- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
อุบายแม่สื่อ
๏ สิทธิการิยะ, บุรุษบุคคลใด ประสงค์ความเป็นคนเจ้าเสน่ห์รัดรึงหัวใจหญิง แลบุรุษบุคคลนั้นพึงกอปรด้วยองค์แห่งคุณลักษณะหกประการนี้ คือ. -
๑. ทรงไว้ซึ่งรูปสมบัติหมดจดงดงามเป็นที่ต้องตาหญิง (good appearance)
๒. อุดมไปด้วยทรัพย์สมบัติอันจะจับจ่ายใช้สอยอย่างไม่มีอั้น (Money)
๓. อยู่ในวัยอันหนุ่มแน่น (Blooming Youth)
๔. มีเวลาว่างเหลือเฟือเพื่อแก่การมาพะเน้าพะนอเอาใจหญิง
๕. กอปรด้วยอัธยาศัยสุภาพอ่อนโยน และอดกลั้น ดุจความเข้มแข็งของเข็มเย็บผ้าอันห่อหุ้มอย่างประณีตด้วยสำลี
๖. เป็นผู้มี “ข้อลำ” ล่ำสันกำยำใหญ่ทะมัดทะแมงเสมือน “ข้อลำ” ของลาหนุ่มทรามคะนอง (Something as strong as the thing of an ass).
“จริงหรือท่านอาเสี่ย ที่ว่าถ้าป้าจัดการเรื่องนางบัวคำคนนี้สำเร็จแล้ว ท่านจะให้รางวัลป้าถึงสิบตำลึง” ยายเห่งถามย้ำเพื่อความมั่นใจจากไซหมึ่งเข่ง
“แน่ซิป้า ฉันพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น เชื่อเถอะ ป้าช่วยฉันสำเร็จ เงินแท่งสิบตำลึงต้องเป็นของป้าแน่ๆ รับรอง” เขาย้ำคำอย่างหนักแน่น
“ฟังป้าสักนิดก่อนพ่อหนุ่ม ป้าจะพูดให้ฟัง เรื่องจะรักจะใคร่กันนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องพูดกันพล่อยๆ อย่างที่หลานกำลังพูดอยู่กับป้านี้ หลานมีความมุ่งหมายฉันใด ป้าก็รู้––เรื่องของเรื่องก็จะลักลอบเป็นชู้กับเมียเขาลูกเขาใช่ไหมละ? นี่เรื่องอย่างนี้เราต้องมาพูดกันนาน ๆ หน่อย เถียงกันเสียก่อนแล้วถึงค่อยทำงานร่วมกันน่ะมันดีท่าน เพราะอยู่ๆ จะให้ป้าชักพาพ่อหนุ่มไปยัดเข้าห่อเข้าพกให้แม่หญิงบัวคำแกง่าย ๆ นั้นมันไม่ได้ และก็เช่นเดียวกัน จะให้ป้าเอาแม่หนูบัวคำมายื่นหมูยื่นแมวให้ท่านก็ไม่ได้อีก บุราณเขาว่าลางเนื้อชอบลางยานะท่าน.” หญิงชราแม่สื่อผู้ชำนาญชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาสาธยายหวานล้อมเจ้าหนุ่มในอันจะหาทางผูกมัดการตกลงคราวนี้ของแกให้เป็นที่มั่นเหมาะ ที่แกยกมาอ้างแต่ละล้วนเป็นคติอันเข้าหลักเข้าเกณฑ์ทั้งนั้น ซึ่งก็ถูกอย่างที่แกว่าของแก ฟังดูก็เข้าทีอยู่ เพราะมิว่าจะยุคใดสมัยใด คติวิสัยดังกล่าวย่อมมีประจำทุกยุคทุกโอกาส ลงขาดความมีรูปสมบัติอันเป็นสิ่งต้องตาของเพศตรงข้ามเสียอย่างแล้ว ก็ยากจะก่อให้เกิดความต้องใจได้ และประการที่สำคัญ อันหญิงและชายคนคู่รักจะขาดเสียมิได้นั้นก็คือ “การหมั่นติดต่อไปมาหาสู่” ดุจคำกล่าวที่ว่า “ดักลอบต้องหมั่นกู้ เป็นเจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว.”
จึงเมื่อไซหมึ่งโดนถูกยายเห่งแกสอบเชาวน์เอาด้วย “ตำราดูลักษณะชายเจ้าชู้” ดังอ้างหกประการนั้นเข้า เขาก็หัวเราะก๊ากอย่างถูกใจ ก็มีอย่างที่ไหน ถามใครไม่ถาม สิมาถามเอากับตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่ง คนที่ทั้งเช็งฮ้อรู้จักดีว่าชำนิชำนาญเพียงใดในด้านนี้ ซึ่งก็เสมือนถามวิธีปรุงแกงกับพ่อครัวผู้ชำนาญนั่นเอง ไซหมึ่งเข่งบอกแก่แกว่า “เรื่องนี้เมื่อไหน ๆ ป้าก็พูดมาแล้ว ฟังข้าพเจ้าอธิบายเถิดจะหายข้องใจ อันข้าพเจ้านั้นเมื่อพูดถึงรูปร่างท่าทาง หากจะเปรียบตัวเองกับพัวอั่ง (Pan An) หนุ่มเจ้าเสน่ห์แห่งยุคผู้นั้นก็ดูออกจะเกินไป ทว่ากับพวกหนุ่มๆ รูปหล่อในตำบลนี้ เท่าที่เห็น ๆ หน้ากันอยู่ เห็นทีรูปร่างเขาเหล่านั้นจะเกินหน้าฉันไปได้ยาก ข้อนี้ป้าเองก็ย่อมรู้ ประการที่สอง เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นั้น ป้าจะต้องให้ฉันพูดไปทำไมมี ว่ามีใครไหมละกล้าเผาเงินแข่งกันเล่นกับฉัน และสำหรับวัยของความเป็นหนุ่มแน่นนั้น ป้าพิจารณาฉันดูเอาด้วยตาของป้าเองเถิด ฉันไม่กระดากปากเลยที่จะนับตัวเองว่าเป็นยอดหนุ่มคนหนึ่งในบรรดาสหายหนุ่ม ๆ ทั้งหลายที่มีอยู่ และโดยเฉพาะเรื่องการไปมาหาสู่ผู้หญิงนั้น ป้ายกให้ฉันเสียเถิดข้อนี้ ป้าไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีเวลาว่างถมไปที่จะมานั่งประจ๋อประแจ๋กับเธอได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ–ค่ำยันรุ่งนั่นเทียว. ก็ดูเอาเองซิป้า ว่าที่ฉันมา ๆ นี้ ฉันมาได้อย่างไร จนออกเช้าถึงเย็นถึงยังงี้ ข้างประการอันเกี่ยวกับอัธยาศัยใจคอที่ว่า ฉันยังจะสุภาพราบเรียบและมีน้ำอดน้ำทนเพียงใดนั้น ข้อนี้ฉันรับรอง คนอย่างฉันต่อให้โดนผู้หญิงเขกหัวถึงสี่ร้อย-ห้าร้อยที อย่างดีฉันก็คงจะเพียงแต่กำหมัดฮึดฮัด ๆ ไปเท่านั้น เรื่องจะทุบต่อยตบตีผู้หญิงนั้น ฉันมิทำเขาดอกป้าเชื่อเถิด แล้วยิ่งประการสุดท้ายที่ว่า คนอย่างฉันยังจะเรี่ยวแรงฉกรรจ์พอเทียบกับลาหนุ่มได้อยู่หรือ? อย่าพักกลัวไปเลยป้าข้อนี้ เพราะฉันเองเคยแก่การพรรค์นี้มาแล้วตั้งแต่อายุเริ่มจะแตกพาน และพูดก็พูดอย่าหาว่าฉันโม้เลย–เรี่ยวแรงของฉัน (Thing) นั้น ไม่เบาดอกนะป้า”
“เอาละ เมื่อท่านอธิบายเสียให้หายข้องใจได้อย่างนี้ ป้าก็เห็นทางพอจะเรียบร้อยลงไปได้ ทว่ายังมีที่จะลำบากอยู่อีกสักอย่าง เกี่ยวแก่เหตุการณ์อย่างนี้––อย่างที่ผู้ชายคิดจะลอบกระทำชู้กับลูกกับเมียเขานี่แหละ โดยมากมักจะให้มีอันเป็นต้องล้มเหลวมาเสียนักต่อนักแล้ว––” และโดยที่ยายแม่สื่อแกยังมิทันจะพูดจบประโยค เจ้าสัวหนุ่มก็ถามขัดขึ้นมาว่า “เรื่องอะไรเล่าป้า?” แกก็อธิบายให้ฟังว่า
“อันเรื่องเช่นนี้ ที่จะเกิดมีอันต้องล้มเหลวมานักต่อนักนั้นก็เนื่องมาแต่เรื่อง ‘เงินไม่ค่อยคล่อง’ นั่นเอง.” ซึ่งหญิงชราเจ้าเล่ห์แกสำคัญนัก แกหว่านล้อมโดยโวหารประสาคนหวังดีฉันผู้ใหญ่ แล้วสรุปลงด้วยคำหวานในประการอันอย่าได้โกรธเคืองแกคนผู้เฒ่าผู้แก่เลย ซึ่งเมื่อถูกโดนทั้งล่อทั้งชนเช่นนี้ เจ้าสัวไซหมึ่งเข่งก็จนมุมไปกับคารมของหญิงชรา.
“เรื่องที่ป้าว่ามาทั้งนี้ อย่าได้พักต้องวิตกไปเลย ฉันรับรองจะจัดการให้ป้าเป็นที่เรียบร้อย เอาเถอะป้าจะต้องการเท่าไหร่เรียกมาก็แล้วกัน.” เจ้าหนุ่มคนอันใคร่จะได้เมียงามรีบตกปากรับคำยายแม่สื่อเฒ่าผู้นี้ทันที.
“ถ้าท่านว่ามาเป็นที่แน่นอนเช่นนี้ก็ดีไป เห็นการพอที่จะคิดอ่านหาช่องทางให้ตั้วกัวยิ้งท่านได้มีโอกาสพบปะสนทนากับเจ้าหล่อนได้อยู่.”
“วิเศษเลยป้า ไหนลองขยายแผนของป้ามาฟังกันดูทีรึ?”
“เอ, ถ้าจะให้ดี ป้าว่าพ่อหลานควรจะได้ทำจิตทำใจให้สงบเสียสักชั่ววันสองวัน กลับไปบ้านไปช่องเสียก่อนเห็นจะดี รอไว้อีกสักสามเดือนหรืออีกสักครึ่งปีเราถึงค่อยมาคิดอ่านเรื่องนี้กันใหม่ คงจะเข้าที.”
“อ๊ะ แล้วกัน พอทีเถอะป้า อะไรพูดเป็นบ้าเป็นหลังไปได้ ป้าคิดดูให้ดีนะรางวัลเงินก้อนงามรอคอยป้าอยู่แล้วแค่มือเอื้อม.”
“เดี๋ยวก่อน–ฟังป้าสักกะเดี๋ยวก่อน พ่อหลานชาย อย่าเพ่อด่วนวู่วามไป จริงที่ว่าเทือกเถาเหล่ากอของเจ้าหล่อนคนนี้ไม่มีดีอะไรมากนัก เฒ่าพัว–เตี่ยของหล่อนก็เป็นเพียงเจ้าของร้านตัดเสื้อจน ๆ ร้านหนึ่งที่นอกประตูเมืองทิศใต้ แต่ว่าตัวของเจ้าหล่อนคนนี้ซิยาก เพราะโดยอัธยาศัยนางเป็นคนขยัน ซ้ำยังฉลาดเฉลียวมีไหวพริบทันผู้ทันคนอยู่ นางมีความสามารถในการขับร้องและดีดพิณอย่างชำนิชำนาญ นางเล่นได้ทั้งลูกเต๋าและหมากรุก บรรดาบทเพลงที่มี ๆ นางก็อาจทำเพลงเหล่านั้นได้นับเป็นร้อยๆ บท ว่าถึงคุณสมบัติความเป็นแม่บ้านแม่เรือนเล่า นางก็มีอยู่ครบถ้วน นางเคยได้ศึกษาวิชาขับร้องและดีดพิณมาแต่ครั้งยังอยู่บ้านใหญ่ของท่านเห่งเจียวซวง. ซึ่งพ่อหลานก็น่าจะรู้จักท่านเศรษฐีเฒ่าผู้นี้ดีว่าแกมั่งคั่งร่ำรวยแค่ไหน ท่านเจ้าสัวคนนี้แหละที่ได้เลี้ยงดูนางมาแต่น้อย และพึ่งจะได้คืนใบกรมธรรม์ปลดปล่อยนางให้พ้นจากความเป็นทาสเมื่อเร็ว ๆ นี้ สิซ้ำยังแถมจัดการแต่งงานให้นางเป็นฝั่งเป็นฝากับบู๋ตั้ว, พ่อค้าซาลาเปาคนเตี้ยผู้นั้นอีกด้วย. ปกตินางไม่เคยออกไปไหนมาไหนนอกบ้าน ขลุกอยู่แต่ในเรือนวันทั้งวัน แต่ป้านี้สนิทสนมกับนางเป็นอย่างดีอยู่ นางเคยมาขอคำแนะนำและรับคำตักเตือนเล็กๆ น้อยๆ จากป้าเสมอ นางเรียกป้าเป็นเสมือน ‘แม่เลี้ยง’ ของนางตลอดมา–นี่เรื่องของเรื่องเป็นเช่นนี้ ถ้าท่านคิดจะดำเนินการเรื่องนี้จริงๆ จังๆ ละก็ต้องรับฟังคำแนะนำของป้าบ้าง คือข้อแรกรีบไปซื้อผ้าไหมอย่างหยาบ ๆ สีน้ำเงินแก่กับสีขาวมาให้ป้าอย่างละพับ แล้วโดยเฉพาะผ้าแพรขาว ต้องเลือกเอาที่อย่างดีมาพับหนึ่งต่างหาก กับหานุ่นอย่างดีมาอีกสักประมาณสิบตำลึง ไปเอามาให้ป้า แล้วป้าจะได้เอาไปให้นางดู เพื่อจะทำเป็นว่าไปขอค้นปฏิทินหาวันฤกษ์งามยามดี จะได้ไปจ้างช่างเขาตัดเสื้อให้ป้า หากปะเหมาะนางเกิดใจดีขึ้นมารับเย็บให้ป้า การก็จะเป็นอันว่าแผนการของเราสำเร็จไปขั้นหนึ่ง แต่ถ้านางไม่รับเย็บเสื้อให้อย่างกะไว้ ก็เป็นอันว่าแผนการอันนี้ล้มเหลว หากนางรับ–นั่นก็หมายถึงว่า ท่านลุล่วงสำเร็จในแผนการอันนี้ไปแล้วหนึ่งส่วนในสิบส่วน ขั้นต่อไปป้าจะทำทีขอร้องให้นางมาช่วยเย็บเสื้อตามที่นางรับปากที่ร้านน้ำชานี้ ถ้านางยอมก็เป็นอันว่าสำเร็จไปอีกเปลาะหนึ่งเป็นสองส่วนในสิบส่วน. ทีนี้ขั้นที่สาม ก็จะถึงคราวป้าจะจัดเลี้ยงสุราอาหารแก่นาง หากนางปฏิเสธไม่ยอมกินและขอตัวกลับบ้าน แผนที่ป้าว่ามานี้ก็เหลวหมดใช้การไม่ได้ แต่ถ้าตรงข้ามนางยินยอม ก็เป็นอันว่าเราชนะแล้วสามในสิบ––
“ส่วนท่านนั้น ก็พยายามทำใจอย่าให้วู่วามไปนัก อย่าพึ่งใจร้อนด่วนปึงปังพรวดพราดเข้าไปในร้านขณะวันแรก ๆ ที่นางมา เดี๋ยวดีไม่ดี ‘หมูตื่น’ เสียก่อน การของท่านก็จะเสียไป จงพยายามอดทนเอาไว้ต่อสามหรือสี่วันล่วงมา ประมาณเพลาล่วงบ่าย ท่านก็แต่งเนื้อแต่งตัวให้เข้าท่าเข้าทางมา ทว่าก่อนที่จะผลีผลามเข้าไปหาป้าละก็กระแอมกระไอให้ป้าได้ทันรู้เนื้อรู้ตัวเสียก่อนจะดีกว่า ทำทีเสียว่าหลานท่านไม่ได้แวะมาเยี่ยมป้าหลายวันแล้ว วันนี้เกิดนึกกระหายอยากจะดื่มน้ำชาฝีมือป้าขึ้นมา จึงแวะมาเยี่ยม แล้วป้าก็จะเชื้อเชิญท่านเข้าไปข้างใน ตอนนี้หากนางเกิดกระดากท่านเพราะเห็นแปลกหน้า ลุกผลุนผลันกลับบ้านไปเสีย และป้าหรือก็สุดปัญญาจะพูดจาเหนี่ยวรั้งนางไว้ได้อีกแล้ว การอันเราวาดไว้ถึงแค่นี้ก็ต้องเหลวลงด้วยประการทั้งปวง แต่ถ้าเหตุการณ์กลับโอละพ่อ ก็จะเป็นทีของเรา คือหมายถึงว่านางไม่กลับบ้านคงนั่งเฉยเป็นปกติดั่งเดิมอยู่ ซึ่งในรูปการเช่นนี้ ก็แสดงว่าอุบายของเราสัมฤทธิ์ผลเข้าไปแล้วถึงสี่ส่วนในสิบส่วน
“ก้าวต่อไป ป้าจะได้จัดการแนะนำให้นางรู้จักกับหลานท่าน ในฐานะผู้มีพระคุณต่อป้าที่กรุณาให้ผ้าผ่อนแพรพรรณเหล่านี้มา แล้วป้าก็จะยกย่องสรรเสริญอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับความดีเด่นของท่านไปตามเรื่อง ข้างท่านก็เหมือนกันระหว่างที่ป้าสาละวนทำทีวุ่นวายอยู่นั้น อย่าได้ทำนั่งเบื้อหุบปากนิ่งเฉยเสีย ควรจะได้พูดเล่นเจรจาอะไรต่ออะไรบ้าง ในทำนองชมเชยฝีไม้ลายมือเย็บเสื้อเย็บผ้าที่หล่อนทำอย่าให้ขาดปาก และถ้าแม่หญิงคนอันท่านผูกใจต่อคนนี้ เกิดขรึมไม่ต่อปากต่อคำด้วยท่าน อุบายอันนี้ของเราก็เห็นทีจะไม่สำเร็จสมคะเน แต่ถ้านางเกิดพูดเล่นเจรจาต่อปากต่อคำกับท่านขึ้นมา ก็พึงรู้เถิดว่าผลสำเร็จเป็นของเราแล้วครึ่งตัว ก้าวต่อไปป้าก็จะทำเป็นมีความรู้สึกปีติปราโมทย์ ค่าที่เป็นโอกาสอันดียิ่งซึ่งหาได้ยากในการบังเอิญคราวนี้ ที่ทั้งท่านผู้มีอุปการคุณหรือก็มาเยี่ยมจนถึงร้าน และด้วยซ้ำแม่หญิงอันเป็นคนช่วยเย็บช่วยทำให้ก็อยู่ต่อหน้ากันพร้อม ข้าพเจ้าก็จะทำเป็นประจบประแจงท่านไปตามธรรมเนียม และจัดการแนะนำให้ท่านได้สนทนารู้จักมักคุ้นกับนางไว้สืบไป ท่านก็มีหน้าที่จะจัดแต่งโต๊ะอาหารมาเลี้ยงรับรองเพื่อฉลองโอกาสอันดีนี้ พอป้าเปิดช่องมาถึงแค่นี้ ท่านก็ต้องรีบควักเงินควักทองออกให้ป้าเพื่อไปจัดหาสุราอาหารมาแต่งโต๊ะกินเลี้ยงกัน เมื่ออุบายของเราดำเนินมาถึงแค่นี้แล้ว สิอยู่ๆ นางเกิดผลุนผลันลุกขึ้นกลับไปบ้านเสียดื้อ ๆ อุบายทั้งหลายแหล่ก็ต้องเป็นอันล้มเหลวลงสิ้นเชิงอีก แต่ถ้านางคงนั่งเฉยไม่แสดงกิริยาบ่ายเบี่ยง แลหรือปฏิเสธทักท้วงอย่างใด ก็เป็นอันแน่ใจได้ว่า แผนของเราร่วมหัวงานเข้ามาแล้วหกในสิบ
“ฝ่ายข้างป้า พอรับเงินรับทองจากท่านแล้ว ก็จะทำทีขอตัวท่านและนางออกไปจ่ายกับข้าวที่ตลาด ทีนี้ป้าก็จะได้ทิ้งไพ่ใบสำคัญ คือขอร้องให้นางช่วยนั่งอยู่สนทนาเป็นเพื่อนกับท่านพลางก่อนระหว่างป้าไปตลาดนี้ แล้วก็อีตอนไพ่ใบสำคัญนี้อีกเหมือนกัน หากนางเกิดไม่ยอมขึ้นมาก็จบกัน เป็นอันว่าหมดหวัง แต่ถ้านางไม่ทำดังกล่าว เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอันดำเนินถูกต้องตามแผนของเรา และนี่หมายถึงชัยชนะของท่านได้เข้ามาอยู่ในมือแล้วค่อนตัว เมื่อป้าจัดซื้อหาสุราอาหารเรียบร้อยดีแล้วก็จะกลับมาหุงต้มจัดแจงแต่งโต๊ะเลี้ยงรับรองท่าน แลในการนี้เราก็จะได้เชิญนางให้เข้าร่วมโต๊ะเสียด้วย และถ้าเราคาดการณ์ไปข้างร้าย โดยตีเสียว่าเผื่อนางปฏิเสธไม่ยอมเข้านั่งโต๊ะและขอตัวกลับบ้าน การณ์ก็ต้องเป็นอันล้มเหลวอีก แต่ถ้านางไม่ปฏิเสธยอมรับคำเชิญของเราโดยดี แปดส่วนในสิบส่วนสำหรับความสำเร็จเป็นของท่านแล้วอย่างสมบูรณ์ ข้างเราก็จะทำเป็นนั่งกินเหล้ากินกับกันไปเรื่อย ๆ คะเนว่าท่าทางหล่อนชักจะ ‘เข้าติด’ ได้แล้ว ฟังสุ้มเสียงนางดูให้ดี เห็นทีท่าชักจะห้าวหาญขึ้นมาพอการแล้ว ป้าก็จะทำขอตัวออกไปหาซื้อเหล้ามาเติมอีก แล้วป้าก็จะออกมาจากร้าน ทว่าอย่างไรก็ตาม ท่านต้องไม่ลืมควักกระเป๋าจ่ายค่าเหล้าคราวนี้ให้แก่ป้าอีกตามธรรมเนียม พอป้าออกมาจากห้องแล้ว ป้าก็จะปิดประตูใส่ดาลข้างนอกเสีย ทิ้งให้ท่านไว้แต่ลำพังสองต่อสองกับนางข้างในห้อง แลระยะนี้แลเป็นระยะสำคัญ เพราะหากท่านทำเอะอะมูมมามเป็นที่ไม่พออกพอใจนางเข้า นางก็จะเอ็ดตะโรโวยวายขึ้นมา เรื่องก็เป็นอันว่าต้องจบไปไม่ตลอด แลจำต้องหยุดชะงักลงแค่นี้. แต่ถ้านางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และไม่พูดจาขัดขืนอย่างใดในเวลาป้าออกจากห้องดังกล่าว ก็เห็นทีว่าชัยชนะจะเป็นของท่านในชั่วแค่มือเอื้อมแล้ว เพราะไหนๆ สิบส่วนก็เป็นของเราอย่างเห็น ๆ เสียเก้าส่วนแล้วมิใช่หรือ? แต่อีกหนึ่งส่วนอันเป็นส่วนสุดท้าย ที่จะเป็นผลสำเร็จอันแท้จริงนี้ซิ ตั้วกัวยิ้งท่านต้องหาวิธีคิดอ่านดำเนินการให้แนบเนียนและรัดกุมเหมาะเจาะเอาเอง เรื่องของเรื่องก็จะลงเอยอย่างมีความสุขสมหวังดังใจปรารถนาท่าน ว่าแต่ว่าเมื่อไหนๆ จะจบเรื่องก็ฟังป้าเสียหน่อย––ขอท่านอย่าได้ด่วนทำอะไรให้ผลีผลามวู่วามเร็วด่วนลงไปนัก ก่อนแต่จักทำอะไรคิดดูเสียให้รอบคอบก่อน ในระหว่างเวลาที่ป้าทิ้งให้ท่านอยู่ด้วยกันสองต่อสองนั้น คงนานพอถมไป พยายามพูดจาหว่านล้อมให้ไพเราะละมุนละไมหู ยิ่งปากว่ามือถึงได้ด้วยก็ยิ่งดี เชื่อป้าเถอะแล้วจะดีเอง เรื่องคงจะลงเอยเอาจนได้ในที่สุด ว่าแต่ว่าท่านต้องพิจารณาตัดสินใจให้ได้จังหวะอันดีก็แล้วกัน และถ้าจะให้ดีละก็ ป้าคิดว่าทำอย่างนี้จะดีกว่า คือหลานท่านทำเป็นทีว่าบังเอิญปัดเอาตะเกียบบนโต๊ะตกลงไปที่พื้นก็แล้วกัน ทีนี้ท่านก็แสร้งทำเป็นก้มลงจะเก็บตะเกียบ อีตอนเก็บตะเกียบใต้โต๊ะนี้แหละ ท่านจะมัวทำเซ่ออยู่ทำไม ลูบเท้าลูบน่องนางไปตามประสา แต่ว่าถ้านางเกิดส่งเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมาละก็จบกันแน่ ๆ แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะป้าจะคอยฟังอยู่ เห็นท่าไม่ดีทีจะเสียก็จะผลุนผลันเข้าไปขัดจังหวะเอาไว้ไม่ให้ถึงตาจนได้ ตอนหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ต้องพิจารณาหาทางออกให้ดีว่าจะออกอีท่าไหน จะเลิกล้มหรือว่าจะก้าวต่อไป แต่ถ้านางโอนอ่อนผ่อนตามอัธยาศัยท่านแต่โดยดีไม่เอะอะโวยวายอย่างคาดไว้แล้ว การเป็นอันไม่มีปัญหา ความสำเร็จเป็นของท่านสมดั่งปรารถนาลงด้วยดีแล้วทุกประการ หากจะมีที่ไม่ดีในความสำเร็จครั้งนี้ ก็อยู่ที่ว่าท่านจะสมนาคุณให้ป้าสักเท่าไหร่ มากหรือน้อยเท่านั้นเอง.”
เมื่อไซหมึ่งเข่งนั่งฟังแผนการของยายเห่ง–แม่สื่อเอกแกกำหนดลู่ทางทั้งทีหนีทีไล่เสร็จสิ้นกระบวนความลงแล้ว เขาก็อดเสียมิได้ที่จะเอ่ยชมสติปัญญาในเชิงนี้ของแกว่า “ป้านี่สติปัญญาหลักแหลมเหลือเกินให้ตายซิ! สมแล้วที่ใครต่อใครเขาพากันสรรเสริญป้าว่า เก่งเหมือนกับมาจากสำนักเซียนผู้เหยียบเมฆ (Hall of those who float on clouds!).”
“ยังงั้นเทียวรึ แต่ว่าช่างเถอะ ใครเขาจะยกย่องสรรเสริญป้าอย่างไรก็ตาม ท่านอย่าได้ลืมเงินสิบตำลึงที่สัญญากับป้าไว้ก็แล้วกัน.”
“เถอะน่าป้าก็ อย่าเป็นห่วงไปเลยเรื่องเงินสัญญาที่ว่านั้น แต่ว่าอุบายของป้าที่บอกมานี้ จะเริ่มลงมือกันเมื่อไร?”
“เอากันเสียเดี๋ยวนี้เป็นไง โอกาสกำลังดี เจ้าผัวเตี้ยของนางกำลังไม่อยู่บ้าน เดี๋ยวป้าจะแสร้งทำไปขอยืมปฏิทินและลองหยั่งเสียงนางดู ท่านรีบไปหาผ้าหาแพรอย่างที่ว่ามาให้ป้าโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้ก็แล้วกัน ค่ำ ๆ ค่อยมาฟังข่าว.”
“ดีละงั้น, ฉันไปก่อน ป้าใจเย็น ๆ ไว้เถอะ เชื่อฉันสิ คนอย่างฉันพูดคำไหนเป็นคำนั้น!” ไซหมึ่งย้ำคำสัญญาของเขาเป็นที่แน่นแฟ้นแก่หญิงชรา แล้วก็ออกจากร้านน้ำชาไป.
แลในขากลับบ้านนี้เอง เจ้าสัวไซหมึ่งเข่งได้แวะซื้อผ้าและแพรตามที่แม่สื่อสั่งหอบเอากลับไปบ้านด้วย เป็นจำนวนสามพับพร้อมทั้งนุ่นอีกสิบตำลึง เมื่อไปถึงบ้านแล้ว เขาก็จัดการมอบหมายให้เด็กคนใช้นำเอามาให้แกที่ร้านน้ำชาทันที. เมื่อยายเห่งได้รับของตามต้องการแล้ว แกก็ให้รู้สึกดีอกดีใจมาก รีบแต่งเนื้อแต่งตัวกระวีกระวาดออกจากร้านทางประตูหลัง ไปยังบ้านนางบัวคำทันที.
“แหม หลานสาวของยาย หมู่นี้เงียบเชียบไม่เห็นแวะไปเยี่ยมยายที่ร้านบ้างเลยเทียวนะ!” หญิงชรามากเล่ห์เริ่มอารัมภบทของแกเป็นทีตัดพ้อเจ้าของบ้านขึ้นก่อน.
และเมื่อถ้อยทีถ้อยกระทำคารวะต่อกันและกันตามควรแก่มารยาทแล้ว ยายเห่งก็เอ่ยขึ้นถึงจุดประสงค์ของแกทันที.
“เออนี่, แม่คุณ ช่วยดูปฏิทินหาวันฤกษ์งามยามดีให้ยายสักหน่อยเถอะ อยากจะไปจ้างช่างเขาตัดเสื้อให้เสียที.”
“ยายจะเย็บเสื้ออะไรล่ะ?”
“เฮ้อ, ก็จะเสื้ออะไรเล่าหลานเอ๊ย ยายนะมันไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็มิรู้เลย ข้างเจ้าลูกชายของยายที่มีกะเขาอยู่คนเดียวรึ มันก็หายหัวสาบสูญไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างใด––”
“เอ้า, แล้วลูกชายของยายเขาหายไปไหนเสียเล่า?”
“โฮ่ย–เอานิยายอะไรกับมันไม่ได้ดอกแม่หญิง ยายน่ะรู้แต่ว่ามันร่วมเดินทางไปค้าขายกับพวกพ่อค้าต่างถิ่นเขาหมู่หนึ่ง ตั้งแต่มันไปแล้วไม่เคยเลยที่จะส่งข่าวส่งคราวมาให้ยายรู้ ยายรึก็กลุ้มใจ อ้ายจะไม่เป็นห่วงมันเสียก็กระไรอยู่.”
“แล้วเขาอายุอานามสักเท่าไรแล้วละ ลูกชายของยายน่ะ?”
“มิตกเข้าสิบเจ็ดแล้วรึปีนี้ คงจะได้.”
“ตั้งสิบหก-สิบเจ็ดปีแล้ว ทำไมยายไม่คิดแต่งงานแต่งการให้เสียเล่า ยายจะได้มีคนช่วยดูแลร้าน.”
“ที่หลานพูดก็จริง แต่ดูเอาเถิดยายมีเวลาว่างกับเขาเสียเมื่อไหร่ ทำงานวันทั้งวันแทบว่าหัวไม่วางหางไม่เว้นเช่นนี้ จะเอาเวลาว่างที่ไหนกันไปเที่ยวเดินหาลูกสะใภ้กับเขาได้ เอาเถอะไว้ให้มันกลับมาเสียก่อน ยายจะพูดจะจากับมันเสียที–เรื่องนี้. หมู่นี้เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ยายน่ะ หายอกหายใจให้มันขัดๆ ข้องๆ ยังไงก็บอกไม่ถูก ไอก็จัดเสียด้วย รู้สึกปวดยอกไปหมดทั้งตัว เหมือนกับถูกคนมาทุบมาตียังงั้นแหละ กว่าจะนอนหลับกับเขาได้แต่ละคืนน่ะหลานเอ๊ย มันแสนจะทรมานเสียเหลือเกินแล้ว ถ้าคงถึงเวลาของมันนะหลานนะ ยายถึงนึกอยากจะเย็บเสื้อเย็บผ้าใหม่กับเขาสักชุดเผื่อจะได้ไว้ห่อศพห่อผีกับเขาบ้าง พอดีมีผู้อุปการะของยายคนหนึ่งเกิดใจดีซื้อผ้าซื้อแพรมาให้ ข้างยายก็มัวแต่ติดธุระไม่ได้มีเวลาจะมานึกถึง ทิ้งค้างเติ่งไว้บนหิ้งมาตั้งปีกว่าได้แล้วกระมัง พึ่งจะนึกขึ้นมาได้นี่แหละ ถึงได้มาวานแม่หญิงช่วยดูปฏิทินให้หน่อย หาฤกษ์ผานาทีที่มันดีๆ จะได้ไปไหว้วานใครเขามีฝีมือตัดเย็บให้เสียที ลำพังยายน่ะไม่มีปัญญากับเขาดอก บอกตรงๆ เรื่องจะไปจ้างออนเขา เห็นว่าปีนี้เป็นปีอธิกมาสไม่ใช่หรือแม่หลาน เดือนมันคงมากหน่อยซินะ เห็นพอจะมีเวลาว่างนั่งตัด ๆ เย็บ ๆ ไปตามเรื่องกะเขาได้อยู่ดอก มีอยู่คราวหนึ่งยายเคยไปจ้างช่างเขาเย็บ จ้างไปจ้างมาเกิดไปเจอเอาช่างอย่างดีเข้า พาเอาผ้าเอาแพรของยายเชิดหายหัวไปเลย ยายละเคืองไม่หายแต่ไม่รู้จะไปด่าไปว่าได้อย่างไร ถึงจะให้มันเจ็บแสบสาแก่ใจ!”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าพอจะช่วยยายได้แค่ไหน ยายไม่รังเกียจฝีมือฉันก็อยากจะช่วยยายเหมือนกัน ถ้าหาเวลาว่างได้ฉันจะไปช่วยเย็บให้.”
“โอ อย่าวุ่นวายไปเลยแม่หญิง ช่วยสงเคราะห์ค้นหาวันดีคืนดีให้เท่านี้ก็เป็นพระคุณแก่ยายถมไปแล้ว มีหรือยายจะรังเกียจ ยิ่งถ้าแม่หญิงรับเป็นคนเย็บให้ด้วยก็ประเสริฐเท่านั้น ถึงจะตายคราวนี้ยายก็คงจะตายอย่างนอนตาหลับ ไม่น้อยหน้าชาวบ้านชาวช่องใครอื่นเขา จริงๆ นะยายเคยได้ยินเพื่อนบ้านเขาชมกันถึงฝีมือเย็บปักถักร้อยของแม่หญิงอยู่เหมือนกัน เห็นเขาว่าท่านมีฝีมือเป็นเยี่ยมนักมิใช่หรือ? แต่ว่ายายจะรบกวนหลานมากไปละกระมัง”
“โธ่–ยายพูดอะไรเช่นนี้นะ ไม่ได้รบกวนอะไรฉันมากมายนักดอก เอาเถอะฉันจะช่วยเย็บให้เอง เอ้านี่แน่ะปฏิทิน ยายไปเลือกดูของยายเองก็แล้วกัน จะให้ฉันตัดให้วันไหนก็มาบอก ฉันจะไปเย็บให้”
“เออ–เออ แม่คุณ–แม่มหาจำเริญ เอาเถอะรบกวนเสียอีกที ไหนๆ ก็รบกวนมามากแล้ว ท่านอย่าถ่อมตัวเลย ช่วยค้นวันฤกษ์ดีให้ยายด้วยก็แล้วกัน ขืนให้ปฏิทินยายมา ยายก็ต้องไปวานคนอื่นเขาอยู่ดีอีกนั่นแหละ ไหนๆ หลานก็ออกชำนาญทางหนังสือหนังหาอยู่แล้ว.”
“แหม–ยาย ฉันทิ้งเสียนานแล้วนะ เกรงจะเฝือไป” นางบัวคำกล่าวตอบหญิงชราอย่างสุภาพและถ่อมตัว.
“เอาเถอะไม่เป็นไร นึกว่าช่วยสงเคราะห์คนแก่ทีเถอะแม่คุณ” หญิงชราคนมากเล่ห์รีบคะยั้นคะยอยัดเยียดส่งปฏิทินให้เมียสาวของบู๋ตั้วช่วยดูฤกษ์ดูยามตัดเสื้อตัดผ้าให้ ซึ่งเจ้าก็รับเอามาพลิกๆ ดูด้วยความชำนาญ สักครู่ก็เงยหน้าบอกแก่แกว่า.
“วันพรุ่งนี้กับวันมะรืนไม่ดี เพราะเป็นวันอุบาทว์ ต้องวันมะเรื่องโน้นถึงจะดีเป็นวันธงชัย (Lucky day).”
ยายเห่งได้ฟังแล้วก็มิได้พูดว่ากระไร เป็นแต่รับเอาปฏิทินไปแขวนไว้ที่เดิม ต่อกลับมานั่งอย่างเก่าแล้วแกจึงกล่าวแก่นางว่า
“ขอบคุณหลานเหลือเกิน ยายเห็นจะไม่คอยละวันดีวันไม่ดี เพราะการที่แม่หญิงกรุณารับเป็นคนเย็บให้ยายนี้น่ะ นับเป็นวันฤกษ์ดีเสียยิ่งกว่าวันตามปูมปฏิทินนั่นเสียอีก เย็นวันพรุ่งนี้ลงมือก็แล้วกัน”
“ก็ได้” พัวกิมเน้ยรับปาก พลางกล่าวแก่หญิงชราสืบไปว่า “ปกติเท่าที่ฉันเห็น ๆ เขาทำกันมา แม้ว่าหาวันฤกษ์ดีหรือโอกาสดีไม่ได้ เขาก็มักนิยมเลือกเอาวันครึ้มฟ้าครึ้มฝนแทน เพราะถือว่าเป็นวันฤกษ์ร่มเย็นดีใช้ได้เหมือนกัน.”
“ถ้างั้นก็เป็นอันตกลง ไม่รู้ละถ้าหลานสาวรับรองเย็บเสื้อห่อผีให้ยายแน่ๆ แล้วละก็ วันไหนก็วันนั้นยายเอาทั้งสิ้น ไม่เลือกว่าจะเป็นวันอุบาทว์หรือวันโลกาวินาศก็ตาม”
แหละแล้วแม่สื่อเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็ปุโลปุเลรวบหัวรวบหางสรุปลงเอยเอาง่าย ๆ ว่า พรุ่งนี้ขอให้นางบัวคำเริ่มไปช่วยแกเย็บเสื้อให้ที่ร้านก็แล้วกัน.
ครั้นนางเมียรูปงามของบู๋ตั้วถามว่า ทำไมแกไม่เอามาให้นางเย็บที่บ้านเล่า ยายเห่งก็เบี่ยงบ่ายเป็นทีว่า แกไม่อยากรบกวนนางให้มากมายเกินแก่การไป และอีกประการก็คือแกไม่มีคนจะช่วยดูแลร้าน หากขืนให้แกทิ้งมาก็เจ๊งกันเท่านั้นเอง.
“อือ์ม, จริงอย่างยายพูด” บัวคำตกหลุมอุบายของหญิงชราสิ้นเชิง.
“เอาละงั้นเป็นอันตกลง พรุ่งนี้กินข้าวเช้าแล้ว ฉันจะไปหายายที่บ้าน.”
เย็นวันนั้นเอง ไซหมึ่งเข่งก็รับทราบจากปากคำของยายเห่งว่า แผนการอันกำหนดไว้นั้นเสร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว แลนับแต่วันพรุ่งนี้ไปอีกสองวัน ขอให้เขาอย่าได้มาปรากฏตัวที่ร้านน้ำชาก่อน ต่อบ่ายของวันที่สามนั้นแหละถึงค่อยมา การก็จะดำเนินไปตามแผน สมความตั้งใจที่เขาปรารถนาไว้ทุกประการ.
ครั้นเช้ารุ่งขึ้นวันต่อมา ฝ่ายว่านางบัวคำเมื่อปรนนิบัติวัตถากบู๋ตั้วผู้สามีเป็นที่เรียบร้อยตามกิจวัตรหน้าที่ของนางแล้ว เห็นว่าสามีออกจากบ้านไปเร่ขายซาลาเปาเช่นเคยแล้ว นางก็จัดแจงปิดประตูหน้าต่าง รีบเลาะลัดออกประตูเรือนตรงมายังร้านน้ำชาของยายเห่งตามที่รับสัญญาไว้ต่อแก. เมื่อยายแม่สื่อเห่งเห็นหน้าหญิงสาวคนอันแกวางอุบายชักชู้มาตามเพลานัดหมาย แกก็ดีใจนี่เป็นล้นพ้น รีบกุลีกุจอรินน้ำร้อนน้ำชา เลือกเอาแต่ที่ชงด้วยผงชาอย่างดีสีเขียวปั้ดมาเลี้ยงรับรองนาง ส้มสูกลูกไม้เล่าก็ยกออกมาตั้งดูเป็นที่เอาอกเอาใจยิ่งนักหนาอยู่. ส่วนข้างโฉมบัวคำนั้นเล่า เมื่อดื่มน้ำร้อนน้ำชาที่หญิงชราแกจัดมาเลี้ยงรับรองเป็นที่อิ่มหนำสำราญดีแล้ว นางก็เริ่มลงมือเย็บเสื้อเย็บผ้าให้อย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นที่ถูกอกถูกใจหญิงชรามาก แกเฝ้าแต่ยกย่องชมเชยนางอยู่มิได้ขาดปาก ทั้งนี้เพราะค่าที่แกเองหามีฝีมือในด้านงานเรือนประเภทเย็บปักถักร้อยนี้เหมือนกับหญิงอื่นเขาไม่ ทั้ง ๆ ที่อายุแกหรือก็ล่วงเลยจนเกือบจะเจ็ดสิบปีเข้านี่แล้ว แต่แกก็หาสนอกสนใจกับการพรรค์นี้ไม่ กระทั่งเที่ยงบัวคำจึงหยุดพักกินข้าวกินปลาเสียชั่วครู่ เสร็จแล้วจึงลงมือทำงานต่อ นางนั่งตัดและเย็บเสื้อให้ยายเห่งอยู่ทั้งวันจนกระทั่งเย็น จึงได้ลายายแม่สื่อเอกผู้นี้กลับบ้าน
พอดีประจวบกับบู๋ตั้วขายขนมเสร็จกลับมาเจอเข้าพอดี เขาสังเกตเห็นสีหน้านางเมียอิดโรยเหนื่อยอ่อนอยู่ จึงถามว่านางไปไหนมา? ภรรยาก็บอกแก่สามีตามตรงว่า นางไปช่วยเย็บเสื้อผ้าให้หญิงชราเจ้าของร้านน้ำชาเพื่อนบ้านมา แล้วนางก็เล่าให้สามีฟังสืบไปอีกถึงว่า ยายเห่งแกเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันที่ร้านเลยไม่ได้กลับบ้าน ข้างกระทาชายนายผัวผู้มีร่างอัปลักษณ์ได้ยินเมียบอกเช่นนั้นก็ว่าทำอย่างนี้ไม่ดี ทีหน้าทีหลังอย่ารบกวนยายเห่งแกเลย กลับมากินที่บ้านเราดีกว่า หรือถ้าให้ดี เผื่อจะอยู่กินอาหารกับแกละก็ นำเงินติดพกติดห่อไปให้แกบ้าง จะได้ไม่ทำความลำบากให้แกนัก เขาแนะนำภริยาสืบไปว่า ธรรมดาเป็นเพื่อนบ้านกันก็ควรจะได้มีน้ำใจดีต่อกัน และหากแกปฏิเสธไม่ยอมรับเงิน ทีหน้าทีหลังรับเอางานมาทำเสียที่บ้านก็แล้วกัน จะได้สะดวกด้วยกันทั้งสองฝ่าย นางพัวกิมเน้ยรับฟังคำตักเตือนของสามีอยู่ด้วยอาการอันสงบ
จึงเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อบัวคำไปช่วยเย็บเสื้อให้ยายเห่ง พอถึงเวลาเที่ยงได้เพลาอาหารกลางวัน เธอก็หยิบเงินออกส่งให้หญิงชราสามร้อยอีแปะ และบอกว่าให้แกเอาอัฐนี้ไปซื้อหาอะไรมากินกัน.
“เฮ้ ทำไมทำเช่นนั้นเล่าหลาน” ยายเห่งท้วงขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เรื่องอะไรกันอยู่ ๆ ท่านมาช่วยทำงานให้ยาย แล้วมิหนำยังจะมาออกเงินให้ยายไปซื้ออาหารมากินอีก ก็ผิดธรรมเนียมไปนะซิ หรือว่าอาหารบ้านยายไม่อร่อย ไม่ถูกปากหลานท่าน?”
“เปล่า ไม่ใช่เช่นนั้นดอกยาย พ่อเจ้าประคุณผัวคนบ๊อง ๆ ของฉันเขาสั่งมาให้ทำเช่นนี้ ฉันก็ต้องทำตาม เขากำชับมาว่า ถ้าเผื่อยายปฏิเสธไม่รับเงินจำนวนนี้เป็นค่าอาหารละก็ ให้ฉันรับเอาเสื้อผ้ายายไปเย็บเสียที่บ้าน เขาเกรงว่าฉันจะมารบกวนทำความลำบากให้แก่ยาย.”
“โถ–พ่อคุ้ณ ช่างพิถีพิถันอะไรเช่นนี้ คุณสามีของแม่หลานนั่น เอาละยายตกลง จะได้ถูกต้องตามความประสงค์ของหลาน” หญิงชราเห็นช่องทางได้อีกหนึ่งประตู ก็เลยรีบตกปากรับคำโดยเร็วทีเดียว เพราะหากขืนมัวเกี่ยงงอน รักษามรรยาทตามหน้าที่เจ้าของบ้านอยู่ รูปการก็จะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือไป.
เมื่อหญิงชรารับเงินสามร้อยอีแปะจากนางเรียบร้อยแล้ว แกก็เอาเหรียญเงินของแกเติมเข้าไปอีกสอง-สามเหรียญ ออกไปซื้อเหล้าซื้ออาหารอย่างดี ๆ มาทำกินกลางวันสำหรับมื้อนั้นด้วยกัน พอตกบ่ายนางบัวคำก็ลากลับ ยายเฒ่าเห่งพั้วก็เฝ้ายกบุญยอคุณอยู่นั่นแล้ว
ครั้นถึงบ่ายวันต่อมา อันเป็นวันครบกำหนดที่ยายเห่งนัดหมายเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งเอาไว้ ขณะที่นางบัวคำและหญิงชรากำลังสาละวนตัดเย็บเสื้อกันอยู่นั้น ก็มีคนมาส่งเสียงกระแอมกระไอลั่นอยู่ข้างนอกห้อง สักครู่ต่อมาก็มีเสียงผู้ชายร้องถามว่า
“ป้า–ป้าเห่ง! เป็นไงไป หมู่นี้ฉันไม่ได้มาเยี่ยมร้านเสียนาน กิจการเป็นอย่างไรบ้าง?”
หญิงชราเจ้าเล่ห์ทำตาเบิ่งโพลงอย่างสงสัย พลางแสร้งร้องถามออกมาแต่ข้างในห้องนั้นว่า “เอ๊ะ ใครละนั่น ที่อยู่ข้างนอกน่ะ?”
“อ้าว, ก็ฉันนะซิป้า” เป็นเสียงตอบเข้ามา.
ซึ่งบุคคลผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นก็คือ ไซหมึ่งเข่ง พ่อหนุ่มยอดเจ้าชู้คนนั้นนั่นเอง เขาเฝ้ารอคอยโอกาสนี้มาตลอดเวลาสามวัน ซึ่งดูนานราวกับสามปีก็ว่าได้ จึงพอถึงวันนัดไซหมึ่งก็มิได้ตั้งรออยู่อีกเลย รีบแน่วมาหายายเห่งที่ร้านทันที เขาพกถุงเงินพวงเบ้อเร้อมาด้วยตั้งห้าตำลึง มือก็ขยับกรุกกริก ๆ อยู่กับเจ้าพัดด้ามจิ้วลายทองฝีมือเสฉวนด้ามนั้นอยู่ไปมา.
ฝ่ายว่ายายเห่ง พอได้ยินเสียงขานก็ทำทีเป็นว่านึกออก รีบกระวีกระวาดเปิดประตูและกุลีกุจอเชื้อเชิญพ่อหนุ่มให้เข้ามานั่งลุกเสียข้างในห้องอย่างปรีดาปราโมทย์
“โอ ท่านตั้วกัวยิ้งนะเองแหละ เชิญซิ เชิญเข้ามาเสียในห้องเลย แหมกำลังนึกอยากจะพบท่านอยู่พอดีทีเดียว” ยายเห่งแสร้งใส่กลตามมารยาของแก พูดพลางประสานมือขึ้นแค่อกกระทำคารวะต่อท่านเศรษฐีหนุ่มด้วยอาการอันพินอบพิเทา ครั้นแล้วแกก็เจ้ากี้เจ้าการแนะนำนางบัวคำให้รู้จักฐานะชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าหนุ่ม
“แม่หญิงรู้จักกับท่านเจ้าสัวไว้เสียซิ ตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งอย่างไรเล่า ท่านผู้นี้แหละที่กรุณาซื้อผ้าซื้อแพรมาให้ยาย”
ไซหมึ่งเข่งนั้นเล่า นับแต่ย่างเท้าก้าวแรกเข้าในห้อง สองตาก็แทบจะว่ามิได้กระพริบ เฝ้าแต่จับจ้องมองตาเป็นมันวาวอยู่ที่เรือนร่างของหญิงคนอันตัวปฏิพัทธ์แต่วันแรกพบ เออหนอ แม่คุณแม่ช่างงามอะไรอย่างนี้ หน้าอิ่มนวลเอิบช่างผุดผ่องหน้าเชยชมเสียนี่กระไร มวยผมสีดำขลับที่เกล้ามุ่นเอาไว้ก็แลราวกับกลุ่มเมฆในฤดูวสันต์ ยิ่งวันนี้นางนุ่งถุงผ้าแพรสีผลท้อสดเข้าด้วยก็ยิ่งทำให้ดูงามจับตานัก ทว่า บัวคำหาได้มีอิริยาบถอันใดผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมไม่ เคยนั่งทำงานมาอย่างใด นางก็คงก้มหน้าก้มตาทำไปอย่างนั้น หากจะมีที่ขยับเขยื้อนอยู่หน่อย ก็ตอนนางผงกศีรษะขึ้นกระทำคำนับรับเคารพ ท่านเจ้าสัวหนุ่มคนอันมีเกียรติของหญิงชรา แต่อาการทั้งนี้ช่างตรงข้ามกับพ่อหนุ่มเสียนี่กระไร เพราะเขาโค้งคำนับสาวเจ้าเสียจนหลังแทบหัก พลางเอื้อนทักแก่นางขึ้นอย่างเพริศพริ้ง. บัวคำเจ้าจึงจำต้องละมือจากงานเสียชั่วขณะ หันมากล่าวตอบท่านไซหมึ่งด้วยคำหวานอันฟังเป็นที่ระรื่นหูอยู่เช่นกันว่า “สวัสดีท่าน ขอความสุขทั้งหมื่นประการจงเป็นของท่านเถิด!”
เมื่อยายเห่งเห็นเช่นนั้น แกก็ขยับเข้าหาจุดมุ่งหมายของแกทันที “เห็นไหมละท่าน ป้าพึ่งจะได้มีโอกาสเย็บเสื้อไว้ห่อผีกับเขาก็ครั้งนี้แหละ นี่ก็ดีแต่ได้แม่หนูบัวคำแกช่วยดอก ทิ้งผ้าค้างไว้ตั้งแต่ปีกลายที่ท่านซื้อมาให้นั่นแหละ ปีนี้เห็นจะพอมีเสื้อใหม่ใส่กับเขาบ้าง ท่านดูซิว่าฝีมือหลานสาวของป้าคนนี้เป็นอย่างไร จะสอยจะด้นจะเข้าตะเข็บอะไรต่ออะไรดูประณีตไปเสียทุกอย่าง ไม่มีที่จะติได้เลย ลองเข้ามาชมใกล้ๆ ซิถึงจะรู้.”
“อือ์ม, จริงของป้า ฝีมือนางวิเศษแท้” ไซหมึ่งกล่าวชมเชยอย่างสนใจ
บัวคำยิ้มพลางกล่าวแก่เจ้าหนุ่มอย่างขวยเขินว่า “อย่ายอข้าพเจ้าให้มากนักเลย” แล้วนางก็ก้มหน้าลงซ่อนความอุทธัจด้วยความเหนียมอายวิสัยสาว.
“ทำอย่างไรฉันถึงจะได้รู้จักมักคุ้นกับครอบครัวของแม่หญิงบ้างเล่าป้า?” ไซหมึ่งถามยายแม่สื่อเห่งขึ้นด้วยความกระตือรือร้นทีว่าไม่รู้อะไรเป็นอะไร.
“เอ พิลึกท่านนี้ ก็ถามนางเอาเองซิจำนางได้ก็” ยายเห่งตอบ.
“โธ่ ฉันจะไปถามแม่หญิงได้อย่างไรเล่า?” เจ้าหนุ่มทำเสียงออด.
“ถ้าเช่นนั้น ป้าจะช่วยติดต่อแนะนำให้เพื่อเอาบุญ ว่าแต่นี่แน่ะพ่อคุณ นั่งลุกเสียให้สบายเนื้อสบายตัวก่อนเถอะ ถึงค่อยพูดค่อยจากัน.” แล้วแกก็จัดการยกเก้าอี้มาตั้งรับรองให้ไซหมึ่งข้าง ๆ นางบัวคำ “นี่ท่านจำนางไม่ได้จริงๆ หรือ? ก็วันก่อนที่ท่านเดินผ่านมาชนเอาไม้ค้ำแผงกันสาดหน้าประตูบ้านของนางอย่างไรเล่า จำไม่ได้หรือ?”
“โอ ป้าหมายถึงวันที่ฉันถูกไม้ค้ำกันสาดหล่นโดนหัววันนั้นนะหรือ? จริงละฉันนึกออกแล้ว นั่นซิ ยังนึกอยู่เลยจนเดี๋ยวนี้ว่าอยากจะรู้จักนัก ใครหนอที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น!”
บัวคำได้ยินเจ้าหนุ่มทวนความหลัง ก็ยิ่งทำก้มหน้างุดลงไปอีก เอ่ยหมุบหมิบ ๆ ด้วยจริตงอนต่อเจ้าหนุ่มว่า “ข้าพเจ้าคิดไม่ถึงดอกว่า ท่านยังจะใส่ใจขุ่นเคืองในความสะเพร่าของข้าพเจ้าอยู่ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้.”
“เอ๊ะ, เรื่องอะไรกันแม่หญิง โปรดได้บอกให้ข้าพเจ้ารู้หน่อยเถิด ว่าที่ท่านพูดนี้หมายถึงเรื่องอะไรกัน?”
“อ้าว––” ยายเห่งซึ่งนั่งตะแคงหูเงี่ยฟังอยู่ เห็นได้ช่องก็กล่าวสวมรอยขึ้นทันควันว่า “ท่านไม่รู้จริงๆ หรือนี่ ว่าแม่หญิงผู้นี้เป็นภรรยาของบู๋ตั้ว เพื่อนบ้านหลังถัดไปของป้านี่เอง.”
“อนิจจา! ข้าพเจ้าขออภัยด้วยเถิดที่ไม่ทันได้แสดงความยินดีต่อท่านในคราวแรกที่พบกัน.” ไซหมึ่งบ่นอุบอิบอยู่ในลำคออย่างเสียใจในความขี้หลงขี้ลืมของตัว.
แล้วโอกาสนั้นเอง ยายเห่งแกก็หันหน้าไปถามนางบัวคำว่า นางยังเคยได้รู้จักมักจี่กับท่านสุภาพบุรุษผู้นี้อยู่หรือ? ซึ่งนางก็บอกแกว่านางมิเคยได้รู้จักมาก่อนเลย.
พอได้ยินดังนั้น ยาย “ปีศาจชรา” เห่งก็ฉวยโอกาสโฆษณาสรรพคุณเจ้าหนุ่มทันที “อ้าว ก็ท่านเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งอย่างไรเล่าแม่หญิง เศรษฐีทีเดียวนะรู้ไว้เถอะ ท่านเป็นเพื่อนคุ้นเคยกับผู้ว่าการตำบลนี้ พูดถึงกระบวนร่ำรวยกันละก็ยกไว้เสียเถอะ รวยเสียจนไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก แสนมหาดวงดาวบนท้องฟ้านับแล้วยังจะน้อยกว่าเงินทองที่ท่านมีเสียอีกกระมัง ร้านขายยาที่ตลาดใหญ่นั่นก็ร้านหนึ่ง ยุ้งฉางที่บ้านหรือก็เต็มไปหมด ทั้งข้าวเปลือกข้าวสารจนไม่รู้จะไปตักตวงกินอย่างใดหมด ของสิ่งไหนที่เป็นสีเหลืองแวววามบรรดามีในบ้านท่านละก็พึงรู้ไว้เถิด ของสิ่งนั้นเป็นทอง สิ่งไหนขาวสิ่งนั้นนับเถิดคือเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในบ้านนั้นล้วนแต่สรรพบรรดาของมีค่าหาราคามิได้ทั้งสิ้นแหละหลานเอ๊ย เต็มไปหมดทั้งงาช้าง นอแรด และของป่านานาชนิดที่หาได้ยาก ถึงแม่หญิงเจ้าบ้านของท่านก็เถอะ ใจดี๊–ใจดี ก็เป็นผู้ดีนี่หลาน นางเกิดในตระกูลโง้วอย่างไรเล่า เป็นลูกสาวของท่านโง้วผู้ว่าราชการภาคตะวันตกนั่นอย่างไร เฉลียวฉลาดเป็นยอดเลย สารพัดที่นางจะรอบรู้ ซึ่งยายก็รู้กะเขามาเท่านี้แหละ เพราะที่แม่นางจะได้มาตบแต่งอยู่กินออกหน้าออกตากับท่านตั้วกัวยิ้งได้นี้ ยายเองเป็นคนชักจูงใจให้เขาได้กัน เออว่าแต่ถามหน่อยเถอะ––” แล้วแกก็หันหน้าไปพูดกับไซหมึ่ง “ทำไมถึงได้หายหน้าหายตาไปเสียหลายวันเล่า ไม่เห็นโผล่หน้ามาร้านยายบ้างเลย เป็นอย่างไรไปหรือ?”
“ฉันหรือป้า ไม่ได้เป็นอะไรไปดอก มัวติดธุระยุ่งอยู่กับจัดการจัดงานหมั้นลูกสาวอยู่ เลยปลีกตัวมาไม่ได้เสียสอง-สามวัน”
แลทั้งคู่ต่างนั่งสนทนาพาทีอยู่ต่อกันสืบไป ฝ่ายยายแม่สื่อก็พยายามที่จะฟุ้งถึงแต่ความมั่งคั่งอันสุดจะคณานับของพ่อหนุ่ม กรอกหูนางบัวคำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นตลอดเวลาเหมือนกันสำหรับบัวคำ ที่คงก้มหน้าก้มตาเย็บเสื้อเย็บผ้าของนางไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อรูปการดำเนินมาถึงเพียงนี้ วิสัยชายชาติเจ้าชู้เสือผู้หญิงอย่างไซหมึ่งก็พอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขารู้สึกว่าเริ่มจะเป็นต่อเข้าไปแล้วหนึ่งส่วนในสิบส่วนตามแผนการที่คิดไว้ หากจะมีที่ไม่ทันแก่ความใจเร็วของเขาอยู่ ก็ตรงที่ยังมิอาจบุ่มบ่ามเข้าตะโบมโฉมแม่นางงามอันตัวปลงใจพิศวาสให้สาสมกับใจนึกเท่านั้นเอง ทว่าเมื่อมาคิดอีกทีถึงคำที่หญิงชราแกเตือนว่าให้อดเปรี้ยวไว้ค่อยกินหวาน เจ้าหนุ่มก็ค่อยสะกดอกสะกดใจยับยั้งความรู้สึกอันรุ่มร้อนไว้ได้ภายในอก ครั้นแล้วโอกาสอันกำหนดไว้ก็มาถึง นั่นคือเมื่อยายเห่งแกแนะนำขึ้นเป็นเชิงขอร้องให้ไซหมึ่งจัดแต่งโต๊ะมาเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติ–เกียรติในการแรกได้มารู้จักคุ้นเคยกับสุภาพสตรีอย่างบังเอิญเข้าครั้งนี้ ซึ่งไซหมึ่งก็ทีสำคัญอยู่ เขาแสร้งทำเป็นตกอกตกใจค่าที่ถูกกะเกณฑ์เอาโดยมิรู้ตัว ไม่ทันเตรียมเนื้อเตรียมตัวมาเพื่อจะจัดงานให้สมฐานะของแม่หญิง แต่เอาเถอะ อย่างไรก็ยังนับว่าโชคดีอยู่ เพราะแค่เงินสี่ซ้าห้าตำลึงที่พกติดได้มานี้คงพอจะช่วยกู้ขี้หน้าเขาไว้ได้บ้าง ว่าแล้วก็ควักเงินออกส่งให้ยายเห่งหนึ่งตำลึง ให้ไปจัดซื้อหาเลือกเอาแต่สุราอย่างดีและอาหารอย่างที่พิเศษมากินกัน.
ข้างบัวคำ เมื่อเห็นยายเห่งชักจะวุ่นวายไป นางก็ทำบุ้ยใบ้ทีว่าอย่าไปเอาเงินเอาทองของเขา “ใครก็ไม่รู้ อยู่ๆ จะให้เขามาเลี้ยง มันน่าเกลียด” แต่ที่ใจจริงของนางนั้นหาได้คิดอย่างกล่าวไม่ หากแต่ทำไปด้วยวิสัยจริตของสตรีเช่นนั้นเอง เพราะจนแล้วจนรอด นางก็ไม่แสดงทีท่าว่าไม่พอใจแลลุกหนีไปข้างไหน คงนั่งเย็บเสื้อผ้าง่วนอยู่ เมื่อหญิงชราเห็นเช่นนั้น ก็จัดแจงแต่งเนื้อแต่งตัวฉวยตะกร้าออกไปจ่ายตลาด ทว่าก่อนออกไปจากห้อง แกไม่ลืมที่จะหันมาขอร้องนางบัวคำว่าให้ช่วยอยู่นั่งเป็นเพื่อนสนทนากับท่านเจ้าสัวผู้มีพระคุณคนนี้ของแกหน่อย
“ยายไปประเดี๋ยวเดียวแหละหลาน ซื้อเหล้าซื้ออาหารแล้วก็จะรีบกลับ” แกบอก
“จะดีหรือยาย” บัวคำค้านหญิงชราอย่างอายๆ
ก็มีอย่างที่ไหน อยู่ๆ จะมาเกณฑ์ให้นั่งคุยกันสองต่อสองอยู่กับคนแปลกหน้า ด้วยซ้ำเป็นผู้ชายพายเรือและออกหนุ่มฟ้อสะโอดสะองเช่นนี้เล่า ดูทีท่ามันน่ากระไรอยู่ แต่แล้วนางก็มิว่าอะไร ยายเฒ่าเจ้าเล่ห์แกทันแก่เชิงอยู่ ก็เลยถือโอกาสลุกออกจากห้องไปเสียเฉย ๆ ทิ้งให้พ่อหนุ่ม-แม่สาวนั่งอยู่ด้วยกันแต่ลำพังภายในห้อง ทั้งคู่ต่างเงียบขรึมมิได้พูดได้จาอันใดต่อกัน จนกระทั่งยายเห่งกลับมาจากจ่ายตลาด แล้วสักครู่แกก็ยกสำรับกับข้าวขึ้นมาจากห้องครัว จัดแจงแต่งโต๊ะข้าวตั้งเหล้าเลี้ยงดูกันเป็นที่เรียบร้อย.
แลอาหารกลางวันมื้อนั้นปรากฏว่าแสนจะหรูหราและฟุ่มเฟือยเป็นยิ่งนัก สุราจีนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะหาซื้อได้ในท้องตลาดเช็งฮ้อ ห่านตอนตัวอ้วนชวนกิน เป็ดย่างเหลืองกรอบทอดเสียน้ำมันเยิ้ม เนื้อสันชุบแป้งทอดจานเบ้อเร่อส่งกลิ่นหอมฉุย แถมปลาจาระเม็ดเจี๋ยนสดๆ จากตลาดท้องน้ำ พร้อมทั้งผลหมากรากไม้อย่างดีนานาชนิดเท่าที่จะซื้อหามาได้ในฤดูกาลอีกมากมาย ซึ่งจัดว่าเป็นการเลี้ยงที่ออกหน้าออกตาเอาการอยู่สำหรับเหตุการณ์เฉพาะหน้า ทั้งด้วยเหตุการณ์และสถานที่ และทั้งนี้ท่านเจ้าสัวไซหมึ่งเข่งถือว่าเป็นการเลี้ยงเพื่อเกียรติสำหรับนางบัวคำ!
“มานั่งโต๊ะเสียเถอะหลาน วางเสื้อไว้เสียก่อน มานั่งตรงนี้มา เอ้า ดื่มเหล้ากับยายเสียหน่อย––” ยายเห่งแกคะยั้นคะยอร้องเชิญนางบัวคำให้เข้านั่งโต๊ะ
“อย่าเลยยาย ยายกินกันสองคนกับท่านตั้วกัวยิ้งเถิด ฉันยังไม่หิวดอก” บัวคำขอตัวอย่างสุภาพ.
“ฮื่อ ไม่เอาน่าแม่หญิง ทำอะไรอย่างนี้นะ มาเถอะมากินข้าวกินปลาเสียก่อน เดี๋ยวค่อยเย็บใหม่ เสียแรงท่านเจ้าสัวอุตส่าห์เป็นเจ้าภาพให้เกียรติยศแม่หญิงทั้งที มาเถอะ–มากินเสีย” ยายเห่งรบเร้าหนักขึ้น
โดยมิฟังอีร้าค่าอีรมใดสิ้น หญิงชราจัดการเลื่อนจานอาหารเทียบให้ตรงหน้านางบัวคำทันที เมื่อต่างลงมือกินอาหารร่วมกันอยู่นั้น หนุ่ม-สาวทั้งคู่ต่างก็ระมัดระวังจริตกิริยาแลสงวนท่าทีของกันและกันอยู่ ข้างผู้หญิงก็กินอย่างละเมียดละไม ข้างผู้ชายก็กินอยู่ช้าๆ กินไปกินมาพอเหล้าตกท้องเข้าไปได้สักคนละสอง-สามจอก จิตใจก็ชักค่อยกล้าวาจาก็ชักค่อยกร้าวขึ้นมา พอดียายเห่งขอตัวลุกไปเอาเหล้าที่ในครัว อยู่ทางนี้ไซหมึ่งก็เริ่มเปิดฉากสนทนาขึ้น ครั้งแรกก็ทำทีเป็นถามถึงอายุอานามของนางก่อน พอนางตอบว่า นางอายุได้ยี่สิบห้าปีเข้านี่แล้วเท่านั้น–ไซหมึ่งก็ชักมีเรื่องพูดเยอะขึ้นมาทีเดียว.
“โอ, ถ้าเช่นนั้นแม่หญิงท่านก็ปีเดียวกับภรรยาหลวงของข้าพเจ้านะซี นางเกิดปีมะโรง เออปีเดียวกันเสียด้วย นี่วันที่ ๒๕ เดือน ๘ ซึ่งจะถึงนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นวันแซยิดของนางอีกแล้ว.”
“อย่าให้เกียรติยศแก่ข้าพเจ้ามากมายถึงเพียงนี้เลย นำข้าพเจ้าไปเปรียบกับแม่หญิงภรรยาหลวงท่านนั้นมิคู่ควรกันดอก เหมือนฟ้าสูงและแผ่นดินต่ำมิคู่ควรกันขอเสียที” บัวคำรีบออกตัวอย่างถ่อม ๆ
ทันใดนั้นเอง ยายเห่งแกก็โผล่เข้ามาในห้อง พอดีได้ยินหางเสียงเข้าก็เลยฉวยโอกาสเสริมคุณภาพของหญิงสาวขึ้นทันทีว่า
“นั่นเห็นไหมละท่าน ป้าบอกแล้วว่าหลานสาวของป้าคนนี้ไม่ใช่เล่น ๆ เธอได้รับการศึกษาอบรมมาแล้วเป็นอย่างดีจะบอกให้ อย่าว่าแต่การเย็บปักถักร้อยนี่เลย การจะพูดจะจาหรือว่าการจะอ่านจะเขียนก็ชำนาญหาตัวจับได้ยากอยู่ โคลงสุภาษิตทั้งร้อยบทนั่นถามมาเถอะ แม่หญิงแกท่องได้เปรี้ยะไปเสียทุกบทไม่มีได้ผิดพลาดเลย ถึงเรื่องอื่น ๆ ก็เถอะ จะเอาอะไรเล่า ทอดสกาหรือว่าเล่นไพ่ จะเอาหมากรุกหรือนางก็เล่นเป็น ไม่เชื่อลองก็ยังได้นะ จะบอกให้รู้ไว้ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็น ‘แม่นายของบ้าน’ มาแล้วเหมือนกัน”
“ถูกของป้า ฉันเองเฝ้าค้นหามานานแล้วผู้หญิงที่มีคุณสมบัติพร้อมเช่นนี้” เจ้าสัวหนุ่มพลอยผสมโรงเออออยกย่องชมเชยหญิงสาวตามไปด้วยยายเห่ง
“เห็นหรือยังเล่า หน่อยจะว่าคนแก่เหลวไหล ลองบอกป้ามาทีซิว่า มีภรรยาท่านคนไหนบ้างที่มีคุณสมบัติอย่างแม่หญิงบัวคำคนนี้.”
“ฉันไม่เถียงป้าดอก จริงของป้า ฉันมันคนไม่มีโชค หาเมียดีกะเขาไม่ได้ อ้ายที่ได้มันก็ไม่ดี”
“แม่หญิงตัง (Chen) จะเป็นอย่างไรกัน พอจะเทียบกันได้ไหม เมียหลวงคนแรกของท่านที่ตายไปแล้วผู้นั้นกับแม่หญิงบัวคำคนนี้?”
“โอ, ตังนั่นหรืออย่าพูดเลย ถึงนางจะไม่ใช่ลูกเชื้อลูกตระกูล แต่ก็เฉลียวฉลาดมาก ฉันไว้ใจนางได้หมดทุกอย่างไม่ว่าการอะไรทั้งนั้น เสียดายฉันมันคนบุญน้อยป้า ตังเขาถึงอยู่กับฉันไม่ได้นาน นี่ก็สามปีได้แล้วกระมัง ตั้งแต่นางเสียชีวิตไป เชื่อไหมละถ้าตังยังอยู่ ฉันคงไม่ต้องคิดมีเมียใหม่อีกตั้งห้าคนหกคนอย่างนี้ดอก แต่ละคน ๆ น่ะป้าเอ๊ยล้วนแต่ไม่ได้ความทั้งเพ เลี้ยงไว้เปลืองข้าวสุกไปวัน ๆ ถึงเมียใหญ่ของฉันก็เถอะเจ็บออดๆ แอดๆ สอง-สามวันต้องไปหาหมอเสียที แย่ขืนเป็นยังงี้ฉันกลุ้มเต็มประดา วันหนึ่งๆ อยากแต่จะเที่ยวไปไหน ๆ ให้มันพ้นหูพ้นตารู้แล้วรู้รอดไปเสีย แต่ก็เอาอีกนั่นแหละ พอกลับเข้าบ้านทีไรเป็นได้เรื่องทุกที ไม่เรื่องหนึ่งก็เรื่องใดให้หัวเสียได้ทุกครั้งไป.”
“นี่แหละท่าน ว่าก็ว่าเถอะ อย่าหาว่าป้าเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะพูดกันตรงๆ เมีย ๆ ทุกคนที่ท่านมีอยู่เดี๋ยวนี้น่ะ ไม่ต้องเลือกว่าคนก่อนคนหลังกันละ ทุกคนหมดนั่นแหละ บอกจริงๆ หาคุณสมบัติเท่าขี้กระผีกริ้นของนางบัวคำคนนี้ของป้าไม่ได้ดอก.”
“จริงป้าฉันเชื่อ ทั้งคุณสมบัติทั้งรูปสมบัติด้วยทีเดียวแหละ” ไซหมึ่งสนับสนุนชมเชยให้อย่างสุดคารมเหมือนกัน
“เออไหนป้าได้ข่าวว่าท่านไปติดพันนังหนูน้อยอะไรอยู่ คนที่ถนนประจิมนั่น เรื่องราวไปถึงแค่ไหนแล้ว ไม่เห็นมาไหว้วานยายเลย?”
“อ๋อ, เตีย (Chang) นั่นหรือ–ไม่ไหวหรอกป้า ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ชั้นแต่จะร้องเพลงก็ไม่ได้ความ กระบิดกระบวนก็ที่หนึ่งเลยตั้งแต่พบกันหนเดียวนั้น ฉันเลิกไม่ไปอีก.”
“อ้าว แล้วแม่ลีเกียว คนที่เคยอยู่ซ่องยายลีเก่านั่นเล่า? แม่คนนี้ดูเหมือนท่านจะไปติดต่ออยู่ไม่กี่หนนักมิใช่หรือ?”
“ลีเกียวหรือ?” เดี๋ยวนี้ฉันรับเข้าไปอยู่ในบ้านแล้วละ เป็นเมียคนที่สองจ้ะป้า แต่ก็อ้ายอย่างว่าอีกแหละป้า การบ้านการเรือนไม่เป็นประสาเอาเลยสักอย่าง ฉันรึทีแรกคิดเหมือนกันว่าจะยกย่องขึ้นมาเป็นเมียใหญ่ แต่เห็นท่าทางไปไม่ไหว ก็เลยต้องรอไว้ก่อน.”
“แล้วโต๊ะยี่เล่า หายไปข้างไหนเสีย ได้ข่าวว่าเมียคนนี้ท่านโปรดนักหนามิใช่หรือ?”
“โอ โต๊ะยี–ป้าอย่าเอ่ยชื่อถึงนางเลย นางเป็นภรรยาคนที่สามของฉัน แต่ว่านางเพิ่งจะตายจากฉันไปไม่กี่วันมานี้เอง.”
“ตายจริง ยายไม่ยักรู้ โถน่าสงสาร เอาเถอะวันหน้าวันหลัง ป้าจะมองดูหาที่ถูกอกถูกใจท่านอาเสี่ยไว้ให้สักคน ว่าแต่ว่าท่านจะเอาหรือ?”
“โธ่, ป้าก็พูดเล่นไปได้ มีหรือไม่เอา ฉันเป็นตัวของฉันเองนะป้า ไม่มีใครมามีอำนาจเหนือฉันได้ดอก สิ้นบุญเตียกับแม่แกแล้ว ฉันก็ปกครองตัวของฉันมาเองตลอดเวลา.”
“เปล่าดอกน่ายายพูดล้อเล่นน่ะ ยายจะไปหาได้ที่ไหน?”
“ป้าละเป็นเสียอย่างนี้แหละ ทำไมถ้าป้าช่วยฉันจริง ๆ จะช่วยไม่ได้ ป้ามาพูดเช่นนี้ฉันก็ใจเสียหมด ชาตินี้เห็นจะหาเมียดีกับเขาไม่ได้แน่.”
“อ้าว ทำไมถึงจะเป็นเอามากไปเช่นนั้นเล่าท่าน–โอ๊ะเหล้าหมดแล้ว แหม ขอโทษอย่าหาว่าคนแก่บกพร่องเลย ทีแรกป้ากะไม่ถูก ไม่นึกว่าจะคุยกันถูกคอถึงเช่นนี้ คุยกันจนเหล้าหมดเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว เดี๋ยวขอเวลาป้าออกไปซื้อเหล้าสักกระปุกก่อน.”
และตามข้อตกลงที่วางแผนกันเอาไว้ ไซหมึ่งจำเป็นต้องควักเงินออกให้ยายเห่งแกอีก คราวนี้เขาควักเหรียญเงินส่งให้แกสี่เหรียญ แล้วกำชับว่าให้แกซื้อมาให้หมดทั้งสี่เหรียญนั้น เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องลำบากเทียวไปเทียวมาอีก.
ยายแม่สื่อชรารับเงินจากท่านเจ้าสัวแล้วแกก็กล่าวขอบคุณ พลางทำทีงก ๆ เงิ่น ๆ จะออกจากห้องไป ทว่ายังหาจะได้ออกไปในทันทีทันใดนั้นไม่–แกกวาดสายตาลอบชำเลืองดูทีท่าของนางบัวคำเสียก่อน จริงอยู่ ตลอดเวลาบัวคำเสมือนหนึ่งมิได้เอาใจใส่ในการสนทนาระหว่างหญิงชราแซ่เห่งกับตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่ง คงก้มหน้าก้มตาจิบสุราและกินอาหารไปตามประสา และอาศัยที่นางได้ดื่มสุราเข้าไปถึงสามจอก จึงแม้นางจะมิได้มีอากัปกิริยาอันใดผิดแปลก แต่อย่าลืมเสียว่า “กัญชามิใช่ดอกหญ้า สุรามิใช่น้ำ” สามจอกของรสเหล้า อย่างน้อยเลือดสาวก็ฉีดแผ่ซ่านอยู่ทั้งสองแก้ม ดูเปล่งปลั่งเป็นที่น่าชิดเชยอยู่ หากด้วยมารยาทของสตรีสาว บัวคำจึงจำต้องสงบสำรวมอิริยาบถเป็นทีระมัดระวังอยู่ ทว่าเราจะได้ฟังถึงพฤติการณ์ของนางสืบไป ในตอนข้างหน้าที่ว่าถึง “สวรรค์ในร้านน้ำชา.”
----------------------------