ตอนที่ ๑๓ ท้าวกรุงพาณพานางอุษาเข้าเมือง

๏ เมื่อนั้น พระสุทธาวาสอาจารย์ใหญ่
ได้ฟังสองกษัตริย์เลิศไกร ก็ตรึกไปโดยทางประเวณี
อันกรุงพาณกับอัครชายา มาวอนขออุษาโฉมศรี
จะไปเลี้ยงเป็นราชบุตรี ว่านี้เห็นจริงทุกประการ
ตัวกูก็เป็นดาบส สร้างพรตทรงพรหมวิหาร
จะตั้งใจภาวนารักษาฌาน ให้สำราญวิเวกวิญญาณ์
ครั้นว่าจะหวงนางไว้ จนจำเริญวัยใหญ่กล้า
จะเป็นที่ติฉินนินทา แก่มนุษย์เทวานาคี
ควรกูจะให้นงลักษณ์ แก่ท้าวสิบพักตร์ยักษี
ไปไว้ในราชธานี จะได้มีสุขทุกนิรันดร์
คิดแล้วจึ่งกล่าวสุนทร ดูก่อนพระบรมรังสรรค์
ซึ่งมาว่าวอนรำพัน จักขอหลานขวัญของเราไป
เลี้ยงเป็นพระราชบุตรี ตูนี้ก็ประสิทธิ์ประสาทให้
จงอุปถัมภ์บำรุงอรไท ดั่งบุตรเกิดในอุทร
แม้นมาตรประมาทผิดพลั้ง จงเมตตายับยั้งสั่งสอน
จึ่งจะมีศรีสวัสดิ์สถาวร ทั้งพระบิดรแลมารดา

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวพาณาสูรยักษา
กับโฉมนวลนางไวยกา ได้ฟังวาจาพระนักธรรม์
แสนภิรมย์สุดโสมนัสนัก ผิวพักตร์ผ่องพรายฉายฉัน
ดั่งได้สมบัติเทวัญ ในฉ้อชั้นวิสุทธิ์ดุษฎี
ประนมหัตถ์ตรัสตอบขอบคุณ ซึ่งการุณโปรดเกล้าเกศี
ลึกกว้างหนักพ้นพันทวี ไม่มีสิ่งเปรียบเทียบทาน
พระองค์อย่าทรงพระอาวรณ์ ปรารมภ์เร่าร้อนด้วยพระหลาน
โยมจะเลี้ยงเรียงร่วมวิญญาณ ถนอมปานดวงใจนัยนา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ทรงไสยศาสตร์สิกขา
ได้ฟังทั้งสองกษัตรา แสนโสมนัสสาพันทวี
จึ่งว่าแก่เยาวมาลย์หลานรัก เจ้าดวงจักษุเฉลิมศรี
บัดนี้สองกษัตริย์ธิบดี มาขอเทวีผู้ร่วมใจ
ครั้นว่าอัยกามิให้เจ้า จะห่วงเลี้ยงขวัญข้าวไปจนใหญ่
ก็จะเป็นมลทินโทษภัย แก่วิสัยบรรพชิตสิทธา
หนึ่งอยู่ในไพรก็ไร้ญาติ สารพันอนาถอนาถา
อยู่เดียววิ่งเล่นเห็นเวทนา กำพร้าบิตุเรศมารดร
เจ้าไปก็จะได้เป็นเอกองค์ พระบุตรีสุริย์วงศ์อดิศร
ไพบูลย์พูนสวัสดิ์สถาวร เป็นศรีพระนครเมืองมาร
ด้วยเธอนิราศขาดประยูร จะสืบเสวยไอศูรย์มหาศาล
ไปด้วยท่านเถิดนะนงคราญ จะได้สุขสำราญเปรมปรีดิ์

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางอุษามารศรี
ฟังพระอัยกาพาที เทวีสลดระทดใจ
คิดถึงที่เสบยเคยสนิท สะท้อนจิตอาทวานํ้าตาไหล
กราบลงทรงโศกาลัย โหยไห้ครวญคร่ำรำพัน

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้พระอัยกาเจ้าเอ๋ย พระคุณเคยบำรุงผดุงขวัญ
ประสายากเลี้ยงข้าในอารัญ ไม่มีวงศ์พงศ์พันธุ์จะนำพา
เช้าตรู่หลานอยู่ศาลาลัย พระไปเก็บผลไม้ที่ในป่า
มากน้อยสอยได้แล้วรีบมา ประโลมเลี้ยงนัดดาเป็นอาจิณ
เคยกล่อมไกวให้นอนแล้วอาบนํ้า ไม่ควรทำก็ทำได้สิ้น
พระคุณหนากว่าแผ่นแดนดิน สูงสุดพรหมินทร์ทิฆัมพร
ซึ่งเมตตากรุณานี้หนักนัก หลานรักมิได้แทนพระคุณก่อน
วิบากใดมาซัดกำจัดจร ให้จำจากบวรบาทา
ถึงกระไรแต่พอใหญ่ขึ้นกว่านี้ จะพลัดพระมุนีก็ไม่ว่า
ที่เคยเห็นเคยเล่นทุกเวลา ทีนี้จะเปล่าตาเปล่าใจ
เมื่อไรจะได้กลับมาเห็นพักตร์ พระผู้การุญรักนั้นหาไม่
ตั้งแต่จะแลลับไป นับวันจะไกลทุกเดือนปี
หลานไปที่ไหนจะมีสุข จะแสนทุกข์ถึงเบื้องบทศรี
ร่ำพลางกอดบาทพระมุนี โศกีเพียงสิ้นชีวา

ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น พระมหาดาบสพรตกล้า
เห็นหลานรักร่วมวิญญาณ์ ทรงโศกโศกาจาบัลย์
ให้คิดอาลัยเป็นใยห่วง ดังบาศบ่วงผูกใจไว้มั่น
ชลเนตรนองพักตร์พระนักธรรม์ รับขวัญกอดหลานเข้าร่ำไร

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ โอ้อนิจจาอุษาเอ๋ย ตาเคยเลี้ยงเจ้ามาจนใหญ่
ครั้งนี้จะจากอกไป แสนสังเวชใจพ้นประมาณ
ประสาเด็กก็จะเห็นแก่เป็นสุข หรือทนทุกข์วอนว่าน่าสงสาร
น้ำคำร่ำรักทุกประการ ตาฟังเพียงลาญชีวาวาย
อันความกตัญญูซึ่งรู้รอบ ก็ประกอบเป็นเกียรติของโฉมฉาย
อย่าแสนโศกวิโยคระกำกาย สายสวาทจงคลายซึ่งทุกข์ร้อน
เจ้าเป็นสัตว์อุบัติในบัวมาศ ประหลาดโลกแท้เทพอัปสร
สวาทอายหน่ายครรภ์มารดร เหมือนแกล้งเกิดกลางกรอัยกา
ไปพบเข้าจึ่งเอามาเลี้ยงไว้ ก็แจ้งใจว่ามีวาสนา
ผูกพันประดิพัทธ์ยิ่งนัดดา เสน่หาเจ้าสุดเแสนทวี
ซึ่งปลิดปลงจำนงอนุญาต แก่สองไทธิราชเรืองศรี
ใช่จะไม่อาลัยเมื่อไรมี แสนรักพ้นที่จะเปรียบปาน
เห็นโฉมตรูอยู่ด้วยอัยกา เสวยแต่ของป่าเป็นอาหาร
แสนยากลำบากกันดาร ต้องธุลีลมพานหมองมอม
เจ้าไปอยู่ในบุรีราช จะพร้อมพรูหมู่นาฏนางถนอม
จงวายคลายทุกข์ฤทัยตรอม จอมขวัญอย่าร้อนอาวรณ์ใจ
เราเป็นแต่วิบัติพลัดพราก ใช่จะวายตายจากนั้นหาไม่
ตานี้มีชีวิตอยู่ตราบใด จะเวียนไปเยี่ยมเยือนนิจกาล
อุตส่าห์ฝากกายสองกษัตริย์ โฉมสวัสดิ์อย่างพลั้งที่สั่งสาร
เจ้าไปโรคภัยอย่าแผ้วพาน รํ่าพลางกอดหลานเข้าโศกา

ฯ ๒๐ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์สุริย์วงศ์นาถา
เห็นพระบรมสิทธา กับนางอุษาวิลาวัณย์
ต่างองค์ทรงกันแสงโศก ด้วยวิโยคยามร้างห่างขวัญ
โหยไห้พิไรร่ำรักกัน กุมภัณฑ์สงสารแสนทวี
จึ่งกล่าวสุนทรวาจา ปลอบนางอุษาโฉมศรี
แม่ผู้ยอดฟ้ากุมารี อย่าโศกีครวญคร่ำระกำองค์
บิตุรงค์ชนนีจะรับเจ้า ขวัญข้าวนิ่มน้อยนวลหง
ไปเป็นเฉลิมศรีสุริย์วงศ์ เอกองค์อัครราชธิดา
ถนอมเลี้ยงเพียงบุตรในอุทร ดวงสมรจงฟังพ่อว่า
อย่ารังเกียจเดียดฉันท์เลยแก้วตา มารดามิให้ระคายใจ
แม้นปรารถนาดาวเดือนดวงตะวัน พ่อจะเหาะไปสวรรค์เอามาให้
ขวัญอ่อนอย่าอ้อนอาลัย ไปด้วยแม่เถิดนะนงคราญ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางอุษาเยาวยอดสงสาร
ได้ฟังสองกษัตริย์พจมาน สวาทหวานซ่านซาบทั้งอินทรีย์
ค่อยสว่างบางเบาบรรเทาเทวษ เยาวเรศนบนิ้วเหนือเกศี
กราบลงแล้วสนองวาที ลูกนี้ไร้วงศ์พงศ์พันธุ์
บิตุเรศมารดาก็หาไม่ กำเนิดในหิมวาพนาสัณฑ์
พระจะเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม์ พระคุณนั้นเลิศล้นคณนา
ขอเอาพระเดชสองกษัตริย์ เป็นฉัตรแก้วกั้นเกศา
จะสนองรองเบื้องบาทา ไปกว่าจะสิ้นชนมาน

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านรัตนามหาศาล
กับนางไวยกานงคราญ ฟังรสพจมานกุมารี
แสนฉลาดแหลมล้ำร่ำไร เสนาะเพราะจับใจยักษี
สองกษัตริย์โสมนัสยินดี จึ่งมีสุนทรบัญชา
มิเสียแรงเจ้าเกิดในโกเมศ แต่เยาวเรศได้เจ็ดชันษา
งามทั้งรูปรสพจนา ปรีชาชาญยิ่งทุกสิ่งงาม
จะหาไหนได้เหมือนเจ้านี้ ไม่มีเลยแล้วในโลกสาม
บุญส่อให่พ่อพยายาม[๑] มาพบทรามรักร่วมใจ
ว่าพลางสององค์อภิวาท ลาบาทพระมหาอาจารย์ใหญ่
นวลนางอุษาอรไท ละห้อยไห้ลาองค์อัยกา
นอบนบจบเท้ามาใส่เกศ เพิ่มเทวษเศร้าโทมนัสสา
พญามารอุ้มองค์พระธิดา ออกจากศาลาพระมุนี

ฯ ๑๒ คำ ฯ เพลง

๏ ถึงที่ประทับจัตุรงค์ ขึ้นทรงรถแก้วทั้งสองศรี
วางองค์อุษากุมารี เหนือตักเทวีมารดร
แล้วมีบรรหารสิงหนาท ให้ขับซึ่งราชไกรสร
เลิกหมู่โยธาพลากร บทจรไปโดยมรคา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

โอ้

๏ เมื่อนั้น โฉมเฉลาเยาวเรศอุษา
เหลียวหลังดูบรรณศาลา กัลยายิ่งคิดสลดใจ
นิจจาเอ๋ยทีนี้จะแลลับ จะได้กลับมาเห็นนั้นหาไม่
สระสนานธารน้ำก็จำไกล ทั้งพระไทรร่มรื่นพื้นทราย
เห็นต้นโศกยิ่งแสนกำสรดโศก จะวิโยคจากไปน่าใจหาย
เคยนั่งนอนเล่นเย็นสบาย กับฝูงทรายเนื้อนกไม่ไกลกัน
เห็นพลาญยิ่งลานฤทัยหวัง จะจากมิ่งไม้ดั่งสวนสวรรค์
เคยเล่นชิงช้าลดาวัลย์ จะห้อยหันเปล่าอยู่กับดงดาน
ครวญพลางนบนิ้วขึ้นเหนือเกศ ลาฝูงเทเวศทุกสถาน
ทั้งพระคุณทูนเกล้าผู้ยอดญาณ ไม่ตามมาส่งหลานให้ชื่นใจ
เหลียวแลจนสุดเนตรแล้ว สุดแคล้วสุดคล้อยละห้อยไห้
สุดลับไม่เห็นศาลาลัย สลดใจซบพักตร์ลงโศกา

ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น ท้าวพาณาสูรยักษา
เห็นลูกรักแสนโศกา ผ่านฟ้าสงสารเป็นสุดคิด
สองกษัตริย์ตรัสปลอบแล้วรับขวัญ รำพันพรรณนาประกาศิต
เชิญแม่เสมอทรวงดวงชีวิต พิศชมนกไม้ให้คลายใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

ชมดง

๏ พระชี้หัตถ์ตรัสชวนพระธิดา เจ้าแลดูสกุณาในป่าใหญ่
นั่นโนรีจับรังบังใบ ส่งสำเนียงเสียงใสน่าฟัง
พระชนนีชี้ว่านั่นนกแก้ว จับเกดพูดแจ้วเหมือนร้องสั่ง
สาลิกาจับพุ่มภิรมย์รัง กระลาจับกระสังระวังนาง
เบญจวรรณจับหว้าแล้วราร่อน ช่างทองจับสะท้อนฟ้อนหาง
กางเขนเล่นขนบนต้นคาง เขาไฟจับฝางร้างรัก
เค้าโมงจับโมงมองเมียง ซังแซวส่งเสียงบนต้นสัก
กระลุมพูจู่จับกระลำพัก นกกวักร้องกวักบนทองกวาว
กุลาโห่จับเหียงเคียงคู่ เค้ากู่กู่ก้องสำเนียงหนาว
พระเยาวมาลย์เยี่ยมม่านสุวรรณวาว กับแสนสาวชมเพลินจำเริญใจ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ รีบรถคชาพาชี รีบแสนเสนีน้อยใหญ่
ล่วงเข้าลำเนาพนัสไพร ตรงไปยังราชพารา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า
แจ้งว่าองค์ท้าวเจ้าพาณา ได้ราชธิดากุมารี
ชื่อนางอุษายุพาพักตร์ มาแต่สำนักพระฤๅษี
ทรงลักษณ์เลิศกัลยาณี ทั้งไตรโลกไม่มีเปรียบปาน
เล่าลือไปทุกแห่งหน ต่างคนอุ้มลูกจูงหลาน
บ้างละร้านเรือนการงาน วิ่งพ่านอื้ออึงคะนึงมา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ นั่งแน่นตามที่วิถีทาง สองข้างถนนซ้ายขวา
วัดเหวี่ยงเถียงกันเป็นโกลา พอแลมาเห็นพวกพลไพร
แห่แหนเป็นระเบียบเรียบริ้ว เครื่องสูงธงทิวปลิวไสว
ฆ้องกลองครื้นครั่นสนั่นไป ภูวไนยนั้นนั่งบัลลังก์รถ
กับเยาวมาลย์อุ้มราชบุตรี สูงศรีเพียงจันทร์ทรงกลด
สมศักดิ์สมวงศ์สมยศ งามหมดทั่วสารพางค์กาย
แน่งน้อยน่ารักพักตร์พริ้ม จิ้มลิ้มลักษณ์เลิศเฉิดฉาย
ด้วยบุญบันดาลจิตหญิงชาย ให้สบายชื่นเย็นไม่เว้นตน
ต่างต่างโสมนัสประนมกร แซ่ซ้องอวยพรกุลาหล
จงจำเริญศรีสวัสดิ์มงคล ชนมาแม่ยืนได้หมื่นปี
ข้าบาทราษฎร์ฝูงทั้งหลาย จะพลอยสุขสบายเกษมศรี
ด้วยเดชเกศกัลยาณี มาสืบวงศ์อสุรีจิรังกาล

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระปิ่นรัตนาปรีชาหาญ
ครั้นถึงพระนิเวศน์โอฬาร ประทับเกยแก้วกาญจน์อลงกรณ์
ทรงอุ้มพระยอดเยาวเรศ ดั่งเทเวศอุ้มองค์อัปสร
ทั้งเทวีไวยกาบังอร บทจรขึ้นปราสาทรูจี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เสด็จเหนือพระที่นั่งบัลลังก์อาสน์ ท่ามกลางอนงค์นาฏสาวศรี
เชยชมพระธิดาจนราตรี แล้วกลับเขาที่ศรีไสยา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นสว่างสร่างแสงอุทัยทอง เรื่อรองจำรัสพระเวหา
เสนาะเสียงไก่แก้วโกญจา โกกิลาเรียกร้องหากัน
เพรียกเสียงคชาพาชี กาหลดนตรีนี่สนั่น
ดาวเดือนเลื่อนลับสัตภัณฑ์ สุริยันเยี่ยมยอดยุคนธร
ภุมราหาสร้อยสุบงกช หอมรื่นเสาวรสเกสร
ระคนกลิ่นอนงคนิกร ขจายจรเฟื่องฟุ้งละลุงลาน
น้ำค้างตกต้องละอองอาบ เย็นซาบทั่วมนเทียรสถาน
พระพายชายพัดรำเพยพาน พญามารตื่นจากนิทรา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองผ่องผิวมังสา
จับคทาธรแก้วอันศักดา เสด็จมายังท้องพระโรงชัย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ พร้อมหมู่อำมาตย์น้อยใหญ่
จึงสั่งเสนีปรีชาไว จงไปหาฝูงเทพเทวัญ
บอกว่ากูเชิญลงมา ทั้งสองชั้นฟ้าสรวงสวรรค์
อย่าเนิ่นอยู่ช้าจนสายัณห์ ให้ทันแต่ในเวลานี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาผู้ใหญ่ยักษี
ก้มเกล้ารับราชวาที อัญชุลีแล้วเหาะระเห็จไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงพิภพสรวงสวรรค์ ประกาศฝูงเทวัญน้อยใหญ่
ว่าพระปิ่นรัตนากรุงไกร ตรัลใช้ให้ข้าขึ้นมา
เชิญท่านเทเวศทุกองค์ ผู้ทรงสิทธิศักดิ์แกล้วกล้า
ลงไปยังราชพารา แต่ในเวลาเดี๋ยวนี้[๒]

ฯ ๔ คำ ฯ



[๑] แก้ไขตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕๕๑ และ ๕๗๑ ฉบับพิมพ์ก่อนนี้ เป็น “บุญล่อให้พ่อพยายาม”

[๒] ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๖๓๐ ความต่างออกไปว่า

๏ ครั้นถึงพิภพสรวงสวรรค์ ประกาศฝูงเทวัญน้อยใหญ่
ว่าพระปิ่นรัตนากรุงไกร ให้เชิญหมู่เทพไทไปบัดนี้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ