เรื่องหญิงคนชั่ว

หญิงจำพวกหนึ่งซึ่งจะเรียกว่า “นครโสเภณี” (แปลว่าหญิงงามกรุง) ก็ตาม จะเรียกว่า “เสริณี” (แปลว่าหญิงผู้ถือเสรีภาพ) ก็ตาม หรือจะเรียกเป็นคำไทย ๆ ว่า “หญิงคนชั่ว” ก็ตาม คำเรียกนั้น ๆ ถ้าพูดตามแปลศัพท์ ก็ไม่มุ่งให้ทราบว่าเป็นหญิงชนิดไหน ลำพังคำไทยว่า คนชั่ว อาจเป็นคนซึ่งชั่วทางอื่น ๆ ร้อยแปดประการ แต่ถ้าพูดว่าหญิงคนชั่วหรือโรงคนชั่วก็หมายความว่าชั่ว อย่างนั้น อย่างเดียว มีคำใหม่คำหนึ่ง ซึ่งใช้กันบ้างแล้วในทางกฎหมายว่า “ค้าประเภณี” แต่ ประเวณี แปลว่าผมถักเป็นสายอย่างหางเปียอย่างหนึ่ง แปลว่าสักหลาดสีใช้แทนอานม้าอย่างหนึ่ง แปลว่าต่อเนื่องกันเป็นสายหรือรับกันเป็นทอดๆ อย่างหนึ่ง จึงแปลว่าขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่ง คำที่ใช้กันขึ้นใหม่ ๆ ว่า ค้าประเวณีนั้น ถ้าจะเข้าใจว่า ขายผมเปีย หรือขายสักหลาดสี ก็พอไปได้ตามความหมายของศัพท์ แต่ที่จะให้เข้าใจว่า ขายขนบธรรมเนียมนั้น ขนบธรรมเนียมจะขายอย่างไรได้ คำไทยใช้กันมาเก่า มีคำหนึ่งว่า “ร่วมประเวณี” แต่นั้นมีคำว่าวมอยู่ด้วย เผื่อจะมีผู้มีความรู้ไม่พ้นปฐม ๑ อ่านหนังสือนี้บ้าง เราจึงชี้แจงเสียอีกหน่อยว่า ประเวณีกับประเพณีนั้นคำเดียวกัน

เราเขียนข้างบนนี้เป็นแแสดงความเห็นว่า ใช้คำไม่เหมาะไม่ได้บอกว่าใช้อย่างไรจึงจะเห็นว่าเหมาะ ที่เรายังไม่ได้บอกเพราะยังไม่รู้ ยังนึกไม่ออก เราเป็นผู้เขียนหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ผู้เขียนกฎหมาย เพราะฉะนั้นถ้อยคำที่ยังคิดไม่ออก ก็ไม่พะวงที่จะคิด เมื่อไรคิดออกมันก็หลุดออกมาเอง โดยแทบจะไม่ต้องนึก เหมือนเทวดาดลใจบอกให้

ดังนี้ในที่นี้เราจึงเรียกหญิงคนชั่วว่า หญิงคนชั่ว ไม่บอกว่าแปลว่ากระไร เพราะท่านก็รู้อยู่แล้ว

ปัญหาเรื่องหญิงคนชั่วนี้ เป็นปัญหายากแลเป็นปัญหาสำคัญทุกประเทศ เป็นไปในเรื่องสังสรรค์ของประชุมชนมาในวิชา sociology ซึ่งเปิดดิกชั่นนารีสํสกฤตพบคำว่า สมาชศาสตร์

(เราขอเสนอคำว่า สังสรรค์แลสมาชะ สองคำนี้ไว้ เพราะคำอังกฤษว่า social, social question, sociology เหล่านี้เราจะต้องมีคำใช้ เหตุว่าปัญหาเรื่องหญิงคนชั่ว เรื่องคนขอทาน ฯลฯ เหล่านี้ รัฐบาลคงจะต้องพิเคราะห์มากขึ้นทุกที ล้วนเป็นเรื่องสังสรรค์ (social) ทั้งนั้น คำว่าสังสรรค์แต่ก่อนใช้กันมาก แต่เดี๋ยวนี้หายไป คำว่าสมาชะอีกคำหนึ่งก็ดูกระทัดรัดดี เราขออภัยที่เขียนศัพท์แทรกเข้ามาในเรื่องหญิงคนชั่ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ถ้าไม่เขียนลงไปก็คงจะลืมเสีย อนึ่ง เมื่อเขียนถึงเรื่องที่เป็น social question ก็ควรจะคำนึงถึงศัพท์นั้นด้วย)

ปัญหาเรื่องหญิงคนชั่วนี้ ท่านมิควรเข้าใจว่าเป็นปัญหาเรื่องเดียวกับหญิง “สัญจรโรค” ปัญหา ๒ เรื่องนั้นเกี่ยวเนื่องกัน แต่คนละปัญหา ไม่ใช่ปัญหาเดียวกันแท้

การหากินของหญิงคนชั่วนั้น บางคนแลบางหมู่ชนก็เห็นเป็นของเลวเหลือล้น บ้างก็เห็นเลวไม่มากนัก แลพวกที่กลับเห็นเป็นของดีเพราะจำเป็นก็มี แต่ใครจะเห็นอย่างไรในเรื่องความดีความเลวก็ตาม ทุกคนที่ตรึกตรองถ้วนถี่แล้ว ย่อมจะเห็นว่าลบล้างให้หมดไปยังไม่ได้

พวกที่เคร่งในศาสนา บางศาสนา แลจรรยา บางแบบ เห็นว่า ควรพยายามจัดให้มีน้อยลงที่สุด แต่บางพวกเห็นว่าควรจัดไปในทางที่เป็นคุณมากเป็นโทษน้อย แม้คนในภูมิประเทศเดียวกัน ก็เห็นเปลี่ยนไปตามรุ่นคน สิ่งซึ่งคนรุ่นทวดแลปู่เห็นชั่วร้ายสาหัส คนรุ่นเหลนแลหลานเห็นตรงกันข้ามก็ได้

ดั่งนี้ประเทศต่าง ๆ จึงแลดูปัญหาในทางเกี่ยวกันบ้าง ผิดทางกันบ้าง แต่สันนิบาตชาติก็ได้ถือเอาบางส่วนแห่งปัญหานี้ว่า เป็นปัญหาระหว่างชาติอันอาจร่วมประชุมกันจัดให้เรียบร้อยได้ กล่าวโดยเฉพาะคือการค้าหญิงไปเป็นคนชั่ว ซึ่งผ่านอาณาเขตข้ามแดนประเทศต่าง ๆ เป็นอันมาก ในเดือนเมษายนหน้านี้ (พ.ศ. ๒๔๗๘) จะมีประชุมสันนิบาตชาติปรึกษาหารือเรื่องการค้าหญิง กำหนดเอาสิงคโปร์เป็นที่ประชุม เราคิดว่าสยามคงจะแต่งผู้แทนไปเข้าประชุม เพราะได้ลงชื่อเข้าร่วมในสันนิบาตชาติในเรื่องนี้ถึง ๓ ครั้งแล้ว การค้าหญิงนี้มีเกี่ยวข้องมาในสยาม แลสันนิบาตชาติได้แต่งกรรมการเข้ามาสืบเรื่องราวในประเทศนี้ เมื่อประมาณ ๕ ปีมาแล้ว

การค้าหญิง (ไปเป็นคนชั่ว) นั้น ประเทศที่พลเมืองถูกส่งไปเป็นสินค้ายอมเป็นเจ้าทุกข์ ในการจัดสินค้า ผู้จัดใช้เล่ห์เหลี่ยมทั้งล่อทั้งชนทุกประการ เพื่อจะทำคนดีให้เป็นคนชั่ว ในยามนี้มีหญิงจีนถูกพามาเป็นสินค้ามาก เห็นได้จากจำนวนโรงคนชั่วในกรุงเทพ ฯ ในปีนี้ที่กรรมการสันนิบาตชาติมาที่นี่ (พ.ศ. ๒๔๗๓) มีโรงคนชั่วไทย ๒๒ โรง โรงคนชั่วญวน ๓ โรง โรงคนชั่วจีนถึง ๑๒๖ โรง ยังในหัวเมืองคือภูเก็ตเป็นต้นอีกเล่า หญิงจีนที่ถูกพาหรือถูกส่งมาเป็นคนชั่วในสยามนั้น “รับแขก” แต่พวกคนจีนด้วยกัน แต่เมื่อมาสยามแล้ว ก็มิได้เพียงสยามทั้งหมด ยังมีผ่านสยามเข้าไปในประเทศอื่น เช่น แดนมลายูของอังกฤษอีกเล่า หญิงไทยไปเป็นคนชั่วอยู่ในแดนอังกฤษก็มี คงจะถูกหลอกพาไปบ้าง ไปกับผัวชาวต่างประเทศบ้าง แลไปเองบ้าง เจ้าพนักงานของรัฐบาลแดนมลายูของอังกฤษได้เคยร้องว่า สยามเป็นประตูการค้าหญิงเข้าไปเป็นคนชั่วในแดนของเขา แต่อันที่จริง “สินค้า” ส่วนมากมิใช่สินค้าไทย เป็นสินค้าต่างประเทศ ซึ่งอาศัยผ่านสยามไปเท่านั้น

เพราะเหตุที่หญิงคนชั่ว มักมีสำนักอยู่ในโรงคนชั่วแลสินค้าที่มาจากประเทศอื่นนั้น ย่อมตรงไปอาศัยโรงคนชั่วเป็นที่พักผ่อนที่จะแยกจำหน่ายไปที่อื่น การปรึกษาของสันนิบาตชาติในเรื่องค้าหญิง จึงลุกลามไปถึงโรงคนชั่วด้วย กรรมการสันนิบาตชาติ (แผนกปัญหาการค้าหญิง) กล่าวยืนยันว่า จะปราบปรามการค้าหญิงก็ต้อง “รื้อรัง” เสียก่อน แต่การที่จะเข้ารื้อรัง (นัยหนึ่งเลิกโรงคนชั่ว) นั้น บางประเทศก็เถียงว่า เป็นการภายในประเทศ มิใช่ปัญหาระหว่างประเทศ ซึ่งสันนิบาตชาติจะควรล่วงล้ำเข้าไปเกี่ยวข้องได้ แต่มีหลายประเทศที่ปรากฏว่าน้อมใจไปในทางจะเลิกโรงคนชั่ว รวมทั้งญี่ปุ่นด้วย

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีวิธีจัดการโรงคนชั่วอย่างที่ผู้เคยไปเห็น ย่อมเห็นว่าเรียบร้อย มีโยชิวาราซึ่งรู้จักชื่อกันไปไกล แต่กระนั้นในประเทศญี่ปุ่นก็มี ๓ เมืองซึ่งได้เลิกโรงคนชั่วแล้ว แลลงมติกันว่า จะเลิกอีก ๑๐ เมือง (ทั้งนี้เราพูดตามรายงานของสันนิบาตชาติ)

ปัญหาเรื่องหญิงคนชั่วนี้ มีข้อความมากมายนัก อาจพิจารณาเทียบกฎหมายหลายประเทศที่มีมาแล้ว และที่เปลี่ยนแปลงไปในหมู่นี้ แลทั้งเทียบวิธีการที่จัดกันในประเทศต่าง ๆ แลผลแห่งการจัดนั้นด้วย ในเวลานี้ประเทศต่าง ๆ กว่า ๕๐ ประเทศที่ไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ตั้งโรงคนชั่วมานานแล้ว หรือเพิ่งเลิกกฎหมายอนุญาตให้ตั้งโรงคนชั่วใน ๒-๓ ปีที่แล้วมานี้ หรือเพียงจะเริ่มดำเนินไปในทางที่จะเลิก ทั้งหมดเกี่ยวด้วย “สมาชะศาสตร์” และเราจะเขียนต่อไปอีกบ้างในโอกาสอันสมควร.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ