ตอนที่ ๑๘ พระอุณรุทขับไล่ธิดานครน้อยใหญ่ จนท้าวไกรสุทให้หายายมดมาขับผี

๏ เมื่อนั้น ท้าวไกรสุทสุริย์วงศ์เรืองศรี
ฟังสี่พี่เลี้ยงพาที ภูมีนิ่งนึกตรึกไป
เห็นอัศจรรย์วิปริต ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย
ว่านิมิตก็ผิดประหลาดใจ จะว่าจริงก็ใช่สถานการ
เห็นจะเป็นด้วยรุ่นดรุณสวัสดิ์ั กำหนัดในรสสงสาร
คลับคล้ายหมายจริงในวิญญาณ ประมาณนี้เห็นต้องทำนองความ
อันจะแก้ด้วยอื่นหาคืนไม่ จำจะให้เอาเสี้ยนบ่งหนาม
จะจัดหากัลยาพะงางาม มาดับความเดือดดิ้นให้ยินดี
น่าที่จะหายคลายคลั่ง ด้วยสมหวังสังวาสเกษมศรี
คิดแล้วมีราชวาที แก่เสนาผู้ปรีชาไว
จงแต่งศุภลักษณ์อักษร ไปทุกนครน้อยใหญ่
ใครมีธิดายาใจ เร่งให้แต่งส่งเข้ามา

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาธิบดีซ้ายขวา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา ก็เขียนศุภสาราทันที

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นเสร็จแล้วส่งสารให้ แก่ม้าใช้ผู้ชาญชัยศรี
ท่านจงเร่งรีบจรลี ไปทุกบุรีอันโอฬาร

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีม้าใช้ใจหาญ
ได้แจ้งแห่งข้อราชการ รับสารออกจากพระโรงชัย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลางพวกก็เดินด้วยบาทา บ้างขี่นาวาน้อยใหญ่
บ้างขี่ช้างม้าอาชาไนย แยกย้ายกันไปทุกธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปเฝ้าบาท กษัตราธิราชเรืองศรี
ทูลถวายศุภสารทันที แก่ภูมีร้อยเอ็ดพระพารา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายกษัตริย์สามนต์ถ้วนหน้า
แจ้งสารพระผู้ผ่านณรงกา มีใจปรีดาสถาวร
ต่างแต่งพระธิดาดวงสวาท งามวิลาศเลิศลักษณ์เพียงอัปสร
บ้างทรงรถรัตน์กุญชร นาวาบวรยวดยาน
มอบให้มหาเสนา กำกับทูตาผู้ถือสาร
ถวายไปใต้เบื้องบทมาลย์ พระผู้ผ่านโลกาธาตรี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาร้อยเอ็ดบุรีศรี
รีบเชิญเสด็จพระบุตรี ไปโดยวิถีต่างกัน
ทั้งทางคงคาพนาลัย มิได้พักพวกพลขันธ์
เดินทั้งกลางคืนกลางวัน มาถึงพร้อมกันทุกพารา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
จึ่งส่งนางราชธิดา เข้ามหานิเวศน์วังใน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นางท้าวเถ้าแก่ผู้ใหญ่
นำนางกษัตริย์ขึ้นไป เฝ้าไทธิราชทรงธรรม์

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านพิภพไอศวรรย์ั
เห็นฝูงราชธิดาลาวัณย์ อันทรงสิริโฉมประโลมลาน
งามคมงามขำงามงอน อรชรยั่วยวนสงสาร
จำเริญเยาว์เสาวภาคย์ัพึงพาล ประมาณได้สิบห้าสิบหกปี
พิศผิวขาวเหลืองเรืองเรื่อ นวลละอองผ่องเนื้อสองสี
แลเลิศเพริศพริ้งทุกนารี ควรที่ประดับพระลูกยา

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ แล้วเสด็จย่างเยื้องยุรยาตร กับองค์วรนาฏเสน่หา
พาหมู่นางราชธิดา ไปปราสาทลูกยาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งบัญชาตรัส ให้ฝูงนางกษัตริย์น้อยใหญ่
อยู่นอกปราสาทอำไพ แล้วเสด็จเข้าในห้องมณี
นั่งแนบแอบองค์โอรส พระทรงยศบิตุเรศเรืองศรี
จึ่งกล่าวสุนทรวาที เจ้าดวงชีวีของบิดา
เป็นไฉนพ่อมาคลั่งคลุ้ม ร้อนรุ่มเศร้าโทมนัสสา
ไม่สรงไม่เสวยโภชนา นอนนิ่งโศกาจาบัลย์
จะถามเท่าไรไม่พาที ผินผันพักตร์หนีแล้วหุนหัน
พิโรธโกรธาจะฆ่าฟัน เมียมิ่งสาวสวรรค์กำนัลใน
เออทำดั่งนี้ดีฤๅ จะให้ลือทั่วทิศน้อยใหญ่
เสียแรงพ่อหวังตั้งใจ จะให้เป็นปิ่นธาตรี
ควรฤๅมาเป็นพิกลจริต ผิดเพศกษัตริย์เรืองศรี
อันจะนิ่งคลุ้มคลั่งอยู่ดั่งนี้ น่าที่บิตุเรศมารดา
ก็จะแสนทุกข์กรอมผอมกาย วางวายชีวีสังขาร์
ทั้งวงศานุวงศ์กษัตรา จะพากันโศกศัลย์บรรลัย
แม้นบอกออกความที่ทุกข์ร้อน จะได้คิดผันผ่อนแก้ไข
ถึงจะยากแสนยากประการใด จะให้ได้สำเร็จบัดนี้

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี
ฟังพระบิตุเรศพาที ต้องที่ถวิลจินดา
จึงน้อมเศียรทูลเบื้องบาทบงสุ์ พระชนนีบิตุรงค์นาถา
วันลูกไปตามมฤคา แรมร่มฉายาพระไทร
ได้ร่วมภิรมย์สมสวาท ด้วยวรนาฏสนิทพิสมัย
รุ่งขึ้นไม่เห็นอรไท จริงใจฉะนี้พระทรงธรรม์
ได้บอกพี่เลี้ยงให้เที่ยวค้น ต่างตนต่างว่านิมิตฝัน
เมื่อตระหนักทักแท้สำคัญ กลิ่นนั้นยังซาบทรวงมา
ลูกจึ่งคลั่งไคล้ใหลหลง พระบิตุรงค์จงโปรดเกศา
แม้นมิได้ดวงแก้วแววตา น่าที่จะม้วยชีวัน

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวไกรสุทบรมรังสรรค์
ฟังโอรสทูลรำพัน ทรงธรรม์ตรัสปลอบเอาใจ
เจ้าดวงชีวิตดวงเนตร อย่าอาดูรพูนเทวษโหยไห้
ทุกข์แต่เพียงนี้มิเป็นไร จะให้สำเร็จดั่งจินดา
ซึ่งประสงค์อนงค์นารี บัดนี้พ่อจัดไว้หนักหนา
แต่ละองค์พื้นทรงลักขณา เบญจกัลยาวิลาวัณย์
ล้วนลูกกษัตริย์สุริย์วงศ์ ดำรงพิภพไอศวรรย์
จะงามยิ่งกว่านางของเจ้านั้น จงจัดสรรตามต้องหฤทัย
ตรัสเแล้วมีราชวาที แก่ท้าวนางทั้งสี่ผู้ใหญ่
ให้หาราชธิดาทุกกรุงไกร มาในห้องแก้วแพรวพรรณ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางท้าวเถ้าแก่คนขยัน
รับสั่งถวายบังคมคัล ก็พากันเร่งรีบจรลี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจจา แก่นางราชธิดาโฉมศรี
ว่าพระองค์ผู้ทรงธรณี ให้ข้านี้มาเชิญขึ้นไป

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายฝูงนางกษัตริย์น้อยใหญ่
ได้แจ้งรับสั่งภูวไนย ก็บทจรเข้าไปตามกัน

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

ร่าย

๏ ต่างน้อมเศียรเกล้าบังคม แทบบาทพระบรมรังสรรค์
เฟี้ยมเฝ้าคั่งเคียงเรียงรัน ในปราสาทสุวรรณรูจี
งามเสงี่ยมเอี่ยมองค์อรชร ดังอัปสรโฉมสวัสดิ์รัศมี
ต่างชม้ายชายเนตรเป็นที เหลือบแลพระศรีอุณรุท
พ่างเพียงศรแผลงแย้งยิง งามยิ่งยวนใจเป็นที่สุด
ล้ำโฉมเทวามานุษย์ ให้ซ่านซุดเสียวสิ้นวิญญาณ

ฯ ๖ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระพงศ์จักรพรรดิมหาศาล
จึ่งมีสุนทรบัญชาการ พ่อดวงชนมานบิตุรงค์
จงเลือกดูหมู่ราชบุตรี ตามแต่เจ้ามีที่ประสงค์
ฤๅต้องใจไปสิ้นทุกองค์ พ่อจำนงจงให้แก่ลูกยา

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุทสุริย์วงศ์นาถา
ได้ฟังสมเด็จพระบิดา ผ่านฟ้าเหลือบดูพระบุตรี
ถ้วนทั่วทั้งร้อยเอ็ดองค์ อันทรงวิลาสเฉลิมศรี
เผอิญพระทัยไม่ไยดี ดั่งเห็นยักขินีอสุรกาย
ครั้นนางแลสบพระพักตร์เพศ ให้ระคายเคืองเนตรไม่รู้หาย
ยิ่งคลั่งคลุ้มรุ่มร้อนดั่งเพลิงพราย เผาผิวพระกายเวทนา
แค้นขัดตรัสไปด้วยวิปริต ไม่คิดเกรงสองกษัตริย์นาถา
เหม่เหม่นางราชธิดา มาเย้ยเยาะข้าฤๅว่าไร
ตรัสพลางฉวยชักพระขรรค์ หุนหันอุตลุดลุกไล่
หวดซ้ายป่ายขวาวุ่นไป ไม่เป็นอารมณ์สมประดี

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หมู่ราชธิดามารศรี
ตกใจกลัวม้วยชีวี วิ่งหนีกระจัดพลัดพราย
บ้างล้มปะทะปะกัน หน้าซีดตัวสั่นขวัญหาย
รองตรีดหวีดหวาดวุ่นวาย แยกย้ายกันไปเป็นโกลา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระชนกชนนีนาถา
เห็นโอรสไล่ฝูงกัลยา สองกษัตริย์ออกมากั้นไว้
แล้วจูงกรพาไปที่ไสยาสน์ ประคองสวาทด้วยแสนพิสมัย
ตรัสปลอบโอนอ่อนเอาใจ ไฉนพ่อคลั่งไคล้ดั่งนี้
ไม่อดสูหมู่ราชธิดา อันเป็นวงศ์กษัตราเรืองศรี
จงระงับดับใจไว้ให้ดี พระพาทีวอนว่ารำพัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุทสุริย์วงศ์รังสรรค์
ฟังพระบิตุรงค์ทรงธรรม์ ถนอมขวัญพร้องพร่ำร่ำไร
กำลังคลั่งคลุ้มรุ่มโรธ จะเข้าใจเข้าโสตก็หาไม่
มิได้ตอบพจมานประการใด จะรับโอวาทไว้ก็ไม่มี
แต่ครวญคร่ำคำนึงถึงขวัญเนตร อัคเรศผู้มิ่งมารศรี
รสรักรึงร้อนอินทรีย์ เพียงพิษนาคีระคายกาย
ให้สะท้อนถอนใจจาบัลย์ แสนกระสันแดเดือดไม่เหือดหาย
วากเว้ระเหหนทุรนทุราย[๑] เพียงทำลายชีพล้างชีวาลัย
ไม่สมหมายสมมาดสวาทนาง พระหมองหมางอาทวาน้ำตาไหล
หลับเนตรลงแล้วก็นิ่งไป มิได้พจนาพาที

ฯ ๑๐ คำ ฯ

โอ้ช้า

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์สุริย์วงศ์เรืองศรี
เห็นโอรสรักร่วมชีวี มีแต่กันแสงโศกา
มิได้พาทีสิ่งใดด้วย ระทวยองค์พลิกพลิ้วแล้วนิ่วหน้า
พิศพิศดูพักตร์พระลูกยา ผ่านฟ้าพ่างเพียงจะขาดใจ
พระชนนีโลมลูบปฤษฎางค์ รับขวัญปลอบพลางโหยไห้
พระบิตุเรศเข้าประคองพระดนัย ประทับไว้แล้วทรงโศกี

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ จงระงับดับด้วยปรีชาชาญ รังเกียจกาลปางไปพนาศรี
แล้วจะต้องเจ้าป่าคีรี บันดาลสมประดีให้พิกล
จำจะหาออท้าวมาลงดู ดีร้ายให้รู้เหตุผล
เขาเล่าลือนับถือทุกคน ทั่วทั้งสกลกรุงไกร
แม้นต้องเทวาพนาลี ก็จะคืนสมประดีขึ้นได้
คิดแล้วตรัสสั่งกำนัลใน จงรีบไปหายายมดมา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลผู้มียศถา
นบนิ้วรับราชบัญชา ชุลีลาแล้วออกมาทันที

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งสั่งแก่โขลนคนใช้ จงไปหายายมดซึ่งลงผี
ให้รีบเข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ ตามมีพระราชโองการ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นางโขลนปากร้ายใจหาญ
ได้ฟังก็รีบลนลาน ไปบ้านยายมดดั่งบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึ่งบอกยายมดเฒ่า ว่าพระผ่านเกล้าให้หา
เข้าไปนิเวศน์อลงการ์ อย่าช้าแต่ในบัดเดี๋ยวนี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยายมดเจนทำรำผี
ฟังโขลนตกใจสิ้นที เรียกสมุนอึงมี่วุ่นไป
ฉวยได้โทนทับกับพัดตาล ลนลานยื่นส่งให้บ่าวไพร่
พากันกับโขลนคลาไคล ไปยังวังราชอันโอฬาร์

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด เจรจา

๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า น้อมเกล้าบังคมเหนือเกศา
หมอบอยู่ที่สุดออกมา คอยฟังบัญชาพระทรงธรรม์[๒]

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระจอมภพลบโลกรังสรรค์
จึ่งตรัสแก่ยายมดนั้น ลูกเราไปอรัญกลับมา
วิปริตคลั่งไคล้ใหลหลง กูพะวงสงสัยหนักหนา
จะถูกต้องสิ่งใดในหิมวา จงทักมาให้แจ้งร้ายดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยายมดคนทรงลงผี
รับสั่งนบนิ้วอัญชุลี ฉวยผ้านุ่งหยี่เข้าพันตัว
เอาผ้าชมพูนั้นคล้องคอ ขัดสมาธิยิ้มร่อแล้วเสยหัว
ถือเทียนประนมห่มตัว กระดิกเท้าสั่นรัวไปมา
ทำผย่ำเผยอเรอหาว ตัวสั่นเทาเทาส่ายหน้า
ผุดลุกขึ้นรำเป็นโกลา ลูกสมุนตีท้าทับไป

ฯ ๖ คำ ฯ กราวรำ เจรจา

๏ บัดนั้น สมุนเคยรู้อัชฌาสัย
ทำไหว้แล้วถามไปทันใด ท่านมาแต่ไหนประหลาดนัก
นามกรชื่อใดนะเทวา ไฉนมากริ้วโกรธพิโรธหนัก
จะประสงค์สิ่งใดสุรารักษ์ บอกมาจักแต่งให้ทุกอัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยายมดแสนกลคนขยัน
ฟังถามยิ่งทำเป็นขบฟัน กลอกหัวตัวสั่นหนักไป
อันเรานี้ฤๅย่อมลือเล่า ชื่อว่าปู่เจ้าเขาใหญ่
น้อยใจด้วยลูกเจ้าเวียงชัย ไปไล่ม้าเราแทบบรรดาตาย
ไม่มีความเกรงแต่สักหนิด น้อยจิตคิดแค้นไม่รู้หาย
ถ้านบนอบชอบใจจะเคลื่อนคลาย ว่าแล้วเดินกรายไปมา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หลานพระหริรักษ์นาถา
ได้ยินยายมดเจรจา ผ่านฟ้ากริ้วโกรธคือไฟ
ผุดลุกขึ้นยืนกระทืบบาท ตวาดด้วยสิงหนาทหวั่นไหว
เหม่เหม่อีเฒ่าจังไร กูจะฆ่าให้ม้วยชีวัน

ฯ ๔ คำ ฯ

ศัพท์ไท

๏ ว่าเอ๋ยว่าแล้ว ชักพระขรรค์แก้วฉายฉัน
เลี้ยวไล่ฟาดฟัน จะบั่นชีวา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

รื้อ

๏ อีเอยอีเฒ่า เจ้าเล่ห์มากล่าวมุสา
พกลมเจรจา มายาพาที
อี่ชาติจังไร ช่างไม่บัดสี
อวดว่าตัวดี วิ่งหนีไปไย

ฯ ๔ คำ ฯ

รื้อ

๏ อีเอยอีเฒ่า ว่าเป็นปู่เจ้าเขาใหญ่
มึงมาลวงใคร อีใจกระลี
กูจะเอาพระขรรค์ บั่นเกล้าเกศี
อีมดอัปรีย์ โกหกเจรจา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ พระเอยพระเจ้า จงได้โปรดเกล้เกศา
ขอประทานชีวา อย่าฆ่าราตี
ยายมดทูลพลาง วิ่งวางแล่นหนี
ล้มลุกคลุกคลี ร้องมี่วุ่นวาย

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระปิ่นภพลบโลกทั้งหลาย
เห็นองค์สมเด็จพระลูกชาย ไล่ยายมดวิ่งลนลาน
สองกษัตริย์เสด็จออกกางกั้น รำพันว่าวอนด้วยอ่อนหวาน
พ่อผู้ดวงชีพชนมาน จะประหารยายมดเสียไย
ถึงจะจริงจะเท็จก็ทำเนา ภาษาเขาเขาว่าตามนิสัย
เจ้าจงระงับดับใจ มาไปบรรทมภิรมยา
แล้วจูงกรขึ้นแท่นไสยาสน์ สองราชเข้าประคองทั้งซ้ายขวา
พิไรร่ำพร่ำปลอบไปมา ให้เสวยโภชนาสาลี

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี
ค่อยคืนอารมณ์สมประดี ชุลีกรกราบลงทันใด
ความเกรงสองกษัตริย์สุดคิด ดำรงจิตเสวยตามได้
แล้วยอกรกราบทูลสนองไป ภูวไนยทุกข์ร้อนเพราะลูกยา
ไม่ควรให้เคืองบทเรศ โปรดเกศขอประทานโทษา
บัดนี้สมประดีมีมา ค่อยคลายอุราที่รุ่มร้อน
ขอเชิญเสด็จเบื้องบาท จอมนาถโมลิศอดิศร
ไปยังปราสาทอลงกรณ์ สถาวรเป็นสุขสำราญ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์สุริย์วงศ์มหาศาล
ฟังราชโอรสพจมาน ผ่านฟ้าสำคัญมั่นคง
ว่าพระลูกรักเคลื่อนคลาย เหือดหายคลั่งไคล้ใหลหลง
จึ่งตรัสสั่งพี่เลี้ยงทั้งสี่คน ให้ดำรงรักษาพระลูกยา
อย่าให้ไปเที่ยวแห่งใดได้ เร่งระวังระไวจงหนักหนา
แม้นละให้เป็นเหตุมา กูจะฆ่าให้ม้วยชีวี
สั่งเสร็จก็เสด็จยุรยาตร กับองค์วรนาฏมเหสี
พร้อมด้วยสนมนารี ไปปราสาทมณีพรายพรรณ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระพี่เลี้ยงสุริย์วงศ์รังสรรค์
รับสั่งพระองค์ทรงธรรม์ ก็เกณฑ์พวกพลขันธ์โยธา
ตั้งกองบริรักษ์กันกง ล้อมวงนอกในแน่นหนา
นั่งยามตามไฟตรวจตรา รักษาลูกเจ้าธรณี

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้าปี่ลงโรง

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี[๓]
ไสยาสน์เหนืออาสน์รูจี มีแต่รำพึงคะนึงนาง
มิได้บรรทมหลับสนิท ทรงฤทธิ์ขุนข้องหมองหมาง
แสนทวีเทวษไม่วายวาง พ่างเพียงจะสิ้นชีวาลัย
แต่พลิกกลับสับสนทุรนร้อน รันทดทอดถอนใจใหญ่
โหยหวนครวญหาอรไท ร่ำไรพิลาปโศกี
โอ้สายสวาทของพี่เอ๋ย ไฉนเลยจะพบโฉมศรี
แสนลำบากยากใจในครั้งนี้ แสนอนาถพ้นที่จะพรรณนา
เวรใดจำให้มาจากเจ้า โฉมเฉลาแน่งน้อยเสน่หา
จะออกโอษฐ์สั่งแก้วแววตา เจรจามิได้ก็จนใจ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

พญาโศก

๏ ปานฉะนี้เจ้าดวงชีวี จะคิดถึงพี่บ้างฤๅไฉน
อกเอ๋ยจะทำประการใด จะได้ข่าววนิดาวิลาวัลย์
แต่พระครุ่นครวญหวนถวิล เดือดดิ้นฤๅทัยใฝ่ฝัน
จนสิ้นแสงศรีสุริยัน ก็จรจรัลจากห้องอลงกรณ์

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

โอ้

๏ ขึ้นสถิตบัลลังก์ที่นั่งเย็น ซึ่งเคยเล่นเป็นสุขสโมสร
หวังภิรมย์ชมแสงจันทร ดูดารากรให้คลายใจ
เห็นพระจันทร์ยิ่งหวั่นถวิลนัก คิดพักตร์เยาวยอดพิสมัย
แสนทวีเทวษหนักไป ฤๅทัยเร่าร้อนดั่งอัคคี

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึ่งเสด็จย่างเยื้องยุรยาตร จากบัลลังก์อาสน์มณีศรี
นวยนาดวาดกรจรลี ไปที่สวนสระปทุมมาลย์

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้ร่าย

๏ ยืนพินิจพิศดวงโกมล หวังซาบเสาวคนธ์หอมหวาน
ก็ไม่ชื่นรื่นรสผกากาญจน์ พระพายพานอ่อนอ่อนยิ่งร้อนองค์
ให้เคลิ้มคลุ้มรุมทรวงดวงจิต พระทรงฤทธิ์แสนคะนึงตะลึงหลง
ก็กลับจากสวนสระบุษบง ตรงมาห้องแก้วแววไว

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เอนองค์ลงที่ไสยาสน์ กรก่ายวิลาสโหยไห้
พลิกกลับสับสนทุรนใจ อาลัยโศกาจาบัลย์

ฯ ๒ คำ ฯ โอด



[๑] แก้ตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๕๕๓, ๕๕๖, ๕๕๗ และ ๖๓๑ ซึ่งตรงกันทุกฉบับ ฉบับพิมพ์ก่อนนี้เป็น “ว้าเหว่ระเหระหนทุรนราย”

[๒] จบต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๖๓๑ ขึ้นต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕๕๕ และ ๖๓๒ สอบเทียบกับเลขที่ ๕๕๖ และ ๕๕๗

[๓] ในต้นฉบับหนังสือสมุดไทยฉบับอื่นอาทิ เลขที่ ๕๕๕ ๕๕๖ และ ๖๓๒ ใช้ท่วงทำนองโอ้ร่าย ซึ่งการตรวจสอบชำระแต่เดิมมาใช้ท่วงทำนองช้าปี่ลงโรง ตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕๕๗ ซึ่งเนื้อความในหนังสือสมุดไทยจะตรงกันทุกเล่ม ต่างกันที่เพลงหน้าพาทย์ไปจนหมดความในเล่ม ๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ