เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว

ลมร้อนคืนหลังสุดของเดือนกรกฎาคมอึดอัดและอบอ้าวอย่างบอกไม่ถูก ภายในมุ้งโปร่งผ้าเม็ดพริกไทยสีเขียวหยก ไซหมึ่งเข่งนอนหลับอย่างสุขารมณ์ไปนานแล้ว แต่บัวคำยังมิหลับ นางรู้สึกหนวกหูเสียงยุงที่ตอมหึ่งอยู่ในมุ้งจนอดรนทนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาส่องตะเกียงหา แต่นางจนอ่อนใจแล้วแทนที่จะพบยุงกลับกลายเป็นแมลงปอไปเสียฉิบ นางฉิวเต็มแก่ก็เลยจับลนไฟเสียเลย พอกระทบเปลวไฟเจ้าสัตว์เคราะห์ร้ายก็ดิ้นเป็นการใหญ่ เสียงตีปีกพึ่บพั่บ ๆ ดังลั่นไปหมดทั้งมุ้ง ซึ่งอาการที่แมลงปอเจ้ากรรมดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อให้พ้นความตายอยู่อย่างทุลักทุลีนี้ ได้ทำให้บัวคำฉุกคิดขึ้นมาถึงความในโคลงสังวาสบทหนึ่งที่ชื่อว่า “ย่ำไคลน้ำ” (The Walk through the Sedge) ซึ่งความหมายของโคลงบทนี้ ฟังแล้วสองแง่สามง่าม กำกวมหัวใจอยู่ ฤทธิ์รักแรงปรารถนาก็รบเร้าอารมณ์สาวขึ้นมาอย่างพลุ่งพลั่งในปัจจุบันทันด่วน แต่ครั้นเมื่อหันไปดูสามีเล่า เขาก็เอาแต่นอนกรนโครกครากๆ อยู่ นางขัดใจขึ้นมาก็เลยลุกขึ้นคร่อมกอดเอาร่างไว้เสียแน่น ทันใดนั้น ไซหมึ่งซึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่ก็พลันต้องตกใจตื่นขึ้นมา และค่าที่กำลังโมโหเพราะนอนยังไม่เต็มอิ่ม ไซหมึ่งก็โมโหขึ้นมา เขาตวาดเอากับภรรยาว่า เล่นอะไรก็ไม่รู้คนกำลังนอนสบาย ๆ แต่ก็ใช่ว่าบัวคำจะฟังเสียง นางกลับยิ่งกอดเขาเอา ๆ หนักเข้าไซหมึ่งอดรนทนไม่ไหว ก็ต้องลุกชันกายขึ้นมาดู แต่ที่ไหนได้เขากำลังตกอยู่ในอ้อมกอดอันกระชับรัดรึงของภรรยาเสียแล้ว ดังนั้นเขาก็เลยจำต้องโอนอ่อนผ่อนตามอัธยาศัยของนาง––

เสียงแมลงปอสะบัดปีก ยามเมื่อกระทบเปลวไฟดังพึ่บพั่บๆ ค่อยผ่อนลงและผ่อนลง จนกระทั่งเงียบเสียงสนิท ตาย–เจ้าแมลงเคราะห์ร้ายได้ขาดใจตายไปคาตะเกียงแล้ว! ไซหมึ่งซึ่งนอนหลับตาพริ้มฟังเสียงดิ้นของแมลงปอตัวนี้อยู่ ก็เกิดรู้สึกเหนื่อยอ่อนและหิวโหยโรยแรงแทบจะสิ้นใจตายตามแมลงปอตัวนั้นไปด้วยเช่นกัน.

เขาร้องเรียกให้ชุนบ๊วยรินเหล้ามาให้จอกหนึ่ง ชุนบ๊วยก็รีบเอามาให้ตามคำสั่งทันที นางตั้งเทียนไว้ที่ม้าเตี้ย ๆ ข้างหัวนอน เพื่อมิให้แสงสว่างส่องเข้าตาของไซหมึ่ง แล้วนางก็เข้าไปยืนประคองจอกสุราให้เขาดื่มทางเบื้องศีรษะ!

บัวคำเห็นเช่นนั้น ก็ค้อนสามีขึ้นว่า พิลึก ชั้นแต่จะกินเหล้าก็วิตถารพิสดารกว่าเขาอื่น ไม่เห็นเป็นเรื่องเป็นราวอะไรเลย! ก็เรื่องอะไรจะต้องเรียกเด็กเรียกเลิกให้เข้ามายุ่มย่ามด้วยเช่นนี้เล่า ไซหมึ่งก็พูดพลางหัวเราะพลางว่า เขาศึกษาวิธีกินเหล้าแบบนี้มาจากนางฮวยลีปัง และเขาเล่าแก่นางสืบไปว่า เวลาเขาจะกินเหล้าทีไร นางลีปังต้องคอยให้นางซิ่วชุนมารินเหล้าให้เขากินทุกทีไป และด้วยซ้ำเขายืนยันว่า ดื่มสุราแบบนี้ทวีรสชาติดีพิลึก บัวคำก็ตัดบทอย่างงอน ๆ ว่า ตามใจเถิดจะกินวิธีไหนก็ นางไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย ว่าแต่ว่านางอยากจะพูดกับเขาถึงเรื่องเมียของฮวยนี่สักหน่อย และนางได้ออกตัวเสียก่อนว่า ที่นางพูดทั้งนี้ใช่ว่าจะขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ก็หาไม่ หากแต่นางไม่สบายใจ เพราะด้วยเรื่องนางลีปังนี้ มีอย่างที่ไหน อุตส่าห์คอยพี่ท่านมาได้ตั้งนานสองนาน ดูรึอยู่ๆ ก็มาทำเช่นนี้ ควรดอกที่พี่จะต้องโกรธ แต่ว่าเวลาท่านโกรธมาข้าพเจ้านี่ซิเป็นคนต้องรับบาป ตกที่นั่งรองมือรองเท้าท่าน นางทวนความจำถึงเหตุการณ์เมื่อวันนั้น – วันที่เขาเตะนางตรงสนามหญ้าหน้าบ้านให้สามีฟัง นางรำพันสืบไปว่า “ถูกสามีเตะแล้วมิหนำซ้ำถูกตั้วเจ๊ว่าเอาอีก” นางเจ็บใจเหลือเกิน แล้วบัวคำก็เล่าเรื่องที่เกิดทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นกับนางดวงแขให้เขาฟัง.

เมื่อไซหมึ่งรู้ความสิ้นแล้ว เขาก็แถลงความจริงให้โง่วเจ๊ฟังว่า วันนั้นทุกคนเข้าใจเขาผิดหมดทั้งเพ เขาโมโหมาเรื่องอื่นมิใช่เรื่องในบ้าน แล้วเขาก็เล่าให้บัวคำนึงถึงเรื่องที่นางลีปังแต่งงานกับหมอเตกกัง เขาพูดว่า “ทีอย่างนี้ทำไมเจ้าพวกพี่ ๆ น้อง ๆ ของฮวยถึงได้ไม่เอาเรื่อง แต่พอกะเขาละก็ดูเจ้าพวกนี้จงเกลียดจงชังเสียจริง” แล้วที่ซ้ำร้ายนั้น เขาเล่าว่านางฮวยลีปังเกิดไปออกทุนออกรอนให้เจ้าหมอกางคนนั้น เปิดร้านขายยาแข่งกับเขานี่สิที่เคียดแค้นอยู่ ถึงได้โมโหนัก บัวคำก็ว่า “แล้วทำไมท่านถึงไม่ตัดสินใจรับเอานางมาเป็นภรรยาออกหน้าออกตาเสียแต่ทีแรกเล่า ข้าพเจ้ามิห้ามหวงหรือกีดกันเลย ซ้ำกลับช่วยส่งเสริมและสนับสนุนท่านเสียอีก ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านอย่าโทษใครเลย เพราะความที่ท่านหลงภรรยาหลวงของท่านนั้นเอง ใช่ใครที่ไหนเรื่องของเรื่อง ท่านถึงต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่คนเดียวเช่นนี้”

ไซหมึ่งฟังบัวคำลำดับเนื้อถ้อยกระทงความ ก็ชักพลอยสำนึกเห็นคล้ายตามไปข้างที่ว่า นางดวงแขนั้นเองที่เป็นมารขวางความสุขความก้าวหน้าของเขาไว้ เขาก็เลยเกิดความรู้สึกในด้านร้ายขึ้นต่อนางตั้วเจ๊ตั้งแต่บัดนั้น เขากล่าวแก่บัวคำว่า “ดีแล้ว” เราพึ่งนึกได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะไม่แยแสกับนางโง้ววัวยะอีก คอยดู!”

ก็พิจารณาเอาเถิด เพียงด้วยคำพูดสอง-สามประโยค ที่ผู้พูดกล่าวแฝงไว้ด้วยเล่ห์กระเท่ เจตนาจงใจจะยุให้รำตำให้รั่ว เพื่อให้เกิดความร้าวรานขึ้นต่อกัน ผลนั้นย่อมจะนำมาซึ่งความพินาศได้ในทุกโอกาส ทั้งนี้หากว่าผู้ฟังขาดเสียซึ่งสติเหนี่ยวรั้ง ไม่พินิจพิจารณาไตร่ตรองให้ถ่องแท้และรอบคอบ เพราะพฤติการณ์เช่นนี้มีอยู่เสมอทุกกาลสมัย แม้ในระหว่างกษัตริย์กับเสวกามาตย์ผู้ภักดี สามีกับภรรยา และหรือว่าพี่น้องที่คลานตามกันออกมา เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องเก่า เป็นพฤติการณ์ปรัมปรา – ใครก็ตามเมื่อลงได้ฝังใจผูกพยาบาทใครสักคนเข้าหนหนึ่งครั้งหนึ่งแล้ว คดีวิวาทและทำร้ายย่อมจักต้องตามมาในลำดับต่อไป ก็ไซหมึ่งเข่งผู้นี้ เขายังจะมีจิตใจมั่นคงสักแค่ไหน?

ไม่มีปัญหาที่ว่า อย่างไรเขาก็เริ่มเกิดความคลางแคลงในตัวนางดวงแข ภริยาหลวงผู้สัตย์ซื่อและแสนดีคนนั้นของเขาแล้ว ทั้งนี้เพียงด้วยคำส่อเสียดอันไร้สาระจากปากพล่อยของภริยาสาวคนที่ห้า ผู้เจ้าของนาม พัวกิมเน้ย นี้เอง!

และนับแต่นั้นมา ไซหมึ่งก็ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อภรรยาคนอันเป็นศรีสะใภ้ของตระกูล เขาพยายามหลีกเลี่ยงการอันจะต้องติดต่อเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับภรรยาคนนี้สิ้นเชิง ไม่พูดไม่จาเล่นหัวหรือปรึกษาหารือด้วยเหมือนเช่นเคย ชั้นแต่มองเขาก็ยังไม่ยอมมอง แลข้างนางวัวยะเนี้ยเล่า นอกเสียจากนางจะได้พำนักอยู่ ณ เรือนอันห่างไกลจากสามีแล้ว นางก็มิได้คิดที่จะสังเกตหรือใส่ใจในเขาด้วยประการทั้งปวง หากจะบังเอิญให้สามีมาประจันหน้ากับนางเข้า ดวงแขก็จะสู้ทำเป็นไม่เห็น แสร้งสาละวนอยู่กับงานกระจุกกระจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนางเฉพาะหน้าไปตามเรื่อง จึงด้วยประการฉะนี้ สามีและภรรยาคู่นี้ต่างได้สิ้นสายสัมพันธ์กันแล้วโดยปริยาย ทุกวันนี้หาความหมายแต่อย่างใดไม่ในระหว่างความเป็นคู่ผัวตัวเมียของเขาทั้งสอง!

แลในทางตรงกันข้าม พัวกิมเน้ยหล่อนกำลังมือขึ้น สถานการณ์ในบ้านได้เขยิบฐานะอันมั่นคงของนางขึ้นมาทุกขณะ นางให้รู้สึกเอมอิ่มกระหยิ่มใจต่อชัยชนะครั้งนี้ของนางเป็นยิ่งนัก การขั้นต่อไปของนางอยู่ที่ว่า เวลาอันปลอดโปร่งซึ่งนางจะทอดบ่วงสวาทให้ตั้ง เขยหนุ่มรูปงามผู้นั้นเท่านั้นเอง เพราะนับแต่ที่ได้เจอกันหนหนึ่งในวงไพ่เรือนตั้วเจ๊ครั้งนั้นแล้ว บัวคำก็เก็บเอาไปนั่งนึกนอนฝันถึงแต่ลูกเขยของสามีผู้นี้อยู่มิเว้นวาย เขาช่างเป็นชายหนุ่มที่แสนสุภาพและอ่อนโยนเสียนี่กระไร! สง่าก็สง่า–ด้วยซ้ำยังขยันขันแข็งเอาการเอางานเสียอีกด้วย เออ ก็แล้วเราจะทำไฉนเล่า ถึงจะได้เจ้าหนุ่มผู้นี้มาแนบให้หนำใจ.

นี้เป็นความรำพึงในอกของบัวคำ หญิงสาวผู้มิรู้จักอิ่มในรสสวาทนับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา

แต่อย่างไรก็ดี ระหว่างนี้บัวคำปลีกตัวไปไหนไม่ใคร่ได้ เพราะสามีก็คุมนางแจอยู่เหมือนกัน นางจึงจำต้องงำความสวาทนี้ไว้แต่ในใจ หากต่อเพลาใดสามีมิอยู่บ้าน นางก็จะส่งสาวใช้ให้ไปตามตั้งมาที่บ้าน นางจะชี้ชวนเขาสนทนาอย่างสนุกสนาน และหาสุราอาหารมาเลี้ยงดูเขาเป็นที่อิ่มหนำสำราญ บางทีก็จะเชิญชวนเขาเล่นหมากรุก ซึ่งดูเป็นที่สนิทสนมคุ้นเคยกันถึงขนาดอยู่.

ครั้นแล้วก็ถึงวันอันไซหมึ่งกำหนดให้จัดแต่งโต๊ะขึ้นเพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองขึ้นเรือนใหม่ วันนั้นทั้งวันแขกเหรื่อในเช็งฮ้อต่างพากันหลั่งไหลมาเยี่ยมคำนับท่านตั้วกัวยิ้งไม่ขาดสาย โต๊ะของขวัญล้นหลามไปด้วยของขวัญนานาชนิด ผู้คนในบ้านต่างได้รับของรางวัลคนละอย่างสองอย่างทุกถ้วนหน้า และบรรดาผู้คนที่มาทั้งนั้นต่างก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างถึงขนาด มิได้มีอันจะขาดตกบกพร่อง งานได้ดำเนินมาด้วยดี ตราบกระทั่งแขกคนสุดท้ายกลับ ซึ่งก็ล่วงเข้าเย็นโข ตัวท่านเจ้าภาพเองถึงกับอ่อนเพลียระเหี่ยใจ ไปด้วยการรับรองคราวนี้ เขาปลีกตัวหลบไปจีบเอาแรงเสียที่ข้างหลังบ้าน ปล่อยให้เป็นภาระการงานของพวกภริยาต่อไป

แต่พอเห็นท่านพ่อตาหลับดีแล้ว เขยหนุ่มก็รีบย่องมาหาพัวกิมเน้ยที่เรือนของนางทันที เขาแกล้งทำมาขอน้ำชาดื่ม ขณะนั้น บัวคำกำลังนอนดีดพิณแป๊เล่นอยู่ที่ระเบียงเรือน เมื่อเห็นตั้งมานางก็ชักสงสัย ถามเขาว่ามาทำไม ไม่อยู่ช่วยเขารับรองแขกเหรื่อที่งานเลี้ยงดอกหรือ? ตั้งก็ตีหน้าเซ่อบอกว่า เขาวุ่นอยู่กับงานคราวนี้เสียจนไม่มีเวลาว่างตั้งแต่เช้า หิวจนไส้แทบขาดแล้ว ถึงได้ซานมาขอน้ำชานางกิน บัวคำก็ซักอีกว่า แล้วตั้วกัวยิ้งเล่าไปอยู่เสียที่ไหน?

ตั้งก็บอกว่า นอนหลับอยู่ที่หลังบ้านนั่นแน่ะ! เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น ก็เรียกชุนบ๊วยให้ยกข้าวปลาอาหารออกมาเลี้ยงรับรองลูกเขยของสามี ขณะที่นั่งดูชายอันตัวใฝ่สวาทบริโภคอาหารอยู่ บัวคำนึกครึ้มก็กรายนิ้วลงบนพิณบรรเลงคลอ ดุจหนึ่งเพิ่มความสำราญในการกินอาหารมื้อนี้ให้เจ้าหนุ่มยิ่งขึ้น

เมื่อคนอันเป็นสามีของธิดาท่านเจ้าบ้าน ยินเพลงซึ่งบัวคำเล่น ก็ถามว่าโง่วเจ๊ท่านทำเพลงอะไรหรือ วานหน่อยเถิด โปรดช่วยขับคลอให้ข้าพเจ้าได้ฟังเป็นบุญหูกับเขาสักครั้ง บัวคำก็แสร้งถลึงตาปรามเขยหนุ่มว่า “เจ้าชักจะกำแหงมากไปเสียแล้ว เดี๋ยวจะไปฟ้องให้ตั้วกัวยิ้งมาเล่นงานเสียนี่” และสำทับด้วยหน้าตาขึงขังอีกว่า “ไม่กลัวรึ?”

ตั้งก็แกล้งทำเป็นลนลานรีบผลุนผลันลงจากเก้าอี้ คุกเข่าขอโทษโง่วเจ๊อย่างขบขันว่า “ขอโทษเถิดโจ๋วเจ๊ อย่าเอาผิดแก่ข้าพเจ้าเลย นึกว่าสงสารแก่สัตว์ผู้ยากคนนี้เถิด ต่อไปคราวหน้าคราวหลังข้าพเจ้าจะมิบังอาจกระทำเช่นนี้อีก”

พัวกิมเน้ยเห็นเช่นนั้น ก็ถลันลงประคองเขยหนุ่มรูปงานให้ลุกขึ้นยืนและยิ้มให้เขาอย่างรัญจวนใจ.

นับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา ความสนิทชิดเชื้อระหว่างเขยหนุ่ม-แม่ยายสาวผู้นี้ก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้ตั้งสามารถเข้านอกออกในเรือนนางบัวคำได้อย่างสนิทสนมและเป็นกันเองที่สุด บางครั้งเขาสามารถถึงขนาดนั่งพิงไหล่สนทนาหยอกเอินกับภรรยาท่านพ่อตาผู้นี้ได้อย่างเต็มที่ หรือบางทีก็ตบหลังหยอกล้อกันอย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งความสัมพันธ์ของหนุ่ม-สาวคู่นี้ได้ดำเนินมาอย่างเงียบ ๆ ภายใต้หลังคาเรือนของไซหมึ่งเข่ง ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นพ่อตาและสามีของบุคคลทั้งสอง.

ทั้งนี้หากเพียงแต่วัวยะเนี้ยจะได้ฉุกคิดขึ้นมาบ้างว่า พ่อลูกเขยหนุ่มคนเอาการเอางานนั้น เกิดทำตัวเป็นมนุษย์ “กินบนเรือน ขี้รดหลังคา” เสียแล้ว พฤติการณ์น่าบัดสีเช่นนี้ที่จะไม่เกิดขึ้น แต่เพราะค่าที่ทุกวันนี้ ดวงแขเล็งการไปเสียข้างว่า ลูกเขยของสามีนางผู้นี้เป็นคนดี ความหละหลวมเหลวแหลกในครัวเรือนจึงเกิดขึ้น.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ