- คำนำ
- บทนำเรื่อง
- ที่มาของอนิรุทธคำฉันท์และบทละคอนเรื่องอุณรุท ของ ธนิต อยู่โพธิ์
- ตอนที่ ๑
- ตอนที่ ๒
- ตอนที่ ๓
- ตอนที่ ๔
- ตอนที่ ๕
- ตอนที่ ๖
- ตอนที่ ๗
- ตอนที่ ๘
- ตอนที่ ๙
- ตอนที่ ๑๐
- ตอนที่ ๑๑
- ตอนที่ ๑๒
- ตอนที่ ๑๓
- ตอนที่ ๑๔
- ตอนที่ ๑๕
- ตอนที่ ๑๖
- ตอนที่ ๑๗
- ตอนที่ ๑๘
- ตอนที่ ๑๙
- ตอนที่ ๒๐
- ตอนที่ ๒๑
- ตอนที่ ๒๒
- ตอนที่ ๒๓ ทศมุขพบพระอุณรุท
- ตอนที่ ๒๔
- ตอนที่ ๒๕
- ตอนที่ ๒๖
- ตอนที่ ๒๗
- ตอนที่ ๒๘
- ตอนที่ ๒๙
- ตอนที่ ๓๐
- ตอนที่ ๓๑
- ตอนที่ ๓๒
- ตอนที่ ๓๓
- ตอนที่ ๓๔
- ตอนที่ ๓๕
- ตอนที่ ๓๖
- ตอนที่ ๓๗
- ตอนที่ ๓๘
- ตอนที่ ๓๙
- ตอนที่ ๔๐
- ตอนที่ ๔๑
- ตอนที่ ๔๒
ตอนที่ ๒๔ พระอุณรุทเสียทีถูกท้าวกรุงพาณจับตัวได้
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกรุงพาณราชยักษี |
ได้ฟังลูกรักร่วมชีวี | อสุรีกริ้วโกรธดั่งไฟกัลป์ |
จะไหม้มอดไปทั้งไตรจักร | ฮึกฮักเฉียวฉุนหุนหัน |
โจนจากแท่นแก้วแพรวพรรณ | กุมภัณฑ์สำแดงแผลงฤทธา |
ฯ ๔ คำ ฯ พิราบร้อน รัวสามลา รัวเข้าโรง
๏ สิบเศียรสิบหน้ายี่สิบกร | สูงเยี่ยมอัมพรเวหา |
สิบปากเขี้ยวงอกออกมา | ยี่สิบตาดั่งดวงอโณทัย |
แผดเสียงสิงหนาทตวาดร้อง | กึกก้องฟากฟ้าดินไหว |
กระทืบบาทครึกครั่นสนั่นไป | ถึงเมรุไกรสัตภัณฑ์ |
มือหนึ่งนั้นจับพระแสงหอก | แกว่งกลอกแพรวพรายฉายฉัน |
มือสองฉวยเอาเกาทัณฑ์ | มือสามคว้าพระขรรค์อันศักดา |
มือสี่จับแกว่งพระแสงง้าว | มือห้ากุมตาวอันคมกล้า |
มือหกนั้นถือปืนยา | มือเจ็ดคว้าจักรฤทธิรอน |
มือแปดฉวยจับได้เสน่า | มือเก้านั้นน้าวพระแสงศร |
มือสิบหยิบได้คทาธร | ทั้งยี่สิบกรครบครัน |
สรรพด้วยอาวุธไม่ว่างเว้น | โลดเต้นกวัดแกว่งดั่งจักรผัน |
มันดีทีนี้จะเล่นกัน | กูจะหั่นมิให้แค้นคอกา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ คุกพาทย์[๑]
๏ บัดนั้น | กาลานุราชยักษา |
ผู้เป็นเอกอัครเสนา | เรืองฤทธิ์ศักดาปรีชาชาญ |
จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล | นเรนทร์สูรธิราชมหาศาล |
ซึ่งพระองค์ผู้ทรงสุธาธาร | จะด่วนรอนราญไพรี |
ข้าคิดเห็นประหลาดนัก | พระทรงจักรจงโปรดเกศี |
อันชายชู้พระราชบุตรี | เห็นทีจะเรืองฤทธิไกร |
น่าจะรู้เหาะเหินดำเนินฟ้า | แต่โดยบาทาไม่มาได้ |
ซึ่งพระองค์จะยกพลไกร | มาตรแม้นมีชัยก็ไม่งาม |
ถ้าฉวยเพลี่ยงพล้ำจะซ้ำร้าย | จะอับอายทั่วโลกทั้งสาม |
อย่าหมิ่นพระทัยว่าชายทราม | อันณรงค์สงครามจงยั้งคิด |
จะทำโดยเล่ห์กลอุบาย | ล้างด้วยแยบคายให้สนิท |
อันสหายพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ | ซึ่งสถิตบาดาลเวียงชัย |
ขอให้ไปเชิญเสด็จมา | เห็นว่าจะจับมนุษย์ได้ |
ซึ่งเกรงไพรีจะหนีไป | จะล้อมไว้ด้วยพลโยธี |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรยักษี |
ได้ฟังมหาเสนี | อสุรีเห็นชอบทุกประการ |
จึ่งตรัสสรรเสริญกาลราช | มิเสียทีเป็นชาติมหาศาล |
พร้อมทั้งสติปรีชาชาญ | ควรสถานเอกอัครเสนา |
ท่านจงรีบยกพลไกร | ไปยังปราสาทอุษา |
ล้อมไว้ด้วยเดชศักดา | อย่าให้มันพากันหนีพ้น |
อันเป็นทั้งนี้กูหลากนัก | ดีร้ายอีศุภลักษณ์เป็นต้น |
มันรู้ดำดินบินบน | สื่อสนด้วยฤทธิเกรียงไกร |
เห็นจะลอบลักชักพา | เอาชู้ชายมาส่งให้ |
จับตัวมาทำให้หนำใจ | ฆ่าเสียอย่าไว้ชีวิตมัน |
อาลักษณ์จงเร่งแต่งสาร | ลงลานนพมาศฉายฉัน |
ให้กุมภินมารชาญฉกรรจ์ | ลงไปเขตขัณฑ์นาคี |
เชิญท้าวกำพลนาคราช | ผู้ทรงอำนาจเรืองศรี |
สหายรักกูร่วมชีวี | ขึ้นมาบัดนี้อย่าช้า |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อาลักษณ์ผู้มียศถา |
ก้มเกล้ารับราชบัญชา | ก็แต่งสาราด้วยปรีชาญ |
เสร็จแล้วลงยังลานทอง[๒] | ใส่กล่องแก้วพรายฉายฉาน |
ส่งให้แก่กุมภินมาร | โดยดั่งโองการอสุรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภินเสนายักษี |
รับสารแล้วถวายอัญชุลี | ก็แทรกพื้นปัฐพีลงไป |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
๏ บัดนั้น | กาลานุราชเสนาใหญ่ |
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิไกร | บังคมไหว้แล้วรีบออกมา |
ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม
ยานี
๏ เกณฑ์หมู่อสูรเป็นสามกอง | ลำพองฤทธิแรงแข็งกล้า |
ขี่สัตว์จัตุบาทนานา | นิมิตกายาพันลึก |
นายขี่คชสีห์สิงหราช | เผ่นผาดแผดร้องก้องกึก |
พลขี่สิงโตโห่ฮึก | บ้างขี่โคถึกเถลิงเปรียว |
บ้างขี่คชาม้ามิ่ง | อูฐกระทิงแรดร้ายควายเปลี่ยว |
บ้างขี่ลาโล่โห่เกรียว | ขี่เสือแยกเขี้ยวเหลือกตา |
กองตระเวนคงคาบาดาล | นายขี่ปลาวาฬตัวกล้า |
พลขี่จระเข้เหรา | ช้างน้ำโลมามังกร |
ขี่ฉนากฉลามราหู | ขี่เต่าขี่งูเงือกหงอน |
ล้วนคณาปลาร้ายในสาคร | เขี้ยวงาเงี่ยงงอนพิลึกลาน |
อันกองกระเวนเวหน | เกลื่อนกล่นผาดแผลงสำแดงหาญ |
นายขี่หัสดินบินทะยาน | พลขี่หงส์ห่านระเห็จฟ้า |
ขี่กระตรุมเหนียงยานขวานแขวก[๓] | ทิ้งทูดเค้าแสกแถกถา |
บ้างขี่กดแดงแร้งกา | เหยี่ยวร้าราร่อนว่อนไป |
พื้นถือเครื่องสรรพอาวุธ | สำแดงฤทธิรุทรหวาดไหว |
บดบังแสงสุริโยทัย | เร่งรีบพลไกรไปตามกัน |
ฯ ๑๖ คำ ฯ กราวนอก
ร่าย
๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน | จึ่งอำมาตย์มารชาญขยัน |
ให้พลเดินเท้าทั้งนั้น | ล้อมปราสาทสุวรรณพระบุตรี |
รอบทั้งสามชั้นมั่นคง | แต่ล้วนอาจองไม่ถอยหนี |
คอยเขม้นเข่นฆ่าราวี | ยักษีตั้งหมวดตรวจตรา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายนางศุภลักษณ์กรรฐา |
แลเห็นพวกพลอสุรา | มาล้อมปราสาทนงคราญ |
ตกใจตัวสั่นขวัญหาย | ดั่งจะวายชีวิตสังขาร |
อกเอ๋ยครั้งนี้มิเป็นการ | เห็นจะบรรลัยลาญชีวี |
แลขึ้นไปดูโพยมหน | เห็นพลล้วนขี่ปักษี |
จำจะร่ายพระมนต์อันฤทธี | หนีไปให้รอดชีวาลัย |
คิดแล้วอ่านเวทกำบังตา | ใครจะเห็นกายาก็หาไม่ |
เหาะระเห็จเตร็ดหนีด้วยฤทธิไกร | ออกไปนอกขอบจักรวาล |
ฯ ๘ คำ ฯ รัว เชิด[๔]
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทผู้ปรีชาหาญ |
สถิตเหนือแท่นแก้วสุรกานต์ | กับอุษาเยาวมาลย์วิไลวรรณ |
ได้ยินสำเนียงโกลาหล | สุธาดลอากาศหวาดหวั่น |
พระเผยบัญชรแก้วแพรวพรรณ | ทรงธรรม์เยี่ยมทอดทัศนา |
เห็นพวกอสุราดาดาษ | แวดล้อมปราสาทไว้แน่นหนา |
แล้วแลขึ้นไปในท้องฟ้า | เห็นหมู่อสุรารี้พล |
ขี่วิหคนกพรรณต่างต่าง | แออัดเกลื่อนกลางโพยมหน |
บ้างผาดแผลงสำแดงฤทธิรณ | แต่ละตนฮึกหาญจะราญรอน |
พระแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ภิรมยา | ตรัสเรียกอุษาสายสมร |
แก้วตามาดูพลากร | ของพระบิดรเจ้าบัดนี้ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางอุษามารศรี |
ได้ฟังบัญชาพระสามี | เทวีแลไปในเมฆา |
เห็นมืดมิดทั่วทิศโพยมหน | ล้วนพลเกลื่อนกลาดแน่นหนา |
เยียดยัดอัดพื้นพสุธา | ดั่งจะพลิกดินฟ้าภพไตร |
สองกรนางปิดนัยน์เนตร | อัคเรศซบพักตร์กันแสงไห้ |
พระทรงฤทธิ์จะคิดประการใด | จะพากันบรรลัยครั้งนี้ |
อันพวกพลมารล้วนชาญยุทธ์ | ฤทธิรุทรดั่งพญาราชสีห์ |
หยาบคายร้ายกาจใช่พอดี | ไม่มีใครต้านทานทัน |
โอ้ว่าสงสารพระเยาวราช | จะมาม้วยชีวาตม์เพราะเมียขวัญ |
นางแสนโศกาจาบัลย์ | รำพันกับบาทพระภัสดา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์นาถา |
รับขวัญพลางปลอบกัลยา | แก้วตาอย่าโศกาลัย |
สาอะไรกับพลเท่านี้ | ไหนจะต่อฤทธีของพี่ได้ |
โกฏิแสนแม้นมาสักเท่าใด | จะบรรลัยชีวันไม่ครั่นกร |
ตัวพี่ผู้เดียวจะเคี่ยวฆ่า | ด้วยกำลังศักดาชาญสมร |
ให้วินาศกลาดกลางดินดอน | บังอรอย่ากลัวอสุรี |
ตรัสพลางฉวยชักพระขรรค์เพชร | เสด็จยืนโดยช่องบัญชรศรี |
กวัดแกว่งสำแดงฤทธี | ดั่งอัคคีแสงพรายกระจายฟ้า |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด ฉิ่ง
๏ บัดนั้น | ฝ่ายหมู่ทหารยักษา |
เห็นแสงพระขรรค์อันศักดา | บาดตาแปลบปลาบวาบพราย |
ต่างตนต่างกลัวตัวสั่น | กัมปนาทหวาดหวั่นใจหาย |
อุตลุดซุดซานทั้งไพร่นาย | กลัวตายทุกพวกพลมาร |
บรรดาคชาม้ามิ่ง | สารพัดสัตว์สิงตัวหาญ |
ตื่นโจนโผนแผดเผ่นทะยาน | อลหม่านแตกยับทั้งทัพชัย |
ฯ ๖ คำ ฯ คุกพาทย์
๏ บัดนั้น | กาลานุราชนายใหญ่ |
เห็นมนุษย์แผลงฤทธิ์เกรียงไกร | พลมารแตกไปเป็นโกลา |
พิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท | ผาดแผดสิงหนาทดั่งฟ้าผ่า |
ด่าตีต้อนขับให้กลับมา | พากันล้อมปราสาทไว้ทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | นวลนางอุษามารศรี |
เห็นฤทธิ์สมเด็จพระสามี | ยินดีแล้วทูลวิงวอน |
ซึ่งจะสังหารผลาญยักษ์ | พระทรงจักรจงเงือดงดก่อน |
เกลือกว่าสมเด็จพระบิดร | ภูธรจะคลายโกรธา |
จะเลิกพหลโยธี | มิให้ราวีเข่นฆ่า |
ตัวข้าผู้บาทบริจา | จะได้ทูลบาทาสืบไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระภุชพงศ์ทรงเดชแผ่นดินไหว |
ได้ฟังวนิดายาใจ | ภูวไนยสวมกอดเทวี |
มิเสียแรงที่เจ้าเกิดมา | ยิ่งอนงค์นางฟ้าในราศี |
ประกอบด้วยปรีชาปัญญาดี | พาทีนี้ต้องคลองธรรม์ |
ตรัสพลางจูงกรวรนาฏ | เข้าที่ไสยาสน์แล้วรับขวัญ |
สมสนิทวนิดาดวงจันทร์ | เกษมสันต์หลับไปทั้งสองรา |
ฯ ๖ คำ ฯ กล่อม
๏ บัดนั้น | ฝ่ายกุมภินมารยักษา |
ครั้นถึงพิภพนาคา | ก็ไปยังเสนาทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ แจ้งว่าสมเด็จพญามาร | ผู้ผ่านรัตนาบุรีศรี |
ใช้มาโดยราชไมตรี | ก็ส่งสารสวัสดีให้ทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | จึ่งเสนานาคีผู้ใหญ่ |
ได้ฟังจะแจ้งไม่แคลงใจ | ก็พาไปยังท้องพระโรงคัล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ | ทูลพญาภุชฌงศ์รังสรรค์ |
บัดนี้พระสหายร่วมชีวัน | ใช้ให้กุมภัณฑ์เสนี |
จำทูลอักษรสารสวาสดิ์ | มายังเบื้องบาทบทศรี |
ก็คลี่ออกอ่านถวายทันที | ในที่ท่ามกลางโยธา |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๏ ราชสารพระองค์มงกุฎเกศ | อสุรินทร์เรืองเดชนาถา |
ผู้ผ่านพิภพรัตนา | เป็นมหาจรรโลงเลิศไกร |
จำเริญราชไมตรีศรีสวัสดิ์ | โดยทางประดิพัทธ์พิสมัย |
มาถึงพระสหายผู้ร่วมใจ | อันเป็นใหญ่ในกรุงบาดาล |
ด้วยบัดนี้มีทุกข์ทับอก | แสนวิตกเร่าร้อนดั่งเพลิงผลาญ |
เจ็บใจได้ความอัประมาณ | ทั่วสถานฟากฟ้าธาตรี |
ไม่มีผู้ใดจะช่วยคิด | ทั้งญาติมิตรสุริย์วงศ์ยักษี |
เห็นแต่พระสหายผู้ฤทธี | เป็นที่ร่วมชีพชีวา |
จะระงับดับเดือดร้อนได้ | ให้วายทุกข์โทมนัสสา |
พระองค์จงทรงพระเมตตา | เชิญเสด็จขึ้นมายังเมืองมาร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกำพลนาคใจหาญ |
ได้ฟังทราบสิ้นในวิญญาณ | ก็แจ้งว่าเกิดการกลีภัย |
ด้วยพระธิดาดวงจิต | จะคบชู้ชายสนิทพิสมัย |
ใครหนออาจองทะนงใจ | ทำได้ไม่เกรงอสุรี |
อันในสุริย์วงศ์พงศ์ยักษ์ | จะหาญหักอาจใจก็ใช่ที่ |
หรือจะเป็นวิทยานาคี | เทวเวศผู้มีฤทธา |
ตัวกูจำจะรีบจร | ช่วยร้อนพญายักษา |
คิดแล้วโสรจสรงคงคา | ทรงเครื่องรัตนาอลงการ |
จับพระขรรค์ศักดาวราวุธ | สำแดงฤทธิรุทรกำลังหาญ |
แหวกห้วงมหาชลธาร | ถีบทะยานไปกับอสุรี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กลม เชิด
๏ เร็วเพียงกำลังลมพา | ถึงกรุงรัตนาบุรีศรี |
กรายกรย่างเยื้องจรลี | ตรงเข้ายังที่พระโรงคัล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรรังสรรค์ |
เห็นสหายรักร่วมชีวัน | กุมภัณฑ์ชื่นชมภิรมย์ใจ |
ดั่งหนี่งต้องแสงศรพิษ | มีผู้เรืองฤทธิ์ช่วยถอนให้ |
โจนจากแท่นแก้วอำไพ | เสด็จออกไปรับทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ จูงกรขึ้นยังบัลลังก์รัตน์ | ภายใต้เศวตฉัตรเฉลิมศรี |
เคารพกันตามประเพณี | ในที่ท่ามกลางเสนา |
แล้วยักษีคิดแค้นแสนเทวษ | ชลนัยน์คลอเนตรซ้ายขวา |
ออกโอษฐ์รำพันบัญชา | ตรัสเล่ากิจจาแต่ต้นไป |
บัดนี้อุษายุพาพักตร์ | ทำการทรลักษณ์ก็เป็นได้ |
คบชู้สู่สมภิรมย่ใจ | จะเกรงกลัวใครก็ไม่มี |
ชายนั้นหน่อท้าวไกรสุท | ชื่อว่าอุณรุทเรืองศรี |
อหังการ์หยาบช้าพาที | อัปยศครั้งนี้เป็นสุดคิด |
จึ่งให้ไปเชิญพระสหาย | เพื่อนตายร่วมทุกข์ร่วมจิต |
มาหวังช่วยจับปัจจามิตร | ซึ่งมันทุจริตไม่กลัวภัย |
เสี่ยงสับให้ยับทั้งกายา | จึ่งสมน้ำหน้าที่หยาบใหญ่ |
ตระเวนแล้วจึ่งฆ่าให้สาใจ | พระสหายจงได้ปรานี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกำพลนาคเรืองศรี |
ได้ฟังพญาอสุรี | โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกัลป์ |
เหม่เหม่มนุษย์อหังการ์ | ไม่กลัวชีวาจะอาสัญ |
แล้วว่าแก่พญากุมภัณฑ์ | ข้อนั้นอย่าปรารมภ์ใจ |
ข้าจะอาสาพระสหาย | ไปผูกมัดรัดกายมาให้ได้ |
ว่าแล้วผาดแผลงฤทธิไกร | เป็นใยปลิวไปโดยอัมพร |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งราชนิเวศน์ | ยุพเรศอุษาสายสมร |
ก็เลื้อยลอยเข้าไปโดยบัญชร | ยังแท่นบรรจถรณ์อลงการ |
ฯ ๒ คำ ฯ แผละ
๏ รัดองค์พระอุณรุทได้ | ด้วยเดชฤทธิไกรกำลังหาญ |
แล้วพาระเห็จเตร็ดทะยาน | มายังสถานอสุรา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรยักษา |
เห็นพญาภุชงค์ผู้ศักดา | มัดมนุษย์มาก็ดีใจ |
ยี่สิบหัตถ์ตบหัตถ์ฉัดฉาน | เสียงสะท้านฟากฟ้าดินไหว |
สิบปากสรวลสันต์สนั่นไป | สรรเสริญฤทธิไกรสหายรัก |
มิเสียทีที่ทรงอานุภาพ | อาจปราบได้ไปทั้งไตรจักร |
ตรัสพลางแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ | ขุนยักษ์เสด็จออกมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
เย้ย
๏ จึ่งมีบรรหารสิงหนาท | บริภาษพาทีชี้หน้า |
เหวยเหวยมนุษย์อหังการ์ | ไม่กลัวว่าชีวันจะบรรลัย |
ยกเนื้อยอตัวให้เกินพักตร์ | อ้างอวดฮึกยักหยาบใหญ่ |
โอหังเย่อหยิ่งจะชิงชัย | เป็นไรจึ่งไม่แผลงฤทธิ์ |
ให้ยองใยไปมัดรัดมา | ดั่งว่าลูกไก่กระจิดหริด |
ทีนี้เห็นจะสิ้นชีวิต | หรือจะคิดต่อสู้กับหมู่ยักษ์ |
ดูหมิ่นกันเล่นแล้วมิหนำ | กลับซํ้ารอนราญหาญหัก |
เป็นไรไม่ทำคึกคัก | มานั่งก้มพักตร์ไม่เจรจา |
นี่หรือเจ้าหน่อภุชพงศ์ | สุริย์วงศ์จักรกฤษณ์นาถา |
รูปร่างดั่งหนึ่งเทวา | จะมาเป็นเขยข้าหรือว่าไร[๕] |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวรำ เจรจา
ร่าย
๏ แล้วตรัสแก่พญานาคี | เราจะทำกระนี้ก็มิได้ |
แม้นจักฆ่าเสียให้บรรลัย | จะลับไปไม่ได้ความเจ็บอาย |
จำจะประจานจงสามารถ | ให้รู้ทั่วโลกธาตุทั้งหลาย |
ทารกรรมให้ลำบากกาย | กว่ามันจะวายชีวา |
จะได้ลือชาปรากฏ | ไปทั่วทั้งทศทิศา |
ฝูงมนุษย์ครุฑนาคเทวา | เบื้องหน้าจะไม่ดูเยี่ยงมัน |
พระสหายผู้เรืองฤทธิไกร | จงเอาไปรึงรัดไว้ให้มั่น |
ยังยอดปราสาทพรายพรรณ | ให้สาใจมันอ้ายอัปรีย์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกำพลนาคเรืองศรี |
ได้ฟังบรรหารอสุรี | ก็พาองค์ภูมีขึ้นไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ผูกมัดรัดรึงตรึงมั่น | ด้วยขนดกายอันยาวใหญ่ |
กับยอดปราสาทอำไพ | มิให้ไหวติงกายา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรยักษา |
เห็นสหายรักร่วมชีวา | พาเอาชายชู้พระบุตรี |
ขึ้นไปมัดไว้ด้วยอำนาจ | ยังยอดปราสาทมณีศรี |
มีความโสมนัสพันทวี | อสุรีสำรวลสำราญใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กาลานุราชนายใหญ่ |
ครั้นพญานาคมัดมนุษย์ไป | ก็เลิกพลไกรกลับมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
[๑] ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕๖๑ ใช้เพลงพันพิราบ
[๒] ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕๖๑ และ ๕๖๙ เป็น “เสร็จแล้วลงยังแผ่นทอง”
[๓] กระตรุม แก้ตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๕๖๑ และ ๕๖๙ หมายถึง นกตะกรุม
[๔] ฉบับพิมพ์ก่อนนี้ใช้เพลงตระ เชิด ไม่ตรงกับในต้นฉบับหนังสือสมุดไทย ซึ่งในเลขที่ ๕๖๑ เดิมใช้ ตระ กราว แล้วแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วยดินสอขาวเป็นรัว เชิด ส่วนเลขที่ ๕๖๓ เดิมไม่มีบอกเพลง แต่มีการเขียนเพิ่มเติมด้วยดินสอขาวว่า เชิดฉิ่ง กราว
[๕] ในต้นฉบับหนังสือสมุดไทยทั้งสองฉบับเลขที่ ๕๖๑ และ ๕๖๙ เดิมเป็น “จะมาเป็นเขยกูหรือว่าไร” และได้มีการแก้ไขด้วยดินสอขาวในต้นฉบับว่า “จะมาเป็นเขยข้าหรือว่าไร”