- คำนำ
- บทนำเรื่อง
- ที่มาของอนิรุทธคำฉันท์และบทละคอนเรื่องอุณรุท ของ ธนิต อยู่โพธิ์
- ตอนที่ ๑
- ตอนที่ ๒
- ตอนที่ ๓
- ตอนที่ ๔
- ตอนที่ ๕
- ตอนที่ ๖
- ตอนที่ ๗
- ตอนที่ ๘
- ตอนที่ ๙
- ตอนที่ ๑๐
- ตอนที่ ๑๑
- ตอนที่ ๑๒
- ตอนที่ ๑๓
- ตอนที่ ๑๔
- ตอนที่ ๑๕
- ตอนที่ ๑๖
- ตอนที่ ๑๗
- ตอนที่ ๑๘
- ตอนที่ ๑๙
- ตอนที่ ๒๐
- ตอนที่ ๒๑
- ตอนที่ ๒๒
- ตอนที่ ๒๓ ทศมุขพบพระอุณรุท
- ตอนที่ ๒๔
- ตอนที่ ๒๕
- ตอนที่ ๒๖
- ตอนที่ ๒๗
- ตอนที่ ๒๘
- ตอนที่ ๒๙
- ตอนที่ ๓๐
- ตอนที่ ๓๑
- ตอนที่ ๓๒
- ตอนที่ ๓๓
- ตอนที่ ๓๔
- ตอนที่ ๓๕
- ตอนที่ ๓๖
- ตอนที่ ๓๗
- ตอนที่ ๓๘
- ตอนที่ ๓๙
- ตอนที่ ๔๐
- ตอนที่ ๔๑
- ตอนที่ ๔๒
ตอนที่ ๒๓ ทศมุขพบพระอุณรุท
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายพระอุณรุทเรืองศรี |
สถิตไพชนต์รัตน์สวัสดี | แห่งเทวีอุษายุพาพาล |
เสวยสุขโอฬาร์มาโนชญ์ | ปราโมทย์ปลื้มเปรมเกษมศานต์ |
แสนสนิทพิศวาสเยาวมาลย์ | รสรักซาบซ่านฤๅทัย |
หอมประทิ่นกลิ่นแก้วกัลยา | สุคนธ์ทิพฟากฟ้าไม่เปรียบได้ |
แต่ประถมยามล่วงไป | แขไขส่องสว่างอัมพร |
ดาราลอยเลื่อนเกลื่อนกลาด | อำไพโอภาสประภัสสร |
พระตรัสชี้โดยช่องบัญชร | สายสมรจงทอดทัศนา |
ดวงเดือนเหมือนดวงพักตร์เจ้า | พรายเพราในห้องเวหา |
หมู่ดาวห้อมล้อมดาษดา | ดั่งคณานางล้อมนงคราญ |
ตรัสพลางคลึงเคล้าเย้าหยอก | สัพยอกยั่วยวนสงสาร |
สองกษัตริย์สุโขมโหฬาร | จนสุริย์ฉานส่องฟ้าธาตรี[๑] |
ฯ ๑๒ คำ ฯ กล่อม
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายองค์ทศมุขยักษี |
เสวยสุขภิรมย์เปรมปรีดิ์ | ในปราสาทมณีพรายพรรณ |
พร้อมหมู่พี่เลี้ยงนางถนอม | ขับกล่อมบรรเลงเพลงสวรรค์ |
ดั่งโอรสรักเวสสุวัณ | อันทรงอานุภาพมหิมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ ให้ระลึกรำพึงคะนึงนัก | ถึงนงลักษณ์พี่นางอุษา |
หลายคืนหลายวันเวลา | ไม่เห็นมาเฝ้าบาทพระบิดร |
หรือมีทุกข์โศกโรคภัย | สิ่งไรเบียดเบียนสายสมร |
อย่าเลยตัวกูจะรีบจร | ไปเฝ้าบังอรให้แจ้งการณ์ |
คิดแล้วชำระสระสรง | สำอางองค์ทรงเครื่องมุกดาหาร |
จับคทาธรเพชรชัยชาญ | พระกุมารก็รีบลงมา |
ฯ ๖ คำ ฯ กราว
๏ ครั้นถึงซึ่งเชิงอัฒจันทร์ | ผันพักตร์เหลียวซ้ายแลขวา |
สงัดเสียงสาวสรรค์กัลยา | ก็ตรึกตราคะนึงรำพึงไป |
แต่ก่อนมาเฝ้าพระพี่นาง | จะเหมือนอย่างฉะนี้ก็หาไม่ |
ประหลาดจิตคิดอัศจรรย์ใจ | ก็เข้าไปในปราสาทสุรกานต์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | นางศุภลักษณ์ผู้ปรีชาหาญ |
กับสี่พี่เลี้ยงนงคราญ | เห็นพระกุมารเสด็จมา |
ตกใจตัวสั่นหวั่นหวาด | ไม่อาจจะอยู่รอหน้า |
ห้านางวิ่งวนเป็นโกลา | ออกมาซุ่มซ่อนอินทรีย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ทศมุขสุริย์วงศ์ยักษี |
เห็นพี่เลี้ยงทั้งห้านารี | พากันวิ่งหนีวุ่นไป |
อาการนั้นประหลาดวิปริต | ยิ่งคิดพะวงสงสัย |
ก็รีบบทจรคลาไคล | เข้าในห้องแก้วกัลยา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เผยม่านสุวรรณอันรูจี | อสุรีเหลือบซ้ายแลขวา |
เห็นชายผ่องพักตร์ลักขณา | ไสยาบนแท่นพรายพรรณ |
ร่วมเรียงเคียงแอบแนบข้าง | พี่นางอุษาสาวสวรรค์ |
พิโรธโกรธกริ้วดั่งไฟกัลป์ | พักตร์นั้นมืดไปทั้งแปดทิศ |
ดูดู๋ใครหนอสามารถ | บังอาจอาจองทะนงจิต |
ไม่เกรงเดชบิตุเรศเรืองฤทธิ์ | มาทำทุจริตอหังการ |
แม้นทราบถึงเบื้องบาทบงสุ์ | พระองค์ผู้ทรงศักดาหาญ |
น่าที่จะพาวงศ์วาน | บรรลัยลาญด้วยเดชภูวไนย |
ชายนี้ทรงโฉมบริสุทธิ์ | ในมนุษย์แหล่งหล้าไม่หาได้ |
หรือจะเป็นเทวาสุราลัย | เทพไทหากแกล้งแปลงมา |
ลอบลักสู่สมชมชิด | ภิรมย์ร่วมสนิทกระมังหนา |
หรือหน่อจักรพรรดิกษัตรา | ไฉนจึ่งมาเป็นดั่งนี้ |
คิดพลางเข่นเขี้ยวเกรี้ยวกราด | แผดเสียงสิงหนาทอึงมี่ |
เผ่นโผนโจนทะยานทันที | โถมถีบภูมีกระเด็นไป |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์ทรงภพสบสมัย |
ตกจากแท่นแก้วอำไพ | ผุดลุกขึ้นได้ด้วยศักดา |
เห็นอสุราราชกุมาร | อหังการหยาบใหญ่ไม่เกรงหน้า |
พระพิโรธโกรธกริ้วดั่งไฟฟ้า | ชักพระขรรค์คมกล้าเข้าโรมรัน |
ยักษีตีด้วยคทาธร | พระทรงเดชรับกรด้วยพระขรรค์ |
ต่างองค์ป้องปัดพัลวัน | ต่างผจญประจัญฤทธี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ทศมุขกุมารยักษี |
สัประยุทธ์เคี่ยวฆ่าราวี | อสุรีหยุดอยู่แล้วถามไป |
เหวยเหวยมนุษย์องอาจ | เอ็งนี้เชื้อชาติเป็นไฉน |
มีนามกรชื่อไร | เหตุใดมาทำอหังการ์ |
ลอบล่วงเข้ามายังสถาน | เยาวมาลย์พี่นางอุษา |
อันองค์ยุพเรศกัลยา | ดั่งดวงนัยนาพระบิดร |
ตัวมึงหนิดหนึ่งเท่าปลายก้อย | ดั่งเนื้อน้อยไม่เกรงไกรสร |
กูจะสังหารราญรอน | ให้ม้วยด้วยกรอสุรี |
ตัดเอาเศียรเกล้าพาไป | ถวายองค์ภูวไนยเรืองศรี |
ซึ่งเอ็งสำคัญว่าตัวดี | เดี๋ยวนี้จะได้เห็นกัน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทภุชพงศ์รังสรรค์ |
ได้ฟังอสุราอาธรรม์ | รำพันกล่าวคำอหังการ |
พระระงับดับไว้ด้วยปรานี | แล้วมีสิงหนาทบรรหาร |
เหวยเหวยดูก่อนกุมาร | เจ้าผู้พงศ์พาลอสุรี |
อันตัวของกูนี้หรือ | ชื่อพระอุณรุทนาถา |
เป็นบรมราชนัดดา | องค์พระจักราเรืองฤทธิ์ |
ผู้ทรงมหาศักดายศ | ปรากฏสมญาว่าจักรกฤษณ์ |
เป็นเอกอิศโรโมสิศ | สถิตยังณรงกาธานี |
เทเวศไปอุ้มเอาเรามา | ให้สมอุษามารศรี |
ตัวเอ็งเป็นน้องของเทวี | หยาบช้าพาทีเกินนัก |
ไม่เคารพนบนอบแล้วมิหนำ | กลับซํ้ารุกโรมโหมหัก |
หากคิดแก่องค์นงลักษณ์ | หาไม่เจ้าจักบรรลัยลาญ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | นางอุษาเยาวยอดสงสาร |
เห็นองค์อนุชาชัยชาญ | กับผ่านฟ้าจะผลาญชีวิตกัน |
ตกใจตัวสั่นขวัญหาย | โฉมฉายเข้าขวางกางกั้น |
มือขวากอดองค์พระทรงธรรม์ | ซ้ายนั้นยุดกรอสุรา |
จึ่งกราบทูลองค์ภูวเรศ | โปรดเกศอย่าถือโทษา |
แล้วตรัสห้ามองค์อนุชา | เมตตาพี่เถิดอย่าราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศมุขกุมารยักษี |
จึ่งว่าแก่องค์เทวี | พี่นางอย่าขวางหน้าไว้ |
ผลักเสียด้วยกำลังโกรธา | จะเกรงกลัวกัลยาก็หาไม่ |
เผ่นโผนโจนทะยานเข้าไป | ชิงชัยต่อกรรอนราญ |
ตีซ้ายป่ายขวาอุตลุด | ด้วยกำลังฤทธิ์รุทรกล้าหาญ |
หักโหมโรมรันประจัญบาน | เสียงสะท้านทั้งปราสาทมณี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี |
รับรองป้องกันประจัญตี | ถ้อยทีไม่ลดละกัน |
ต่างจับกลับกลอกสับสน | ต่างตนต่างแรงแข็งขัน |
ต่างหมายจะทำลายชีวัน | ด้วยฤทธีอันเกรียงไกร |
ยักษีเสียทีพระทรงเดช | พระโจนจับจิกเกศไว้ได้ |
เงือดเงื้อพระแสงขรรค์ชัย | หมายใจจะล้างชีวี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | นวลนางอุษามารศรี |
เห็นพระองค์ผู้ทรงฤทธี | จะผลาญชีวีอนุชา |
นางยิ่งตระหนกอกสั่น | บังคมคัลทูลขอโทษา |
โปรดเกศจงประทานชีวา | กัลยายุดข้อพระกรไว้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทรุ่งฟ้าสุธาไหว |
ฟังนางอุษายาใจ | ภูวไนยวางเศียรอสุรี |
จึ่งว่าเหวยเหวยอ้ายสู่รู้ | หากกูเห็นแก่มารศรี |
จึ่งงดโทษโปรดมึงครั้งนี้ | หาไม่ชีวีจะมรณา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศมุขสุริย์วงศ์ยักษา |
สุดฤทธิ์สุดคิดสุดปัญญา | ซึ่งจะต่อฤทธาสืบไป |
ความอายความแค้นเป็นพ้นคิด | ปิ้มประหนึ่งชีวิตจะม้วยไหม้ |
จึ่งว่าแก่องค์อรไท | พี่นางทำได้ถึงเพียงนี้ |
เสียแรงพระบิดาบำรุงรัก | ดั่งดวงจักษุเฉลิมศรี |
สงวนไว้ในปราสาทรูจี | มิให้ต้องธุลีลมพาน |
ถ้าควรคู่กษัตริย์กรุงใด | พระหวังจะให้เป็นแก่นสาร |
หรือมาชั่วช้าสาธารณ์ | คบชู้ชายพาลทรลักษณ์ |
ให้ขายเบื้องบาทพระทรงยศ | อัปยศทั่วไปทั้งไตรจักร |
เสื่อมเดชสุริย์วงศ์พงศ์ยักษ์ | สมพักตร์แล้วหรือกัลยา |
จะไปทูลองค์พระบิตุเรศ | ให้ทรงเดชลงโทษโทษา |
ตัดเกล้าเสียบเสียทั้งสองรา | ไม่ช้าจะได้เห็นกัน |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ว่าแล้วย่างเยื้องยุรยาตร | ลงจากปราสาทฉายฉัน |
ให้คิดแค้นแน่นอกกุมภัณฑ์ | ก็จรจรัลมาเฝ้าพระบิดร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งกราบบาทบงสุ์ | พระบิตุรงค์ธิราชชาญสมร |
ซบพักตร์โศกาอาวรณ์ | ถอนใจสะอื้นไปมา |
มิอาจทูลความพระทรงจักร | ด้วยรักพี่นางอุษา |
กลัวว่าจะม้วยมรณา | เพราะอาญาองค์ภูวไนย |
หุนหวนนิ่งนึกตรึกอยู่ | เป็นครู่แล้วถอนใจใหญ่ |
มิได้กราบทูลประการใด | ชลนัยน์นองพักตร์โศกี |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาณาสูรยักษี |
เห็นโอรสร่วมชีวี | แสนโศกโศกีจาบัลย์ |
จึ่งโอบอุ้มองค์ขึ้นใส่ตัก | เชยพักตร์ปลอบพลางทางรับขวัญ |
ตรัสถามลูกยาวิลาวัณย์ | เจ้าโศกศัลย์กันแสงด้วยอันใด |
หรือใครดูหมิ่นถิ่นแคลน | น้อยจิตคิดแค้นเป็นไฉน |
หรือพี่เลี้ยงข้างหน้าข้างใน | ว่าไรให้เคืองวิญญาณ์ |
บอกแก่พ่อเถิดนะจอมขวัญ | จะทำโทษทัณฑ์ให้หนักหนา |
ปลอบพลางพลางเช็ดชลนา | แก้วตาอย่าทรงโศกี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศมุขกุมารยักษี |
แค้นขัดอัดอั้นพันทวี | สุดที่จะปิดความไข้ |
จึงทูลว่าบัดนี้พี่อุษา | ทำการชั่วช้าก็เป็นได้ |
คบชู้สู่สมภิรมย์ใจ | ไม่เกรงเบื้องบาทพระบิดร |
พากันมาไว้ในปราสาท | ร่วมสนิทพิศวาสสโมสร |
ลูกโกรธจึ่งเข้าต่อกร | จะราญรอนชีวันให้บรรลัย |
ชายนั้นมีฤทธิ์สิทธิศักดิ์ | ลูกรักจักผลาญมันไม่ได้ |
ขึ้นหน้าว่ากล่าวทุกสิ่งไป | หยาบใหญ่เป็นพ้นคณนา |
ยกเนื้อยอตัวนี่สุดคิด | ว่าเป็นหลานจักรกฤษณ์นาถา |
เจ็บใจด้วยมันอหังการ์ | ทูลพลางอสุราก็โศกี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด