ฮั้วห่อเก้าผู้ชันสูตรศพ

พอถึงเพลาเช้า ยายเห่งก็รีบไปจัดการหาซื้อโลงศพและอุปกรณ์เครื่องเซ่นสังเวยบรรดาที่ต้องใช้ในพิธีการปลงศพส่งวิญญาณผู้ตายตามประเพณี ครั้นแล้วแกก็จุดโคมตามวิญญาณขึ้นไว้ดวงหนึ่งที่หัวนอนศพ.

แลบรรดาพวกเพื่อนบ้านเรือนเคียง เมื่อรู้ข่าวบู๋ตั้วตายลงในครั้งนั้น ต่างก็พากันมาเยี่ยมคำนับศพอยู่ทั่วกัน.

“โอ แม่หญิง สามีของแม่หญิงที่ตายไปนี้ เขาเป็นโรคอะไรตายหรือ?” เพื่อนบ้านผู้หนึ่งถามนางพัวกิมเน้ยขึ้น นางก็ตอบว่า อันสามีของนางที่ตายนี้ เนื่องมาแต่โรคกระเพาะอาหารพิการ แลยิ่งกว่านั้น นางยังรำพันสืบไปอีกว่า ช่างเป็นเวรกรรมอะไรของนางแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆ สามีสุดที่รักก็ต้องมาด่วนตายจากไปเช่นนี้ ข้างเพื่อนบ้านซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ดีอยู่ ก็มิได้เจรจาซักไซ้อันใดให้มากแก่ความไป เพราะต่างถือเสียว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัว เสร็จแล้วต่างคนต่างก็อำลากลับ คงเหลืออยู่แต่ยายเห่งพั้วหญิงชราเจ้าของร้านน้ำชาผู้นั้นแต่คนเดียว ซึ่งแกก็ดีอยู่สู้อุตส่าห์จัดงานจัดการเกี่ยวแก่ธรรมเนียมการตั้งศพให้ผู้ตายจนเสร็จ แล้วก็ไปนิมนต์พระที่วัดป้ออึงยี่มาสองรูป เพื่อทำพิธีสวดกงเต๊กอุทิศส่วนกุศลส่งวิญญาณให้ท่านผู้ตาย ต่อจากนั้นแกก็แวะไปแจ้งความที่ที่ว่าการตำบล เพื่อร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพให้มาสำรวจตรวจศพผู้ตายตามกระบิลเมือง.

ฝ่ายปลัดตำบลฯ ฮั้วห่อเก้า เมื่อได้รับแจ้งความจากยายเห่งแล้ว เขาก็ส่งเจ้าพนักงานให้รีบล่วงหน้าไปจัดการตรวจดูศพที่บ้านบู๋ตั้วก่อนสองนาย ส่วนตัวเขานั้นจึงจะออกจากที่ทำการก็ต่อเมื่อสิบเอ็ดนาฬิกาเช้าแล้ว แลขณะที่เขาเดินทางมาจวนจะถึงบ้านผู้ตายนั้น ก็บังเอิญเจอเข้ากับท่านเศรษฐีหนุ่มไซหมึ่ง ตรงหัวมุมสี่แยกถนนหินม่วงพอดี.

“เป็นอย่างไรท่านปลัดฯ หมู่นี้หน้าตาซูบซีดร่วงโรยไปนี่ กำลังจะไปไหนเล่า?” ไซหมึ่งออกปากทักเขาขึ้นก่อนอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง.

“อ้าว นึกว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็ท่านตั้วกัวยิ้งนี่เอง ถูกแล้วข้าพเจ้ากำลังจะไปธุระที่บ้านบู๋ตั้วเขา–บู๋ตั้วคนขายขนมเปี๊ยะนั่นอย่างไรเล่า ทางบ้านเขาไปแจ้งความที่ ๆ ว่าการว่าถึงแก่กรรมเสียแล้ว เลยต้องไปตรวจเสียหน่อย”

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว แวะมานั่งปรึกษาอะไรกันสักครู่เถอะ ข้าพเจ้าอยากจะขอความช่วยเหลืออะไรจากท่านสักอย่าง” แล้วโดยมิฟังเสียง ไซหมึ่งปราดเข้าจูงไม้จูงมือรั้งเอาฮั้วห่อเก้า แวะเข้าไปนั่งสนทนาที่ในร้านขายสุราแถวนั้นจนได้ เสียงเจ้าสัวหนุ่มร้องสั่งสุราฮะกึ้นให้ลั่นร้านไปหมด พลางก็หันมาคะยั้นคะยอปลัดตำบลฯ ให้ลงมือกินตามสบาย ดูเป็นที่กุลีกุจออยู่.

ฮั้วห่อเก้าให้รู้สึกสงสัยใจ ค่าที่เขากับไซหมึ่งมิสู้จะได้สนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อนนัก ก็ไฉนอยู่ๆ วันนี้เศรษฐีผู้นี้จึงมาเชื้อเชิญคะยั้นคะยอเขาอย่างเอาอกเอาใจเช่นนี้ เห็นทีจะคงมีเรื่องลับลมคมในอันใดสักอย่าง แล้วเขาก็นิ่งนั่งคอยฟังทีท่าท่านไซหมึ่งตั้วกัวยิ้งผู้นี้อยู่อย่างสงวนท่าที.

เมื่อหลังจากที่ได้เสพสุราเข้าไปคนละสี่ซ้าห้าจอกพอโลหิตฉีดตึงหน้าดีแล้ว ไซหมึ่งก็ล้วงไล้หยิบเอาเงินแท่งเนื้อบริสุทธิ์ออกมากองให้ต่อหน้าฮั้วห่อเก้า เป็นจำนวนสิบตำลึง พลางขอร้องให้เขารับเงินจำนวนนี้เป็นเสมือนของสมนาคุณในมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของเขา แม้จะเป็นเงินไม่มากนักก็ตาม ขอให้ถือเสียว่าเป็นสินน้ำใจต่อกันเถิด วันหน้าวันหลังเขาจะหาโอกาสไปเยี่ยมคำนับให้จนถึงบ้านของท่านปลัดทีเดียว ซึ่งจนแล้วจนรอดฮั้วห่อเก้าก็ยังมิอาจรู้ต้นสายปลายเหตุอยู่ดี เขาเอื้อมมือผลักเงินกองนั้นคืนให้ท่านเจ้าสัว พร้อมกับกล่าวว่า “เรื่องอะไรกัน อยู่ดี ๆ ท่านตั้วกัวยิ้งจึงมาให้เงินแก่ข้าพเจ้ามากมายถึงเช่นนี้เล่า งานการอันใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน ข้าพเจ้าก็มิเคยได้กระทำให้ท่านประจักษ์สักอย่าง อย่าให้เลย ข้าพเจ้ามิอาจรับได้ดอก หรือชะรอยว่าท่านประสงค์จะใช้สอยอันใดแก่ข้าพเจ้าบ้างละกระมัง.”

“ถูก–ถูกอย่างที่ท่านคิด แต่ว่าก่อนอื่นขอท่านโปรดได้กรุณารับเงินจำนวนเล็กน้อยนี้ไว้เสียก่อนเถิด แล้วเราถึงค่อยปรึกษาหารือกิจการต่อกันสืบไป.”

“มิเป็นไรดอก โปรดได้บอกความประสงค์ของท่านมาให้ข้าพเจ้าทราบก่อนเถิด––”

ไซหมึ่งก็ว่าไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อยมิใช่การสำคัญอันใดนัก ขอให้ท่านฮั้วห่อเก้าเก็บเงินเก็บทองเข้าพกเข้าห่อก่อน แล้วถึงค่อยพูดค่อยจากัน

และแล้วเขาก็แจ้งความประสงค์ให้แก่ท่านปลัดฮั้วห่อเก้าทราบว่า อันที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากท่านปลัดฯ ในครั้งนี้ก็คือ เพลาไปชันสูตรศพบู๋ตั้วละก็ ขอให้เขาช่วยได้ผ่านหูผ่านตา อย่าเข้มงวดกวดขันอันใดนัก เพื่อทางบ้านจักได้ทำพิธีปลงศพผู้ตายเป็นการสะดวกเรียบร้อยไป.

ฮั้วห่อเก้าก็ว่า การเท่านี้ใช่เรื่องใหญ่โตอันใดเลย ไว้ภาระเขาเองจะจัดการให้ท่านตั้วกัวยิ้งเป็นที่เรียบร้อย ว่าแต่ว่าทำไมจะต้องมาไหว้วานเขาด้วยเงินถึงมากมายเพียงนี้เล่า ไซหมึ่งก็ว่า “เอาเถิด ท่านรับไว้ก็แล้วกัน หากท่านปฏิเสธแล้ว ข้าพเจ้าก็จะถือเสียว่า ท่านมิคิดจะช่วยเหลือข้าพเจ้า.”

เท่านี้เองฮั้วห่อเก้าก็จำใจต้องรับเงินจำนวนนี้ไว้ เพราะปกติเขาหรือก็มีความยำเกรงไซหมึ่งอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เพราะรู้อยู่ว่าอิทธิพลตั้วกัวยิ้งผู้นี้มีมากนักในตำบลนี้ แล้วทั้งสองก็ออกจากร้านแยกทางกันไป.

ห่อเก้าเดินคิดรำพึงถึงการเรื่องนี้มาตลอดทาง เขาชักมั่นใจขึ้นมาว่า ชะดีชะร้ายการตายของบู๋ตั้วคราวนี้ คงต้องมีลับลมคมในอันใดสักอย่างอยู่เป็นแน่ ก็แต่ว่าจะให้เขาทำอย่างไรดีเล่า ว่าข้างเงินข้างทอง เขาหรือก็กำลังตกที่นั่งร้อนเป็นไฟอยู่ ทว่าขืนรับไว้ไม่ช้านี้เองแค่วันสองวันข้างหน้านี้ บู๋ซ้งก็คงจะกลับมา เรื่องของเรื่องคงไปกันใหญ่แน่ ๆ เพราะไหนเลยน้องชายคนกล้าหาญของผู้ตายคนนี้จะนิ่งเฉย เขาคงจะต้องติดตามเอาเรื่องจนได้ คิดวนเวียนไปมาห่อเก้าก็ให้รู้สึกชักพะอืดพะอมต่อเงินสินบนครั้งนี้เป็นที่ยิ่ง.

เขาเฝ้าเดินคิดหาทางหนีทีไล่มาตลอดทาง กระทั่งบรรลุถึงบ้านของผู้ตาย ปรากฏว่าขณะนั้นพวกทำพิธีกงเต็งกำลังรอคอยเขาอยู่นานแล้ว ตัวยายเห่งเองแกยืนหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับอยู่ข้างในบ้าน ปลัดห่อเก้ากระซิบถามลูกน้องว่า “คนตายเป็นโรคอะไรตาย?” ลูกน้องก็ตอบว่า “ภรรยาเขาแจ้งว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารพิการตาย” ดังนั้นท่านปลัดตำบลคนมีหน้าที่ตรวจศพก็เลิกมู่ลี่เข้าไปข้างในเรือน พอดียายเห่งเหลือบมาเห็นแกก็เล่นงานเข้าให้ทันที “อะไรท่านปลัดนี่มัวโอ้เอ้ ๆ ให้เสียเวลาอยู่ได้ ปล่อยให้เขาคอยกันตั้งเป็นนานสองนานกว่าจะโผล่มา นั่นแน่ะพวกกงเต๊กเขากำลังรออยู่ จะตรวจก็รีบตรวจเสียซิ.”

ห่อเก้าก็กล่าวขอโทษขอโพยไปตามเรื่อง โดยอ้างว่ามัวทำธุระติดพันคั่งค้างอยู่ จึงมาล่าช้าไปหน่อย.

ก็พอดีนางพัวกิมเน้ยแต่งตัวไว้ทุกข์นุ่งขาวห่มขาว เดินร้องไห้คร่ำครวญเข้ามา ห่อเก้าก็บอกแก่นางว่า อย่าร้องห่มร้องไห้ไปเลยนาง ไหนๆ คนตายเขาก็ตายไปแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ต้องไปสู่สุขคติ แม่หญิงจงหักอกหัวใจเสียบ้าง ดีไม่ดีจะล้มเจ็บไปเสียอีกคน หม้ายสาวของบู๋ตั้วคนเจ้ามารยาก็ยิ่งใส่ให้หนักขึ้นไปอีก “โธ่ นี่แหละ เนื้อเคราะห์เวรกรรมของข้าพเจ้าจริงๆ ไม่รู้ว่าทำบาปทำกรรมกับเขาไว้ครั้งไหน เห็นหน้าอยู่หลัดๆ พี่ก็มาตายจากไปเสีย” แล้วนางก็บีบน้ำหูน้ำตาอยู่พราก ๆ.

ห่อเก้าก็นึกแต่ในใจว่า เอนี่ไฉนถึงเป็นได้อย่างนี้หนอ ก็ตลอดเวลาที่เราได้ยินกิตติศัพท์มา อันเมียของบู๋ตั้วนี้ นางมิเคยจะกินเส้นกับสามีมาก่อนเลย ก็แล้วเหตุใดนางจึงให้มีอันเศร้าโศกเสียใจเป็นนักหนาในการตายของเขาถึงปานฉะนี้?–ช่างเถอะวะ ใช่กงการอันใดของเราก็เปล่า สมเพชก็แต่ว่า ทำไมสวรรค์ถึงบันดาลให้คนทั้งคู่มาร่วมหอลงโรงกันได้ดังนี้หนอ.

แล้วท่านปลัดประจำตำบลเช็งฮ้อก็ลงมือชันสูตรพลิกศพผู้ตายตามหน้าที่ เสียงผู้ช่วยของเขาพูดขึ้นว่า “เอ ดูซีหน้าผู้ตายซีด ๆ อย่างไรพิกล ดูซิที่ปากมีรอยฟันขบจนเห็นชัด ในปากก็มีคราบเลือดชวนสงสัยอยู่” ซึ่งห่อเก้าเองก็รู้ดีว่า ลงคนตายลักษณะเช่นนี้ น่าที่คงจะต้องถูกวางยาพิษอย่างแน่ๆ เพราะเขาสังเกตเห็นเล็บมือของผู้ตายมีสีออกม่วง ๆ ทั้งริมฝีปากหรือก็ดำเกรียม ใบหน้าซีดเหลืองเหมือนขี้ผึ้ง นัยน์ตาทั้งคู่ก็ถลนแทบว่าจะโปนออกมานอกเบ้า แต่ว่าอำนาจเงินสิบตำลึงของไซหมึ่งที่หมอบนิ่งอยู่ในพกนั่นซิ ทำให้เขาจำต้องทำความจริงไว้เสีย ฮั้วแสร้งดุผู้ช่วยอย่างไม่พอใจ “อะไร พูดเหลวไหล ก็มีอย่างที่ไหน เจ้าสังเกตดูซิว่า ฤดูนี้อากาศมันเป็นอย่างไร ร้อนอบอ้าวออกปานนี้ คนเจ็บก็ต้องดิ้นทุรนทุรายเป็นธรรมดา.”

ก็เมื่อลงหัวหน้าท่านว่าเช่นนี้ ลูกน้องมือรองจะไปว่าอย่างไรได้ แล้วการชันสูตรพลิกศพคราวนี้ก็เป็นอันผ่านไปด้วยดี.

เมื่อได้ช่วยกันยกศพบู๋ตั้วใส่โลงเป็นที่เรียบร้อยดีแล้ว เขาก็จัดการผนึกฝาโลงเสียด้วยตะปูอายุทน (Nails of Long Life) เสร็จแล้วยายเห่งก็ชำระเงินค่าธรรมเนียมให้แก่ท่านเจ้าหน้าที่เสียหนึ่งพันอีแปะตามธรรมเนียม

ในเย็นวันนั้นเอง นางบัวคำได้จัดให้มีการเลี้ยงขึ้นที่บ้านเป็นการภายในอย่างเงียบ ๆ ต่อรุ่งเช้าพระที่วัดมาสวด เสร็จแล้วสัปเหร่อก็มายกเอาศพบู๋ตั้วขึ้นใส่รถป๋องแป๋งเข็นไปจัดการเผาเสียที่นอกกำแพงเมือง.

แลในการแห่ศพพี่ชายของบู๋ซ้งผู้กล้าหาญคราวนี้ ปรากฏว่าได้มีเพื่อนบ้านเรือนเคียงเอื้อเฟื้อมาช่วยเดินตามศพเป็นการให้เกียรติยศแก่ผู้ตายสองหรือสามคน ส่วนตัวนางพัวกิมเน้ยนั้น นางแต่งทุกข์ให้สามี นั่งเกี้ยวร้องไห้นำขบวนไปตลอดทางจนกระทั่งถึงเชิงตะกอน.

หลังจากที่สัปเหร่อได้จัดการเผาศพบู๋ตั้วอยู่สักครู่ใหญ่ ร่างอันปราศจากวิญญาณของผู้ตายก็มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปสิ้นเชิง เสร็จแล้วเขาก็โกยเอาเถ้าไปทิ้งเสียที่ในคูข้างบริเวณนั้น การก็เป็นอันสิ้นสุดลงทุกประการ.

เย็นวันนั้น เจ้าของงานศพก็จัดให้มีการเลี้ยงขึ้นอีกหนึ่งที่วัดเพื่อเป็นการส่งท้าย และเงินทองในการทำศพของสามีนางพัวกิมเน้ยครั้งนี้ ปรากฏว่านับแต่เริ่มพิธีจนกระทั่งเสร็จ ล้วนเป็นเงินส่วนตัวของไซหมึ่งเข่งตั้วกัวยิ้งผู้นั้นทั้งสิ้น.

จึงเมื่อเรื่องราวอันยุ่งยากทั้งหลายแหล่เสร็จสิ้นลงแล้วเช่นนี้ บัวคำก็กลับมาบ้านด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ นางจัดการแต่งโต๊ะตั้งป้ายเกซินที่ในห้องเป็นการบูชาวิญญาณให้สามีตามธรรมเนียม ซึ่งเมื่อคนไปใครมาเห็นเข้าแต่เผินๆ ก็ชวนให้คิดไปว่า นางนี้ช่างสมกับเป็นภรรยาที่ดีตามแบบฉบับของชนจีนเสียนี่กระไร นางทำโคลงไว้อาลัยให้แก่สามีอย่างไพเราะว่า

“ที่สิงสถิตแห่งวิญญาณของบู๋ตั้ว;

สามีสุดรักผู้วายปราณของเรา.”

รอบๆ ป้ายวิญญาณนั้น นางประดับธงทิวไว้งดงาม ข้างหน้าโต๊ะก็โปรยปรายเหรียญอีแปะกระดาษเงินกระดาษทองครบถ้วนทุกสิ่งอย่างมิได้ขาดตกบกพร่องเท่าที่คนจะแลเห็น แต่ว่าการอันนางจะเซ่นวักกราบไหว้หรือไม่นั้น มิอาจมีผู้ใดใครรู้ได้ เท่านี้เรื่องของเรื่องก็เป็นอันสำเร็จเรียบร้อยลงไปด้วยดี.

ต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องของนางละ พอกลับมาถึงบ้านเย็นวันเดียวกันนั้นเอง นางบัวคำก็จัดการส่งข่าวนัดหมายไปยังเจ้าหนุ่มคนอันเป็นคู่พิศวาสให้มาพบทันที ทีนี้เป็นไม่มีก้างมาขวางคอนางอีกแล้ว จะหัวหกก้นขวิดอย่างใดได้เต็มที่ ส่วนสถานที่ ๆ แต่เดิมมาต้องอาศัยร้านยายเห่งแกเป็นเรือนนอนนั้น บัดนี้มิต้องอาศัยอีกแล้ว นอนเสียที่บ้านของนางนี้แหละจะพักลับๆ ล่อๆ ให้ลำบากไปไย จะตื่นสักแค่ไหนเมื่อใดก็ได้ตามใจชอบ การก็เป็นที่หฤหรรษ์สำราญใจแก่กันและกันสืบมา.

ก็แลการไปมาหาสู่หลับนอนที่บ้านนางพัวกิมเน้ยของเจ้าสัวไซหมึ่งระยะนี้ หนแรก ๆ เจ้าหนุ่มยังนึกละอายเพื่อนบ้านเรือนเคียงอยู่ ค่าที่เหตุการณ์พึ่งจะสด ๆ ร้อน ๆ เหลือเกิน ดังนั้นเวลาจะไปหานางทีไร ท่านตั้วกัวยิ้งก็จำต้องอาศัยผ่านด่านคือร้านยายเห่งเสียทีก่อน แล้วถึงทะลุออกทางประตูหลังเข้าบ้านนางบัวคำ แต่ไป ๆ มา ๆ หลายหนหลายครั้งเข้า ท่านเจ้าสัวแกนึกรำคาญ เลยทีนี้ดื้อ ๆ ตรงเข้าบ้านของนางเลยว่ากันอย่างโจ๋งครึ่ม มิต้องพักกลัวเกรงใคร เวลาจะมาก็พรั่งพร้อมด้วยคนใช้ติดหน้าตามหลัง ตามฐานะของคนมีอันจะกินแห่งตำบลทีเดียว และแต่ละครั้งที่มาหา ทั้งคู่ต่างก็ซ่องเสพแสวงสุขกันเป็นที่สนิทเสน่หาเปี่ยมแปล้ทุกคราวไป บางครั้งเขาก็พักค้างอ้างแรมอยู่เสียกับนางนับด้วยสี่ซ้าห้าคืน แลไซหมึ่งเข่งประพฤติการอยู่เช่นนี้ ยังผลให้บรรดาเมียหลวงเมียน้อยทางบ้านพากันเป็นเดือดเป็นแค้น เจ็บอกร้อนใจกันอยู่ทุกตัวนาง ค่าที่สามีมาเหินห่างและร้างแรมพวกนางไป.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ