสียดอกนั่นเทียว ยิ่งเห็นยิ่งมันเขี้ยวโคเฒ่าเขาทองผู้นี้เฝ้าคอยจ้องจะตะครุบหญ้าอ่อนช่องามช่อนี้วันแล้ววันเล่า ทว่าอ้ายความ–ไม่ใช่กลัว หากเกรงเกรงใจ–เมียแก่ของแกนี่แหละ ที่ได้คอยยุดอารมณ์ของแกไว้ และแล้วโอกาสงามก็มาถึงแกเข้าในวันหนึ่ง–วันที่หญ้าอ่อนจะถูกเอื้อง ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุการณ์เป็นใจ ภริยาแก่ท่านเตียไม่อยู่ออกไปทำธุระเสียนอกบ้าน จึงเมื่อหมูมาถึงปากแล้ว ใครเล่าจะยอมเว้น––
หากเราจะข้ามเหตุการณ์ตอนนี้ไปเสียก็ดูกระไรอยู่ เพราะนิยายเรื่องนี้กล่าวกันว่าต้นฉบับเดิมมีรสถึงขนาด ซึ่งขนาดของรสจะอยู่ตรงไหนตอนใดนั้น พิจารณาเถิด ต้นฉบับอังกฤษให้ความกระจ่างไว้สั้นนิดเดียว แต่ฟังแล้วซาบซึ้งถึงใจนัก ...
He finally succeeded!
ในที่สุดก็เสร็จท่านเจ้าสัวเฒ่าแก!
แต่พอหรือครั้งเดียว ต่อตัณหาอันก่อตัวอยู่หนาแน่น อ๋อ, ต้องไม่พอแน่ ยิ่งแม่หนูบัวคำเจ้าคุ้นต่อการเอาอกเอาใจคนแก่อยู่แล้ว จึงเสิร์ฟท่านเจ้าสัวเตียเสียอย่างโอนอ่อนและเอาอกเอาใจถึงขนาด ดังนั้นผลที่ท่านยายออกไปนอกบ้านไม่ทันเต็มวันครั้งนี้ ปรากฏว่า เตีย, ผู้เฒ่าได้เอื้องหญ้าอ่อนเสียหนำใจถึงห้าครั้ง “He had, indeed, to atone five times over for the short-lived rapture of this secret indulgence.”
และห้าครั้งที่แกกกหนูบัวคำน้อยนี้ จริงดอกค่อยเบาเนื้อเบาตัว แต่ทว่าเบาจนเกินสบาย ก็สังขารของคนที่อายุล่วงเข้าปูนหกสิบกว่าแล้วเช่นนี้ อาการที่บังเกิดขึ้นต่อสังขารของแกตั้งแต่คืนวันนั้น และต่อ ๆ มาแรกเริ่มก็มีอาการปวดบั้นเอว ต่อมานัยน์ตาก็ชักแฉะ อันดับสามลมออกหูอื้อ ที่สี่ปวดร้าวในศีรษะ และประการที่ห้าก็คือ ปัสสาวะขัดกะปริบกะปรอย. ก็ลงอาการเข้าขั้นตรีทูตยังงี้ แล้วจะไปปิดอย่างไรไหว ความลับจึงต้องแตกโดยไม่มีใครเปิด ท่านยายเจ้าระเบียบเกิดระแวงขึ้นมา ทีนี้ทั้งลมไต้ฝุ่นทั้งลมเพชรหึง (ผัว) ก็กำเริบตาม สงสารก็แต่โฉมเจ้าบัวคำที่ต้องถูกคุณยายแกดุด่าอย่างสาดเสียเทเสีย มิหนำซ้ำหาช่องตบตีให้เจ็บตัวอีกด้วย. ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้ได้ยังความระทมทุกข์ให้เกิดแก่ท่านเศรษฐีผู้เฒ่าเป็นที่ยิ่ง. แกใคร่ครวญมาจนพบว่าทางออกที่ดีที่สุดนั้น เห็นจะต้องคิดปลูกฝังยัดเยียดกิมเน้ยน้อยนี้ไปเสียกับใครก็ได้สักคนหนึ่ง จะได้หายร้อนหูร้อนใจ และหมดบาปกรรมเสียที ก็พอดีที่ความร้อนใจของท่านเตีย ทั้งนี้ล่วงรู้ถึงหูทนายหน้าหอ ซึ่งถูกเส้นกับบู๋ตั้วอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เขาสนับสนุนให้ท่านเศรษฐียกแม่หนูบัวคำนี้แต่งงานแต่งการไปเสียกับพ่อหม้ายบู๋ตั้วคนรูปทรามเสีย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป เพราะการจะยัดเยียดหรือก็ง่าย ไม่ต้องทำพิธีใส่ตะกร้าล้างน้ำด้วยประการไรเลย ท่านเตียเห็นด้วยอย่างเด็ดขาดไปเลยทีเดียว ค่าที่โคเฒ่าเขาทองเห็นการไกลกว่าทนายผู้เสนอไปอีกในข้อที่ว่า “เสียเหมือนไม่เสีย” โดยที่ว่าถ้าจัดการแต่งงานบัวคำ, สาวน้อยนี้ไปกับบู๋ตั้วซึ่งอาศัยห้องแถวหน้าบ้านแล้ว ก็คล้ายกับบัวคำเจ้ามิได้โยกย้ายไปไหน ชั่วดีก็อยู่แค่ประตูบ้านเรานี่เอง การจะออกไปตีท้ายครัวแอบเอื้องแม่หญ้าอ่อนใบเขียว ก็เป็นเรื่องที่แสนสะดวกดาย. เพราะกลางวันบู๋–ตั้วก็ต้องออกไปเร่ขายขนมเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นท่านเจ้าสัวจึงตกลงใจทันที.
เช่นนี้แหละที่อยู่ๆ โชคก็โซเซมาเคาะประตูบ้านให้บู๋ตั้วคนยาก อย่างมิได้คาดฝันมาก่อนเลย ไหนจะได้ทั้งเมียงามที่งามไม่เป็นรองใคร ไหนจะไม่ต้องเสียสินสอดทองหมั้นแม้อีแปะเดียว หนำซ้ำเจ้าสัวเตียผู้เจ้าบ้านยังจะต้องคอยมาอาทรร้อนใจ และเอาใจใส่สอดส่องให้ดูประหนึ่งช่างอารีอารอบ คอยช่วยเหลือสวัสดิภาพของครอบครัวนี้อยู่เป็นนิจสินอีก ดูเผินๆ ก็ มีบุญ อย่างที่เรียกว่า มีราชรถมาเกย แต่การมีศพกำลังจะขึ้นบรรทุกมาบนราชรถด้วยนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็น เจ้าเตี้ยหมาตื่น คนที่เพื่อนบ้านหยามหยันก็มีอันได้ครองเมียงาม ดังนี้.
แล้วแผนการก็สัมฤทธิ์ผลไปตามที่โคเฒ่าเขาทองได้วางไว้ทุกประการ เช้าบู๋ตั้วคนซื่อ ซึ่งสำราญมาตลอดราตรี ก็แบกตะกร้าขนมทอดร้อนๆ ออกปุเลงๆ เร่ขาย อยู่ทางนี้ท่านเจ้าสัวเตียก็เปลี่ยนสภาพโคเฒ่าเป็นแมวขโมยชาญสนามทันที โดยแอบย่องมาดอดตีท้ายครัวอยู่เช่นนี้เป็นประจำสืบมา. ปรากฏว่าบางโอกาสแม้เหตุการณ์ชนิดเข้าด้ายเข้าเข็มระหว่างแมวชรากับเหยื่อสาว จะเกิดขึ้นอย่างตำหูตำตาบู๋ตั้วคนผู้เป็นผัวอันถูกต้องประเพณีก็ตามที แต่กับสามีชนิดปากหอยปากปูคนนี้ เขาหามีปากมีเสียงจะทำอะไรได้ไม่ นอกจากปล่อยเลยตามเลย คล้ายกับว่าเขาได้ปลงตกเสียแล้ว ว่าความจริงมันก็ไม่สึกหรอเขามั่งเรามั่ง หาความสำราญไปชั่ววัน ๆ ก็แล้วกัน แต่มีคำพังเพยไทย ๆ เราบทหนึ่งกล่าวไว้ ซึ่งมีความว่า ‘ควันความมิควรความ ฤจะปิดจะป้องคง’ จึงควันความที่ท่านเตียแอบตีท้ายครัวบู๋ตั้วอยู่เนือง ๆ นี้ แม้คนเตี้ยสามนิ้วผู้สามีมิอาจเอาเรื่อง และหรือผู้คนในบ้านจะช่วยเป็นใจปกปิดเนื้อความมิให้แพร่งพรายเข้าหูล่วงรู้ถึงท่านยายสักปานใดก็ตามที แต่เรื่องของสังขารเป็นสิ่งที่ช่วยกันไม่ได้ ฉันใดสุราและเมรัยเมื่อส้องเสพแล้ว ความมึนเมาย่อมเกิดขึ้นต่อบุรุษบุคคลผู้ประพฤติ ฉันนั้น การที่เจ้าสัวเตียแกลักลอบกอปรกามกิจกับเมียเขาถี่ยิบ อันเป็นการออกแรงเกินวัยเช่นนี้ ความวิปริตของสังขารจึงบังเกิดขึ้น นั่นคือแกเกิดเป็นโรคขัดเบาตาหูแฉะขึ้นมาอีก ท่านยายซึ่งเฝ้าสังเกตพฤติการณ์อยู่นานนักแล้ว สบโอกาสเลยพาลพาโลอัปเปหิทั้งผัวร่างทราม และเมียรูปสวยไปเสียจากห้องแถวหน้าบ้าน.
สามชีวิตคือ สองคนผัวเมียกับลูกสาวติดพ่ออีกคนหนึ่งจึงต้องร่อนเร่ต่อไป โชคดีที่พาไปสู่เหตุร้ายพยักยิ้มกับบู๋ตั้วเข้าอีก. โดยครอบครัวพ่อค้าขนมเปี๊ยะแห่งถนนหินม่วงนี้เกิดไปขอว่าเช่าบ้านสองคูหาของผู้มีอันจะกินเข้าได้หลังหนึ่ง อยู่ทางฝั่งตรงข้ามของถนนหินม่วงนั้นเอง และก็คงเป็นอีกครั้งที่บู๋ตั้วยึดอาชีพขายขนมเปี๊ยะดังเช่นเดิม ขนมเปี๊ยะร้อน ๆ–ขนมเปี๊ยะร้อน ๆ ของบู๋ตั้ว คนแคระรูปทราม ยังคงก้องกังวานหัวถนนท้ายถนนหินม่วงอยู่เช่นเคย.
ข้างบัวคำเล่า มิไยตัวจะหน้าดำคร่ำเครียดอาบเหงื่อต่างน้ำหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว นางก็มิได้นำพา เฝ้าแต่นั่งด่านั่งบ่น และเย้ยหยันถากถางลำเลิกถึงแต่ความสิ้นไร้ไม้ตอกของสามี ซึ่งเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งเช่นนี้มีอยู่เป็นประจำวัน หนัก ๆ เข้านางโมโหถึงขีดสุด ก็เลยพาลกระหน่ำเอาโคตรเง่าของเศรษฐีเตียที่ลิขิตชาตาชีวิตของนางเข้าให้อีกด้วย “โธ่เอ๋ย, ทำไมหนอ สำมะหากับผู้ชายทั้งโลกที่ยังมีอีกเยอะต่อเยอะนัก อ้ายแก่นะอ้ายแก่ ทำไมมึงถึงได้เสือกผลักไสกูให้มาได้กับอ้ายผู้ชายทรลักษณ์คนนี้ ทึ่มก็ปานนั้น บัดซบก็ปานนั้น ไม่มีเค้าว่าจะเป็นผู้เป็นคนกับเขาเลย โธ่ กรรมเวรอันใดของเราหนอ ถึงได้ต้องมาตกเป็นเมียอ้ายคนขี้ข้าคนนี้?” นางก่นแต่โศกเศร้าและรันทดระทมใจ บางครั้งในยามเหงาที่นางนั่งอยู่แต่ลำพัง นางก็อดเสียมิได้ที่จะครวญคร่ำความอาภัพอัปภาคย์ในชั่วชีวิตของนาง ออกมาตามเนื้อเพลงที่แสนเศร้า ‘เจ้าลูกแกะหลงฝูงที่ตะเกียกตะกายอยู่เหนือหน้าผาชัน’ (The Strayed Lamb on The Precipice) ในท่วงทำนองอันหวนละห้อย ด้วยสำเนียงอันอ่อนระโหยแฝงไว้แต่ประการเดียวคือความชอกช้ำในเนื้อเคราะห์ชาตากรรม. -
โอ, เจ้าความผิดพลาด
โอ, เจ้าความยุ่งเหยิงวิบากกรรมอันเคราะห์ร้าย
ความเหิมเห่อทะเยอทะยานน่ะไม่อาจเอื้อมกะเขาดอก,
แม้กระนั้น–ไฉนเล่ากาถ่อยถึงได้อาจอง
นำตัวของมันเข้าเคียงคลอกับหงส์อันสูงศักดิ์?
ก็ตัวเรานี้มิใช่ทองคำธรรมชาติ
ที่ถูกทอดทิ้งไว้ในท่อน้ำคร่ำอันโสมมดอกหรือ?
แม้ว่าเขาจะได้ทำตัวให้แลดูอร่วมสักเพียงใด
ก็แค่ทองแดงสุกปลั่งเท่านั้นดอก
มีหรือทองแดงจะคงค่าคู่ควรกับทองคำ?
หินประดาษเนื้อเลวที่เทพเจ้าแห่งโชคชักจูง
นั่นแหละคือเขาละ!
แล้วร่างที่เปล่งปลั่งดั่งอัญมณีมีค่าของเรานี้ซิ
ที่ต้องถูกเขากอดกระหวัดละ,
ฮึ, แสนจะนุ่มนวลและละมุนละไมมือประดุจแกะอ้วนละซี.
อันตัวเรานี้ถึงจะจำเริญขึ้นมาในกองมูลขยะก็ตามที
ทว่าก็ยังเป็นพันธุ์ไม้สูงค่าทรงกลิ่นหอมหวาน
ที่สุดแสนจะชวนดมอย่างน่าพิศวงอยู่
พิจารณาเถิด, ท่านผู้มีใจเป็นธรรมทั้งหลาย. “หญิงสาวทรามกำดัดในวัยสวาท ผิว์หากเธอประสงค์ความรักสักครั้งหนึ่งในชีวิต ต่อยอดชายในฝันคือคนอันเป็นยอดปรารถนาของเธอนั้น จะมีอะไรเสียอีกเล่า ผิดจากชายงามผู้ทรงสง่า ซึ่งก็มิใช่เป็นเรื่องลักเพศผิดวิสัยของจิตใจสาว จริงอยู่ เมื่อจะพูดไปแล้ว บู๋ตั้วผู้นี้เป็นคนดี เป็นสามีที่มีความเป็นสามีอย่างครบถ้วน และจะครบถ้วนอย่างยิ่งทีเดียว ทั้งนี้ ถ้าเพียงแต่เขามิได้เป็นคู่ครองที่น่าสะอิดสะเอียน สำหรับเธอผู้ต้องรับหน้าที่ภรรยา แต่นี่ บัวคำเธอต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งแต่ละเช้า ๆ เพื่อที่จะดับความกระวนกระวายใจ ในประการที่รีบ ๆ ให้สามีรูปทรามของนางออกไปขายขนมเสียให้พ้นหูพ้นตา เพียงเพื่อปรารถนาหาความสุขทางใจ โดยขอนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ลำพัง นางปล่อยให้ชีวิตล่วงไปวันหนึ่ง ๆ และปกตินางชอบอาศัยม่านหน้าต่าง เป็นที่แฝงร่างคอยดูผู้คนซึ่งสัญจรไปมาในท้องถนน แล้วบางทีนางก็จะนั่งขบเม็ดแตงโมทิ้งเปลือกลงสู่พื้นถนนเล่น เพื่อให้พวกเจ้าชู้ที่เดินไปเดินมาแหงนมอง ซึ่งด้วยวิธีนี้นางก็จะทำวับๆ แวมๆ ให้พวกเจ้าชู้ประตูดินเหล่านั้น ได้เห็นปลีน่องอันกลมกลึงและเท้าอันเรียวงามที่แลดูประหนึ่ง “ดอกพลับพลึงทอง” ทั้งคู่ของนาง ซึ่งมีอะไรแปลก ๆ อยู่ ดูนางชั่งชอบอกชอบใจเสียจริงที่จะทำวับแวมลับ ๆ ล่อ ๆ ให้พวกเจ้าหนุ่มน้ำลายหกเล่น ก็โดนเข้าไม้นี้ใครบ้างที่จะปฏิเสธการได้ดูจ้ำบ๊ะฟรี ข่าวก็แซ่ดไปทั่วหัวถนนท้ายถนน ทีนี้พวกเจ้าชู้หนุ่ม ๆ เหล่านั้นก็เลยไม่ต้องคิดไปไหนกันละ ตื่นเช้าก็แต่งตัวพากันมาเดินกรีดกรายอยู่แถวบ้านพ่อค้าซาลาเปาบู๋ตั้วกันเป็นแถว หนอยเดินดูไม่ดูเปล่า บางคนดีดพิณเกี้ยวบ้าง บางคนก็แทะเล็มเอาดื้อ ๆ ที่มีฝีมือหน่อยก็ขับลำเสียงโอดเสียงครวญ ว่ากันไปตามถนัด ซึ่งเนื้อทำนองก็ล้วนเป็นไปในเชิงสงสาร เห็นอกเห็นใจนางนานาประการ.-
เสียดายเกินนักแล้วน้องเอ๋ย
แม่เนื้อแกะที่รสคงเลิศของเรียม
ตกมาอยู่ในอุ้งตีนของอ้ายหมากลางถนน
เฮอ, แสนจะสงสารจริง––
และอื่น ๆ ล้วนแต่จะเสกสรรรำพันกันมาแอ่ว ที่สุดข่าวเอิกเกริกประจำวันอันนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงหูบู๋ตั้วเข้า ก็แน่ละ คนลงมีเมียสวย แล้วยังสาวเช้งยังงี้อีกด้วย เรื่องหึงหวงย่อมเป็นธรรมดา แล้วนี่ยิ่งหนักข้อถึงขนาดมาเดินพาเหรดเกี้ยวดูกันเป็นหาง อย่างนี้ใครจะทนไหว เห็นจะอยู่ไม่ได้เสียแล้วถนนหินม่วงนี้ ขืนอยู่ต่อไปเป็นไม่ได้การแน่ อ้ายพวกนี้ไม่คนใดคนหนึ่งคงได้การไปแน่ๆ ย้ายเถอะ คิดได้ดังนี้แล้ว วันหนึ่งบู๋ตั้วก็ปรารภขึ้นให้เมียฟัง ถึงเรื่องที่จะคิดย้ายบ้านช่อง “ไม่อยู่กันละถนนนี้” ซึ่งพอได้ยินผัวพูดขึ้นมาเท่านั้น บัวคำคนสวยก็แปร๋นขึ้นมาทีเดียว “บัดซบจริง จะรนไปหาที่ อยากอวดความซอมซ่อให้วงกว้างกับคนแปลกถิ่นอื่นเขาต่อไปยังงั้นรึ? อายเขาถนนนี้ถนนเดียวไม่พอ จะย้ายก็รีบกระวีกระวาดหาเงินหาทองเข้าไว้ เผื่ออย่างไร ๆ จะได้มีบ้านมีช่องพออยู่ได้ของเราเองลงหลักเป็นเรือนตายสักหลัง––”
“โธ่, ก็เราจะเอาปัญญาที่ไหนเล่ามาเนรมิตเงินหาเช่าบ้านให้โก้หร่านหรูหรากะเขาได้” สามีผู้น่าสงสารบอกเมีย
“ก็มัวโข่งอยู่อย่างแกน่ะซิ คนอะไรไม่มีความคิดความอ่านกะเขาบ้างเลย โง่ดักดานอยู่นี่เอง คนเอ๊ยคนมีกะเขาด้วยโลกนี้ คอหยัก ๆ สักว่าเป็นคน เอาละถ้าแกไม่มีปัญญาจะหาเงินก็แล้วไป นั่นแน่ะเครื่องเพชร เอาไปจำนำใครเขาก็ได้ให้ได้เงินมาก็แล้วกัน แล้วค่อยคิดหาทางไถ่คืนเอาทีหลัง”
แต่บู๋ตั้ว “เจ้าเตี้ยหมาตื่น” จะได้ทำการปลดอาวุธเมียรูปงามหรือไม่ ต้นฉบับมิได้พูดถึง คงกล่าวแต่เพียงว่า เขาได้ไปหยิบยืมเงินจากใครคนหนึ่ง ได้มาสิบเหรียญตำลึงจีน แล้วก็ออกเที่ยวหาบ้านเช่า คราวนี้ค่อยภูมิฐานหน่อย เพราะชะรอยเกิดมีเมียงามขึ้น พี่แกเลยไปขอเช่าบ้านแห่งหนึ่งทางถนมประจิม บ้านแห่งนี้ก็พอจะอาศัยได้ดีอยู่ดอก ไม่ถึงกับกระจอกงอกง่อยนักเพราะเป็นบ้านสองชั้น ชั้นบนสองห้องชั้นล่างสองห้อง แล้วแถมยังมีสวนกระจุ๋มกระจิ๋มสำหรับอาบลมชมจันทร์เล่นในบริเวณบ้านอีกด้วย ทีแรกเมื่อมาอยู่เหตุการณ์ก็ดำเนินไปคงเส้นคงวาดี ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปโดยเรียบร้อย และตัวผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว คนอาภัพที่ประสบทุกขลาภก็ยังคงออกหากินด้วยการขายซาลาเปาไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดังเดิม.
และเพราะบู๋ตั้วต้องออกเร่ขายขนมตั้งแต่เช้าเพื่อรักษาเจ้าจำนำนี้เอง. จึงวันหนึ่งเขาก็มาพบบู๋ซ้งน้องชายเข้า แลเป็นขณะที่คนผู้น้องของเขากำลังพึ่งผายอยู่ในเครื่องแบบของขุนนางฝ่ายบู๊อันงามสง่า น้องเรานี่หว่า ปากไวเท่าความคิด “เฮ้ บู๋ซ้ง จำพี่ไม่ได้รึ?”
ท่านผู้’กองกองตรวจหันขวับมาทันที “อ้าวเฮียตั้วดอกหรือนี่” แล้วสองพี่น้องซึ่งพลัดพรากจากกันจนคิดว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายจากกันไปแล้วข้าง ต่างโผเข้ากอดกันอย่างปลาบปลื้ม ทั้งด้วยความปลื้มและปลาบในหัวใจขนาดที่ว่า––
ขมับโปนปีติแปล้ | ยิ้มยิ่งยิ้มแก้มแต้ |
โอษฐ์อ้าอิ่มเอม ใจนา–– |
สมดังพากย์อังกฤษที่ต้นฉบับเดิมของเขาว่าไว้ว่า -
The skin of his temples wrinkled in joy.
His mouth opened in a smile.
“เรื่องเป็นไงมาไงกัน ไปบ้านด้วยกันเถอะน้องข้า” บู๋ผู้พี่ชวนเชิญบู๋ผู้น้องให้ไปคุยกันที่บ้าน ไม่ขายมันละวะวันนี้ขนมเข้าต้ม หยอกเสียเมื่อไหร่กัน เป็นตั้งพี่ชายนายทหาร แล้วสองพี่น้องก็ชวนกันกลับมายังบ้านเพื่อคุยกันถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ๆ พอเข้าบ้าน บู๋ตั้วก็แนะนำน้องชายให้ภรรยารู้จัก “คำนับกันเสียซิ นี่ไงละวีรบุรุษที่ปราบเสือโคร่งบนเขาเก้งเอี่ยงคนมีชื่อเสียงคนนั้นละ เดี๋ยวนี้เขาเป็นผู้’กองกองตรวจตำบลนี้แล้ว บู๋ซ้ง–น้องของเธอนั่นเอง ใช่ใครอื่นที่ไหนดอก” แล้วสามีก็หัวเราะอย่างอิ่มเอมใจ.
จึงด้วยมืองามทั้งคู่ที่ยกขึ้นประสาน บัวคำเพ่งพินิจคนอันเป็นน้องชายของสามีอย่างสุดแสนนิยมชมชื่นเป็นยิ่งนัก “ขอให้ท่านผู้มีศักดิ์เป็นน้องจงประสบความผาสุกทั้งหมื่นประการเถิด” นางพึมพำกล่าวรับรองน้องชายของสามี พลางวิ่งเหย่า ๆ เข้ามากระทำคำนับคนผู้น้องด้วยอาการอันกระชดกระช้อย บู๋ซ้งตระหนักอยู่ถึงกิริยาเอียงอายของนาง ขณะที่เขาลอบพินิจความงามของเธออยู่ บู๋ตั้วเชื้อเชิญให้น้องชายอยู่ร่วมกินอาหารเย็นด้วยกันก่อน เขาเองนั้นขอตัวออกไปจ่ายอาหารข้างนอกสักประเดี๋ยว คงทิ้งคุณน้องผู้’กองไว้กับเมียงาม
ด้วยอารมณ์เร้นลับของความปรารถนา บัวคำผู้พี่สะใภ้นั่งจ้องเอา ๆ “แหมข้อลำล่ำสันป่านนี้นี่เล่า ถึงได้เล่นงานเจ้าเสือร้ายนั่นเสียหมอบ–นึกแล้ว–เฮ้อ ตัวเรานะตัวเรา––” ด้วยอารมณ์สวาทที่เสมือนเพลิงเผาหัวใจนาง นางถึงแก่พึมพำในลำคอด้วยความเผลอตัว “โลกนี้ช่างเป็นไปได้ถึงเพียงนี้หนอ พี่น้องท้องเดียวกันแท้ๆ ทว่าคนหนึ่งเหมือนผีตายซากแสนจะทรลักษณ์ สิอีกคนหนึ่งพึ่งผายและงามสง่าสมชายชาตรี โอ, ผู้ชายอย่างนี้สิถึงควรจะมาเชิดชูกับความงามของเราจึงจะถูกต้องและสมควร” นางคำนึงในที่สุด
แล้วพี่สะใภ้ฝ่ายเจ้าบ้านก็เป็นฝ่ายเปิดฉากเชิญชวนสนทนาขึ้นก่อน โดยถามถึงที่พักพิงของเขา และด้วยใบหน้าอันยิ้มละไม นางได้รบเร้าถามเขาลึกเข้าไปอีกถึงว่า ใครเป็นผู้ให้การปรนนิบัติแก่เขา ท่านผู้บังคับกองฯ ก็ตอบไปตามตรงว่า เขาจะไปอยู่ที่ไหนให้ห่างไกลจวนข้าหลวงท่านได้ เพราะหน้าที่บังคับ จึงอาศัยเช่าห้องพักเขาที่โรงเตี๊ยมข้างจวนผู้ว่าราชการนั่นแหละ สำหรับคนปรนนิบัตินั้นเขาก็มีทหารรับใช้อยู่แล้วถึงสองคน
“น่าสงสารจริง ก็มาอยู่เสียกับพี่ที่บ้านนี้มีดีกว่าหรือ? ทหารบ้านนอกโสโครกพวกนั้นมันจะหาอะไรให้น้องท่านกินได้ อึ๊ย์–ไม่ไหว ฝืดคอตายแน่ มาพักอยู่กับพี่ที่นี่เถอะ พี่จะทำอาหารให้เอง เถอะน่าพี่รับรองปรนนิบัติมิให้น้องท่านต้องอนาทรร้อนใจเป็นอันขาด มาอยู่เสียด้วยกันที่นี่นะ” บัวคำย้ำความตั้งใจของนางด้วยจริตอันยียวน
“ขอบคุณพี่ท่านนัก” บู๋ซ้งตอบ ทว่ายังบ่ายเบี่ยง เพราะเกิดสองจิตสองใจอยู่ในการอันจะรีบผลีผลามรับความอารี
“ฮ้า, สงสัยเสียแล้วละน้อง น่ากลัวท่านคงมีใคร ๆ ไว้กระมั้ง?” บัวคำทำทีสงสัย และเชิงคาดคั้น นางทำพูดทีเล่นทีจริงสืบไปว่า “ก็จะเป็นไรไปเล่า ถึงมีใครไว้ก็เอามาอยู่เสียด้วยกันที่บ้านนี้ก็ได้นี่นะ เอาเถอะน่า รับรองว่าไม่มีใครทำความเดือดร้อนให้แน่ๆ” นางแกล้งรวบหัวรวบหางโมเมเอาดื้อ ๆ เล่นเอาบู๋ซ้งกระอักกระอ่วน ต้องละล่ำละลักปฏิเสธเป็นควันไปหมด “เปล่า เปล่า ข้าพเจ้ายังไม่ได้แต่งงานเลยเป็นความสัตย์จริง” ซึ่งคำตอบของเขานี้แสนจะถูกใจคุณนายพ่อค้าขนมเปี๊ยะเป็นยิ่งนัก เพราะนางตั้งใจจะฟังประโยคนี้มานานแล้ว จะได้หายห่วงไปเสียที.
“ยังไม่ได้แต่งงาน. ก็แล้วอายุท่านเท่าใดแล้วล่ะ?”
“ยี่สิบแปดปีเข้าปีนี้แหละพี่”
“ท่านปล่อยให้คนไร้เกียรติผู้นี้เป็นพี่ท่านทั้งที่อายุน้อยกว่าถึงห้าปีเทียวรึนี่?” บัวคำเล่าแถลงแจ้งอายุของตนเสร็จ “แล้วก่อนหน้าที่น้องท่านจะมารับราชการที่หมู่บ้านแห่งนี้ ท่านร่อนเร่ไปอยู่เสียที่ไหนเล่า?”
บู๋ซ้งก็เล่ารายละเอียดให้พี่สะใภ้ฟังว่า เมื่อปีกลายนี้เขาตระเวนอยู่ที่ตำบลซังจิว แล้วก็ไม่เคยนึกไปเลยว่า พี่ชายของเขาจะอพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านเช็งฮ้อนี้ จึงเมื่อถ้อยทีถ้อยปราศรัยกันเป็นที่ชื่นชอบฉันท์พี่สะใภ้–น้องผัวแล้ว บัวคำก็เผยความอาภัพคับแค้นของครอบครัว หรือพูดให้ถูกก็คือของนางให้น้องผัวฟังว่า ตั้งแต่แต่งงานอยู่กินกับพี่ชายของเขามา ว่าที่จริงตั้วก็ดีดอกในประการทั้งหลายแหล่น่ะ–แต่ตัวนางนี้ซิสารพัดจะขมขื่น เพราะคำคนมันเย้ยหยันเสียดสีนานาประการ ถ้าได้น้องท่านมาอยู่ร่วมชายคาด้วยก็เห็นจะพอค่อยยังชั่วขึ้น เพราะเพื่อนบ้านคงต้องเกรงใจ จะล้อจะเลียนก็เห็นจะต้องใช้ความคิดนานหน่อยมิใช่หรือ? ซึ่งบู๋ซ้งก็เห็นคล้อยจริงตามคำพี่สะใภ้ว่า เพราะตัวก็เห็นๆ อยู่แล้วว่า พี่ชายนะน่าพิศน่าชมกับเขาเสียเมื่อไหร่ “ดีละ พี่บู๋ตั้วแกเป็นคนอารมณ์เฉื่อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว–ข้าพเจ้าสิตรงข้ามกับแก เลือดร้อนขี้โมโหง่าย ดีไม่ดีเดี๋ยวก็ได้ยับกันไปข้างหนึ่งเท่านั้นเอง––”
ยังผลให้บัวคำแม่สาวน้อยผู้เฉิดโฉมลิงโลดหัวใจเป็นยิ่งนัก “มาอยู่เสียวันนี้-พรุ่งนี้เถอะน้องท่าน” นางหัวเราะร่าอย่างพึงพอใจ แล้วนางก็อ้างคำพังเพยว่า “อาศัยความกล้าและกำลังเท่านั้น จึงจะนำสันติสุขมาสู่ตัวเราได้” พี่เองถึงเป็นผู้หญิงยังงี้ก็เถอะ บทมันโมโหขึ้นละก็รั้งไม่อยู่ อ้ายที่จะมานั่งทนฟังคำล้อเลียนถากถางกันอยู่ทุกวี่ทุกวันน่ะ หนักเข้าก็ทนไม่ไหวเอาเหมือนกัน”
“ทว่าคิดไปอีกที ความเป็นคนใจเย็นสุขุมของพี่บู๋ตั้วนี่ก็ดีเหมือนกันนะพี่ จะได้ช่วยป้องกันพี่ให้พ้นเรื่องร้อนหูร้อนใจในกาลต่อไป ค่าที่เมื่อเราไม่คิดต่อปากต่อคำกะใคร เรื่องก็จะเฉยไปเอง”
และตลอดเวลาที่บู๋ตั้วออกไปนอกบ้านนี้ เขาได้ปล่อยให้ภรรยารูปสวยและน้องชายร่างงามนั่งสนทนากันอยู่ที่ห้องรับแขกชั้นบน แลชั่วครู่ขณะที่ใครคนหนึ่งระหว่างคู่สนทนานั่งอึ้งเงียบงันอยู่ด้วยกันนี้เอง บู๋ตั้วก็กลับมาถึง
“ว่าไง คิดหาอาหารมากินกันเถอะ” สามีบอก
“ฟังเข้า โธ่, ทำมั้ยช่างเป็นคนไม่มีหัวคิดยังงี้นะหือ” บัวคำตวาดแว้ดเข้าให้ “มีมรรยาทที่ไหนที่เจ้าบ้านจะทิ้งแขกให้อยู่แต่ลำพังบนเล่าเต๊ง ไม่ได้ความเลยเรานี่ โน่นแน่ะส่งไปให้ยายเห่งพั้วแกช่วยจัดการให้ก็แล้วกัน” ซึ่งราวกับคำประกาศิตของนางพญาก็มิปาน ก็จะทำไงได้อยากมีเมียสวยนี่ บู๋ตั้วรับคำแม่บ้านโดยดุษณี แล้วก็รีบนำกับข้าวไปวานยายเห่งให้แกช่วยปรุงให้ เสร็จแล้วก็จัดการยกสำรับคับค้อนขึ้นมาตั้งโต๊ะไว้จนเป็นที่เรียบร้อย ยังคอยอยู่ก็ชั่วแต่เมียรูปงามกับน้องชายร่วมไส้จะมาลงมือกินกันเท่านั้น อาหารมื้อนี้ไม่เลวเลย มีทั้งอาหารปลา, เนื้อผัด, ผักสด, แป้งทอด และแถมเหล้าจีนอย่างดีอีกกระปุกหนึ่งด้วย เมื่อนั่งโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว บัวคำคนมากจริตก็เริ่มบทบาทขึ้นมาทีเดียว นางรินเหล้าใส่จอกยื่นให้น้องผัวผู้เป็นอาคันตุกะก่อนตามธรรมเนียมเป็นจอกแรก “เพื่อความยินดียิ่ง ที่ท่านได้ให้เกียรติและโอกาสมาร่วมรับสุราอาหารร่วมกับครอบครัวเรา–ผัวเมียผู้ยากจน” นางกล่าวพร้อมกับยื่นจอกเหล้าให้น้องผัว “และโปรดได้รับความขอบคุณเป็นอย่างสูงจากข้าพเจ้าด้วย อย่าวุ่นวายให้มากมายอะไรไปเลย เชิญพี่ทั้งสองตามสบายเถิด ไม่ควรจะมาออกเนื้อออกตัวอย่างใดต่อข้าพเจ้าผู้น้องท่านคนนี้เลย” บู๋ซ้งรับคำพี่สะใภ้ด้วยความแสนจะเกรงอกเกรงใจ.
และก็ในขณะที่หัวหน้าครอบครัวมัวสาละวนรินเหล้าอยู่นั้นเอง ภรรยาก็กุลีกุจอตักอาหารเอาแต่ส่วนที่ดี ๆ เสนอสนองคนผู้น้องอันเป็นแขกบ้านอย่างปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ มิหนำซ้ำแถมกำนัลยิ้มอย่างหยาดเยิ้มชนิดยวนตายวนใจเป็นเชิงคะยั้นคะยอให้รีบพุ้ย ๆ อีกด้วย ฝ่ายข้างคนเก่งที่แม้แต่เสือก็เอาเสียหมอบไปคามือคนนี้เล่า เพื่อนก็แสนจะบรมซื่อ ไม่ได้เข้าอกเข้าใจไปเลยว่า ผู้หญิงเขาทอดสะพานมาให้เดิน นึกไปเสียข้างเขาอารีเอาอกเอาใจตัวฐานน้องสามี จึงเฉยเสีย พัวกิมเน้ยก็เฝ้าแต่เวียนชม้อยชม้ายจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างของคนผู้เป็นน้องผัวมิวางตา มองศีรษะแล้วพินิจเบื้องเท้าเล่ามิรู้เบื่อ เล่นเอาเจ้าหนุ่มคนกล้าแห่งเขาเก้งเอี่ยงถึงกับอายเหนียม ต้องเฝ้าคอยหลบตาพี่สะใภ้อยู่เรื่อย ๆ เมื่อการรับประทานอาหารมื้อนั้นสิ้นสุดลง บู๋ซ้งนึกขลังอะไรขึ้นมาไม่ทราบ รีบผลุนผลันขอตัวกลับที่พักทันที มิใยบัวคำจะอ้อนวอนให้ค้างเสียที่บ้านสักเพียงใดก็ตาม เขายืนกระต่ายขาเดียวที่จะกลับโรงเตี๊ยมของเขาให้จงได้
“เอาเถอะไว้โอกาสหน้า ข้าพเจ้าจึงจะมาค้าง วันนี้ขอตัวเสียทีเพราะมีธุระติดตัวอยู่”
“แล้วอย่าลืมเสียเล่า ท่านก็รู้แล้วมิใช่หรือว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร พี่น่ะแสนจะขมขื่นเหลือทนแล้วต่อคำเสียดสีของอ้ายและอีชาวบ้านเหล่านี้” บัวคำบอกแก่บู๋ซ้ง เมื่อขณะที่นางเดินออกมาส่งเขายังประตูบ้าน
“เอาเถอะพี่ไว้ธุระฉันเอง ถ้าพี่ปรารถนาเช่นนี้ละก็ ฉันจะให้เขาขนของมาก่อนในเย็นวันนี้” แล้วผู้ฆ่าเสือด้วยกำปั้นก็อำลาพี่สะใภ้รูปงามกลับ แต่มิได้กลับก่อนจะได้ยินคำกระซิบสั่งสุดท้ายของนางที่ว่า “คนใช้ผู้ภักดีได้เฝ้าคอยการมาของท่านอยู่ อย่าลืมเสีย!”
----------------------------