- คำนำ
- บทนำเรื่อง
- ที่มาของอนิรุทธคำฉันท์และบทละคอนเรื่องอุณรุท ของ ธนิต อยู่โพธิ์
- ตอนที่ ๑
- ตอนที่ ๒
- ตอนที่ ๓
- ตอนที่ ๔
- ตอนที่ ๕
- ตอนที่ ๖
- ตอนที่ ๗
- ตอนที่ ๘
- ตอนที่ ๙
- ตอนที่ ๑๐
- ตอนที่ ๑๑
- ตอนที่ ๑๒
- ตอนที่ ๑๓
- ตอนที่ ๑๔
- ตอนที่ ๑๕
- ตอนที่ ๑๖
- ตอนที่ ๑๗
- ตอนที่ ๑๘
- ตอนที่ ๑๙
- ตอนที่ ๒๐
- ตอนที่ ๒๑
- ตอนที่ ๒๒
- ตอนที่ ๒๓ ทศมุขพบพระอุณรุท
- ตอนที่ ๒๔
- ตอนที่ ๒๕
- ตอนที่ ๒๖
- ตอนที่ ๒๗
- ตอนที่ ๒๘
- ตอนที่ ๒๙
- ตอนที่ ๓๐
- ตอนที่ ๓๑
- ตอนที่ ๓๒
- ตอนที่ ๓๓
- ตอนที่ ๓๔
- ตอนที่ ๓๕
- ตอนที่ ๓๖
- ตอนที่ ๓๗
- ตอนที่ ๓๘
- ตอนที่ ๓๙
- ตอนที่ ๔๐
- ตอนที่ ๔๑
- ตอนที่ ๔๒
ตอนที่ ๒๗ พระอุณรุทรบกับท้าวกรุงพาณ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายพระอุณรุทรังสรรค์ |
จึ่งเสด็จย่างเยื้องจรจรัล | เข้าห้องสุวรรณอลงการ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นองค์นงลักษณ์ | ซบพักตร์เศร้าโทมนัสสา |
พระสวมสอดกอดองค์กัลยา | โศกาครวญคร่ำร่ำไร |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ โอ้ว่าเจ้าดวงชีวิตพี่ | ครั้งนี้ดั่งตายแล้วเกิดใหม่ |
เมื่อนาคมามัดรัดไป | แขวนไว้ยังยอดพรหมพักตร์ |
คิดว่าจะสิ้นชีวาตม์ | แสนคะนึงนุชนาฏเพียงอกหัก |
กลัวจะไม่ได้เห็นน้องรัก | แสนทุกข์ทุกข์หนักเพียงตัวตาย |
ไหนจะทนเวทนาก็สาหัส | โทมนัสเร่าร้อนฤทัยหาย |
ดิ้นดิ้นจะสิ้นชีวาวาย | แล้วคิดถึงโฉมฉายพันทวี |
เกรงว่าตัวเจ้าจะบรรลัย | ด้วยภัยพญายักษี |
ยิ่งเยือกเย็นไปสิ้นทั้งอินทรีย์ | พ่างเพียงกายพี่จะแหลกลาญ |
หากพระอัยกามาช่วย | จึ่งไม่ม้วยชีวังสังขาร |
ได้คืนมาเห็นหน้าเยาวมาลย์ | ผ่านฟ้าร่ำพลางทางโศกา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางอุษา |
ซบพักตร์กับตักพระภัสดา | กัลยาพ่างเพียงจะขาดใจ |
ฟังฟังน้ำคำพระร่ำรัก | ยิ่งสงสารนักน้ำตาไหล |
แสนสลดระทดด้วยอาลัย | อรไทข้อนทรวงเข้าโศกี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้ว่าพระมิ่งมงกุฎเกศ | ทรงเดชฟุ้งฟ้าราศี |
หรือมาต้องทนทุกข์แสนทวี | เพราะด้วยน้องนี้อนาถนัก |
มิควรเลยที่พวกไพริน | จะดูหมิ่นบาทบงสุ์พระทรงจักร |
จนจะม้วยลงด้วยอาญายักษ์ | ยังปรานีน้องนักเพราะเมตตา |
อันพระคุณที่การุญภาพ | ก็ซ่านซาบล้นเกล้าเกศา |
สุดซึ่งจะร่ำพรรณนา | หนักยิ่งแผ่นฟ้าสุธาธาร |
เมียคิดว่าจะไม่ได้ทูลบาท | พระเยาวราชผู้ยอดมหาศาล |
เมื่อตื่นขึ้นไม่เห็นบทมาลย์ | ทั้งนงคราญศุภลักษณ์ก็หายไป |
สำคัญว่าพระพากันลอบหนี | น้องนี้ดิ้นโดยโหยไห้ |
ต่อเหลือบแลเห็นพระขรรค์ชัย | สงสัยใคร่ถวิลจินดา |
เที่ยวหาเห็นนาคมันรึงรัด | มัดไว้ยอดปราสาทยักษา |
ดังเศียรน้องขาดจากกายา | โหยหาจนสลบไม่สมประดี |
ฟื้นขึ้นน้องวอนขอโทษ | พระบิดาไม่โปรดเกศี |
สุดคิดแล้วตั้งแต่โศกี | แสนทวีเวทนาจาบัลย์ |
บุญช่วยจึ่งไม่ม้วยชีวาตม์ | ได้รองบาทภูวเรศรังสรรค์ |
ร่ำพลางกัลยาลาวัณย์ | กันแสงศัลย์เพียงสิ้นชีวา |
ฯ ๑๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ บัดนั้น | จึ่งนางพี่เลี้ยงเสน่หา |
เห็นสองกษัตริย์โศกา | พรรณนาครวญคร่ำร่ำไร |
ต่างสงสารพระเยาวเรศ | แสนเทวษกลั้นโศกมิใคร่ได้ |
ยิ่งดูผ่านฟ้าโศกาลัย | เห็นนํ้าพระเนตรไหลลงพรั่งพราย |
ตกต้องปฤษฎางค์พระนุชน้อง | ดั่งแผ่นทองรองดวงมณีฉาย |
สุชลนางต้องพระบาทฟูมฟาย | ดั่งสายฝนตกต้องปทุมา |
งามโฉมเมื่อชื่นก็ล้ำโลก | ยามโศกก็น่าเสน่หา |
อันเราสี่คนแปดนัยนา | ดูสองกษัตราไม่อิ่มใจ |
ถึงใครงามทั้งสามแผ่นภพ | จะเลิศลบสององค์ก็ไม่ได้ |
ดูดูก็ปลื้มอาลัย | ต่างถอยออกไปทันที |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์เรืองศรี |
ครั้นสว่างสร่างโศกโศกี | จึ่งมีสุนทรวาจา |
เจ้าผู้โฉมเฉลาเสาวภาคย์ | เพื่อนยากพี่ยอดเสน่หา |
รุ่งเช้าพรุ่งนี้เวลา | พี่จักเข่นฆ่ากรุงพาณ |
แก้แค้นแทนกันประจัญกร | ราญรอนด้วยเดชกำลังหาญ |
ให้ม้วยชีวันบรรลัยลาญ | เยาวมาลย์จะว่าประการใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางอุษาผู้ยอดพิสมัย |
จึ่งนบนิ้วทูลสนองไป | สุดใจอยู่แล้วพระยอดฟ้า |
อันพระบิตุเรศได้เลี้ยงดู | คุณอยู่น้องรักหนักหนา |
พระองค์ได้เป็นภัสดา | คุณล้ำแผ่นฟ้าธาตรี |
แม้นสองพระองค์ทรงธรรม์ | ร่วมแผ่นสุวรรณเฉลิมศรี |
น้องจะแสนสำราญพันทวี | ไม่มีสิ่งซึ่งจะเปรียบปาน |
นี่มาเป็นเสี้ยนปัจจามิตร | สุดคิดที่น้องจะว่าขาน |
เมียก็ได้ตั้งสัตย์ปัฏิญาณ | จะตายด้วยบทมาลย์เป็นแน่นอน |
แต่ขอพระองค์จงโปรดเกศ | แม้นว่าบิตุเรศไม่ก่อก่อน |
พระอย่าเพ่อประหารราญรอน | เมตตาผันผ่อนให้จงดี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทผู้รุ่งรัศมี |
ได้ฟังวนิดาพาที | ภูมีรับขวัญนงลักษณ์ |
มิเสียทีพี่ละนคเรศ | ข้ามเขตหิมวาอาณาจักร |
มาได้สบสมอารมณ์นัก | งามศักดิ์สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ |
งามรูปงามโฉมประโลมจิต | งามจริตงามรู้ให้รับขวัญ |
งามคำงามคมคารมครัน | งามชื่อสารพันจะต้องใจ |
ตรัสพลางอิงแอบแนบน้อง | ตระกองแก้วจุมพิตพิสมัย |
เคยชื่นรื่นรสภิรมย์ใน | ดั่งได้เสวยสวรรค์ชั้นฟ้า |
ฯ ๘ คำ ฯ กล่อม
๏ บัดนั้น | ฝ่ายนางกำนัลถ้วนหน้า |
ได้ยินเสียงกันแสงโศกา | พรรณนาร่ำไรรักกัน |
ให้คิดฉงนสนเท่ห์นัก | ไฉนหนอนงลักษณ์โฉมสวรรค์ |
สิอยู่กับพี่เลี้ยงร่วมชีวัน | นี่เสียงชายรำพันประหลาดใจ |
อย่าเลยจะลอบเข้าไปดู | ให้รู้ประจักษ์จงได้ |
คิดแล้วก็พากันคลาไคล | ขึ้นไปบนที่พระบุตรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ แฝงม่านมองเห็นพระสุริย์วงศ์ | กับองค์พระธิดาโฉมศรี |
แสนวิโยคโศกศัลย์โศกี | อยู่บนแท่นที่ไสยา |
ทั้งสี่พี่เลี้ยงก็ครวญคร่ำ | พิไรร่ำรักสองเสน่หา |
หมู่นางก็กลับลงมา | จากปราสาทรัตนาอำไพ |
จึ่งปรึกษากันทันที | ครั้งนี้เราจะคิดไฉน |
อันจะนิ่งปิดปกเนื้อความไว้ | เห็นไม่พ้นภัยกุมภัณฑ์ |
จำเราจะรีบไปกราบทูล | นเรนทร์สูรธิราชรังสรรค์ |
ว่าแล้วฝูงนางกำนัล | ก็พากันไปเฝ้าอสุรี |
ฯ ๘ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงนบนิ้วบังคมบาท | ทูลท้าวพาณราชเรืองศรี |
บัดนี้ชายชู้พระบุตรี | อันมีนามอุณรุทสุริย์วงศ์ |
กลับมาโศการักกัน | กับจอมขวัญเยาวยอดนวลหง |
ชีวิตข้าอยู่ใต้บาทบงสุ์ | ขอประทานจงทรงพระเมตตา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรยักษา |
ได้ฟังกำนัลกัลยา | อสุรากริ้วโกรธคือไฟกัลป์ |
กระทืบบาทผาดแผดสุรเสียง | เข่นเขี้ยวสำเนียงดั่งฟ้าลั่น |
เหม่เหม่มนุษย์เท่าแมลงวัน | มาดูหมิ่นกันหนักไป |
แต่รอดจากตายก็บุญตัว | ไม่กลัวกลับมาหากันได้ |
มันนี้ผลกรรมเข้าดลใจ | จะบรรลัยด้วยมือพระกาล |
ตรัสแล้วเสด็จยุรยาตร | จากแท่นทิพมาศมุกดาหาร |
ดั่งไพจิตราสูรมาร | ออกพระโรงสุรกานต์รูจี |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ | ภายใต้เศวตฉัตรมณีศรี |
จึ่งมีสิงหนาทวาที | ตรัสสั่งเสนีรณพักตร์ |
จงเกณฑ์อสุรโยธา | เลือกล้วนแกล้วกล้าสิทธิศักดิ์ |
ให้ได้พันโกฏิพลยักษ์ | เคยหักศึกหาญชาญฉกรรจ์ |
พรุ่งนี้จะจับอุณรุท | ลูกท้าวไกรสุทรังสรรค์ |
ฆ่าเสียให้สิ้นชีวัน | จงสาใจมันอ้ายพาลา |
แล้วจึ่งจะยกโยธี | แสนสุรเสนีแกล้วกล้า |
ไปตีเอากรุงณรงกา | ฆ่าวงศามันให้วายปราณ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | รณพักตร์ผู้ปรีชาหาญ |
ก้มเกล้ารับราชโองการ | กราบกับบทมาลย์แล้วออกไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๏ เกณฑ์พลเป็นกองพยุหบาตร | โดยขนาดกระบวนทัพใหญ่ |
พันโกฏิเลือกล้วนเกรียงไกร | ว่องไวในการราญรอน |
กองหนึ่งกายเป็นกุมภัณฑ์ | หน้านั้นเป็นหน้ากาสร |
เหล่าหนึ่งหน้าเป็นวานร | กายกรเป็นเพศอสุรา |
เหล่าหนึ่งกายเป็นโคถึก | หน้านั้นพันลึกเป็นผีป่า |
เหล่าหนึ่งตัวเป็นพยัคฆา | หน้ากลับเป็นหน้าพาชี |
เหล่าหนึ่งตัวกายเป็นมังกร | หน้าเป็นไกรสรราชสีห์ |
เหล่าหนึ่งกายเป็นอสุรี | หน้านั้นเป็นหมีขบฟัน |
ล้วนถืออาวุธกวัดแกว่ง | เป็นประกายพรายแสงฉายฉัน |
ผูกช้างพระที่นั่งซับมัน | พร้อมกันในราตรีกาล |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรใจหาญ |
ไสยาสน์เหนืออาสน์โอฬาร | ให้เดือดดาลร้อนรนสกนธ์กาย |
ดั่งหนึ่งว่าใครเอาไฟพิษ | มาจ่อจิตติดอยู่ไม่รู้หาย |
พลิกกลับสับสนกระวนกระวาย | มาดหมายจะล้างไพรี |
ผุดลุกขึ้นเยี่ยมบัญชร | คอยท่าทินกรรังสี |
แต่ฮึกฮัดขัดแค้นแสนทวี | อสุรีไม่สนิทนิทรา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นพระสุริยาเรืองรอง | แสงทองสว่างเวหา |
เสด็จจากแท่นแก้วอลงการ์ | มาเข้าที่สรงชลธาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ สุหร่ายโรยโปรยสายวารีริน | ทรงสุคนธ์กลั้วกลิ่นหอมหวาน |
สอดใส่สนับเพลาพลอยประพาฬ | ภูษาลายก้านกระหนกพัน |
ชายไหวชายแครงโมราร่วง | เกราะเกล็ดเพชรพวงมุกดาคั่น |
ฉลององค์ทรงประพาฬพื้นสุวรรณ | รัดองค์กุดั่นประจำยาม |
ตาบทิศทับทรวงดวงผลึก | สังวาลศึกสามสายเรืองอร่าม |
ทองกรพาหุรัดรายพุกาม | ธำมรงค์เพชรพลามพรายตา |
สิบเศียรสอดทรงมงกุฎแก้ว | ดอกไม้พัดวาวแววซ้ายขวา |
ยี่สิบกรกุมเทพสาตรา | งามสง่าดั่งองค์เวสสุวัณ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นได้ศุภฤกษ์สวัสดี | เสียงฆ้องชัยมี่บันลือลั่น |
เสด็จจากแท่นแก้วแพรวพรรณ | จรจรัลมาทรงคชาธาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ช้างเอยช้างศึก | มหาเมฆตัวฮึกกำแหงหาญ |
ประดับเครื่องเนาวรัตน์ชัชวาล | ยืนทะยานสูงเยี่ยมโพยมบน |
สองหูพู่ห้อยพรายแพรว | ข่ายแก้วปกตระพองกรองสน |
ดาวกุดั่นจำรัสรัตคน | ชนักต้นทองถักกระวินวาม |
เท้าฉัดงวงคว้างาเสย | แหงนเงยถีบแทงแกว่งสนาม |
เริงร่านหาญณรงค์สงคราม | ไม่ครั่นคร้ามขามหมู่ปัจจามิตร |
โกญจนาทสนั่นพันลึก | เรียกมันครั่นคึกถึงดุสิต |
ประดับด้วยเครื่องสูงชวลิต | ฆ้องกลองครรชิตอึงอล |
เสียงแซ่แตรสังข์กังสดาล | พลมารขานโห่โกลาหล |
ผงคลีพัดกลุ้มสุริยน | รีบร้นทวยหาญทะยานมา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กราว
๏ ครั้นถึงปราการทวาเรศ | ที่ราชนิเวศน์นางอุษา |
จึ่งมีสีหนาทบัญชา | ให้โยธาเข้าล้อมปราสาทชัย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | รณพักตร์นายกองทหารใหญ่ |
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิไกร | ก็ขับพลเข้าไปทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ล้อมรอบสามชั้นมั่นคง | จัตุรงค์เยียดยัดอึงมี่ |
แต่อากาศจนพื้นปัฐพี | ตรวจตราหน้าที่กำชับกัน |
อย่าให้มนุษย์หนีได้ | เร่งระวังระไวจงกวดขัน |
แม้นออกได้ด้านผู้ใดนั้น | จะบั่นเกล้าเสียบเสียให้สิ้นปราณ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายหมู่โยธาพลหาญ |
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเผ่นทะยาน | โห่สะท้านสะเทือนสุธาดล |
ต่างแผลงสำแดงฤทธิรุทร | กวัดแกว่งอาวุธกุลาหล |
หมายมาดจะพิฆาตให้วายชนม์ | ต่างตนกระหยับคอยที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี |
สถิตเหนือแท่นรัตน์รูจี | กับมารศรีอุษายาใจ |
ได้ยินเสียงสำเนียงนฤนาท | พสุธาอากาศหวาดไหว |
พระชวนองค์อัคเรศอรไท | เสด็จไปยืนเยี่ยมยังบัญชร |
เห็นพวกพหลพลยักษ์ | สิทธิศักดิ์เหี้ยมหาญชาญสมร |
ล้อมรอบดาดาษแต่ดินดอน | จดจนอัมพรอเนกนันต์ |
กรุงพาณนั้นทรงคชฤทธิ์ | ยืนสถิตเป็นจอมพลขันธ์ |
แผดเสียงกราดเกรี้ยวเคี้ยวฟัน | บันลือลั่นโลกาฟ้าดิน |
พระยินดีสรวลยิ้มพริ้มพราย | หมายใจจะล้างเสียให้สิ้น |
ดั่งไกรสรเห็นหมู่มฤคิน | จะแผดผลาญชีวินให้แหลกลาญ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางอุษาเยาวยอดสงสาร |
กับสี่พี่เลี้ยงนงคราญ | เห็นพวกพลมารแน่นนันต์ |
ต่างตนตัวสั่นขวัญหาย | ความกลัวเพียงวายชีวาสัญ |
พระอัคเรศอรไทวิไลวรรณ | กอดบาททรงธรรม์เข้าร่ำไร |
โอ้พระทูลกระหม่อมของน้องเอ๋ย | ครั้งนี้ใครเลยจะช่วยได้ |
พลมารแน่นนับสมุทรไท | ล้วนเรืองฤทธิไกรมหึมา |
พระบิตุรงค์ก็ทรงพาหนาศ | คชเรศร้ายกาจตัวกล้า |
ยี่สิบกรครบเครื่องสาตรา | ศักดานุภาพพันทวี |
ครั้งก่อนหากองค์พระทรงเดช | อัยกาจอมเกศเรืองศรี |
เสด็จมาโปรดเกล้าเมาลี | ชีวีจึ่งไม่ม้วยด้วยพาลภัย |
ครั้งนี้พระองค์องค์เดียว | เปล่าเปลี่ยวหามีที่พึ่งไม่ |
น่าที่จะพากันบรรลัย | อรไทร่ำพลางทางโศกา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมเสน่หา |
รับขวัญแล้วปลอบวนิดา | แก้วตาอย่ากลัวอ้ายสาธารณ์ |
ทำไมกับพวกพลยักษ์ | ทรลักษณ์ดั่งชาติเดียรฉาน |
หรือจะมารอระด้วยพระกาล | จะพากันแหลกลาญไม่เหลือไป |
ถึงท้าวกรุงพาณอสุรี | ไหนจะต่อฤทธีกับพี่ได้ |
หากเป็นบิตุเรศของทรามวัย | ได้มีพระคุณเลี้ยงมา |
จำจะไปเจรจาว่ากล่าว | อ่อนง้อต่อท้าวยักษา |
ตรัสแล้วจับพระขรรค์อันศักดา | ผ่านฟ้าผาดแผลงฤทธี |
เหาะขึ้นยังพื้นอัมพร | โดยช่องบัญชรชัยศรี |
กวัดแกว่งพระแสงโมลี | ไล่พลอสุรีกระจายไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เลื่อนลอยอยู่บนอากาศ | งามวิลาสดั่งดวงแขไข |
กลางหมู่พลมารชาญชัย | ตรงหน้าคชไกรกรุงพาณ |
จึ่งออกโอษฐ์ประภาษพาที | ด้วยเสียงสีหนาทบรรหาร |
ปราศรัยในรสพจมาน | ดูก่อนท่านท้าวยี่สิบกร |
ซึ่งกริ้วโกรธพิโรธเรานัก | ว่าลอบรักธิดาดวงสมร |
มิได้กล่าวของ้องอน | ก็ทำโทษโรธกรณ์เราเจียนตาย |
ข้อที่อัปยศอดสู | คิดดูพอกลบลบหาย |
เป็นไฉนยังโกรธดั่งเพลิงพราย | ยกพลนิกายมาล้อมไว้ |
แม้นว่าท่านฆ่าเราอาสัญ | ธิดานั้นจะงามฤๅไฉน |
ช่างไม่หยุดยั้งชั่งใจ | เป็นผู้ใหญ่ใคร่คิดให้จงดี |
จะให้ทำยังไรก็ว่ามา | ตามแต่ปัญญาของยักษี |
แม้นร่วมสุวรรณปฐพี | จะได้เป็นไมตรีกันสำราญ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรใจหาญ |
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งไฟกาฬ | จึ่งมีพจมานตอบไป |
เหวยเหวยอุณรุทมนุษย์น้อย | อหังการกล่าวถ้อยหยาบใหญ่ |
สิ้นลมแนมเหน็บให้เจ็บใจ | เราใช่ยักษาทรลักษณ์ |
แม้นว่าจะมาเป็นเขย | ไหนเลยจะทำหาญหัก |
นี่ตัวดูหมิ่นถิ่นแคลนนัก | ใครจักอดได้นั้นไม่มี |
อย่าว่าแต่อุษาจะเป็นม่าย | ถึงตายก็ไม่ดูผี |
มิได้นับมันว่าบุตรี | จะสังหารชีวีเสียด้วยกัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
ได้ฟังพญากุมภัณฑ์ | ทรงธรรม์สรวลยิ้มพริ้มพราย |
แล้วว่าดูก่อนกรุงพาณ | ซึ่งท่านเคืองแค้นไม่รู้หาย |
ว่าเราล่วงเกินหยาบคาย | มั่นหมายดั่งนี้ก็ผิดไป |
เมื่อเทวาพาสมให้ชมกัน | จะว่าดูหมิ่นนั้นหาชอบไม่ |
เราเป็นผู้น้อยก็เกรงใจ | จึ่งได้อ่อนง้อขอษมา |
ก็ไม่ฟังยังขืนกริ้วโกรธ | จะทำโทษเคี่ยวเข็ญเข่นฆ่า |
ถ้ากระนั้นจงยกโยธา | ไปยังภูผาอังชัน |
เราสองจะประลองฤทธิไกร | ที่ในหิมวาพนาสัณฑ์ |
ให้หมู่ทวยเทพเทวัญ | คนธรรพ์นักสิทธ์วิชาธร |
ดูเล่นเป็นขวัญนัยน์เนตร | พร้อมพฤกษ์เทเวศสิงขร |
ใครดีจะได้เห็นฤทธิรอน | ให้ขจรเกียรติชั่วกัลปา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรยักษา |
ได้ฟังยิ่งกริ้วโกรธา | ก็บัญชาเรียกเร่งพลไกร |
เหวยเหวยอสูรทวยหาญ | บรรดาหมู่มารน้อยใหญ่ |
เร่งยกหนักหักโหมเข้าไป | จับมนุษยให้ได้บัดเดี๋ยวนี้ |
ทั้งอีอุษาทรลักษณ์ | อย่าคิดพักตร์มันเลยยักษี |
จับเอาตัวมาอีกาลี | ผลาญชีวีเสียให้พร้อมกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายหมู่โยธาพลขันธ์ |
รับสั่งพญากุมภัณฑ์ | ก็กรูเข้าพร้อมกันทุกกองทัพ |
ยัดเยียดเบียดเสียดสับสน | ต่างคนถาโถมโจมจับ |
ที่ตัวนายก็รายคอยรับ | แข่งขับกันดาเข้าราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | หลานพระหริรักษ์เรืองศรี |
เห็นหมู่อสุรโยธี | เข้ามาโจมตีวุ่นไป |
ฉวยชักพระขรรค์ออกฟันฟาด | หมู่มารตายกลาดไม่นับได้ |
แตกกระจายพ่ายแพ้ฤทธิไกร | ภูวไนยก็กลับลงมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด