- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
เสน่ห์นางสาวใช้
อยู่มาเช้าวันหนึ่ง ตรงกับวันแปดค่ำเดือนสิบสอง ไซหมึ่ง ตั้วกัวยิ้ง ได้รับเชิญให้ไปในงานฝังศพคนคุ้นเคยผู้หนึ่ง ร่วมด้วยเอ็งแปะเตี๊ยะ สหายสนิทคนนั้นของเขา แต่คอยอยู่จนสายเพื่อนเอ็งของเขาก็ยังไม่มา พอดีลีเม้งครูดนตรีแวะมาหา ไซหมึ่งเข่งก็เลยถือโอกาสให้ครูดนตรีผู้นี้ อยู่ช่วยร่วมวงซ้อมมโหรีด้วยบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ เพื่อนั่งฟังเล่นเป็นการฆ่าเวลาไปพลางก่อน ต่ออีกครู่ใหญ่ เอ็งจึงได้มาถึง นางมโหรีของตั้วกัวยิ้งทั้งสี่ก็ลุกขึ้นเพื่อจะปลีกตัวไป แต่ไซหมึ่งชิงเอ่ยปากห้ามไว้เสียก่อน.
เขาบอกแก่สาวใช้ทั้งสี่ว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องลุกหนีหน้าไปข้างไหนดอก เพราะท่านผู้นี้มิใช่อื่นไกล แท้คือเพื่อนสนิทของเขาเอง หนำซ้ำยังใช้ให้สาวเจ้าทั้งสี่มาโค้งให้เอ็งแปะเตี๊ยะเสียอีกด้วย.
ทั้งสี่ดรุณีงามต่างก็คลานกระต้วมกระเตี้ยมเข้ามาคำนับสหายของท่านเจ้าบ้านอย่างว่าง่าย เอ็งแปะเตี๊ยะก็โค้งรับคำนับบรรดาแม่สาวงามทั้งสี่เหล่านี้อย่างละมุนละไมเช่นกัน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เอ็งเฝ้าแต่พึมพำให้ศีลให้พรอยู่มิขาดปาก เขาอดเสียมิได้ที่จะรำพึงอย่างกึ่งอิจฉาอยู่ในอก ถึงความมีโชควาสนาของตั้วกัวยิ้งผู้เพื่อนร่วมน้ำสาบาน ที่ช่างโชคดีมีบุญเสียนี่กระไร หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว พ่อบ้านซึ่งมีสาวงามไว้ช่วงใช้ปรนนิบัติถึงสี่คนเช่นนี้ และแต่ละคน ๆ เล่า เจ้าก็ช่างงามเพริดพริ้งไปหมดนี่ทุกคน เสียใจตัวเรานัก! วันนี้ค่าที่กะทันหันมิทันได้มีอะไรติดไม้ติดมือมา เอาเถิด วันหน้าวันหลังเราจะหาฝุ่นหอมแป้งชาดตามมีตามได้มาให้เจ้า สาวงามทั้งสี่ต่างก็สรวลระริกระรี้อยู่ต่อกัน แล้วและถอยตัวออกไป.
เมื่อตั้วกัวยิ้งไซหมึ่งเข่ง กับเอ็งแปะเตี๊ยะกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็พากันออกจากบ้านไป แต่อย่างไรก็ตาม ท่านพ่อบ้านหาลืมที่จะสั่งเสียให้ทางบ้านจัดหาสุราอาหารมาเลี้ยงรับรองลีเม้ง พ่อครูดนตรีหนุ่มผู้นั้น ให้อิ่มหนำสำราญไม่.
และเมื่อท่านพ่อบ้านลับตัวไปแล้ว อยู่ทางนี้นางมโหรีโฉมงามทั้งสี่เจ้าก็รามือ ต่างแยกย้ายกันออกไปหาที่เล่นที่คุยกันตามประสาสาว คงเหลืออยู่แต่นางชุนบ๊วย ที่ขะมักเขม้นซ้อมพิณอยู่ในห้องดนตรีกับลีเม้งสองต่อสอง.
ข้างครูดนตรีลีเม้งคนมีฝีมือผู้นี้เล่า เมื่อกินเหล้ากินข้าวอิ่มหนำสำราญดีแล้ว อารมณ์เพื่อนก็ชักคึกคักกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ไหน ๆ ห้องนี้ก็มีลำพังเรากับแม่ลูกศิษย์สาวที่มองแล้วเร้าหัวใจนัก ทั้งโอกาสเล่าก็ปลอดโปร่งแสนจะอำนวยเสมือนหนึ่งเป็นใจให้.
แต่ก็ชั่วที่ลีเม้งขยับเขยื้อนเลื่อนกายเข้าชิดใกล้ หวังจะใคร่ชื่นชมนางชุนบ๊วยให้หนำใจนั้นเอง ต้นห้องสาวของโหงเจ๊เจ้าก็พรวดร่างและสะบัดฮึ่ดขึ้นมาทันที.
“อวดดีอย่างไรกันนี่ เจ้าถึงได้บังอาจมาถูกเนื้อต้องตัวเราเช่นนี้ ช่างไม่เจียมกะลาหัวเสียบ้างเลย” ด่าจบแล้วชุนบ๊วยก็ลุกขึ้นถ่มน้ำลายใส่หน้าให้ลีเม้ง พลางรวบชายผ้าและสะบัดแล่นพรึดหนีออกมาจากห้องดนตรีทันที.
ชุนบ๊วยวิ่งละล่ำละลักมาหาพัวกิมเน้ย แม่นายสาวของนางแล้ว และเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เมื่อพัวเจ๊รู้เรื่องเข้า นางก็กำชับชุนบ๊วยมิให้เอะอะอึกทึกไป นางบอกให้สาวใช้คนโปรดสงบสติอารมณ์ไว้ก่อน ตั้วกัวยิ้งกลับมาจึงค่อยรายงาน.
จึงเย็นวันเดียวกันนั้นเอง เมื่อไซหมึ่งเข่งกลับมาถึงบ้าน และได้รับรายงานเรื่องนี้ เขาก็เรียกไล่เซี้ยงยามประตูให้มาพบทันที และสั่งเป็นคำขาดว่า ต่อแต่นี้ไปห้ามมิให้ลีเม้งเข้ามาในบ้านนี้อีกเป็นอันขาด.
แลไซหมึ่ง แต่ลอบรักได้เสียกับนางเน้ยเข่งภรรยาของเจ้าไล่เห่งคนใช้ในบ้านครั้งนั้นแล้ว การก็เริดร้างแรมรามา ทั้งนี้เป็นเพราะว่านางเง็กเซียวคนเดินเหินติดต่อไม่ยอมทำหน้าที่แม่สื่อให้เช่นเคย เพราะนางกลัวโง่วเจ๊จะเล่นงานเอา ซึ่งก่อให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดและงุ่นง่านแก่ตั้วกัวยิ้งเป็นอย่างมาก.
กระทั่งอยู่มาเย็นวันหนึ่ง ไซหมึ่งอดรนทนไม่ไหว เขาก็เปิดปากโพล่งความทุกข์ใจประการนี้ให้นางเมียรักคนที่ห้าฟังว่า.
ขอให้นางช่วยจัดที่ทางในเรือนนี้ เพื่อให้เขาได้ร่วมหลับนอนกับนางเน้ยเข่งสักคืนหนึ่งเถอะ เขาทนไม่ไหวแล้ว ภรรยาได้ยินสามีพูดเช่นนี้ นางก็เหน็บแนมให้อย่างสาใจว่า ชั่งกระไรดูให้ร่านไปเสียทั้งตัว ทำไมเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ก็ไม่รู้ เมื่ออยากจะนอนกับนังคนใช้ขี้สถุลคนนี้จริงๆ แล้ว ก็เชิญเขาตามสบายเถิด นางไม่ขัดข้อง แต่ที่จะให้นางรับหน้าที่จัดหาห้องหับให้ด้วยนั้น นางทำให้ไม่ได้ แล้วบัวคำก็เสือกไสยัดเยียดให้สามีไปอ้อนวอนขอยืมห้องนางชุนบ๊วยดู “เผื่อชุนบ๊วยมันจะช่วยเหลือท่านได้บ้างละกระมัง?” บัวคำว่า.
ชะรอยไซหมึ่งจะสำนึกในการอันควรและไม่ควรขึ้นมาได้ เขาก็เลยเสตัดบทเสียว่า “เอาอย่างนี้ดีกว่าที่เรือนเจ้านี้ทีจะไม่เหมาะ ศาลากลางสวนนั้นเห็นจะดีแต่ว่าอากาศคืนนี้มันหนาวเหลือทนนัก อย่างไรละก็ช่วยจัดเตาผิงและผ้าห่มไปให้ด้วยก็แล้วกัน”
บัวคำอดนึกขำในคำพูดของสามีไม่ได้ ก็เลยหัวเราะขึ้นและพูดว่า เขาช่างทำตัวราวกับอ๋องในนิยายตอนจะไปพลอดกับเทพธิดากลางลำธารก็ปานกัน!
แต่อย่างไรก็ดี นางได้จัดการส่งเจ้าชิวเก็กให้ไปตระเตรียมที่ทางไว้ให้สามีที่ศาลากลางสวนตามความประสงค์ ขณะเดียวกันนางขลุ่ยหยกก็มีหน้าที่ส่งข่าวนัดหมายให้นางกลีบบัวรู้ตามบัญชาของท่านพ่อบ้านทุกประการ
ความมืดโรยตัวลงมาจากม่านฟ้า อากาศหนาวแผ่ซ่านปานจะเสียดเนื้อลงไปในกระดูก เพลาอันเป็นกำหนดนัดหมายใกล้เข้ามาทุกขณะ งานในหน้าที่ที่นางจะต้องปฏิบัติต่อหญิงอันเป็นแม่เรือนใหญ่ก็สิ้นเสร็จแล้ว เน้ยเข่งจึงมิได้รอช้า นางแสร้งทำเดินและเล็มอยู่แถวหน้าประตูสวนดอกไม้อยู่สักครู่ คะเนว่าไม่มีผู้ใดใครสังเกตเห็นแล้ว นางก็ผลุนผลันผลุบผลับหายลับเข้าประตูไป.
ขณะเดียวกันนั้นเอง ข้างชู้ชายท่านนายบ้านหัวหน้าครอบครัวใหญ่ ก็ให้กระวนกระวายใจอยู่เป็นอย่างยิ่ง ด้วยป่านฉะนี้แล้วไฉนเล่ากลีบบัวเจ้ายังมิเยือนมา ไซหมึ่งยืนถือเทียนจด ๆ จ้องๆ เฝ้ามองดูอยู่แต่ต้นทางมิวางตา ตราบกระทั่งหญิงอันเป็นทาสีในครัวเรือนปรากฏร่างขึ้นมาบนเรือนน้อย.
ในความหนาวที่ยะเยือกจับหัวใจปิ้มว่าจะลิดรอนชำแรกลงไปในกระดูก เน้ยเข่งพาร่างอันสั่นสะท้านของนางมาพบกับตั้วกัวยิ้ง ยังศาลากลางสวนตามกำหนดนัด และชั่วอึดใจแรกที่นางย่างเท้าเข้าสู่ศาลาอันเร้นเสียซึ่งความอึกทึก ณ ภายในสวนดอกไม้นี้เอง นางก็ประสบเข้ากับกลิ่นฉุนชวนสำลักอันคละคลุ้งและอับอ้าวจากแต่ฝุ่นผงที่กองสุมสลับซับซ้อนหนาเตอะภายในบริเวณห้องน้อยนั้น ทว่าอย่างไรก็ดี กลิ่นควันร่ำจากธูปกำยานหอมสองดอก ที่วับแวมอยู่ทางมุมหนึ่งของห้อง ผสมกับแสงมลังเมลืองริบหรี่ ๆ ของประทีปที่ตามอยู่ในห้องนั้น รวมทั้งประกายขวาลของถ่านสุกในเตาผิง ได้ช่วยปะทะปะทั้งให้บรรยากาศในเรือนน้อยหลังนี้คงมีความรื่นรมย์หลงเหลืออยู่บ้าง ทั้งหญิงและชายคนร้อนรักทั้งคู่ ต่างก็สอดส่ายเสาะหาความสุขอยู่ต่อกันไปตามประสา เท่าที่สภาพการจะอำนวยให้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรดีและมากเกินไปกว่าเก้าอี้ยาวตัวเดียวที่ตั้งทิ้งโดดเดี่ยวอยู่ในห้องนั้น ไซหมึ่งสลัดเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขาลงไปเหนือเก้าอี้นั้นทันที!
และในขณะที่ชายหญิงทั้งคู่ได้จงใจร่วมกันกอปรคนธรรพ์วิวาห์อยู่ข้างภายในเรือนน้อยนี้เอง จริงอยู่แรงแห่งเพลิงพิศวาสอันรุ่มร้อนย่อมทำให้เขาทั้งคู่ลืมตัวไปได้ชั่วขณะถึงความหนาวเหน็บ แต่ว่าอีกสิ่งที่คนอันพิศวาสยิ่งต่อกันคู่นี้ไม่เคยจะได้คิดไปถึงนั้นสิ กำลังบังเกิดขึ้นอยู่แล้วข้างภายนอก นั่นคือการจด ๆ จ้องๆ เยี่ยม ๆ มอง ๆ ของใครคนหนึ่ง ที่ดูช่างสนใจนักหนา ในพฤติการณ์ของเขาทั้งคู่ขณะนี้ ซึ่งจะให้เป็นคนใดใครอื่นที่ไหนเล่า? ถ้าผิดเสียจากนางบัวคำผู้นั้น!
เพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นปกติวิสัยของนางแต่ไหนแต่ไรมา บัวคำได้อุตส่าห์ลงทุนทรมานสังขารฝ่าความหนาวมาในท่ามกลางรัตติกาล เพื่อขอดูเหตุการณ์ในเรือนน้อยหลังนี้ให้ใกล้ชิด และนี่บัดนี้นางกำลังขะเย้อแขย่งอยู่ที่ช่องหน้าต่าง เฝ้าตะเกียกตะกายสอดส่ายหูตาอยู่อย่างระแวดระวัง โชคไม่ช่วยสายตานางอยู่หน่อยก็ตรงที่แสงโคมอันริบหรี่ มิอาจทำให้นางเห็นภาพอันที่กำลังเป็นไปภายในได้ถนัดนัก แต่จากเสียงที่ไม่อาจสะกดได้คือลมหายใจแรงและหนัก ระคนมากับเสียงหอบ ที่ฟังแล้วจับได้ถึงอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของเสียงว่า กำลังอยู่ในชั่วขณะที่กระเหี้ยนกระหือรือ ฯลฯ เหล่านี้ ย่อมมิอาจเร้นลอดไปเสียจากหูของผู้กำลังลอบฟังได้.
“น่าทุเรศเอาการอยู่นะตั้วกัวยิ้งท่าน––” เป็นเสียงนุ่มนวลระคนหอบของฝ่ายหญิงแว่วมาจากข้างในเรือน “- ดูหรือกว่าจะได้หลับได้นอนกันสักทีก็ต้องหลบต้องซ่อนทุลักทุลีถึงปานนี้! หนาวก็แสนหนาว! โสโครกรึก็ปานนั้น! ก็เดี๋ยวนี้ตั้วกัวยิ้งท่านสิ้นไร้ไม้ตอกเอาถึงเพียงนี้เจียวหรือนี่? ชั้นแต่จะหาห้องหับให้มันน่าสุขสบายกว่านี้สักหน่อยก็ไม่ได้? ก็นี่มันหนาวเสียจนแทบน้ำลายในปากจะแข็งเป็นก้อนอยู่แล้วรอมร่อ!”
แล้วก็แว่วตามหลังขึ้นมาอีกว่า “นอนไม่หลับแล้วละ หนาวเป็นบ้าพรรค์นี้ สู้ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีกว่า นี่ดูเท้าของข้าพเจ้าซิเล็กดีไหมล่ะ? เชื่อหรือไม่ตั้วกัวยิ้งท่านว่า ทั้งบ้านนี้อย่าได้ไปหารองเท้าของใครสักคนเลยที่ข้าพเจ้าจะสวมได้พอดี ก็แล้วท่านไม่คิดจะตัดรองเท้าใหม่ให้คนที่ท่านรักคนนี้สักคู่หรือ!”
“พุทโธ กะอีสมบัติรองเท้าแค่นี้––” เป็นเสียงพูดของฝ่ายชายซึ่งบัวคำจำได้ถนัดหู “-–เอาเถอะไว้พรุ่งนี้ เราจะหามาให้เจ้าครบหมดทุกสีเลย แต่ว่าเท้าของเจ้ายังจะเล็กกว่าโง่วเจ๊เธออยู่หรือ เราคิดว่าคงจะไม่เล็กไปกว่ากันละกระมัง?”
“บ้า! นี่ตั้วกัวยิ้ง ท่านไม่เชื่อข้าพเจ้าหรือนี่ ก็เรื่องไรท่านถึงจะต้องเอาเท้าข้าพเจ้าไปเปรียบกับนังพัวเจ๊คนนั้นด้วยเล่า! ข้าพเจ้าเคยได้ลองสวมรองเท้าของพัวเจ๊คนนั้นดูแล้วน่ะซิ ถึงได้รู้ว่าหลวม ที่ยังชั่วอยู่ก็ตรงที่ว่า รองเท้าของพัวเจ๊แต่ละคู่นั้นแกตัดเย็บประณีตหน่อยเท่านั้นเอง!”
ซึ่งการสนทนาประการอันพาดพิงถึงตัวเช่นนี้ ยังความกระหายให้เกิดขึ้นแก่คนผู้แอบฟังเป็นอย่างมาก บัวคำนึกในใจว่า ดีละจะเฝ้าคอยฟังให้มันถึงที่สุด ดูซิว่าอีผู้หญิงกากคนนี้มันจะว่าอะไรเราอีก!
และก็ได้ผลจริงอย่างที่นางคิด เพราะเน้ยเข่งหาได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยไม่ว่า บัดนี้ บุคคลที่สามอันนางเอ่ยอ้างถึงนั้นกำลังเงี่ยหูฟังอยู่แทบจะไม่หายใจเอาเลยก็ว่าได้ข้างภายนอก จึงด้วยแรงอิจฉา ภรรยาเจ้าไล่เห่งได้ฉะอ้อนชู้สืบไปอีกว่า
“ถามจริงๆ เถอะ โง่วเจ๊ของท่านตั้วกัวยิ้งท่านคนนี้น่ะ นางได้ผ่านฤดูชิวเทียนมากี่ฤดูแล้ว๑?” และยิ่งกว่านั้น นางเน้ยเข่งยังได้รุกรานนางพัวเจ๊ ด้วยคำถามอย่างสอดรู้สอดเห็นสืบไปอีกว่า “นางยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่หรือ เมื่อท่านได้แต่งงานอยู่กินกับนางนั้น?” ซึ่งไซหมึ่งก็ตอบโดยตามจริงว่า เมื่อเขาได้นางพัวกิมเน้ยมาเป็นภรรยานั้น นางเคยได้มีสามีมาก่อนแล้ว.
และด้วยคำพูดประโยคนี้เอง เน้ยเข่งจึงสบโอกาสนางได้กล่าวรุกรานแม่นางโง่วเจ๊อย่างรุนแรงที่สุด ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วบ่งถึงความเยาะหยันอย่างยิ่งว่า “เช่นนี้ดอกหรือ? มิน่าเล่า ชั่วๆ ดีๆ นางก็ม้าเคยอานมาแล้วน่ะซิ ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องอยู่ในจำพวกผู้หญิงหลักลอยเราดีๆ นี่เอง”
ฉันใด พญางูที่ถูกตีต้องขนดหางแผ่พังพานโพลงพิษขึ้นในฉับพลัน ฉันนั้น พัวกิมเน้ยยามเมื่อกระทบคำแสลงใจ นางฉุนเฉียวและเพิ่มพูนความคุ้มแค้นอาฆาตขึ้นมาทันที “ชะช้าอีนังคนนี้ ช่างปากกล้าสามานย์นัก เอาเถิดค่อยดูไปแล้วเจ้าจะเห็นดี!” แล้วบัวคำก็กลับ.
นางกลับไปพร้อมกับพกเอาความขุ่นแค้นใจติดไปด้วย ดังนั้นพอนางจะออกจากประตูสวน นางจึงถอดปิ่นปักผมของนางออกเสีย สลักคารูดาลประตูไว้ เพื่อหวังมิให้ชายหญิงคู่นี้ออกมาจากสวนดอกไม้ได้.
เช้ารุ่งขึ้น เมื่อนางเน้ยเข่งรู้สึกตัวและจะกลับคืนเรือน นางก็พบกับปัญหาหนักอกที่ประตูสวน นางจนปัญญาสุดรู้ที่จะหาทางออกฉันใดได้ จึงจำต้องไปเรียกไซหมึ่งให้มาช่วย แต่แล้วทั้งสองคนก็ต้องพลอยร่วมจนปัญญาไปด้วยกันอีก เมื่อสิ้นท่าเข้าจริงแล้ว ตั้วกัวยิ้งก็ตะโกนเรียกให้คนมาช่วยเปิดประตูให้ บังเอิญเคราะห์ดีที่นางซิ่วชุนลงมาเดินเกะกะ ๆ อยู่แถวนั้น จึงได้วิ่งมาช่วยเปิดให้.
แลเมื่อประจักษ์แก่ตาว่าอะไรเป็นอะไร ที่ทำให้เขาไม่สามารถเปิดประตูสวนครั้งนี้ได้แล้ว ทั้งไซหมึ่งและนางกลีบบัวก็ตระหนักได้ทันทีว่า พฤติการณ์ของเขาทั้งหมดนี้ได้อยู่ในสายตาของนางโง่วเจ๊ภรรยาคนที่ห้าของเขาแล้วโดยสิ้นเชิง.
จึงด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ปลอดโปร่งโล่งใจนัก นางเมียเจ้าไล่เห่งเดินกลับห้องอย่างคนใจลอยที่สำนึกในความหวาดระแวง จึงด้วยความที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของนางนี้เอง ทำให้เจ้ากลีบบัวเกือบปะทะเข้ากับเจ้าเด็กคนใช้หนุ่มที่ชื่อปังอั่งผู้นั้นอย่างจัง ปังอั่งชักสงสัยก็เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างล้อเลียน เมียเจ้าไล่เห่งกำลังหงุดหงิดใจอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เมื่อมาโดนเจ้าปังอั่งเยาะยั่วอารมณ์เข้าอีกเช่นนี้ ก็ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที นางชะงักอยู่กับที่อย่างกะทันหัน พร้อมกับตวาดแว้ดออกไปด้วยความโกรธว่า “เจ้ามายิ้มเยาะเราเรื่องอะไร?”
“อ้าว ก็ไม่น่าจะถึงกับโมโหโทโสนี่เจ๊ ชั่วแต่ยิ้มนิดยิ้มหน่อยจะเป็นไรไป?” ปังอั่งย้อนให้.
“มันต้องมีเรื่องซิ มิฉะนั้นเรื่องอะไรเจ้าจะมาหัวเราะเยาะเราแต่หัวเช้ามืดเช่นนี้เล่า?”
“นี่เจ๊ ข้าพเจ้ารู้ดอกน่าว่าทำไมเจ๊ถึงใจน้อยแต่เช้า เจ๊อดข้าวมาสามวันแล้วใช่ไหมล่ะ ก็เจ๊เล่นกินแต่ความรักนี่ ชะรอยอาเจ๊คงจะหลับตาฝันเห็นดอกไม้เต้นรำอยู่อีกละซี ข้าพเจ้ารู้ดอกน่าเมื่อคืนเจ๊ไม่ได้นอนที่ห้องใช่ไหมล่ะ จริงหรือไม่จริงเจ๊?”
แก้มอิ่มของเน้ยเข่งแดงเปล่งขึ้นด้วยจุดโลหิตแห่งความอดสูทันที “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้นอนค้างที่ห้องเมื่อคืนนี้? อย่ามาทำอวดรู้ดีนะจะบอกให้” ชู้รักท่านพ่อบ้านขึ้นเสียงคุกคามอยู่แหวๆ.
“เถอะน่า ข้าพเจ้ารู้ก็แล้วกัน ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้ากำลังรู้และเห็นอยู่กับตาเดี๋ยวนี้แหละว่า เจ๊พึ่งจะไขกุญแจห้อง”
“ก็แน่ละซี เราพึ่งกลับมาจากเรือนพัวเจ๊แกมาหยกๆ เดี๋ยวนี้เองนี่ เจ้าจะมาทำไมเราล่ะ?”
“โอ๊ะ เช่นนั้นดอกหรือ ตายจริงนี่โหงเจ๊คงใช้ท่านลงไปลุยโคลนเล่นแต่เช้าละซีนี่ เสื้อผ้าอาเจ๊ถึงได้มอมแมมไปหมดเช่นนี้! จริงแล้วละโง่วเจ๊แกเคยบอกข้าพเจ้าหนหนึ่งว่า เจ๊เต้นรำกางแขนกางขาสวยเหลือเกิน ได้ยินว่าจะส่งอาเจ๊ให้ไปซื้อพัดที่หน้าประตูบ้าน ไว้สำหรับจะได้พัดปากให้แห้งเหมือนกะ––”
โดยมิทันที่ปังอั่งจะพูดจบ ด้วยความที่เน้ยเข่งโกรธเสียจนพูดไม่ถูก นางกระโจนพรวดเดียวจากชานเรือนลงไปที่กลางลาน พลางโถมเข้าใส่เจ้าเด็กคนใช้โวหารกล้าผู้นี้ทันที.
แลขณะที่ทั้งสองกำลังพันตูกันอยู่เป็นพัลวันนี้เอง ก็พอดีใต้อังยี้เดินมาพบเข้า เขารีบปราดเข้ามาแยกคู่วิวาททั้งสองออกจากกัน และให้สติแก่สาวใช้ผู้สูงวัยว่า “อย่าไปทะเลาะเบาะแว้งตบตีกับเด็กมันเลยพี่สาว! เชื่อข้าพเจ้าเถอะ”
เมียสาวเจ้าไล่เห่งก็บอกแก่ไต้อังว่า นางแสนจะเหลืออดเหลือทนแล้ว เพราะเจ้าเด็กคนนี้มันยั่วโมโหนางเสียเหลือเกิน ไต้อังก็ปลอบนางแต่โดยดีว่า อย่าไปถือสาหาความเด็กเล็กมันเลย ลืม ๆ เสียก็แล้วกัน กลับไปห้องไปรับล้างหน้าล้างตาเสียดีกว่า ดูซิผมเผ้ามอมแมมยังกะอะไร! นางเน้ยเข่งก็เชื่อฟังแต่โดยดี แต่ก่อนจะไป นางได้ล้วงได้ควักเงินหักขึ้นมาให้ไต้อังสองสามชิ้น และขอร้องให้เขาช่วยไปซื้อเกาเหลามาให้นางกินสักชาม ซึ่งเด็กหนุ่มคนมีอัธยาศัยงามผู้นี้ก็มิได้ขัดข้องแต่อย่างใด.
หลังจากที่ได้ชำระล้างร่างกายเป็นที่สะอาดหมดจดดีแล้ว เน้ยเข่งก็แต่งเนื้อแต่งตัวรีบขึ้นไปรับใช้นางดวงแขภริยาใหญ่ตามหน้าที่ เมื่อสิ้นเสร็จกิจธุระทางเรือนตั้วเจ๊แล้ว เจ้าก็กระวีกระวาดมายังเรือนนางบัวคำทันที.
ขณะนี้ภรรยาสาวคนที่ห้าของท่านเจ้าบ้าน กำลังนั่งม้วนผมจับลอนอยู่หน้ากระจก เมื่อเห็นนางเน้ยเข่งโผล่เข้ามา บัวคำก็แสดงทีท่าเสมือนมิได้เอาใจใส่นาง ชั่วแต่ชำเลืองมองดูด้วยหางตา แล้วก็ง่วนทำธุระอยู่กับทรงผมของนางสืบไป ด้วยความที่ใคร่จะประจบเอาใจเมียรักของนาย นางกลีบบัวรีบกุลีกุจอช่วยเช็ดกระจก เติมน้ำและปัดกวาดห้องหับให้นางบัวคำเป็นอย่างดิบดี.
เสร็จแล้วนางก็ถามโง่วเจ๊ด้วยความพินอบพิเทาสืบไปว่า “แม่นายจะให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนรองเท้าแตะพันเท้าใหม่หรือยัง ข้าพเจ้าจะได้ทำให้”
“ไม่ต้อง! เรามีคนใช้ของเราทำให้แล้ว” เป็นคำตอบอย่างมะนาวไม่มีน้ำของบัวคำ แล้วนางก็เรียกหาตัวเจ้าชิวเก็ก.
นางเน้ยเข่งก็รีบชิงตอบอีกว่า “ชิวเก็กกำลังกวาดหิมะอยู่ที่นอกประตูบ้าน แต่ชุนบ๊วยอยู่ตรงนี้เอง แม่นายต้องการหรือ ข้าพเจ้าจะไปตามมาให้?”
บัวคำปฏิเสธเสียงกระด้างดั่งเดิมอีกว่า “ไม่ต้อง เจ้าอย่ามายุ่งกะเรา ไปไหนก็ไปเสียเถิด โน่น–ไปรับใช้คุณผู้ชายนายของเจ้าไป เผื่อเขาจะพออกพอใจ! เจ้าจะมาคอยรับใช้เราน่ะไม่มีประโยชน์อันใดดอก อย่าลืมว่าก่อนอื่นคนอย่างเราน่ะใช้จะวิเศษวิโสอะไรก็เปล่า มันก็อีผู้หญิงหลักลอยเร่ร่อนคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจะดีจะชั่วก็เป็นม้าเคยอานมาแล้ว ถูกไหมล่ะ? เกียรติยศเกียรติศักดิ์ระหว่างเรากับเจ้านั้น มันแตกต่างห่างไกลกันลิบลับนัก เจ้ามันเป็นเมียนั่งคานหามของตั้วกัวยิ้งเขา เรามันคนแก่มีชีวิตเหี่ยวแห้งโรยรามาตลอดยี่สิบกว่าฤดูซิวเทียนแล้ว จริงไหมล่ะ?”
หน้าเผือดสลดสีพลันซีดลงทันที นางกลีบบัวทรุดตัวลงคุกเข่าอยู่ต่อหน้านางบัวคำในบัดดล นางสำนึกในความผิดครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี สุดรู้สุดคิดที่จะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหนีต่อความจริงอันนี้ไปเสียได้.
“แม่นายโปรดได้ยกโทษให้ข้าพเจ้าเถิด ชีวิตข้าพเจ้าก็เสมือนอยู่ในกำมือของแม่นายท่าน ขอได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าสักครั้งเถิด” เมียไล่เห่งวิงวอนขอลุกะโทษต่อนางบัวคำ แลนางบอกแก่โง่วเจ๊ว่า เป็นเพราะความเข้าใจผิดของนางเองในหนแรก ที่มีเข้าใจและรู้จักโง่วเจ๊ดีพอ บัดนี้นางรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ใครที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในบ้านนี้ นางสาบานว่าต่อแต่นี้ไปนางจะไม่คิดประทุษจิตต่อโง่วเจ๊อีกเลย ผิวนางกระทำอีกก็ขอให้ฟ้าดินจงดลบันดาลให้นางเป็นไปสารพัดอย่างในทางฉิบหาย ๆ เถิด.
นางบัวคำก็ทำสีหน้าขรึมและรับปากประหนึ่งเสียมิได้ว่า “เอาละ จะลองเชื่อเจ้าดูสักครั้งหนึ่ง” แล้วนางก็สำทับสืบไปว่า อันการกระทำทั้งหลายมิว่าจะเป็นร้ายหรือดีที่ใครก็ตามกระทำไว้ต่อนางนั้น อย่าคิดว่านางไม่รู้ ต่อให้เป็นเรื่องเร้นลับเท่าเมล็ดทรายหรือขี้ฝุ่นขี้ผงก็เถอะ ย่อมมิอาจเล็ดลอดไปจากหูตาของนางได้ ขอให้จำเอาไว้ เรื่องอะไรก็ตามถ้านางมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นตัวตั้งตัวตีอยู่ด้วยละก็ รับรองว่าเป็นไม่มีเรื่อง อย่างกรณีเรื่องนี้ ขอให้เจ้าจงมั่นใจเถิด ขออย่างเดียวเท่านั้น อย่าได้มาเกี่ยวข้องพาดพิงกับนางก็แล้วกัน และบัวคำย้ำแก่เมียสาวเจ้าไล่เห่งอีกว่า หากขืนอวดดีมากระทืบหัวนางเข้าก่อนละก็ ระวังให้ดีนางจะกระทืบยอดอกให้บ้างขอให้สำนึกไว้.
เน้ยเข่งก็สาบานแล้วสาบานอีกว่า ต่อนี้ไปนางจะไม่ขอทำอย่างที่แล้ว ๆ มาอีกเป็นอันขาด นางได้แก้ตัวแก่โง่วเจ๊ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ในเชิงว่า เป็นการเข้าใจผิดของโง่วเจ๊เองที่ตีความหมายคำพูดของนางไปในทางที่ไม่ถูกต้อง แต่บัวคำชิงขึ้นเสียงตัดบทเสียก่อนว่า อย่ามาแก้ตัวให้มากความไปเลย นางเข้าใจดีทุกคำพูด มิหนำซ้ำยังด่าให้อีก ทำให้เมียเจ้าไล่เห่งต้องยิ้มแหยๆ และกะเรี่ยกะราด แล้วหลังจากที่เงียบงันไปสักครู่ด้วยอาการอันเจื่อน ๆ สักครู่ นางเน้ยเข่งก็ลุกออกจากเรือนโง่วเจ๊ไป.
แลด้วยอาศัยความเป็นคนโปรดของท่านพ่อบ้านในระยะนี้เอง นางเน้ยเข่งจึงค่อยเป็นอิสระแก่ตัว จะไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครกล้าว่า การงานก็ไม่ต้องทำจำเจเหมือนแต่ก่อน นางมักจะถือโอกาสออกมาเตร่อยู่แต่ที่หน้าประตูบ้าน คอยซื้อเครื่องประดับกระจุกกระจิกจากพ่อค้าหาบเร่เป็นประจำ ด้วยประการฉะนี้เอง กลีบบัวจึงได้มีโอกาสล่วงล้ำเข้าไปทำความรู้จักกับผู้จัดการฮก คนเก่าคนแก่ของตั้วกัวยิ้ง และตั้งกิมกี่ ลูกเขยหนุ่มของท่านเจ้าบ้านผู้นั้น รวมทั้งปังสี่ เลขานุการของไซหมึ่งอีกด้วย และเพราะความอีแร่ดแจ้ดแจ๋ของนางนี่เอง ชั่วไม่กี่วันกลีบบัวก็สามารถพูดจาเล่นหัวได้เป็นอย่างกันเองกับคนทั้งสาม ถึงขนาดที่นางสามารถจะเรียกท่านผู้จัดการยกว่า “เล่านั้ง” และเรียกตั้งกิมกี่ว่า “คุณลูกเขย” ได้ ส่วนปังสี่นั้นนางกลีบบัวตั้งชื่อเสียใหม่ว่า “เล่าสี่” ซึ่งหมายถึงผู้เฒ่าหมายเลขสี่ หรือ “Old Number Four” นั่นเอง.
และบ่อยครั้งที่ขณะบุคคลทั้งสามนี้กำลังปฏิบัติหน้าที่ในร้านค้าของตนอยู่ดี ๆ ก็มักจะต้องถูกรบกวนโดยนางกลีบบัว ซึ่งชอบถือโอกาสเข้ามาเอะอะเจี๊ยวจ๊าวอยู่เสมอ ๆ ดูคล้ายกับว่า นางมีความต้องการไม่รู้จักหมดจักสิ้น เดี๋ยวจะเอาฝุ่นผัดหน้า เดี๋ยวจะเอาชาดทาปาก เดี๋ยวตะไกร เดี๋ยวผ้าเช็ดหน้า เดี๋ยวริบบิ้น ฯลฯ สารพัดจิปาถะที่นางอยากจะได้ ชั้นที่สุดแม้แต่เม็ดแตงโมนางก็ต้องวานให้เขาเหล่านี้ช่วยออกไปซื้อให้นาง แต่ดีอยู่อย่างที่นางเป็นคนใจกว้าง มีข้าวของอะไรก็มักจะแผ่เผื่อเจือจานเพื่อน ๆ สาวใช้โดยทั่วถึง ทั้งนี้ก็เนื่องมาแต่ไซหมึ่งคอยได้เอื้อเฟื้อเจือจานนางอยู่เป็นประจำนั่นเอง ทุกวันนี้ กลีบบัวแต่งเนื้อแต่งตัวสดใสและพริ้มเพราขึ้นกว่าเดิม นางมักจะสวมกระโปรงสั้น ใส่ถุงเท้าซาตินสีแดงและพกเงินเหรียญตุงกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา และนางก็ยังคงรักษาความเป็นมิตรกับโง่วเจ๊อยู่โดยเสมอต้นเสมอปลายมิเปลี่ยนแปลง เพราะนางรู้ว่าโง่วเจ๊คนนี้แล คือเมียคนโปรดของตั้วกัวยิ้ง คนอันนางควรจะผูกใจภักดีด้วย.
ส่วนกิจวัตรอันเป็นหน้าที่เฉพาะของนางสำหรับปฏิบัติตั้วเจ๊ทุกวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก ชั่วแต่ขึ้นไปให้เห็นหน้าเสียหน่อยตามธรรมเนียมในตอนเช้า ต่อจากนั้นนางก็มาขลุกอยู่ที่เรือนนางพัวกิมเน้ย เล่นหมากรุกบ้าง เป็นเพื่อนกินเหล้าด้วยกันบ้าง แล้วพอถึงเวลาอาหาร นางก็มักได้รับโอกาสเข้าร่วมโต๊ะด้วยตั้วกัวยิ้งเป็นประจำ ทั้งนี้ก็เนื่องมาแต่ฤทธิ์รักแรงเสน่ห์ในตัวของแม่สาวใช้คนนี้ที่ไซหมึ่งเข่งมีต่อนางนั้นเอง.
----------------------------
-
๑. ประเพณีจีน ถือคำพูดในการสนทนาเป็นของสำคัญ การที่นางเน้ยเข่งถามเช่นนี้ หมายถึงการดูถูกและเหยียดหยาม ต้นฉบับภาษาอังกฤษว่าไว้อย่างนี้ :-
“How many autumns has your fifth really frittered away?” ↩