หมอเตกกังต้องวิบัติ

หลังจากที่ไซหมึ่งเข่ง จัดงานขึ้นบ้านใหม่ล่วงแล้วได้ ๒–๓ วัน อยู่มาเพลาวันหนึ่งประมาณสี่โมงเช้า เขาก็มีธุระต้องไปในงานกินเลี้ยงวันเกิดแซยิดของท่านแต้ซิมพ่วงกัว ซึ่งเป็นผู้พิพากษาประจำมณฑล.

ซึ่งพอไซหมึ่งนั่งม้าลับตาออกพ้นประตูบ้านไปเท่านั้น อยู่ทางนี้นางวัวยะเนี้ยก็ชักชวนบรรดาเมียน้อยเมียรองและลูกสาวของสามี รวมทั้งหมดเป็นหกคนด้วยกันลงเที่ยวเล่นในสวนดอกไม้.

ขณะที่ทั้งหกนางต่างไต่เต้ากันชี้ชมพรรณพฤกษาลดาชาติประดามีที่ในสวนอยู่อย่างเพลิดเพลินด้วยกันนั้นเอง โอกาสหนึ่งเมื่อปลอดหูปลอดตาคน พัวกิมเน้ยปลีกตัวออกมาจากหมู่เพื่อนหญิงแลโลดไล่ต้อนตีหมู่ผีเสื้ออยู่อึงคะนึงแต่ลำพัง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องทักมาแต่เบื้องหลังว่า “โง่วเจ๊ ท่านมิรู้จักวิธีไล่ผีเสื้อเล่นดอกหรือ มาข้างนี้ซิ ข้าพเจ้าจะสอนให้”

บัวคำก็ตกใจและสะดุ้งจนสุดตัว นางหันขวับมาดูทางเจ้าของเสียง แต่แล้วพอนางเห็นว่าเขาผู้นั้นคือ ตั้งกิมกี่ เขยหนุ่มของสามี ชายอันนางพิสมัยอยู่ก็ดีใจหากแต่แสร้งใส่จริตทำกระเง้ากระงอดเอากับเจ้าหนุ่มว่า “คนบ้า เล่นอะไรพิลึกเช่นนี้ก็มิรู้ ทำเอาตกอกตกใจหมด!”

เขยหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็มิได้พูดว่ากระไร เขายิ้มให้นางเหมือนอย่างประจบ พลางเข้ากระชั้นชิดนางบัวคำ เจ้าหนุ่มรั้งร่างนางไว้ในอ้อมกอดแลก้มลงประทับจูบภรรยาคนที่ห้าของท่านพ่อตาอย่างดูดดื่มซาบซึ้ง.

และทันใดนั้นเอง นางเง็กเล้าซึ่งขึ้นไปชะเง้อชะแง้อยู่บนหอคอยกลางสวนก็ตะโกนร้องเรียกหานางพัวกิมเน้ยดังลั่นมา “โง่วเจ๊ ๆ! เร็วเข้า ขึ้นมาดูอะไรข้างบนนี้เถอะ จะบอกอะไรให้!”

บัวคำก็ดิ้นจนสุดแรงสะบัดหลุดออกมาได้จากอ้อมกอดของกิมกี่ นางสลัดเอาเจ้าหนุ่มกระเด็นไป และแล้วนางก็รีบลุกลี้ลุกลนไต่หอสูงขึ้นไปหาซัมเจ๊ทันที ทิ้งให้ตั้งกิมกี่ยืนมองดูด้วยสายตาอันละห้อยแฝงความปรารถนาอันร้อนแรงไว้ในทรวงอกอย่างเหลือประมาณ––

อนึ่งตั้วกัวยิ้ง ไซหมึ่งเข่งผู้นี้ ชื่อเสียงและกิตติศัพท์ของเขาย่อมเป็นที่รู้จักกันดีอยู่ในหมู่ชาวเช็งฮ้อ ที่มิใช่แต่เฉพาะในหมู่สังคมชั้นสูงพวกผู้ดีมีเงินเท่านั้นด้วยซ้ำ แม้ในพวกนักเลงหัวโจกหัวไม้เหล่าอันธพาล ชื่อเสียงของเขาก็กว้างขวางเอาการอยู่.

และก็ในบรรดานักเลงเหล่าหัวไม้นี้ มีที่ตัวร้ายๆ อันจะอ้างถึงอยู่สองคน คือ “อ้ายงูดิน” (Grass Snake) คนหนึ่ง กับ “อ้ายหนูขี้เรื้อน” (Road Rat) อีกคนหนึ่ง เจ้านักเลงสองคนนี้แหละที่เป็นยอดอันธพาลจอมเกเรของหมู่บ้านเช็งฮ้อนี้ เป็นอาชญากรคนสำคัญที่ทางการบ้านเมืองต้องการตัวมันอยู่ทุกขณะ แต่หากด้วยอาศัยอิทธิพลบารมีลูกพี่ของมันคุ้มอยู่ เจ้างูดินและอ้ายหนูขี้เรื้อนทั้งสองคนนี้ จึงยังคงลอยนวลอยู่ได้ตลอดมา!

แลค่อนบ่ายของวันเดียวกันนี้เอง ขณะที่ไซหมึ่งนั่งม้ามาจากบ้านท่านผู้พิพากษาแต้ เขาก็มาเจอะเจ้าสองคนนี้เข้าพอดีที่ร้านเหล้าข้างทาง พอเห็นหน้าเจ้างูดินกับเจ้าหนูขี้เรื้อนเข้า ไซหมึ่งก็นึกขึ้นมาได้ถึงอุบายอันจะก่อความวิบัติให้แก่หมอเตกกัง คนคู่แค้น เขาจึงหยุดมาและเรียกให้สองนักเลงจอมเกกมะเหรกนี้ออกมาพบ.

ขณะนั้นเจ้าดาวร้ายทั้งสองกำลังเล่นลูกเต๋าพนันกันอยู่ พอมันได้ยินเสียงคนเรียกก็หันไปดู จำได้ว่าเป็นท่านตั้วกัวยิ้งผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น มันก็รีบลนลานออกมาหา ถามเขาว่ามีธุระอันใดจะใช้สอยหรือ? ไซหมึ่งก็บอกว่า มีน่ะมีแน่ แต่ให้มันไปพบเขาที่บ้านพรุ่งนี้เช้าจึงจะบอกให้.

อ้ายงูดินได้ยินเช่นนั้น ความที่มันออกจะเป็นคนใจร้อนก็บอกว่า ทำไมตั้วเฮียจะต้องชักช้าเสียเวลาไปจนถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้ด้วยเล่า เอากันเสียเดี๋ยวนี้จะเป็นไร เพราะพวกมันพร้อมอยู่แล้วทุกเมื่อทุกขณะ ที่จะรับใช้เขาตามแต่จะบัญชามา.

ตั้วกัวยิ้งก็พยักหน้าว่าดีเหมือนกัน พลางก้มลงกระซิบบอกอุบายที่จะใช้มันทั้งสองให้ไปปฏิบัติการ ซึ่งก็คือแผนกำจัดหมอเตกกัง สามีของนางฮวยลีปังผู้นั้นเอง.

เมื่อสั่งเสียลูกน้องเสร็จสิ้นดีแล้ว ไซหมึ่งคนน้ำใจกว้างก็ควักเงินส่งให้มันทั้งสองคนละห้าตำลึง

แต่อ้ายงูดินไม่ยอมรับ อ้างว่าธุระของท่านผู้มีพระคุณเพียงแค่นี้ การใดจะต้องให้เดือดร้อนเปลืองเงินทองด้วยเล่า อย่าว่าแต่การเพียงแค่นี้เลย แม้ให้มันไปทึ้งหงอนถอนเขี้ยวมังกรในมหาสมุทรและเสือโคร่งบนยอดเขาฮุยซันมันก็ยังทำให้ได้.

ไซหมึ่งเห็นเช่นนั้นก็ไม่พอใจ เขาพูดด้วยเสียงขุ่น ๆ ว่า “ตามใจเมื่อพวกเจ้าไม่เอาก็แล้วไป ทีหน้าทีหลังเราจะได้ไม่พักมาง้องอนใช้สอยพวกเจ้าต่อไปอีก ว่าแล้วก็ใช้ให้ไต้อังยี้เก็บเงินนั้นเสีย และกระตุกบังเหียนม้าเพื่อจะเดินทางต่อไป”

ทันใดนั้นเอง เจ้าหนูขี้เรื้อนก็รีบชิงกระโดดเข้ายึดบังเหียนม้าไว้เสียก่อน แลหันไปดูเจ้าเพื่อนของตนว่า “เจ้าไม่รู้จักการอะไรเป็นอะไร การที่เจ้าปฏิเสธเงินรางวัลของตั้วเฮียท่านเช่นนี้ ดีมิดีท่านก็ต้องเข้าใจว่าเราปฏิเสธไม่ยอมทำงานให้แก่ท่านน่ะซี” แล้วมันก็ก้มลงคุกเข่าขอโทษไซหมึ่งอยู่กลางถนน.

ทั้งสองให้คำมั่นสัญญาเป็นที่แน่นอนต่อตั้วกัวยิ้งผู้นี้ว่า “ท่านจงกลับไปนอนทำใจให้สบาย คอยฟังข่าวอยู่ที่บ้านของท่านเถิด การเรื่องนี้ไว้หน้าที่ของพวกข้าพเจ้าเอง อย่างช้าภายในสองวันนี้เป็นรู้เรื่อง”

แลเจ้างูดินยังสนับสนุนอีกสืบไปว่า “เอาไว้ให้ข้าพเจ้าปฏิบัติงานให้ตั้วเฮียท่านสำเร็จแล้วก่อน ข้าพเจ้าจะไปขอรับรางวัลจากท่าน ซึ่งก็คงไม่ผิดไปเสียจากให้เฮียท่านไปช่วยแก้คดีกับแต้ซิมพ่วงกัวนั่นเอง” แล้วมันทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน.

ตั้วเฮียใหญ่คนเจ้าอิทธิพลก็ยิ้มอยู่ในหน้า และบอกแก่มันว่า “เอาละ ตกลง!” แล้วเขาก็ชักม้าบ่ายหน้าเพื่อเดินทางกลับบ้านต่อไป

เย็นวันนี้ที่ไซหมึ่งอารมณ์ดี และมีความสบายแก่ใจอยู่ ค่าที่ปลอดโปร่งโล่งใจมา ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านและนั่งดื่มน้ำร้อนน้ำชาพอดับกระหายคลายเหนื่อยแล้ว เขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและเกิดอารมณ์คึกคักขึ้นมาทันที “เอ ก็ไฉนวันนี้โง่วเจ๊ของเรา ดูช่างพริ้มเพราน่ารักกว่าเคยมาเช่นนี้หนอ?” ดำริในอกแล้วไซหมึ่งก็โอบอุ้มร่างนางบัวคำขึ้นนั่งบนตัก พลางจุมพิตหยอกเอินอยู่ด้วยความอันแสนพิศวาสเป็นล้นพ้น แลท่านพ่อบ้านใช้ให้นางชุนบ๊วยไปรินสุราองุ่นแก่ๆ มาให้จอกหนึ่ง ซึ่งระหว่างนี้เองที่ด้วยแรงโอบของสามี เสื้อผ้าอาภรณ์ของบัวคำก็หลุดลุ่ย และถลกรั้งเริดขึ้น ฝ่ายบัวคำเมื่อขึ้นไปเอี้ยมเฟี้ยมอยู่หว่างตักสามีเป็นที่สบายใจแล้ว นางก็บรรจงป้อนเหล้าเข้าปากสามีอยู่เนือง ๆ แก้วแล้วแก้วเล่า ลางทีเมียจิบแล้วไม่พอ จรดปากจ่อป้อนให้สามีเล่า ดูเป็นที่สนิทเสน่หาต่อกันยิ่งนักในเชิงประเวณี สักครู่บัวคำก็แกล้งปลิวเมล็ดบัวอ่อนหนามขมป้อนเข้าปากสามีอีก แต่หนนี้พอเมล็ดบัวล่วงคอ ไซหมึ่งก็ถ่มพรวดตีหน้าเหยเกและบอกว่า “บรื๊อว์ขมนี่น้อง เล่นอะไรยังงี้ก็ไม่รู้ หนามมันตำคอพี่จะแย่แล้ว!”

นางโง่วเจ๊ชอบใจและบอกว่า จะเป็นไรไปนะ ถึงขมก็ขนมเมียของท่านป้อน! กินเข้าไปซิ นี่ละเขาว่าลางดีจะบอกให้ พูดแล้วนางก็บิมันห้อส่งเข้าปากให้สามีอีกชิ้นหนึ่ง.

ไซหมึ่งก็รู้นัยว่าที่ภรรยาทำเช่นนี้ นางมีความหมายเช่นไร เพราะนับแต่อยู่กินด้วยกันมา ปรากฏว่าพัวกิมเน้ยยังมิเคยจะได้ให้กำเนิดทายาทแก่เขาเลย!

พลันสามีก็ซบหัวลงซุกกับอกนาง ซึ่งบัดนี้สไบบางได้หลุดลุ่ยหมดสิ้นแล้ว ปทุมถันอันเต่งตึงตั้งเต้าทั้งคู่ของนาง ก็ปรากฏให้เห็นอยู่เต็มทรวง แสนจะผุดผ่องโสภาเป็นล้นพ้น ที่แลราวกับแท่งหยกอันนายช่างวิจิตรจำหลักจำลองทำ ไซหมึ่งอดมิได้ที่จะก้มลงเคล้าเคลียและโลมเลียซึ่งรสอันระรื่นอยู่ไปมา––

สักครู่ไซหมึ่งก็เงยหน้าขึ้นบอกแก่ภรรยาว่า วันนี้เขามีเรื่องดีจะเล่าให้นางฟังเรื่องหนึ่ง เมื่อบัวคำถามว่าเรื่องอันใด? เขาก็เล่าให้นางฟังถึงอุบาย อันได้กำหนดไว้ต่อหมอเตกกัง ตามที่ได้ใช้ให้ลูกสมุนทั้งสองไปปฏิบัติการ.

เมื่อภรรยาได้ฟังสามีเล่าเช่นนั้น นางก็พูดพลางหัวเราะพลางว่า ไม่น่าเลยที่เขาจะไปแกล้งคุณหมอแกถึงเช่นนี้ ปกติบ้านเรารึก็เคยอาศัยไหว้วานแก่ให้มารักษาพยาบาลอยู่บ่อย ๆ ว่าข้างนิสัยใจคอแล้ว นางก็เห็นว่าหมอเตกกังมีความสุภาพนิ่มนวลดีอยู่ ขันแต่เวลาที่แกคำนับคนเขา ทำไมแกถึงต้องโค้งเสียจนตัวงอแทบว่าหลังจะหักเสียให้ได้ก็ไม่รู้ นึกแล้วบัวคำว่า นางอดสงสารแกไม่ได้

ไซหมึ่งเข่งได้ยินภรรยาพูดเช่นนี้ก็หัวเราะชอบใจ และบอกว่ารู้ไว้เถอะ ที่เจ้าหมอคนนั้นคำนับใครต่อใครเขาจนหลังแทบจะหักนั้น เป็นลูกไม้ของเขา โดยเฉพาะพวกผู้หญิง ๆ ละก็ เจ้าหมอคนนี้โค้งต่ำดีนัก ทั้งนี้เพื่อจะถือโอกาสลอบดูเท้าของผู้หญิงเขาอย่างไรล่ะ.

“ตายจริง! ทำไมท่านคิดเช่นนี้เล่า? เห็นทีข้าพเจ้าจะพลอยเชื่อตามคำท่านไม่ไหวแล้ว มีอย่างที่ไหน คนเป็นมดเป็นหมอมีหรือจะประพฤติการอันบัดสีเช่นที่ว่านี้ ข้าพเจ้าคาดไปข้างว่าหมอกางคงไม่ทรามเหมือนดั่งท่านว่ากระนี้ดอก”

สามีก็ตอบว่า “น้องเคยพบเห็นเจ้าหมอเตกกังคนนี้ก็ชั่วแต่อิริยาบถภายนอกเพียงผิวเผิน หารู้ลึกซึ้งถึงน้ำใสใจจริงของมันไม่ รู้ไว้เถอะ เจ้าหมอคนนี้มนุษย์ร้อยเล่ห์เราดี ๆ นี่เอง!”

เราจะละเหตุการณ์ด้านไซหมึ่งไว้ชั่วขณะ โดยหันไปย้อนฟังความทางบ้านนางฮวยลีปังดูบ้าง.

สองเดือนมาแล้ว ที่นับแต่หม้ายสาวของฮวยจื้อฮือผู้นี้ได้อยู่กินด้วยกันมากับหมอเตกกัง แรกๆ คุณหมอแกก็คิดว่า การที่จะเอาอกเอาใจแม่หม้ายทรงเครื่องคนนี้ ทีจะมิยากเย็นเท่าใดนัก เพราะค่าที่เขาเป็นถึงนายแพทย์ผู้สำเร็จมาจากวิทยาลัยการแพทย์ของประเทศ ชั่วดีก็มีความช่ำชองในการวินิจฉัยโรคและสั่งยาได้ถูกต้องตามอาการโรคอยู่แล้วเป็นทุน จึงเมื่ออยู่กินกันใหม่ๆ ในระยะที่ลีปังพึ่งรื้อไข้ คุณหมอก็ต้มยาให้กิน เพื่อนอกจากจะหวังเอาอกเอาใจภรรยาแล้ว ก็เพื่อทวีสุขภาพอันเสื่อมโทรมของนางให้คืนดี แต่ที่ไหนได้อยู่มาๆ คุณหมอเกิดชักเข้าหน้าภรรยาไม่ติดเสียแล้ว ประการแรก นางลีปังยังผูกพันในรสพิศวาสของไซหมึ่ง คนมีฝีมือผู้นั้นอยู่มิเสื่อมคลาย ประการถัดมาหมอเตกกังผู้นี้ดั่งเคยเล่ามาแล้วว่า เขามีรูปร่างค่อนข้างเตี้ย ขาดบุคลิกภาพอันชวนนิยมจากเพศตรงข้าม ดังนั้นอยู่มิช้ามินานนัก ความระหองระแหงก็เกิดขึ้นในครัวเรือน ยามใดสามีเข้าใกล้นาง ยามนั้นเสมือนนางได้เห็นภูตผีปีศาจอันอมโรค มิได้มีสิ่งอันใดในตัวของสามีจะเป็นที่สบอารมณ์แก่นางเลย นางให้แสนที่จะขยะแขยงและระอาเอือมเขาเป็นล้นพ้น ลีนั่งเฝ้าแต่ด่าทอประชดประชันอยู่มิขาดปากมิเว้นแต่ละวันมา แลบ่อยครั้งที่หมอกางต้องถูกภรรยาขับไสมิให้นอนร่วมมุ้ง นางตะเพิดให้เขาออกไปหาที่ซุกหัวนอนเอาเองที่ร้าน ซึ่งคุณหมอก็ต้องจำยอมตลอดเวลามา.

กระทั่งถึงวันหนึ่ง–วันอันจะมีเรื่อง หมอกางเกิดทะเลาะขึ้นกับนางฮวยลีปังอีกอย่างรุนแรง เขารีบหลบหน้าพาร่างออกมาอยู่เสียที่ร้าน.

พอดีมีชายแปลกหน้าท่าทางกักขฬะสองคนเข้ามาในร้านและถามซื้อยา คนหนึ่งในจำนวนสองที่มาถามว่า “ร้านนี้มีเก๊า-อึ๊ง (dog-yellow) ขายมั้ย?” เจ้าของร้านซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานขายไปในตัวเสร็จ ก็ตอบว่า “ไม่มีดอกชะรอยท่านจะเรียกผิด เขาไม่เรียก เก๊า-อึ๊ง แต่เรียก กงู้-อึ๊ง (Ox-yellow) ข้าพเจ้ามี ท่านจะเอาไหมล่ะ?”

แทนที่ชายผู้นั้นจะตกลงซื้อ กงู้-อึ๊ง ดังที่ถาม เขากลับถามหาซื้อยาขนานอื่นต่อไปอีก “ดีล่ะ ถ้าเช่นนั้นเอา ซึง-ซีฮวย (Tea-ashes) มาให้สองตำลึงก็แล้วกัน”

หมอกางชักเอะใจ ก็ตอบไปแต่โดยดีอีกว่า “พูดเป็นเล่นไปน่า มีที่ไหนกัน ซึง-ชีฮวย เขาขายกันแต่ ซึง-ซุ่ย เพียง (Ice-chip) หรือม่ายงั้นก็การบูร ถ้าท่านประสงค์การบูรละก็ ร้านข้าพเจ้ามีการบูรเปอร์เซียอย่างดีขายท่าน ท่านจะเอาเท่าไร?”

ทันใดนั้นชายอีกคนที่มาด้วยกันก็พูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ได้ความเสียแล้ว ร้านนี้ที่จะพึ่งเปิดใหม่ ดูกิจการยังไม่เรียบร้อยดีเลยนี่ หยูกยาก็มีขายไม่ครบ ว่าแต่ว่าเรามีเรื่องที่จะพูดกับท่านสักหน่อย นี่หมอเตกกัง ท่านจำได้หรือไม่ว่า ท่านยังเคยได้ไปขอยืมเงินมาจากท่านสุภาพบุรุษผู้นี้สามสิบตำลึงเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เมียเก่าท่านถึงแก่กรรมลง ท่านลองนึกดูให้ดี วันนี้ละ เจ้าหนี้เขาจะมาทวงเงินและดอกเบี้ยของเขาตามที่ท่านสัญญาไว้ จะว่าอย่างไรก็เร่งว่าออกมาเสีย ความจริงนั้นเราสืบรู้นานแล้วว่าท่านมาเปิดร้านขายยาใหม่ที่นี่ แต่คอยดูใจท่าน จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นท่านเอาไปใช้สักที”

สามีคนยากของนางฮวยลีปังได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ค่าที่อยู่ ๆ โดนถูกคนมาหาว่าเป็นลูกหนี้โดยไม่รู้ตัว

เขาตอบชายแปลกหน้าทั้งสองไปอย่างตะกุกตะกักด้วยความตกตะลึงว่า “เอ๊ะ อะไรกันนี่ ข้าพเจ้านะหรือเป็นลูกหนี้ท่านผู้นี้”

“เออน่า อย่าทำเป็นตื่นเต้นตกใจไปหน่อยเลยเพื่อน! วันนี้ท่านหนีเราไปไหนไม่พ้นดอก”

“แต่ว่าข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักท่านผู้นี้มาก่อนเลยนี่จะว่าอย่างไร ด้วยซ้ำหน้าตายังไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย พึ่งจะได้เห็นก็วันนี้แหละ เรื่องอะไรข้าพเจ้าถึงจะได้ไปเป็นลูกหนี้เขาได้?”

“เฉยไว้เถอะน่าหมอ คิดเสียใหม่ให้ดี คิดถึงวันเมื่อหมอยังไม่มีอะไรจะกิน ตอนที่ยังเดินเคาะระฆังก๋องแก๋ง ๆ เร่ขายยาเขาอยู่ตามหัวถนนท้ายถนนนั้นบ้างเป็นไร ยังจะนึกออกหรือไม่เล่า ว่าใครเป็นคนให้ท่านกู้เงินมาทำศพเมีย คิดให้ดีนะ เจ้าของเงินเขาอยู่ด้วยแล้วทีนี้”

ทันทีนั้นเองท่านสุภาพบุรุษผู้ถูกอ้างถึง ซึ่งที่แท้ก็คือ “เจ้างูดิน” นั้นเอง ได้พูดขึ้นว่า “ท่านจำมิได้หรือ เราชื่อลูกฮุย ผู้ที่ท่านเคยไปขอยืมเงินมาสามสิบตำลึง และสัญญาว่าจะให้ดอกเบี้ยอีกสิบแปดตำลึง!”

“อ๊ะ เรื่องอะไร เราถึงจะต้องใช้เงินท่านเล่า ก็เรายังไม่เคยขอยืมเงินท่านมาเลยนี่” หมอกางชักโมโหเดือดขึ้นมาบ้าง ค่าที่อยู่ๆ ถูกคนมาเหยียดหยามจนถึงร้านเช่นนี้ หนำซ้ำยังขึ้นเสียงซักหาไปถึงใบสัญญากู้ยืมเงิน และชื่อเสียงเรียงนามคนค้ำประกันอีกว่าอยู่ที่ไหนและเป็นใครกัน? ถ้าจะว่าเขาเคยไปกู้ไปยืมเงินมาละก็.

“อ้าว ถ้าท่านต้องการเช่นนี้ก็ดี เรานี้ไงล่ะ คนค้ำประกันให้ท่าน ข้าพเจ้าชื่อเตียวจง ท่านจำไม่ได้เสียแล้วหรือ?” อ้ายหนูขี้เรื้อนรีบเสนอตัวออกรับสมอ้างทันที ว่าแล้วก็ควักใบสัญญาออกมาให้หมอกางดูและว่า “นี่ไงละ ใบกู้” ยังผลให้หมอกางถึงแก่หน้าซีดเป็นขี้ผึ้งไปเลย.

“ดีละมึง อ้ายพวกหมา–อ้ายพวกโจร ถึงจะมาขู่กรรโชกกูนี่หว่า!” สามีนางฮวยลีปังเอ็ดตะโรลั่นร้านขึ้นมาทันที.

แต่แทนที่ชายแปลกหน้าทั้งสองจะโต้ตอบ คนหนึ่งซึ่งชื่ออ้ายงูดิน ได้ปราดไปที่โต๊ะและกระชากคอคุณหมอออกมา แล้วมันก็ชกกร้วมเข้าให้ที่ปากครึ่งจมูกครึ่ง ทำเอาคุณหมอก้นจ้ำเบ้าหงายผลึงลงไป เสร็จแล้วทั้งสองก็ช่วยกันรื้อโต๊ะรื้อตู้กวาดเอาเครื่องหยูกเครื่องยาโยนทิ้งออกไปนอกร้าน หกระเนระนาดเต็มถนนไปหมด.

เจ้าของร้านก็ได้แต่ส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรพลางเขาร้องเรียกให้เทียนฮกช่วย เจ้าเทียนฮกพอได้ยินนายเรียก ก็ผลุนผลันเข้ามาหวังจะช่วยแก้แค้นแทนนาย แต่ที่ไหนได้ พอเขาพรวดเข้ามา ไม่ทันจะได้ดูตาม้าตาเรือ ก็โดนถูกเตะหงายผลึ่งออกไป เจ้าคนใช้เลยไม่ฟังเสียงเผ่นแน่บไม่คิดหน้าคิดหลัง ปล่อยให้หมอเตกกังนอนครางอู้ลั่นร้านอยู่คนเดียว แล้วเจ้านักเลงหัวไม้ทั้งสองก็ช่วยกันรั้งเอาตัวสามีนางลีปังออกมาจากใต้โต๊ะ เขย่าคอพลางตะคอกขู่ว่า มันจะยอมให้เวลาแก่เขาอีกสองวัน เพื่อให้หมอกางรีบหาเงินมาใช้ให้จงได้ แต่คุณหมอก็ใจเด็ดทายาด แกไม่ยอมของแกอยู่ท่าเดียว ด้วยซ้ำยังยืนยันว่าจะจัดการยื่นฟ้องร้องเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอีก.

เจ้าสองคนก็หัวเราะชอบใจ และพูดอย่างใจเย็นแก่หมอว่า “อย่าพูดเป็นเล่นไปหน่อยเลยน่า ชะรอยคุณหมอท่านคงจะยังไม่สร่างเมา หรือไม่เช่นนั้นก็คงยังง่วงนอนอยู่!” พูดแล้วอ้ายหนูขี้เรื้อนก็จับคอเสื้อหมอเตกกังเขย่าไปเขย่ามางอกแง่ก ๆ.

พอดีขณะนั้นเอง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้มาถึง เลยเข้าทำการจับกุมนำเอาตัวบุคคลทั้งสามซึ่งเป็นคู่วิวาทไปส่งที่ว่าการตำบล.

แลตลอดเวลาที่เจ้างูดินและเจ้าหนูขี้เรื้อนเข้ามาอาละวาดอยู่ในร้านนี้ นางฮวยลีปังได้แอบดูและรู้เห็นเหตุการณ์อยู่จนหมดสิ้น นางรู้สึกสมน้ำหน้าและชอบใจในการกระทำของชายแปลกหน้าทั้งสองเป็นอย่างมาก และเมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้นำเอาบุคคลทั้งสามไปที่ว่าการฯ แล้วนางก็ใช้ให้ยายผั้งปลดป้ายหน้าร้านลงเสีย และสั่งให้ปิดประตูร้านจนสิ้นเชิง ส่วนหยูกยาที่หกเรี่ยราดอยู่กลางถนนนั้น มิช้าคนไปใครมาก็ช่วยกันเก็บเอาไปจนหมดสิ้น.

ซึ่งชั่วครู่เดียวเรื่องนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงหูไซหมึ่งเข่ง เขารีบจัดการให้คนใช้ถือหนังสือส่วนตัวไปให้ท่านผู้พิพากษาโดยด่วนทันที.

ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อแต้ออกนั่งบัลลังก์แล้ว เขาก็สั่งให้เบิกคู่ความออกมาเพื่อพิพากษาคดีความต่อไป.

ผู้พิพากษาได้ถามหมอกางว่า “เจ้านี่หรือชื่อกาง ที่ชาวบ้านเรียกว่า “หมอเตกกัง” เรื่องอะไรเจ้าถึงได้ปฏิเสธไม่ยอมใช้หนี้เล่า? รู้ไหมว่ามีความผิด มิหนำซ้ำเจ้ายังไปด่าทอเจ้าหนี้เขาเข้าอีก ก็ยิ่งผิดใหญ่ เรื่องอะไรเจ้าถึงทำเช่นนี้?”

หมอกางเมื่อได้ยินข้อกล่าวหาเช่นนั้น ก็ให้การว่าเขามิเคยรับทราบและเกี่ยวข้องกับคดีนี้มาก่อนเลย อยู่ๆ ชายสองคนนี้ก็เข้ามาทวงเงินที่ในร้านดื้อ ๆ ครั้นโต้เถียงกันขึ้น คนทั้งสองก็ตรงเข้ากลุ้มรุมทำร้ายเขา มิหนำซ้ำยังทำลายข้าวของในร้านของเขาอีกด้วย.

ผู้พิพากษาก็หันไปถามเจ้างูดินว่า “ว่าอย่างไรลกฮุย เจ้าจะแก้ตัวเช่นไร?”

อ้ายงูดินก็ให้การว่า “หมอกางผู้นี้ได้ไปขอกู้เงินข้าพเจ้ามาเพื่อทำศพภรรยาแต่เมื่อสองปีก่อน เป็นจำนวนสามสิบตำลึงและสัญญาว่าจะให้ดอกเบี้ยอีกสิบแปดตำลึง แต่ก็หาได้นำเงินไปชำระข้าพเจ้าตามสัญญาไม่ และระหว่างนี้เองหมอกางได้มาเปิดร้านขายยาขึ้นที่ถนนสิงโต ข้าพเจ้ารู้เข้าก็มาขอเงินคืนแต่โดยดี เขากลับบิดพลิ้ว มิหนำซ้ำกลับด่าว่าข้าพเจ้าเป็นข้อหยาบคายต่างๆ นานา อีก ซึ่งเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีประจักษ์พยาน คือเอกสารใบสำคัญกู้ยืมเงินกับตัวนายประกัน ซึ่งได้อยู่ที่นี้ด้วยกันแล้วเดี๋ยวนี้”

แล้วท่านผู้พิพากษาก็รับเอาใบสัญญาไปดู ปรากฏตามข้อความในเอกสารสัญญาฉบับนี้ระบุว่า :–

ข้าพเจ้าหมอกาง อาชีพเป็นหมอรักษาโรค ได้ขอกู้เงินจากลกฮุย เพื่อไปใช้จ่ายในการทำศพภรรยาของข้าพเจ้าเป็นจำนวน ๒๐ ตำลึง กำหนดสัญญาจะใช้คืนทั้งเงินต้นและดอกภายในหนึ่งปี ดอกเบี้ยร้อยละสามต่อเดือน เตียวจง เป็นผู้ค้ำประกัน.

อนึ่ง หากเกิดการบิดพลิ้วประการใดขึ้น ข้าพเจ้ายอมให้ถือเอกสารสัญญาฉบับนี้เป็นหลักฐานฟ้องร้องสืบไป”

เมื่อแต้อ่านสัญญาจบแล้ว รู้สึกว่าเขาโกรธมากถึงกับทุบโต๊ะปังใหญ่ ตวาดและเสียงก้องศาลว่า “นี่อย่างไรเล่าประจักษ์พยาน เจ้าไม่มีทางจะแก้ตัวแต่อย่างใดเลย นอกจากเจตนาจะหลีกเลี่ยงบิดพลิ้วไม่ยอมชดใช้หนี้สินแก่เจ้าหนี้เขาจริงตามที่ระบุไว้ในสัญญา”

และพอแต้ออกคำสั่งขึ้นอีกคำต่อมา พนักงานศาล ๓–๔ คน ก็ก้าวพรวดเข้ามาควบคุมตัวหมอกางไว้ แล้วนำเอาตัวไปโบยหลังเสีย ๓๐ ที ตามธรรมเนียม เสร็จแล้วก็นำตัวตระเวนไปยังบ้าน เพื่อให้นำเงินมาชำระแก่เจ้าหนี้ตามจำนวนที่เป็นหนี้สิน.

แต่จะให้หมอกางทำอย่างไรได้เล่า เพราะเขาไม่มีเงิน ดังนั้น เขาจึงก่นแต่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยกลัวจะต้องถูกจองจำดูเป็นที่น่าปริเทวนาการอยู่ เขาได้ไปอ้อนวอนพรพิไรขอความกรุณาต่อภรรยาอย่างน่าสงสาร เพื่อให้นางได้กรุณาช่วยออกเงินจำนวน ๓๐ ตำลึง ใช้หนี้แทนเขาด้วย แต่นางลีปังไม่ฟังเสียง นางถุยน้ำลายใส่หน้าแล้วก็บอกว่า เมื่อเขามาอยู่กับนางนั้น สมบัติแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่มีมา แล้วเรื่องอะไรจะมาให้นางต้องออกเงินใช้หนี้ให้อีกถึง ๓๐-๔๐ ตำลึงเช่นนี้ มิหนำซ้ำนางยังย้อนให้อีกว่า ถ้านางรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นนี้แล้ว อย่าหวังเสียให้ยากเลยว่านางจะแต่งงานด้วย!

เมื่อเจ้าพนักงานศาลเห็นว่าจำเลยหมดทางจะหาเงินใช้หนี้แก่โจทก์แน่แท้แล้ว ก็จัดแจงจะคุมตัวไปส่งศาลเพื่อรับการตัดสินเข้าคุกจำขังตามกฎหมาย หมอกางเห็นหมดท่า ก็เลยลงทุนโขกหน้าผากลงกับพื้นเป็นการอ้อนวอนภรรยาครั้งสุดท้าย เขาร่ำรำพันสรรเสริญล่วงหน้าไปถึงว่า “หากนางช่วยทำบุญให้แก่เขาในครั้งนี้แล้ว แม้แต่โขดขุนเขาก็ย่อมจักต้องพลอยแซ่ซ้องสาธุการในกุศลบุญราศีที่นางกระทำ” นางฮวยลีปังก็ใจอ่อนยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์แทนสามีคนยากผู้นี้ แล้วนางก็รับเอาสัญญาฉบับนั้นมาฉีกทิ้งเสีย เรื่องก็เป็นอันแล้วกันไป.

อ้ายงูดินกับอ้ายหนูขี้เรื้อนก็พาเอาความสำเร็จกลับไปรายงานแก่ไซหมึ่งเข่งที่บ้านตามที่มันได้ปฏิบัติมา มันมอบเงินสามสิบตำลึงให้แก่เขาและบอกว่า ทีหน้าทีหลังตั้วกัวยิ้งมีธุระอันใดจะใช้สอยพวกมันอีก ก็ให้บอกไปไม่ต้องเกรงใจ.

ไซหมึ่งก็ขอบอกขอบใจ และบอกให้มันรับเอาเงินสามสิบตำลึงนี้ไปไว้สำหรับจับจ่ายใช้สอยตามแต่ใจ มิต้องพักเอามาให้เขาดอก ถือเสียว่าเป็นค่าป่วยการก็แล้วกัน การก็เป็นอันว่าไซหมึ่งใช้งานเจ้าสองดาวร้ายนี้โดยมิต้องชักเนื้อควักทุน.

วันรุ่งขึ้นถัดมานั้นเอง ไซหมึ่งก็ได้รับข่าวว่า บัดนี้นางลีปังชู้รักเก่าได้อัปเปหิหมอเตกกังสามีจำเป็นของนางออกไปจากบ้านแล้ว จึงเป็นอันว่าร้านขายยาที่ตั้วกัวยิ้งเกรงว่าจะเป็นคู่แข่งขันอันน่าเกรงขามของเขานั้น ได้เลิกล้มกิจการไปแล้วโดยสิ้นเชิง.

ข้างนางฮวยลีปังนั้นเล่า พอสามีหอบเสื้อหอบหมอนออกจากบ้าน นางก็ใช้ให้คนใช้ตักน้ำราดหัวบันไดเป็นการไล่เคราะห์ล้างเสนียดจัญไรตามหลังทันที ซึ่งก็เท่ากับแสดงให้เห็นแล้วว่า ชีวิตสมรสระหว่างนางกับหมอเตกกังผู้นี้ได้ขาดสะบั้นต่อกันแล้วอย่างสิ้นเชิง นางฮวยลีปังค่อยรู้สึกโล่งใจไปได้หน่อย ค่าที่นางจะได้ไม่ต้องพบเห็นสามีผู้ที่นางเกลียดขี้หน้าคนนี้สืบไปอีก ถึงกระนั้นก็ตาม นางยังมิวายหายขุ่นข้องหมองใจและอดนึกสาปแช่งตัวของตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมิได้ ในความใจเร็วด่วนได้ของนาง ที่ชิงหนีไซหมึ่งเข่งมาแต่งงานเสียกับหมอกาง และนับแต่บัดนี้เป็นต้นมา นางลีปังก็เฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงชู้รักเก่าอยู่มิเว้นวาย นางยืนชะเง้อคอยหาชายอันเป็นยอดปรารถนาในดวงใจของนางอยู่ที่ประตูบ้านเป็นนิจนิรันดร์มา.

––she watched and waited, longing for news of him.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ