- คำนำ
- บทนำเรื่อง
- ที่มาของอนิรุทธคำฉันท์และบทละคอนเรื่องอุณรุท ของ ธนิต อยู่โพธิ์
- ตอนที่ ๑
- ตอนที่ ๒
- ตอนที่ ๓
- ตอนที่ ๔
- ตอนที่ ๕
- ตอนที่ ๖
- ตอนที่ ๗
- ตอนที่ ๘
- ตอนที่ ๙
- ตอนที่ ๑๐
- ตอนที่ ๑๑
- ตอนที่ ๑๒
- ตอนที่ ๑๓
- ตอนที่ ๑๔
- ตอนที่ ๑๕
- ตอนที่ ๑๖
- ตอนที่ ๑๗
- ตอนที่ ๑๘
- ตอนที่ ๑๙
- ตอนที่ ๒๐
- ตอนที่ ๒๑
- ตอนที่ ๒๒
- ตอนที่ ๒๓ ทศมุขพบพระอุณรุท
- ตอนที่ ๒๔
- ตอนที่ ๒๕
- ตอนที่ ๒๖
- ตอนที่ ๒๗
- ตอนที่ ๒๘
- ตอนที่ ๒๙
- ตอนที่ ๓๐
- ตอนที่ ๓๑
- ตอนที่ ๓๒
- ตอนที่ ๓๓
- ตอนที่ ๓๔
- ตอนที่ ๓๕
- ตอนที่ ๓๖
- ตอนที่ ๓๗
- ตอนที่ ๓๘
- ตอนที่ ๓๙
- ตอนที่ ๔๐
- ตอนที่ ๔๑
- ตอนที่ ๔๒
ตอนที่ ๑๕ พระอุณรุทเสด็จประพาสป่า พระมาตุลีแปลงเป็นกวางทองมาล่อ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายพระอุณรุทชาญสมร |
สมสนิทพิศวาสสถาวร | ด้วยบังอรศรีสุดายาใจ |
แสนภิรมย์ชมรสรูปเสียง | กลิ่นเกลี้ยงสัมผัสพิสมัย |
สุขุมควรยวนยั่วหฤทัย | เปลี่ยนปลื้มอาลัยทุกเวลา |
สรงเสวยเชยโฉมประโลมลอม | ด้วยอนงค์นางถนอมพร้อมหน้า |
เพียงสรรค์ดุสิตเทวา | สุเรศฟ้าเข้าล้อมกล่อมกลอน |
ครั้นสิ้นแสงสุริโยภาส | พระชวนโฉมนวลนาฏดวงสมร |
ประเวศห้องสิงหาสน์อลงกรณ์ | สโมสรเอนองค์ลงสำราญ |
นางรำเพยลมชวยรวยริน | ผกาแก้วสารภินหอมหวาน |
กลั้วกลิ่นยุพยอดเยาวมาลย์ | จรุงรสซาบซ่านวิญญาณยวน |
เสนาะเสียงนางจำเรียงบำเรอเรื่อย | ฉ่ำเฉื่อยรัวโรยโหยหวน |
สองกษัตริย์สดับสำเนียงนวล | เพลินชวนหลับไปในราตรี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ จวนล่วงเวลาปัจจุสมัย | อุทัยทองส่องฟ้าราศี |
ตื่นจากแท่นรัตน์รูจี | โสรจสรงวารีสำราญกาย |
ให้ครวญใคร่จะไปประพาสป่า | จึ่งตรัสชวนศรีสุดาโฉมฉาย |
ฤดูนี้เจ้าพี่แสนสบาย | มิ่งไม้ทั้งหลายในดงดอน |
บ้างพลิดดอกออกผลทุกกิ่งก้าน | แบ่งบานผกาเกสร |
ห้อยย้อยช้อยช่ออรชร | ระบัดเบิกใบอ่อนจำเริญตา |
ชาวไพรเขาเล่ากล่าวความ | ว่าป่างามสนุกหนักหนา |
ทั้งสิงสัตว์จัตุบาทนานา | ในห้องหิมวาอเนกนันต์ |
พี่จะพาดวงใจสายสวาท | ออกไปประพาสพนาสัณฑ์ |
จะได้เห็นชมเล่นด้วยกัน | ให้บันเทิงสุขสำราญใจ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระชายาเยาวยอดพิสมัย |
ได้ฟังบรรหารพระภูวไนย | อรไทโสมนัสพันทวี |
จึ่งยอกรกฤษฎาญขึ้นเหนือเกศ | กราบทูลภูวเรศเรืองศรี |
น้องจะขอโดยเสด็จจรลี | ยังที่ป่าระหงดงดาน |
จะแสนสุขฉันใดไม่เคยเห็น | จะได้เชยชมเล่นเกษมศานต์ |
ด้วยบุญเบื้องบาทบทมาลย์ | พระลูกเจ้าผู้ผ่านณรงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมเสน่หา |
ได้ฟังอัคเรศจำนรรจา | ผ่านฟ้ารับขวัญด้วยยินดี |
จึ่งพาวนิดาดวงสมร | บทจรจากห้องมณีศรี |
ไปเฝ้าพระบิตุราชชนนี | ฝูงอนงค์นารีก็ตามไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งสองเยาวเรศ | ยอกรเหนือเกศบังคมไหว้ |
ทูลพระชนกนาถภูวไนย | กับองค์อรไทมารดา |
ลูกน้อยทั้งสองขอลาบาท | พระทรงธรรม์ธิราชนาถา |
ออกไปยังห้องหิมวา | ชมพรรณพฤกษาพนาดร |
ยังไม่ได้เคยพบเห็น | จะเที่ยวเล่นให้สุขสโมสร |
สักสามวันจะคืนพระนคร | ภูธรจงโปรดปรานี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์สุริย์วงศ์เรืองศรี |
ฟังพระเยาวราชร่วมชีวี | วอนว่าพาทีทูลลา |
ครั้นจะขัดทัดห้ามด้วยความรัก | ก็เกรงจักทรงโทมนัสสา |
จึ่งมีมธุรสพจนา | แก้วตาทั้งสองผู้ร่วมใจ |
จะพากันไปเล่นพนาลี | ทั้งนี้ก็ตามอัชฌาสัย |
แต่อย่าหลงล้าให้ช้าไป | เกรงภัยสัตว์ร้ายในอารัญ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทรุ่งฟ้านราสรรค์ |
ได้ฟังบิตุรงค์ทรงธรรม์ | ก็บันเทิงสำราญวิญญาณ์ |
จึ่งนบนิ้วประณตบทรัตน์ | สองกษัตริย์ผู้เกิดเกศา |
พาองค์พระอัครชายา | กลับมาปราสาทอลงการ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เสด็จออกทรงนั่งบัลลังก์อาสน์ | พร้อมหมู่อำมาตย์ทวยหาญ |
ท่ามกลางพระโรงรัตน์ชัชวาล | แล้วมีพจมานแก่เสนา |
จงเตรียมพหลพลไกร | เราจักออกไปประพาสป่า |
กับองค์อัคเรศชายา | ในเวลารุ่งพรุ่งนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาอำมาตย์ทั้งสี่ |
ก้มเกล้ารับพระราชวาที | ชุลีลาออกจากพระโรงคัล |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เกณฑ์พลจัตุรงค์พยุหบาตร | กระบวนโพนประพาสพนาสัณฑ์ |
ขุนช้างผูกช้างเรียงรัน | ดั้งกันค่ายคํ้าพังคา |
ขุนม้าผูกม้าอาชาไนย | ว่องไวร้ายกาจแกล้วกล้า |
ขุนรถเทียมรถอลงการ์ | ธงทองโอฬาร์เฉลิมงอน |
ขุนพลสรรพลอาสาศึก | เหี้ยมฮึกห้าวหาญชาญสมร |
พร้อมสรรพเสโลโตมร | อาวุธครบกรโยธี |
เตรียมทั้งรถทรงรถประเทียบ | รายเรียงเป็นระเบียบตามที่ |
พร้อมเสร็จแต่ในราตรี | โดยมีพระราชบัญชา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์พงศ์นารายณ์นาถา |
ไสยาสน์เหนืออาสน์อลงการ์ | จนเวลาล่วงอโณทัย |
ตื่นจากแท่นที่ทิพอาสน์ | กับองค์วรนาฏพิสมัย |
พากันกรายกรเสด็จไป | เข้าในที่สรงวาริน |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ สองกษัตริย์ขัดสีธุลีกาย | ปทุมทองโปรยปรายกระแสสินธุ์ |
ชำระรดหมดหมองมลทิน | สุคนธ์ธารเกลากลิ่นขจายจร |
พระสอดใส่สนับเพลาภูษาทรง | เครือหงส์คาบก้านเกสร |
นางทรงภูษิตอรชร | เครือกระหนกกินนรกรกราย |
พระทรงชายไหวสุวรรณวาม | ชายแครงเรืองอร่ามวิเชียรฉาย |
นางทรงสะอิ้งแก้วแพร้วพราย | สไบตาดสอดสายสังวาลวรรณ |
พระทรงทับทรวงตาบทิศ | นางทรงสร้อยประดิษฐ์ประดับถัน |
ต่างทรงทองกรมังกรพัน | พาหุรัดกุดั่นมุกดาดวง |
ธำมรงค์เรือนเก็จเพชรแพร้ว | มงกุฎแก้วสุรกานต์รุ้งร่วง |
กุณฑลทองทัดดอกไม้พวง | ห้อยห่วงสุวรรณมาลัย |
งามสองสุริย์วงศ์ทรงอาภรณ์ | ดั่งทินกรแข่งเคียงแขไข |
ประดับด้วยอนงค์กำนัลใน | เสด็จตามกันไปขึ้นรถ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ บาทสกุณี กราวนอก
โทน
๏ รถเอยรถแก้ว | กงล้ำกำแล้วด้วยมรกต |
แอกงอนอ่อนงามช้อยชด | ช่อหลั่นชั้นลดบัลลังก์ลอย |
สิงห์อัดสัตว์แอบระแบบครุฑ | มองยื้อมือยุดนาคห้อย |
เสากาบสาบแก้วแววพลอย | ทรงเลิศเทริดลอยอัมพร |
เทียบเอี่ยมเทียมอัศวเรศ | ดูเพศเดชเพียงไกรสร |
ขุนรถขับรัถอัสดร | เผ่นโจนโผนจรดั่งลมพาล |
ธงฉัตรถัดชั้นกรรชิงแซง | ชุมสายฉายแสงสุริย์ฉาน |
สังข์แตรแซ่ตรวจกังสดาล | เสียงฆ้องซ้องขานประสานกลอง |
เสียงกงส่งกลบกับเสียงม้า | พาลั่นพันลึกกึกก้อง |
รถประเทียบเรียบท้ายรถทอง | เร่งกันรีบกองดำเนินไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ สองกษัตริย์เสด็จโพนประพาส | ภิรมย์ร่วมรถราชยานใหญ่ |
ล่วงเข้าเขตเขาลำเนาไพร | ชมพรรณมิ่งไม้ในดงดอน |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมดง
๏ แก้วเกดกรรณิการ์มหาหงส์ | ช่อช้อยห้อยทรงเกสร |
เป็นระเบียบเรียบทั้งหนทางจร | รุ่นระบัดใบอ่อนสะอาดตา |
พระเคียงรถเด็ดดวงสาโรชรื่น | ทรงยื่นให้ยอดเสน่หา |
นางเก็บเกดแก้วสุมาลา | ถวายพระยอดฟ้ายาใจ |
คณานกจับจิกผกาก้าน | ร้องประสานสำเนียงเสียงใส |
เหมือนจะชวนเชิญนาฏกับภูวไนย | ให้ชมชั้นพฤกษ์ไพรคีรีเรือง |
สาลิกาการเวกดุเหว่าแว่ว | สกุณแก้วบินอวดขนัดเนื่อง |
มยุเรศร่ายรำแล้วชำเลือง | หงส์เยื้องลีลาน่าดู |
ไกรสรกาสรคชสาร | กวางฟานละมั่งเมียงเคียงคู่ |
ชะมดเม่นเต้นตามกันพรั่งพรู | ระมาดหมู่นระเพนกิเลนลา[๑] |
พระชี้บอกวนิดาดวงสวาท | เจ้าดูสัตว์จตุบาทกลาดป่า |
ฝูงสนมกำนัลกัลยา | ชมคณานกไม้สำราญใจ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ล่วงทางหว่างไศลไพรระหง | ข้ามดงถึงเนินเขาใหญ่ |
มีละหานธารท่าชลาลัย | เย็นใสบริสุทธิ์ไม่ราคิน |
มิ่งไม้ผลิดอกออกผล | เสาวคนธ์เกสรขจรกลิ่น |
รื่นร่มลมชวยรวยริน | พื้นดินเลียนลาดสะอาดตา |
จึ่งมีมธุรสพจนารถ | ตรัสสั่งอำมาตย์ซ้ายขวา |
ให้หยุดพหลโยธา | ตั้งประทับพลับพลาที่ชายไพร |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่ |
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิ์ไกร | บังคมไหว้แล้วออกมาทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เกณฑ์ไปแก่นายทวยหาญ | ให้เร่งจับการปันหน้าที่ |
ตราตรวจทุกหมวดเสนี | ตามบาญชีซึ่งโดยเสด็จมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | นายหมวดน้อยใหญ่ซ้ายขวา |
ก็เร่งรัดบ่าวไพร่เป็นโกลา | ตัดไม้เกี่ยวคาวุ่นไป |
ปันด้านโดยเกณฑ์เป็นขนาด | ตั้งราชพลับพลากว้างใหญ่ |
นั่งที่ข้างหน้าข้างใน | แทบใต้ร่มโศกริมธาร |
พร้อมสรรพที่สรงที่เสวย | ทิมเกยม้ารถคชสาร |
มีระเนียดเรียดรอบขอบทวาร | เสร็จการโดยราชบัญชา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทภุชพงศ์นาถา |
ครั้นเสร็จซึ่งราชพลับพลา | ผ่านฟ้าชื่นชมยินดี |
พอพระสุริยาอัสดง | คล้อยลงลับเหลี่ยมคีรีศรี |
จึ่งชวนองค์อัครราชร่วมชีวี | ขึ้นสถิตยังที่ตำหนักไพร |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ ประดับด้วยสุรางคนิกร | อรชรพักตร์เพียงแขไข |
เฟี้ยมเฝ้าเบื้องบาทดาษไป | ชม้ายชายใช้นัยนา |
งอนจริตประดิษฐ์ประดับโฉม | วิลาสเลิศประโลมเสน่หา |
บ้างกรายแส้แปรเยื้องกิริยา | รำเพยพาพัชนีวีองค์ |
แสงจันทร์เรื่อรองส่องสว่าง | กระจ่างแจ้งพุ่มไม้ไพรระหง |
ส่องจับผิวพักตร์นางอนงค์ | นวลผจงแจ่มจำรัสดั่งนวลจันทร์ |
แซ่เสียงสุโนกดุเหว่าหวาน | ประจำยามเฉื่อยฉานขานขัน |
ระวังไพรร่อนร้องระวังวัน | ฟังหวั่นวังเวงวิเวกใจ |
ทั้งเภรินพิณพาทย์ฆาตฆ้อง | กึกก้องสำเนียงเสียงใส |
เสนาะศัพท์จักจั่นสนั่นไพร | เรไรหริ่งเรื่อยเฉื่อยดง |
เหมือนแสร้งแกล้งกล่อมให้ไสยาสน์ | สองราชเพลินจิตพิศวง |
ยวนสวาทนาฏหน่อสุริย์วงศ์ | ต่างองค์หลับไปในราตรี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
ครั้นพระองค์ผู้ทรงสวัสดี | เข้าที่สิริไสยา |
ก็เกณฑ์ให้นั่งยามตามไฟ | ทุกหมู่พลไกรซ้ายขวา |
วางปืนใหญ่รายจังกา | รอบราชพลับพลาพนาวัน |
แล้วตระเวนดูทุกหมู่หมวด | กำชับตราตรวจกวดขัน |
รักษาหลานพระองค์ทรงสุบรรณ | มิให้อันตรายภัยพาน |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทผู้ปรีชาหาญ |
ไสยาสน์ในราษราตรีกาล | ด้วยนงคราญสุดาเทวี |
จนล่วงปัจฉิมเวลา | ดาวเดือนเกลื่อนฟ้าราศี |
นํ้าค้างพร่างพรมพนาลี | เยือกเย็นโยธีพลากร |
ฝูงสกุณไก่ป่าโกญจาแจ้ว | ตระเวนแว่ววันเวศสิงขร |
เสียงระหึ่งผึ้งภู่หมู่ภมร | เอาซาบเกสรสุมามาลย์ |
ชะนีหวนครวญโหยโรยเรื่อย | ฉ่ำเฉื่อยน่าฟังกังวานหวาน |
พระพายรำเพยพัดพาน | สุคนธ์ธารเสาวรสเรณูนวล |
กลิ่นจรุงฟุ้งฟ้าสาโรชรื่น | พลับพลาชัยชวนชื่นหอมหวน |
ขจรใจตลบอบอวล | ระคนกลิ่นนาฏนวลคณานาง |
หมู่กระเหว่าเร้าเร่งอรุณรุ่ง | ภาณุมาศผาดพุ่งรังสีสาง |
เสนาะเสียงประโคมดุริยางค์ | เพราะพร้อมกล่อมกลางพนาลี |
เสียงช้างเสียงม้าโกลาหล | เสียงพลเพรียกพร้อมอึงมี่ |
พระฟื้นองค์โสรจสรงวารี | กับเทวีวรนาฏวนิดา |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เสร็จสรงทรงเครื่องเรืองอร่าม | สง่างามเพียงเทพเลขา |
จับพระขรรค์แก้วอันศักดา | เสด็จออกยังหน้าพลับพลาชัย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ พร้อมพระพี่เลี้ยงร่วมชีวี | แสนสุรเสนีน้อยใหญ่ |
บังคมเดียรดาษกลาดไป | ในหน้าตำหนักอารัญ |
จึ่งมีมธุรสพจนารถ | แก่พี่เลี้ยงราชรังสรรค์ |
ชี้ชมพฤกษาพนาวัน | อันเรียงรันอยู่รอบพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงองค์เจ้าไตรตรึงษา |
สถิตยังทิพอาสน์อันโอฬาร์ | ในมหาพิมานอลงกรณ์ |
แต่นางสุจิตรายุพาพักตร์ | วรลักษณ์โฉมฉายสายสมร |
จุติจากเทวนคร | ไปเกิดในดงดอนแดนมาร |
มีแต่อาดูรพูนเทวษ | ถึงอัคเรศผู้ยอดสงสาร |
เป็นนิจนิรันดร์ทุกวันวาร | ไม่มีสุขสำราญสักเวลา |
จึ่งเล็งทิพเนตรลงไป | ในมนุษย์โลกแหล่งหล้า |
เห็นพระอุณรุทผู้ศักดา | หลานพระจักราฤทธิรอน |
ออกมาประพาสพนาเวศ | เถื่อนทางทุเรศสิงขร |
พระปิ่นสุทัศน์เทพนคร | สโมสรโสมนัสพันทวี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ จึ่งมีเทวราชบัญชา | แก่มาตุลีเทวาเรืองศรี |
บัดนี้หลานรักพระจักรี | มีนามอุณรุทวุฒิไกร |
สำหรับจะผลาญพาณราช | ออกมาประพาสป่าใหญ่ |
ท่านจงรีบเร่งลงไป | ยังในหิมวาอารัญ |
นฤมิตบิดกายเป็นกวางทอง | เยื้องย่องตามชายพนาสัณฑ์ |
ล่อองค์พระผู้วงศ์เทวัญ | ให้ผูกพันไล่ติดตามมา |
ยังพระไทรเทพบุตรอันอุดม | จะได้พาไปสมนางอุษา |
ให้เธอสังหารผลาญชีวา | อ้ายพาณาสูรอสุรี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมาตุลีเรืองศรี |
รับเทวราชวาที | ถวายอัญชุลีแล้วลงไป |
ฯ ๒ คำ ฯ กลม
ร่าย
๏ ครั้นถึงพ่างพื้นพสุธา | แห่งห้องหิมวาป่าใหญ่ |
จึ่งนิมิตบิดกายทันใด | ด้วยฤทธิไกรเทวัญ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ บัดเดี๋ยวก็กลายเป็นกวางทอง | ผิวผ่องพรรณรายฉายฉัน |
หางหูขนเขาเพราพรรณ | งามล้ำอารัญมฤคา |
เยื้องย่างวางวิ่งเผ่นโผน | จู่โจนออกจากชายป่า |
เตริ่นตรงฝ่าพงเข้ามา | ยังหน้าพลับพลาอลงการ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทผู้ปรีชาหาญ |
แลเห็นกวางทองเผ่นทะยาน | วิ่งผ่านเข้ามาหน้าพล |
กิริยาอาการองอาจ | ภูวนาถหลากจิตคิดฉงน |
ทั้งหมู่เสนาสามนต์ | ต่างตนตื่นดูมฤคี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | กวางทองเทวัญเรืองศรี |
ชม้ายชายดูพระภูมี | กับเทวีสุดายุพาพาล |
แสร้งทำกิริยาให้น่าชม | ก้มลงเล็มหญ้าหน้าฉาน |
แล้วร่ายชายไปไม่ลนลาน | ให้ตรงพักตร์ยุพาพาลอรไท |
เห็นนางแลมาก็แหงนเงย | เดินเฉยประหนึ่งจะเข้าใกล้ |
ลองเชิงเริงเล่นแล้วโจนไป | แกล้งให้ยวนใจเทวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางสุดามารศรี |
ทอดพระเนตรเห็นพญามฤคี | สรรพสิ้นอินทรีย์โสภา |
เท้าหยัดยืนอยู่ดูระหง | เทริดทรงเพียงเทพเลขา |
เขาขนดั่งวิมลโมรา | นัยนาคือนิลมณีพราย |
ไพรโอษฐ์เอี่ยมแดงเพียงนํ้าครั่ง | หางดั่งพวงแก้ววิเชียรฉาย |
สองหูคู่กลีบจงกลกลาย | ผิวหนังเลื่อมพรายดั่งทาทอง |
งามพร้อมสิ้นสรรพสารพางค์ | กวางในพนาลีไม่มีสอง |
เหลืองอร่ามงามล้วนนวลละออง | พิศไหนติดต้องจำเริญตา |
แสนสวาทมาดหมายเป็นพ้นนัก | นงลักษณ์ยอกรเหนือเกศา |
กราบทูลสมเด็จพระภัสดา | ผ่านฟ้าจงโปรดปรานี |
ช่วยจับสุวรรณมฤคราช | ให้แก่ข้าบาทบทศรี |
จะเอาไปเลี้ยงไว้ในบุรี | ชมเล่นเป็นที่สำราญใจ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมพิสมัย |
ฟังอัคเรศร่วมฤทัย | ทรามวัยพรรณนาว่าวอน |
รับขวัญแล้วมีบัญชา | ดูก่อนวนิดาดวงสมร |
แม้นเจ้าปรารถนาหมู่นิกร | ไกรสรสารเศวตจามรี |
หรือวิหคเหมหงส์สิ่งใด | พี่จะหามาให้โฉมศรี |
อันซึ่งกวางทองตัวนี้ | ผิดทีมฤคาในอารัญ |
งามประหลาดกว่าสัตว์ทั้งหลาย | จะเหมือนครั้งนารายณ์รังสรรค์ |
พาพระลักษมณ์นางสีดาวิลาวัณย์ | มาบวชบรรพชิตเป็นสิทธา |
ฝ่ายทศเศียรผู้เรืองฤทธิ์ | ให้มารีจนฤมิตเป็นกวางป่า |
มาทำกลล่อลวงยังศาลา | นางเห็นวอนว่าพระสามี |
พระรามต้องตามกวางสุวรรณ | ไปยังอารัญคีรีศรี |
อยู่หลังทศกัณฐ์อสุรี | มาลักเทวีสีดาไป |
เรื่องนั้นตัวเจ้าก็แจ้งจิต | จะหลงพิศวาสหาควรไม่ |
อย่าผูกพันสัญญาอาลัย | ดวงใจจงฟังพี่ยา |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสุดาเยาวยอดเสน่หา |
ได้ฟังสมเด็จพระภัสดา | กัลยาแสนโทมนัสนัก |
ความรักความเสียดายกวางทอง | ให้เคืองข้องฤทัยเพียงอกหัก |
ชลเนตรคลอคลองนองพักตร์ | นงลักษณ์จึ่งกราบทูลไป |
พระองค์ไม่ทรงพระเมตตา | จึ่งแสร้งพรรณนาว่าได้ |
อันสีดาสิอยู่ศาลาลัย | ไม่มีใครรักษานงคราญ |
ทศพักตร์จึ่งลักอัคเรศ | ไปยังนิเวศน์ราชฐาน |
นี่พรั่งพร้อมล้อมด้วยบริวาร | แล้วหมู่ยักษ์มารที่ไหนมี |
แม้นน้องมิได้มฤคมาศ | อันพรายพรรณโอภาสจำรัสศรี |
ไหนจะคงครองชีพชีวี | ทูลพลางเทวีโศกา[๒] |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์พงศ์นารายณ์นาถา |
ได้ฟังองค์อัครชายา | โศกาว่าวอนรำพัน |
ครั้นจะขัดขืนใจไปนัก | ก็เกรงจักมรณาอาสัญ |
จึ่งตรัสปลอบวนิดาวิลาวัณย์ | ขวัญเนตรอย่าทรงโศกี |
อันซึ่งสุวรรณมฤคราช | ต้องประสงค์จงสวาทโฉมศรี |
พี่จะจับมาให้ดวงชีวี | ไปเลี้ยงเล่นธานีตามใจ |
ตรัสแล้วมีราชบัญชา | สั่งแสนเสนาน้อยใหญ่ |
จงเร่งพหลพลไกร | ล้อมกวางเข้าไว้ไห้มั่นคง |
รุกเร้าจับเอามฤคี | ให้ได้ดั่งเทวีมีประสงค์ |
แม้นกวางลี้หนีได้จากพุ่มพง | ตรงด้านผู้ใดซึ่งล้อมนั้น |
จะลงอาญาถึงสาหัส | ตัดเกล้าเกศาให้อาสัญ |
เสียบไว้ในที่อารัญ | ให้สาใจมันไม่เกรงภัย |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งหมู่เสนาน้อยใหญ่ |
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิไกร | บังคมไหว้แล้วรีบออกมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เกณฑ์กันปันด้านหน้าที่ | ทุกหมวดโยธีซ้ายขวา |
วงข่ายรายล้อมเป็นโกลา | รอบราวชายป่าพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
เสด็จย่างเยื้องจรจรัล | ลงจากสุวรรณพลับพลาชัย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ขึ้นทรงสินธพม้าต้น | ยืนเป็นจอมพลด้านใหญ่ |
แล้วมีสิงหนาทประภาษไป | ให้เร่งรุมจับมฤคา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายด้านน้อยใหญ่ซ้ายขวา |
รับสั่งพระองค์ทรงศักดา | ก็รุกข่ายเข้ามาทันที |
โห่ร้องตีเกราะเคาะตะขาบ | เร้าพลกระหนาบทุกหน้าที่ |
วิ่งไขว่สับสนเป็นโกลี | คอยทีจะจับกวางสุวรรณ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มฤคินทร์เทเวศรังสรรค์ |
เห็นพลโยธีนี่นัน | ล้อมกระชั้นรุกเร้าเข้ามา |
จึ่งคิดว่าถ้ากูจะเผ่นโผน | โจนออกจากด้านซ้ายขวา |
นายกองจะต้องอาญา | ถึงสิ้นชีวาวายปราณ |
อย่าเลยจะออกด้านพระองค์ | จึ่งจะพ้นลงโทษทวยหาญ |
คิดแล้วทำวิ่งลนลาน | เราะรอบทุกด้านพลไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงหน้าฉานภูวเรศ | เทเวศผู้มีอัชฌาสัย |
ก็เผ่นโผนโจนทะยานด้วยว่องไว | ออกไปพ้นพวกโยธา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา เชิด
๏ วิ่งพลางทางเหลียวหลังดู | แล้วหยุดอยู่ที่เนินภูผา |
ทำระเหิดเสริดสังไปมา | ปีบร้องก้องป่าพนาลี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์เทเวศเรืองศรี |
เห็นพญาสุวรรณมฤคี | หนีออกที่ด้านพระองค์ |
ให้ละอายโยธาเสนานัก | พระทรงศักดิ์น้อยจิตพิศวง |
จึ่งสั่งพี่เลี้ยงสุริย์วงศ์ | ทั้งสี่องค์ผู้ร่วมชีวา |
จงแบ่งเสนาน้อยใหญ่ | กับพวกพลไกรซ้ายขวา |
พาองค์นางศรีสุดา | กลับพาราราชธานี |
ตัวเราจะตามมฤคมาศ | ไปในหิมวาสคีรีศรี |
สั่งเสร็จก็ขับพาชี | ไล่ตามมฤคีตรงไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระมาตุลีผู้มีอัชฌาสัย |
เห็นพระองค์ทรงอาชาไนย | ขับใหญ่ไล่ชิดติดมา |
ทำทีดั่งจะหนีไม่พ้น | เวียนวนเราะรายชายป่า |
ครั้นพระสุริย์วงศ์เทวา | รีบม้ารัดไล่จะใกล้ทัน |
ก็เผ่นโผนโจนทะยานผ่านไป | ด้วยกำลังว่องไวดั่งจักรผัน |
ครั้นเห็นห่างวางวิ่งเวียนวัน | ยืนยันหยุดอยู่ดูที |
แล้วแกล้งแสร้งทำเป็นกินหญ้า | ที่ชายป่าแทบเชิงคีรีศรี |
ลองเชิงเริงร่าให้ช้าที | ล่อล้อภูมีให้ยวนใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมพิสมัย |
เร่งรัดมิ่งม้าอาชาไนย | หมายใจให้ทันมฤคา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมาตุลีกวางทองแกล้วกล้า |
วิ่งล่อคลอเคล้าเย้ามา | จนเข้าป่าระหงดงดาน |
ข้ามเขาลำเนาพนาเวศ | ทางทุเรศล่วงแคว้นแดนสถาน |
ตรงไปพระไทรอันโอฬาร | แล้วจึ่งบันดาลด้วยฤทธี |
เผ่นโผนโจนวิ่งจำเพาะพักตร์ | หลานพระหริรักษ์เรืองศรี |
หายไปในพุ่มพนาลี | แทบที่พระไทรสถาวร |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง