- คำนำ
- ความนำ
- คำสาบาน ณ ศาลเง็กเซียนฮ่องเต้
- บู๋ซ้งผู้ฆ่าเสือ
- บู๋ตั้วคนเมียงาม
- น้องผัว–พี่สะใภ้
- เจ้าสัวหนุ่มต้องเสน่ห์
- อุบายแม่สื่อ
- สวรรค์ในร้านน้ำชา
- ความลับรั่วไหล
- แผนการจับชู้
- ฆ่าผัวเพื่อเอาเมีย
- ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ
- ความลับที่เปิดเผย
- พัวกิมเน้ยว้าเหว่
- ของขวัญจากนางบัวคำ
- สาส์นจากบู๋ซ้ง
- แม่นายคนที่ห้าของไซหมึ่งเข่ง
- บู๋ซ้งอาละวาด
- บู๋ซ้งต้องโทษ
- ไซหมึ่งเข่งฉลองชัย
- แค้นของบัวคำ
- ฮวยจื้อฮือเลี้ยงโต๊ะ
- ลำไพ่ของพัวกิมเน้ย
- บัวคำทำเสน่ห์
- เพื่อนเรา–เผาเรือน
- สัญญาสามข้อของไซหมึ่งเข่ง
- เพื่อนเก่า–เมียรัก
- สารท “ตงชิว” ที่เช็งฮ้อ
- ฉลองวันเกิดนางลีปัง
- รักแท้ที่ต้องอดทน
- ข่าวร้ายจากเมืองหลวง
- หม้ายสาวกำสรวล
- หมอเตกกัง แพทย์ผู้ชำนาญโรค
- อาชญากรผู้ค่าตัวห้าพันตำลึงทอง
- ไซหมึ่งเข่งพ้นคดี
- เขยหนุ่ม–แม่ยายสาว
- หมอเตกกังต้องวิบัติ
- วิวาห์วิบากของนางฮวยลีปัง
- ฟ้าสว่างหลังพายุฝน
- “ลีปัง–ไซหมึ่ง” เชิญกินเลี้ยง
- รักแท้–รักเทียม
- ตั้วเจ๊เป็นข่าว
- สาวใช้ต้องประสงค์
- เสน่ห์นางสาวใช้
- สามีคนเคราะห์ร้าย
- กลีบบัวใช้บาป
สาวใช้ต้องประสงค์
นารีเสมอด้วยหม้อเปรียง
บุรุษเสมอด้วยถ่านติดไฟ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้แล้ว
จึงไม่ควรนำหม้อเปรียงและไฟไว้ในที่เดียวกัน.
(หิโตปเทศ)
กล่าวฝ่ายไล่เห่ง คนใช้ของไซหมึ่งเข่ง ตั้วกัวยิ้ง เพื่อนนี้ยังมีภริยาสาวสะคราญโครมอยู่ด้วยผู้หนึ่ง ชื่อว่า นางเน้ยเข่ง.
นางเน้ยเข่งนี้เดิมทีเป็นลูกสาวของซ้ง ซึ่งเป็นช่างต่อโลงศพขาย ครั้นนางเติบใหญ่มีวัยอันสมควรจะออกเหย้าออกเรือน ซ้งผู้บิดาก็ได้จัดการแต่งงานนางไปกับพ่อครัวคนมีฝีมือในการปรุงอาหารผู้หนึ่งของตำบล.
และพ่อครัวคนสามีนางเน้ยเข่งผู้นี้ ปกติได้ติดต่อเกี่ยวข้องรับจ้างรับออนทำกับข้าวกับปลาส่งครอบครัวไซหมึ่งเข่งอยู่เป็นประจำ และก็บังเอิญไล่เห่งเป็นผู้มีหน้าที่จะต้องติดต่อกับพ่อครัวผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้เสมอมา หนักเข้าความสนิทสนมคุ้นเคยก็เพิ่มพูนทับทวีขึ้น จนถึงขนาดเวลาใดพ่อครัวผู้สามีนางเน้ยเข่งไม่อยู่บ้าน ไล่เห่งก็ถือโอกาสเกี้ยวพาราสีและลักลอบได้เสียกันขึ้น ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพ่อครัวคนมีฝีมือผู้นี้เกิดไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อน ๆ เถียงกันไปเถียงกันมา อีกฝ่ายบันดาลโทสะกล้า ก็คว้ามีดแทงเอาสามีนางเน้ยเข่งผู้นี้ดับชีพไป ไล่เห่งได้โอกาสก็เลยรับพานางเน้ยเข่งเข้ามาอยู่กินเป็นภรรยาเสียที่บ้านของท่านไซหมึ่งผู้เป็นนายจ้าง.
แลด้วยความเป็นผู้รู้จักการอันควรมิควร คนใช้ผู้นี้ได้ถือโอกาสพาภรรยารูปงามที่พึ่งแต่งงานไปไหว้ดวงแขนางตั้วเจ๊ ภรรยาของไซหมึ่งเห็นว่านางเน้ยเข่งรูปงามและมีอัธยาศัยเป็นที่ต้องใจนางอยู่ จึงตั้งชื่อให้เสียใหม่ว่า “เน้ยเข่ง” หรือ Lotus Petal ซึ่งหมายถึงความมีทรวดทรงอันอรชรอ่อนช้อยแบบบางน่าทะนุถนอมประดุจความบอบบางและละมุนละไมของ “กลีบบัว”
ซึ่งเราจะเรียกชื่อนางเสียใหม่ให้ฟังกันไพเราะระรื่นหูตามสำเนียงไทย ๆ ว่า “นางกลีบบัว”
แลโฉมเจ้ากลีบบัวผู้นี้ ต้นฉบับภาษาอังกฤษพรรณนาความงามของนางไว้เป็นที่ไพเราะจับใจอย่างรุนแรงถึงขนาดว่า She was just the sort of creature to drive men crazy and disturb the peaceful atmosphere of a respectable household. ซึ่งหากถ่ายทอดถอดออกเป็นพากย์ไทยแล้ว ทีจะฟังไม่ซาบซึ้งถึงสำนวน แต่ก็คงจะพอฟังได้อยู่ดอกว่า “อันความงามของเน้ยเข่งผู้นี้ หากชายใดได้ประสบพบเห็นเข้าก็รังแต่จะลุ่มหลงและเป็นบ้าเป็นหลังไป เพราะด้วยฤทธิ์เสน่ห์นาง และด้วยเสน่ห์ของนางนี้แลเป็นเสมือนที่มาของความยุ่งเหยิงร้าวฉานจะยังความไม่ปกติสุขให้บังเกิดขึ้นภายในครัวเรือนอันผาสุกสงบเป็นแน่แท้”
ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าภรรยาสาวเจ้าไล่เห่งผู้นี้ นางพึ่งมีอายุได้ยี่สิบสี่ปี เนื้อหนังมังสาหรือก็ยังเต่งตึงผุดผาดอยู่ด้วยเลือดฝาดของวัยสาว เรือนร่างสมส่วนกะทัดรัด ส่วนไหนควรจะอวบอัดก็อัดอวบ ส่วนไหนควรจะโค้งคอดก็คอดโค้ง แลละลานใจละลานตาแก่ผู้ได้พบได้เห็น เท้าทั้งคู่ของนางก็เรียวเล็กเป็นที่ต้องลักษณะหญิงงามอยู่.
ปกติแต่เดิมนั้น นางเคยได้ช่วยสามีเก่าคนเป็นพ่อครัวหาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยการเย็บปักถักร้อย แต่ว่าบัดนี้เมื่อเข้ามาอยู่บ้านกับสามีใหม่นางหาได้มีกิจหน้าที่อันใดไม่ และด้วยความที่นางเคยเป็นแต่เพียงเมียพ่อครัวกะเขามาก่อน เน้ยเข่งจึงหาประสีประสาในอันจะแต่งเนื้อแต่งตัวกับเขาไม่ ต่อได้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดรับใช้บรรดาภรรยาทั้งหลายของท่านพ่อบ้านไซหมึ่งนั่นแหละ นางถึงค่อยพอจะรู้จักขึ้นว่าสิ่งใดสวยสิ่งไหนงาม ทั้งนี้เพราะความที่นางมีความประพฤตินบนอบรู้จักอ่อนน้อมฝากเนื้อฝากตัวนั่นเอง ชั่วเวลาไม่กี่วันที่นางเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ บรรดาเจ๊ ๆ ทั้งหลาย และหรือข้าทาสชายหญิงต่างมีความเอ็นดูและพึงพอใจนางอยู่ทุกทั่วผู้ ฉะนั้นเมื่อบรรดาศรีภริยาทั้งหลายของตั้วกัวยิ้งเห็นว่า เมียไล่เห่งผู้นี้มีแววเสน่ห์อยู่ในตัว ขอแต่ชั่วนางจะได้รู้จักปรุงแต่ง ทีจะงามเฉิดฉาดขึ้น แต่ละนางก็สู้ทอดถ่ายศิลปะวิชาการอันจะประทินผิว บำรุงโฉม ประเทืองหน้า และแต่งรูปทรงผมให้แก่นาง จึงมิช้านางเน้ยเข่งก็ค่อยรู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนผู้เหมือนคนกับเขาขึ้น ที่เคยขมุกขมัวมัวมอมแต่ก่อนเก่าก็พริ้งเพราเฉิดโฉมขึ้นมาเห็นทันตา แต่จะทันตาผู้ใดใครอื่นนั้นไม่สำคัญ ความสำคัญของเรื่องอยู่ที่ว่า มิช้าความงามอันเจิดจ้าของนางได้ผ่านเข้ามาในสายตาของไซหมึ่งเข่ง ตั้วกัวยิ้งนี่ซิ เรื่องถึงได้เป็นเรื่อง เพราะเพียงแต่ประสบพบโฉมนางเน้ยเข่งคนนี้เข้าหนเดียว เสน่หายาใจในตัวนางก็รัญจวนป่วนจิต ทำให้ตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่ง เฝ้าแต่คิดจักใครได้ชิดเชยนางเมียคนรูปสวยของไล่เห่งผู้นี้เป็นนิจมา.
จึงเพื่อหวังจะประสงค์สวาทในนางเน้ยเข่งผู้นี้ให้จงได้ ตั้วกัวยิ้งได้ออกอุบายใช้ไล่เห่งให้เดินทางไปเมืองฮังจิวแต่เมื่อเดือนสิบเอ็ด เพื่อให้ไปจ้างช่างเสื้อฝีมือดีที่เมืองนั้น ตัดเสื้อแบบราชสำนักลายมังกรสำหรับส่งไปเป็นของขวัญวันแซยิดท่านไจเสี่ยง ฉั่วจิ้ง ณ เมืองไคฟอง เขาได้มอบเงินไปเพื่อการนี้เป็นจำนวนห้าร้อยตำลึง ซึ่งไซหมึ่งกะแล้วว่า อย่างน้อยไล่เห่งจะต้องใช้เวลาไปปฏิบัติงานให้เขาคราวนี้มีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน ซึ่งเป็นเวลาหกเดือนที่ไล่เห่งจะต้องแรมร้างนางเน้ยเข่งเมียรักของตนไป อย่างไรเสีย ตั้วกัวยิ้งคาดว่าคงเป็นเวลานานพอที่เขาจะหาทางสัมฤทธิ์ผล สมดังที่เขาต้องประสงค์ในตัวนางเน้ยเข่งคนนี้ได้.
จึงวันนี้ วันที่ตรงกับวันงานแซยิดของนางเม่งเง็กเล้านี้เอง ขณะที่ไซหมึ่งยืนรออยู่หลังมู่ลี่ห้องรับแขก เพื่อสำรวจตรวจดูความเรียบร้อยในการจัดงาน เขาก็ได้ประสบร่างนางเน้ยเข่งผู้นี้เข้าอีกหนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นนางนุ่งสเกิร์ตผ่าข้างสีแดงเลือดนก แลสวมเสื้อสีปรอทแดงทับไว้ชั้นนอก ซึ่งดูกะเล่อกะล่าอยู่ในหมู่สาวใช้รูปสวยทั้งหลายของเขา ไซหมึ่งนึกแต่ในใจว่า “ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวไม่เป็นเอาเสียเลย” แล้วเขาก็นึกออกถึงลู่ทางที่จะเข้าถึงตัวนางกลีบบัวผู้นี้ให้จงได้ ตั้วกัวยิ้งเรียกนางเง็กเซียวให้มาหาและกระซิบถามว่า “ผู้หญิงสาว ๆ คนที่นุ่งกระโปรงแดงสีแปร้ดนั้นหรือ คือเมียของไล่เห่ง?” เจ้าเง็กเซียว ก็ตอบว่า “ใช่แล้ว”
ไซหมึ่งก็พูดเชิงปรารภแก่สาวใช้ของนางดวงแขผู้นี้สืบไปว่า “ดูทีรึว่ามีผู้หญิงคนไหนเขาแต่งตัวกันอย่างที่นางคนนี้แต่งบ้าง เราอยากให้เจ้าพูดกับตั้วเจ๊ของเจ้าในวันพรุ่งนี้ เผื่อบางทีเขาจะมีเสื้อผ้าเก่าๆ เหลืออยู่พอจะให้นางคนนี้ได้บ้างละกระมัง”
เง็กเซียวได้ยินนายผู้ชายพูดเช่นนั้น ก็รายงานขึ้นอย่างจองหองเชิงเอาหน้าว่า ถึงกระโปรงแดงตัวที่นางเน้ยเข่งใส่อยู่นี้ก็เถอะ ขอยืมของเจ้าไปนุ่งดอก!
ล่วงมาอีกสอง-สามวัน เพลาประมาณบ่ายโมงกว่า นางดวงแขมีธุระออกไปนอกบ้าน ไซหมึ่งพึ่งกลับมาแต่ร้านสุรา และกำลังจะเดินเข้าประตูเรือนอันเป็นที่อยู่ของเหล่าภรรยาของเขา ซึ่งพอเปิดประตูออก ก็ชนนางเน้ยเข่งซึ่งเดินสวนออกมาเข้าพอดี แต่ด้วยใจพิศวาสในนางคนนี้ที่ไซหมึ่งมีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ผสมกับอารมณ์อันรุ่มเร้าด้วยพิษเหล้าเข้าอีก วันนี้ตั้วกัวยิ้งจึงไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใดสิ้น เขาถลันเข้ารวบร่างนายเน้ยเข่งไว้ในอ้อมกอด และก้มลงจูบปากนางอย่างจงใจ พลางกระซิบที่ข้างหูว่า
“ฟังเราหน่อย ถ้าเจ้าหมั่นทำตัวให้น่ารักแล้ว และตามใจเราบ้าง เจ้าจะเอาอะไรเล่าต่อไปนี้ เสื้อผ้าอย่างชนิดไหนที่เจ้าต้องการ เราจะหามาให้เจ้าสารพัด”
กลีบบัวหัวเราะอย่างอายๆ พลางผลักไสดิ้นรนจะให้หลุดจากอ้อมกอดของไซหมึ่ง นางไม่พูดไม่จาอันใดทั้งสิ้น พอดิ้นหลุดออกมาได้ก็วิ่งผลุนผลันหลบหน้าไป.
ไซหมึ่งแน่วไปที่เรือนนางดวงแข ร้องเรียกเจ้าเง็กเซียวให้มาหา กระซิบบอกแก่นางคนนี้ว่า ให้ช่วยเอาผ้าแพรสีฟ้าผืนนี้ไปให้เมียไล่เห่งหน่อย และสั่งให้บอกนางด้วยว่า กระโปรงสีแดงอย่างที่นุ่งเมื่อวันก่อนนั้น ไม่มีใครเขาแต่งกับเสื้อสีปรอทแดงดอก มันบ้านนอกเต็มประดา!
เง็กเซียวเข้าใจความมุ่งหมายของตั้วกัวยิ้งได้ทันที ดังนั้นเมื่อแพรของกำนัลถึงมือนางกลีบบัวแล้ว แลนางเกรงไปว่าเดี๋ยวตั้วเจ๊จะสงสัยว่านางได้ผ้าแพรผืนนี้มาแต่ไหน นางจึงถามเง็กเซียวว่าจะให้นางตอบเช่นใดเล่า? สาวใช้นางดวงแขก็ตอบแก่เพื่อนหญิงว่า “จะวิตกกังวลไปทำไม การเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตั้วกัวยิ้งท่านย่อมคิดอ่านแก้ตัวหาทางออกได้เอง ว่าแต่ว่านายผู้ชายได้สั่งให้บอกอีกว่า ถ้าเจ้าทำตัวให้น่ารักยิ่งขึ้นกว่านี้แล้วละก็ วันหน้าวันหลังท่านจะซื้อเสื้อซื้อผ้ามาให้อีกเยอะ วันนี้ก็โชคดีเสียด้วยนา ตั้วเจ๊ไม่อยู่บ้าน”
“ก็แล้วนี่เรามิต้องคอยตั้วกัวยิ้งท่านอยู่ในห้องนี้หรือ? แล้วเมื่อไหร่เล่าเขาถึงจะมาล่ะ?” นางกลีบบัวถาม.
“เราคิดว่าท่านตั้วกัวยิ้งคงไม่มาหาเจ้าที่ห้องนี้ดอก เพราะดีมิดีพวกคนใช้จะเห็นเข้า แต่นี่แน่ะ ถ้าให้ดีละก็เจ้ารีบหลบ ๆ ลงไปในสวนดอกไม้เสียก่อน ไปคอยท่านอยู่ที่ศาลาในสวนนั่นก่อนก็แล้วกัน จะได้ไม่มีใครทันสังเกตเห็น!”
“แต่ว่าเรือนโง่วเจ๊แกอยู่ใกล้ ๆ นั่นนี่นะ” กลีบบัวชี้แจงต่อไปอีก
“โอ อย่ากลัวไปหน่อยเลยน่า โง่วเจ๊กำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับซัมเจ๊ที่ตึกใหม่ของนางลีปัง ยังไม่กลับง่าย ๆ ดอก”
แต่ที่จริงนั้น ขณะที่นางบัวคำ และเม่งซัมเจ๊กำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับนางปัง ที่ตึกใหม่อย่างสนุกสนานนั้นเอง เด็กหงส์สาวใช้คนใหม่ก็กระหืดกระหอบมาบอกว่า ตั้วกัวยิ้งกลับมาแล้ว ทั้งสามนางจึงวางมือจากกระดานหมากรุก แล้วแยกย้ายกันกลับไปเรือน เมื่อบัวคำกลับไปนั่งคอยสามีอยู่ที่ห้องเห็นนานช้า นางอดรนทนคอยอยู่ไม่ไหวก็ลุกออกมาเดินดู พอดีเดินมาถึงประตูทางเข้าสู่เรือนพักของฝ่ายหญิง โง่วเจ๊ก็เจอะนางเง็กเซียวเข้า จึงถามว่า “ตั้วกัวยิ้งอยู่ข้างในหรือ?” เง็กเซียวสั่นศีรษะบุ้ยใบ้ไปทางในสวน โหงเจ๊ก็เข้าใจว่า ไซหมึ่งอยู่ในสวนดอกไม้ จึงหมายใจจะเดินเข้าไปตาม เง็กเซียวเห็นเช่นนั้นก็รีบผลุนผลันมายืนกันประตูห้ามไว้ พัวกิมเน้ยโกรธมากก็กระชากเจ้าสาวใช้กระเด็นติดมือออกมา และเปิดประตูเหล็กพรวดพราดเข้าไป.
เง็กเซียวเห็นไม่ได้การ ก็ร้องบอกตามหลังเข้าไปว่า “โง่วเจ๊อย่าพึ่งเข้าไปๆ! ตั้วกัวยิ้งสั่งไว้ว่าท่านไม่ต้องการให้ใครไปรบกวนท่านเวลานี้”
แต่มีหรือที่พัวกิมเน้ยจะยอมฟัง นางหันมาตวาดเจ้าสาวใช้ว่า
“เงียบเสียงเสียเถอะ อีนางเศษอาหารหมา! เจ้าคิดว่าคนอย่างเรากลัวตั้วกัวยิ้งอย่างนั้นหรือ?”
แล้วนางก็รีบลุกลี้ลุกลนเข้าไปในสวน แต่บัวคำเดินหาเท่าไร ๆ ก็มิได้เจอท่านตั้วกัวยิ้งผู้สามี นางก็ชักจะปักใจสงสัยไปข้างว่า สามีคงจะลอบนัดหมายมาพบกับเง็กเซียวผู้นั้นแน่ ก็หันหลังจะกลับ แต่พอผ่านศาลากลางสวนนั้นเอง นางก็แว่วเสียงคนพูดคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่ข้างภายใน บัวคำสงสัยจึงหยุดเงี่ยหูฟังและพอจับหางเสียงได้ว่า เป็นสำเนียงพูดระหว่างหญิงกับชาย บัวคำจึงก้าวขึ้นไปดูบนศาลา ซึ่งเป็นเวลาพอดีที่ไซหมึ่งกับนางเน้ยเข่งกำลังผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ขณะนั้นทั้งคู่ต่างกำลังสาละวนแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่พิรุธอยู่ เฉพาะทางกลีบบัวมีท่าทางขวยเขินและอาย ๆ เช่นไรพิกล.
แต่พอเมียเจ้าไล่เห่งลุกขึ้นจะกลับ พัวกิมเน้ยก็ตวาดแว่ดขึ้นว่า “มาทำอะไรอยู่ที่นี่ หืออีซากเน่า?” เจ้ากลีบบัวก็ตอบอ้อมแอ้ม ๆ ว่า นางออกมาเที่ยวเดินดูดอกหิมะ (Snow Bud) ตอบเสร็จแล้วนางก็วิ่งจู๊ดจากสวนดอกไม้ไป.
บัวคำก็หันมาเล่นงานตั้วกัวยิ้งจำเลยเอก ที่นั่งกระมิดกระเมี้ยนอยู่บนม้ายาวว่า คนอะไรหน้าด้านเช่นนี้ก็มีด้วย ชะรอยพี่ท่านคงเป็นดอกหิมะที่นางกลีบบัวมันกำลังมาเที่ยวเดินดูอยู่ละกระมัง สามีก็มิได้พูดว่ากระไร เป็นแต่ยืนแกะชายเข็มขัดเล่นอยู่ นางโง่วเจ๊จึงสำทับสืบไปว่า “ผู้ชายอะไร กลางวันแสก ๆ ก็ยังมาหยอกเล่นกันอยู่ได้กะอีนังคนใช้สารเลวพรรค์นั้น! ดีนะมึงหนีไปเสียก่อนได้ ม่ายงั้นแม่จะตบเสียให้หน้าคว่ำ บอกเรามาเสียตามตรงว่า เคยแอบมากระจู๋กระจี๋กันอย่างนี้กี่หนกี่ครั้งแล้ว อย่าโกหกนะ ขืนทำโกหกละก็ จะฟ้องให้ตั้วเจ๊รู้ด้วยเอ้า อยากรู้นักตั้วเจ๊แกจะว่าอย่างไร!”
สามีก็ว่าอย่าพึ่งเอ็ดอึงไปนักเลย แม่คุณแม่ทูนหัว อายเขา เดี๋ยวใครต่อใครเขาก็รู้กันหมด ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ แล้วก็ยิ้มให้ภรรยาอย่างกะเรี่ยกะราดเหมือนขอความเห็นใจ เขาบอกว่า “เอาเถอะจะเล่าให้ฟังตามตรง ไม่ได้ปิดบังอำพรางเลย บอกจริงๆ แม่คุณ หนนี้แหละที่พี่พึ่งเคยมาเป็นหนแรก––!”
ภรรยาก็เลยแหวขึ้นให้อีกว่า “เชื่อละ เถอะน่า ไม่ช้าเราก็คงจับได้คาหนังคาเขาอีกแน่ๆ จะแช่งเอาไว้ก่อน ใครโกหกมดเท็จเราละก็––”
“โอ, เชิญเถอะ เชิญเจ้าสืบตามสบาย! สืบไปคนเดียว––” พูดแล้วสามีก็หัวเราะก๊ากขึ้นมาอย่างขบขัน หัวเราะไม่หัวเราะเปล่า เขารั้งเอาภรรยาคนปากจัดเข้ามาจูบเสียฟอดหนึ่ง แล้วทั้งคู่ต่างก็ค่อยประคองย่องย่างออกจากสวนดอกไม้ไป แลบัวคำเจ้ามิได้นิ่งนอนใจ เฝ้าสืบเสาะสอบถามปากคำจากบรรดาสาวใช้ทั้งหลายดู นางได้รู้ความจริงว่า พฤติการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกจริงอย่างสามีบอก บัวคำเมื่อทราบความชัดแล้วก็งำเสีย มิได้แพร่งพรายกระโตกกระตากปริปากให้ใครรู้เป็นหูสอง แม้แต่เม่งเง็กเล้าเพื่อนสาวคนถูกคอยิ่งผู้นั้น แต่ตรงข้ามนางกลับนำความลับอันนี้มาเป็นเครื่องมือเพิ่มพูนความพิศวาสจากสามียิ่งขึ้น ในประการที่ว่าช่วยเป็นหูเป็นตา และเปิดโอกาสให้สามีได้พบปะติดต่อกับนางกลีบบัวสองต่อสองเป็นนิจมา ดังนั้นปรารถนาอันใดเล่าที่นางประสงค์ เสื้อผ้าทองหยองข้าวของเครื่องใช้อย่างหนึ่งอย่างใดหรือ บัวคำมิได้มีขาดตกบกพร่อง ตั้วกัวยิ้งได้เสนอสนองให้แก่นางอย่างถึงขนาด.
แต่เมียสาวของเจ้าไล่เห่งได้ตกอยู่ในฐานะหญิงบำเรอของท่านตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งเข่งผู้นี้แล้ว นางก็ตกอยู่ในเป้าสายตาของบรรดาเพื่อนคนใช้ทั้งชายและหญิง ค่าที่ทุกวันนี้ลูกสาวพ่อค้าขายโลงผีชักมีอะไรดีๆ เอามาอวดเพื่อน ๆ อยู่เสมอ ๆ จะแต่งเนื้อแต่งตัวก็โอ่อ่า ประดับเครื่องเงินเครื่องทองแพรวพราวไปหมด เจ๊กป๊อกแป๊กที่หาบของกระจุกกระจิกขายหน้าบ้าน ก็ได้รับลูกค้าขาประจำเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง คือนางกลีบบัวผู้นี้ วันทั้งวันเดี๋ยวเจ้าวิ่งซื้ออ้ายนั่น เดี๋ยวซื้ออ้ายนี่ ปิ่นเอย กิ๊บเอย เข็มกลัดเสื้อและเครื่องประดับกระจุ๋มกระจิ๋มอะไรต่อมิไรให้จิปาถะ หนักเข้าตัวท่านพ่อบ้านเองถึงกับยื่นมือเข้ามาเป็นธุระปะปังในการดำรงสภาพฐานะให้แก่นาง สารพัดความดีที่เจ้ากลีบบัวมี ไซหมึ่งนำไปจาระไนให้ตั้วเจ๊ฟังหมด แล้วเขาก็เลื่อนตำแหน่งหน้าที่ให้นางเมียของไล่เห่งผู้นี้ ขึ้นไปทำหน้าที่กวาดปัดเช็ดถูห้องคู่กับนางเง็กเซียวสืบไป.
เห็นหรือยังเล่า ท่านที่เคารพ ดังที่ผู้หลักผู้ใหญ่แต่ก่อนสอนสั่งไว้สืบมา นายบ้านอย่าพึงควรลดตัวลงมาเทียมบ่าว เป็นเจ้าเป็นนายอย่าใฝ่ต่ำมาคบกับขี้ข้า เพราะหากว่าเมื่อใดสภาพการวางตัวระหว่างชนชั้นสองฐานะนี้ถูกลบเลือนไปเสียแล้ว เมื่อนั้นระเบียบวินัยการปกครองภายในบ้านและครัวเรือนย่อมสูญเสีย แล้วความวิบัติย่อมจักมีมาในที่สุด.
----------------------------