ตอนที่ ๓ ท้าวกำพลนาคไปเยี่ยมท้าวกรุงพาณ

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวกำพลนาคเรืองศรี
ทรงศักดาเดชฤทธี อยู่มหาธานีบาดาล
ประกอบด้วยโภไคยไอศูรย์ สมบูรณ์สมบัติพัสถาน
รุ่งเรืองด้วยแก้วเก้าประการ โอฬารล้วนทิพสวรรยา
ทวยแสนเสนีรี้พล แต่ละตนเรืองฤทธิ์พิษกล้า
นับด้วยสมุทรคณนา ร้ายกาจหยาบช้าชาญฉกรรจ์
อันหมู่นาคอนงคนิกร ดั่งนางอัปสรสาวสวรรค์
บำเรอบาทเป็นสุขทุกนิรันดร์ ไม่มีอันตรายราคี
เป็นสหายกับท้าวกรุงพาณ ผู้ผ่านรัตนาบุรีศรี
ไปมาหากันทุกปี เป็นที่รักร่วมชีวา

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ เข้าที่เหนือแท่นชวลิต ให้ครวญคิดถึงท้าวยักษา
ช้านานไม่เห็นลงมา หรือประชวรโรคาประการใด
จำกูจะขึ้นไปฟังดู ให้รู้ร้ายดีเป็นไฉน
คิดแล้วทรงเครื่องอำไพ เสด็จไปออกท้องพระโรงคัล

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ อันโอภาสพรรณรายฉายฉัน
พร้อมหมู่นาคาอเนกนันต์ อภิวันท์เกลื่อนกลาดดาษไป
จึ่งมีพระราชบัญชา แก่เสนานาคผู้ใหญ่
จงจัดพหลพลไกร จะขึ้นไปรัตนาธานี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาผู้ชาญชัยศรี
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เกณฑ์หมู่พหลพลนาค ให้แปลงกายเป็นกากภาษา
เหล่าหนึ่งหัวเป็นแร้งกา กายานั้นเป็นวานร
เหล่าหนึ่งตัวเป็นคนธรรพ์ หน้านั้นเป็นหน้ากาสร
เหล่าหนึ่งหน้าเป็นมังกร ตัวเป็นวิชาธรเผ่นทะยาน
เหล่าหนึ่งตัวเป็นผีโป่ง หน้าเป็นเสือโคร่งตัวหาญ
เหล่าหนึ่งหน้าเป็นหน้าฟาน ตัวเป็นตัวมารยืนยัน
เหล่าหนึ่งตัวเป็นอสุรกาย หน้าเป็นแรดร้ายขบขัน
เหล่าหนึ่งหน้าเงาะยิงฟัน ตัวนั้นเป็นตัวมนุษย์
ล้วนถือเครื่องสรรพศัสตรา กวัดแกว่งไปมาอุตลุด
นิมิตทั้งม้าต้นฤทธิรุทร คอยพญาภุชงค์จรลี

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกำพลนาคเรืองศรี
เสร็จจัดโยธานาคี มาเข้าที่สรงชลธาร

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ให้ไขท่อแก้วปทุมทอง เป็นละอองเฟื่องฟุ้งหอมหวาน
ทรงสุคนธ์ปนทิพสุมามาลย์ สนับเพลาแก้วก้านกระหนกงอน
ภูษาพื้นตองทองผุด ชายไหวประดับบุษย์ประภัสสร
ชายแครงช่อแก้วอลงกรณ์ ฉลององค์เครือซ้อนสุพรรณพราย
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น สังวาลวัลย์มรกตสามสาย
เฟื่องห้อยพลอยประดับทับทิมราย ทองกรนาคกลายพาหุรัด
ทรงพระธำมรงค์เรือนเก็จ มงกุฎเพชรรุ้งร่วงดวงจำรัส
ห้อยพวงมาลัยดอกไม้ทัด กรรเจียกจอนเนาวรัตน์รูจี
จับพระขรรค์แก้วแววฟ้า งามสง่าดังองค์โกสีย์
เสด็จจากปราสาทมณี จรลีมาขึ้นอัสดร

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ม้าเอยม้านิมิต ทำฤทธิ์เทียมราชไกรสร
สูงตระหง่านผ่านขาวอรชร ผมอ่อนหางยาวเท้ารัด
ผูกเครื่องสุวรรณกุดั่นเพชร จงกลแก้วเรือนเก็จแสงจำรัส
เคล่าคล่องว่องไวดั่งลมพัด ดีดกัดกล้าหาญชาญฉกรรจ์
ได้ยินเสียงพลโห่ฮึก แล่นสะอึกเผ่นโจนโผนผัน
ประดับด้วยจามรทอนตะวัน กรรภิรุมชุมสายรายเรียง
ธงริ้วทิวเรียบเป็นแถวถ้อง ปี่ฆ้องกลองขานประสานเสียง
โยธาแห่หน้าเป็นคู่เคียง ดูเพียงฟองคลื่นในสายชล
ผงคลีพัดคลุ้มกลุ้มกลบ โห่สนั่นลั่นภพกุลาหล
ชำแรกแทรกพื้นสุธาดล รีบพลขับแข่งกันไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นถึงรัตนาธานี ให้หยุดโยธีน้อยใหญ่
ลงจากสินธพมโนมัย เข้าไปในท้องพระโรงคัล

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กรุงพาณฤทธิแรงแข็งขัน
เสด็จออกอสุรกุมภัณฑ์ เห็นพระสหายนั้นขึ้นมา
กวักหัตถ์ร้องเชิญแต่ไกล ด้วยใจแสนโสมนัสสา
ลุกจากแท่นแก้วรัตนา มาจูงกรพญานาค

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ให้นั่งร่วมอาสน์สุวรรณรัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรมณีศรี
ต่างคำรพนบนอบด้วยไมตรี โดยที่พันธมิตรสนิทกัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญานาคฤทธิแข็งขัน
กับพระสหายร่วมชีวัน ต่างชมเชยกันไปมา
ต่างตนมีความโสมนัส ตบหัตถ์สำรวลสรวลร่า
ต่างตนปราศรัยสนทนา ลูบหลังลูบหน้าด้วยยินดี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวพาณาสูรยักษี
เจรจาด้วยพญานาคี เป็นที่รื่นเริงบันเทิงใจ
จึ่งมีมธุรสพจนารถ แก่มหาอำมาตย์ผู้ใหญ่
จงสั่งวิเสทนอกใน ให้แต่งเอมโอชโภชนา
อีกทั้งเมรัยชัยบาน ตระการด้วยมัจฉะมังสา
มาถวายพระสหายร่วมชีวา เลี้ยงทั้งโยธานาคี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งมหาอำมาตย์ยักษี
รับสั่งพระองค์ทรงธรณี ถวายอัญชุลีแล้วออกไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งสั่งชาววังให้หมายบอก วิเสทในนอกน้อยใหญ่
ให้แต่งโภชนาแลเมรัย โดยในพระราชบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางวิเสทซ้ายขวา
แจ้งหมายจ่ายของเป็นโกลา มาทำตามที่พนักงาน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ วิเสทในก็แต่งเครื่องต้น เทียบทานสับสนอลหม่าน
พร้อมทั้งเมรัยชัยบาน ของคาวของหวานครบครัน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางพนักงานสาวสรรค์
พร้อมทั้งสิบสองพระกำนัล ชวนกันอาบน้ำชำระกาย
ผัดพักตร์นวลละอองยองใย ใส่น้ำมันกันไรเฉิดฉาย
แน่งน้อยจิ้มลิ้มยิ้มพราย นุ่งห่มกรีดกรายโอฬาร์
ท่วงทีมารยาทสะอาดงาม จัดตามตำแหน่งซ้ายขวา
ยกเครื่องเนื่องตามกันออกมา ถวายองค์พญากุมภัณฑ์

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น ท้าวพาณาสูรรังสรรค์
จึ่งชวนพระสหายร่วมชีวัน เสวยด้วยกันสำราญใจ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางกำนัลน้อยใหญ่
ทรงโฉมเลิศลักษณ์อำไพ เข้ามาหมอบใช้อสุรี
ลางนางก็รินสุรา ใส่จอกรัตนามณีศรี
ถวายทั้งพญานาคี บ้างโบกปัดพัดวีอยู่งาน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฝ่ายนางบำเรอก็ครวญขับ ร้องรับรี่เรื่อยเฉื่อยฉาน
ดีดสีตีเป่าบรรเลงลาน ฉิ่งกรับประสานจังหวะกัน
รำมะนาท้าทับสลับเสียง เพราะเพียงบรรเลงเพลงสวรรค์
โหยหวนทุ้มเอกโอดพัน เสนาะสนั่นแจ้วจับวิญญาณ์

ฯ ๔ คำ ฯ

พระทอง

๏ ฝ่ายนางระบำก็รำฟ้อน กรายกรกรีดนิ้วพลิ้วท่า
เวียนวงเป็นหงส์ลีลา เข้ามาใกล้องค์พญามาร
ยักย้ายร่ายรำทำกระบวน ให้ยั่วยวนในความสงสาร
แล้วเปลี่ยนท่ามารำเป็นบัวบาน ชำเลืองลานแลเหลือบเป็นที
เยื้องไหล่กรายหัตถ์พร้อมกัน ผินผันเมียงม่ายชายหนี
ยิ้มละไมใส่จริตให้ยินดี เป็นที่เพลิดเพลินจำเริญใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางวิเสทนอกน้อยใหญ่
เสร็จแต่งโภชนาแลเมรัย ก็ให้หาบหามเข้ามา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ตั้งเรียงเคียงไว้เป็นเหล่าเหล่า แกล้มเหล้าควายปิ้งกระทิงพล่า
ช้างพะแนงแกงอูฐโคลา ตุ่มใหญ่ใส่สุราเรียงราย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โยธาบาดาลทั้งหลาย
เห็นของหลากหลากมากมาย ไพร่นายชื่นชมยินดี
นั่งพร้อมล้อมกันเป็นเหล่าเหล่า กินแกล้มกินเหล้าหัวร่อมี่
บ้างส่งเวียนกันทำที เมามายด่าตีกันวุ่นไป
บ้างเต้นบ้างรำโฉงเฉง ตบมือทำเพลงปรบไก่
บ้างพูดอวดตัวไม่กลัวใคร สำราญใจทุกหมู่โยธา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกำพลนาคนาถา
เสวยพลางทางทอดทัศนา ดูนางกัลยาระบำบัน
ยิ่งพิศก็ยิ่งพิศวง รูปทรงงามเพียงอัปสรสวรรค์
ทั้งน้ำเสียงสำเนียงโอดพัน ซาบกรรณแว่วเจื้อยจับใจ
ครํ่าครวญรัญจวนป่วนจิต ข้องคิดในความพิสมัย
งวยงงหลงเคลิ้มสติไป ที่ในรูปทรงกัลยา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวพาณาสูรยักษา
กับท้าวกำพลนาคา เสร็จเสวยโภชนาสุราบาน
พูดเล่นเจรจาด้วยกัน สำรวลสรวลสันต์เกษมศานต์
คิดแต่จะเที่ยวรอนราญ ด้วยจิตเป็นพาลไม่เกรงใคร

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา[๑]

๏ เมื่อนั้น พญานาคผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นบ่ายชายแสงอโณทัย จึ่งกล่าวคำไปด้วยสุนทร
พระสหายค่อยอยู่สวัสดี เรานี้จะลาไปก่อน
ตรัสแล้วย่างเยื้องบทจร มายังนิกรโยธา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงขึ้นทรงมโนมัย พร้อมด้วยพลไกรซ้ายขวา
ชำแรกแหวกสมุทรลงมา ยังมหาบาดาลธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด



[๑] จบต้นฉบับหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๕๖๗ ขึ้นต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕๔๘ สอบเทียบกับต้นฉบับสมุดไทยเลขที่ ๕๔๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ